Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Tpol ที่ กรกฎาคม 19, 2017, 14:56:36
-
ลองทำดูว่า 150,000บาท จะไปคุ้มตรงไหน ออกมาเหมือนต่างกันโลละบาท ถ้าใช้ > 150,000km น่าจะคุ้ม้ เหมือนกับจะได้ Diesel + โครเมียม มาฟรีๆ honda เขาคิดเอาไว้แล้วก่อนออกราคาเปล่านิ(http://)
-
เขาอาจจะคิดหรือไม่คิดก็เดากันไป
แต่ทำให้เห็นขนาดนี้ ดูแล้วคงไม่ค่อยคุ้มสำหรับลูกค้าส่วนใหญ่ เพราะคนส่วนมากขับไม่ถีง 150,000กม คงขายก่อนมั้งครับ
-
เขาอาจจะคิดหรือไม่คิดก็เดากันไป
แต่ทำให้เห็นขนาดนี้ ดูแล้วคงไม่ค่อยคุ้มสำหรับลูกค้าส่วนใหญ่ เพราะคนส่วนมากขับไม่ถีง 150,000กม คงขายก่อนมั้งครับ
แถมความจริงน่าจะแทบไม่มีใครเติม 95 เพียวด้วยนะครับ
เติม E10 E20 หรือ E85 กันทั้งนั้น จุดคุ้มทุนก็ยิ่งไปไกลกันใหญ่
-
ราคาขายต่อกับซ่อมบำรุงระยะยาว ดีเซล ได้เปรียบครับ
สรุปถ้าตอนนี้เงินพอไหวไปดีเซลเถอะครับ
-
ราคาขายต่อกับซ่อมบำรุงระยะยาว ดีเซล ได้เปรียบครับ
สรุปถ้าตอนนี้เงินพอไหวไปดีเซลเถอะครับ
ไม่แน่หรอกครับ 2.4 นี่มีมานานแล้ว แต่ ดีเซลกับ เกียร์ 9 speeds พึ่งเข้ามาไทย รอดูสักระยะก่อนดีกว่าครับ ถึงเครื่องจะทนแต่ถ้าเกียร์มีปัญหา การซ่อมบำรุงระยะยาว กับราคาขายต่อเบนซินอาจจะดีกว่าก็ได้นะครับ
-
ราคาขายต่อกับซ่อมบำรุงระยะยาว ดีเซล ได้เปรียบครับ
สรุปถ้าตอนนี้เงินพอไหวไปดีเซลเถอะครับ
ผมว่าไม่น่าใช่สำหรับเครื่องตัวนี้ครับ พาร์ทเยอะ แค่เทอร์โบก็ 2 ลูกละ
แล้วราคาขายต่อนี่ไม่ใช่กระบะนะครับ ที่ตกน้อย มันก็ตกเป็นเปอร์เซนต์เหมือนรถนั่งทั่วไปซึ่งยิ่งราคาแพงก็ยิ่งตกมากอยู่ดี
จะว่าต้องขับ 150000 กม. ก็ไม่แน่เสมอไปครับ เพราะเบนซินขับในเมือง 5-6 km/l มีให้เห็นไม่ยากสำหรับรถระดับนี้ แต่ถ้าดีเซลขับในเมือง 10+ คือเหมือนในเมืองประหยัดกว่าเท่านึง แต่นอกเมืองไม่ต่างกันมาก ผมว่าระยะคืนทุนอาจจะเร็วกว่านั้นถ้าใช้เยอะๆ
-
ขอบคุณครับ
แต่เบนซินจะมีค่าภาษีที่ต่างกันอยู่พอสมควรนะครับ คงต้องรวมเข้าไปด้วยครับ
ถ้า้บนซินเติม e20 ที่ราคาใกล้เคียงดีเซลที่สุด ความต่างอัตราสิ้นเปลืองอาจจะต่างมากขึ้น
แต่ก็น่าจะระดับ 1 แสนกิโลขึ้นไป แต่ต้องดูอีกสักระยะว่าเกียร์ตัวไหนจะทนทานกว่า
-
รู้แต่ดีเซลออกตัวดีครับ ไม่อืด และ ช่วงล่างแน่นกว่า
ประหยัดน้ำมันกว่า ถ้าเงินถึงก็น่าเล่นนะ
แต่ถ้าเน้นประหยัดก็เบนซิน
-
ในชีวิตจริงเราคงใช้แก๊สโซฮอล 95 ซึ่งผมลองลดอัตราสิ้นเปลืองให้เหลือ 12 km/l จุดคุ้มทุนจะอยู่ที่ 223,983.9 km
-
ในชีวิตจริงเราคงใช้แก๊สโซฮอล 95 ซึ่งผมลองลดอัตราสิ้นเปลืองให้เหลือ 12 km/l จุดคุ้มทุนจะอยู่ที่ 223,983.9 km
จริงครับใช้จริงก็คงเติมประมาณนี้หละครับ :)
เติม 95 ตัวเต็มนี่ทั่วไปคงจะยาก
และบางคนคงจับดมแก๊สอีก ก็ประหยัดไปอีกครึ่ง
-
ดมแก๊ส จบ
-
ใช้ทำไมครับ 2.4 ตามหลังคนที่เขาใช้เครื่องยนต์นี้มาก่อนในบอดี้อื่นๆ มาหลายปี ;D
ฟิ้ว กลัวโดนรุมตื้บ
-
1.5T น่าจะมาแทน2.4ไปเลยนะ จะได้จบๆไป 55+
-
ซื้อสดต่างกัน 150,000 แต่ถ้าผ่อน มันก็มีส่วนต่างของดอกเบี้ยที่ต้องเอามาคิดอีกครับ
อีกอย่างก็ภาษีรายปี อันนี้ดีเซลก็น่าจะถ่ายถูกกว่าประมาณเกือบๆสามพัน บาทต่อปีได้ครับ
-
เบนซิลตัวท๊อป คุ้มสุดแล้วถ้าเป็นผม
ส่วนต่างดีเซล ไว้เติมน้ำมัน จนขายรถ ยังไม่ถึงเลยครับ
ราคามือสองคงไม่ต่างกันขนาดนั้นแน่ๆ CRV ราคาแข็งอยู่แล้ว
-
ถ้ามองความคุ้มในแง่ ของตัวเงินอย่างเดียว และพอใจแล้วกับการขับขี่ของมัน ก็ไปเบนซิล
แต่ถ้ามองความคุ้ม ที่ได้ใช้ได้สัมผัสเครื่องดีเซลเทคโนโลยีใหม่ๆ+เกียร์ตัวใหม่ ความสุขในการขับขี่ที่เวลาเร่งแซงไม่ต้องคิดดาว ไม่ต้อง ลากรอบเครื่องให้เสียงฝาดอย่างกับรถแข่ง ส่วนต่าง 150000 ผมก็ว่าคุ้ม
เพราะยังไงตอนขายรถดีเซลก็น่าจะได้ราคากว่า (อย่าเพิ่งคิดไปไกลว่ามันจะมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาเพราะมันยังไม่เกิด) เทียบง่ายๆ ตอนนี้ ฟอจูนเนอร์ มือ 2 ระหว่างเครื่องดีเซล กับเบนซิล ราคาก็ยังต่างกันพอสมควร
-
ถ้ามองความคุ้มในแง่ ของตัวเงินอย่างเดียว และพอใจแล้วกับการขับขี่ของมัน ก็ไปเบนซิล
แต่ถ้ามองความคุ้ม ที่ได้ใช้ได้สัมผัสเครื่องดีเซลเทคโนโลยีใหม่ๆ+เกียร์ตัวใหม่ ความสุขในการขับขี่ที่เวลาเร่งแซงไม่ต้องคิดดาว ไม่ต้อง ลากรอบเครื่องให้เสียงฝาดอย่างกับรถแข่ง ส่วนต่าง 150000 ผมก็ว่าคุ้ม
เพราะยังไงตอนขายรถดีเซลก็น่าจะได้ราคากว่า (อย่าเพิ่งคิดไปไกลว่ามันจะมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาเพราะมันยังไม่เกิด) เทียบง่ายๆ ตอนนี้ ฟอจูนเนอร์ มือ 2 ระหว่างเครื่องดีเซล กับเบนซิล ราคาก็ยังต่างกันพอสมควร
เทียบฟอจูนเนอร์มันแปลกนะ ที่เค้าเอาเบนซินมาใส่ไว้ให้มีเฉยๆ ขายดีเซลเป็นหลักอยู่แล้ว
-
ถ้ามองความคุ้มในแง่ ของตัวเงินอย่างเดียว และพอใจแล้วกับการขับขี่ของมัน ก็ไปเบนซิล
แต่ถ้ามองความคุ้ม ที่ได้ใช้ได้สัมผัสเครื่องดีเซลเทคโนโลยีใหม่ๆ+เกียร์ตัวใหม่ ความสุขในการขับขี่ที่เวลาเร่งแซงไม่ต้องคิดดาว ไม่ต้อง ลากรอบเครื่องให้เสียงฝาดอย่างกับรถแข่ง ส่วนต่าง 150000 ผมก็ว่าคุ้ม
เพราะยังไงตอนขายรถดีเซลก็น่าจะได้ราคากว่า (อย่าเพิ่งคิดไปไกลว่ามันจะมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาเพราะมันยังไม่เกิด) เทียบง่ายๆ ตอนนี้ ฟอจูนเนอร์ มือ 2 ระหว่างเครื่องดีเซล กับเบนซิล ราคาก็ยังต่างกันพอสมควร
ราคาขายต่อเทียบกับรถกลุ่มเดียวกันจะดูเหมาะสมกว่านะครับ
เช่น Captiva เบนซิน vs ดีเซล หรือ CX-5 2.5 เบนซิน vs 2.2 ดีเซล
-
ตัวเลขน่าสนใจครับ..แต่คำว่าคุ้มทุนในรถยนต์สำหรับผมคงใช้ไม่ได้แน่นอน ผ่อนหมดขับต่ออีกสักพัก เจอรุ่นใหม่ก็อยากได้ใหม่ มันเป็นความสุขความพอใจครับ ในรถคันที่ซื้อมากกว่าครับ
-
บางคนอาจจะมองเรื่องส่วนต่าง เรื่องอัตราสิ้นเปลือง เอาไปคำนวณความคุ้ม
แต่สำหรับผม ถ้าได้ขับรถที่ใช่ รถที่ชอบ อันนั้นแหละคุ้มครับ
-
นอกจากความคุ้มทุนด้านน้ำมันแล้ว
ยังมีเรื่องแรงดึงของดีเซลที่มากกว่าและไม่ใช่ cvt ด้วยครับ
คันต่อไปผมคงไปดีเซล แต่ไม่รู้หวยจะออกมี H หรือ M
-
ส่วนตัวผมว่า ถ้าขับในกทม ดีเซล ประหยัดกว่าเบนซินมากกว่าพอควรครับ
ขับจริง เจอรถติดสลับในกรุง ดีเซลประหยัดกว่านี้แน่ครับ honda หลายๆคันที่ผมเคยใช้ เจอรถติดสลับทีไร
ตัวเลขไม่เคยดีกว่า 10km/l ครับ ตอนนี้ใช้ odyssey rb3 ขับยังไงก็ได้แค่ 7-8 โลลิตร เทียบกับ new pjs
เส้นทางเดียวกัน ผมขับเองได้ 11-12 km/l ตลอด
ถ้าจังหวะดีผมได้ออก crv gen5 1.6d มาใช้จะมาตอบเทียบครับ ว่าตัวเลขดีมั้ย
-
ต่อไปคงเอาดีเซลมาขายกันเยอะขึ้นครับ เพราะลงทุนเครื่องจักรผลิตไปเยอะ แต่ใกล้จะขายประเทศอื่นไม่ได้แล้วมันไม่ผ่านยูโร โกงแล้วก็โดนจับได้
เลยมาขายประเทศแถวนี้แทน เพราะมาตรฐานห่วยมากแถมพวกชอบดีเซลเยอะซะด้วย
-
ถ้าคนใช้รถน้อยจิ้มไปที่ 2.4L แบบไม่คิดเลยครับ แต่ถ้าใช้รถเยอะๆ หรือเจอรถติดบ่อยๆจุดคุ้มทุนน่าจะไวขึ้นนะครับ
ปล. ลองอ่านตารางค่าบำรุงรักษา 5 ปี หรือ 100,000 กม.แรกของเครื่องเบนซินกับดีเซล ค่าบำรุงรักษาเครื่องดีเซลอยู่ที่ 42,453 บาท ส่วนเบนซินอยู่ที่บาท 31,277 บาทครับ แต่ส่วนต่างจะไปตีตื้นเอาตรงค่าต่อภาษีประจำปีที่ดีเซลจะถูกกว่าเบนซินนิดหน่อย
-
ต้องดูระยะยาวอีกที แต่ยังไงเชื่อว่า เบนซินน่าจะขายได้ดีกว่า เดาล้วน ๆ
-
เรื่องการชอบดีเซล หรือเบนซิล ผมว่าไม่มีใครหรอกที่จะยึดติดอยู่แค่อย่างเดียว
ต้องดูด้วยว่าอยู่ในรถอะไร รุ่นอะไร อย่างรถเก๋งขนาดคอมแพค ผมเคยใช้ ทั้งดีเซลและเบนซิล บอกเลยว่าชอบเบนซิลมากกว่า แต่ถ้าเป็นรถ SUV ขนาดกลางขึ้นไปน้ำหนักตัวมากขึ้น ล้อโตขึ้น ผมก็ชอบดีเซลมากกว่า
และการใช้คำว่าพวกชอบดีเซล พวกชอบเบนซิล มันดูแบ่งพรรคแบ่งพวก น่าจะใช้คำว่า คนชอบดีเซล คนชอบเบนซิล จะดูดีกว่า ส่วนเรื่องมลพิษ ปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎหมายไปแล้วกัน ประเทศเราถึงจะเข้มงวดกับรถใหม่ก็เท่านั้น เพราะรถเก่าอายุเกิน 15 ปี ก็ยังวิ่งกันเกลื่อน เพราะไม่เคยส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้รถรุ่นใหม่ที่ปล่อยมลพิษน้อยกว่า(เรื่องภาษีสรรพสามิต)
-
ดีเซลเดี๋ยวก็แป๊กครับ
ไหนจะเกียร์ 9 สปีดอีก
ซื้อไปให้ช่างยำเล่น ช่างเคยซ่อมซะที่ไหน
หันไปคบ2.4เกียร์cvtดีกว่าครับ
ช่างคุ้นมือมานาน อุ่นใจกว่าเยอะ
-
เน้นความคุ้ม ยังไงเบนซินก็ได้เปรียบครับ
ดีเซลยุคใหม่ไม่รู้จะทนถึกแค่ไหน
แค่ Turbo ถ้าเสียก็หลายหมื่นแน่ๆ
ไหนจะเกียร์ใหม่อีก
-
ถ้าเอาความประหยัดตังในระยะยาวเป็นที่ตั้งก็จิ้มเบนซินไปเลย ส่วนต่างค่าน้ำมันไม่ต้องเอามาคิดหรอก ระยะยาวยังไงค่าดูแลของดีเซลเทอร์โบมันแซงก่อนแน่ๆ เหอะๆ
-
ต้องดูกันสักพัก
-
แสนห้านี่ ระยะขายทิ้งพอดีเลยครับ
เป็นผมขอเบนซินna ครับ low techดี
-
ส่วนต่าง 150K เป็นผมจะไม่มองแค่อัตราประหยัดมาชดเชย
สิ่งที่ได้มา
1. ไฟตัดหมอก LED จากโรงงาน (ข้อนี้หาเปลี่ยนได้ทีหลัง ราคาถูกๆ ก็มี)
2. เกียร์แบบปุ่ม หลายๆ คนอาจไม่ชอบ แต่หลายๆ ท่านอาจมองว่าเป็นของเล่นใหม่ในรถยุคนี้ ไม่ถึงขนาดการเปลี่ยนผ่านโทรศัพท์มือถือ มาเป็นสมาร์ทโฟนอย่างทุกวันนี้
3. เกียร์ CVT มาเป็นออโตเมติก 9 speed แค่ข้อ 3 ผมว่าคุ้มค่ากับ 150K แล้วนะ
-
บางคนอาจจะอยากได้เทคโนโลยี ฯลฯ ไงครับ
แต่ส่วนตัวคงเลือก 2.4 คุ้มๆ ชอบเทคโนโลยีเดิมๆที่เชื้อถือได้และมีประสิทธิภาพเพียงพอมากกว่า 55
-
ขอเลือกเบนซิน เครื่องใหม่+ระบบใหม่ในไทย ทำให้ผมกลัวไปแล้วครับ
ช่างซ่อมไม่ได้ หรือ งานมโนอาจจะมี ซ่อมไม่จบซักที
-
ราคาขายต่อดีเซลน่าจะสูงกว่า เป็นผมไปดีเซลครับ
-
ถ้าคำนวนแบบนี้ ผมว่ายังไงก็ลง เบนซิน ครับ เหมือนรถหลายๆ ยี่ห้อ ที่มี 2 เครื่องยนต์ แล้วเคยลองมาเทียบกันดู
แต่บางคนเลือก ดีเซล อยู่ดี เพราะเรื่องการขับขี่ การเร่งแซง อะไรแบบนี้มากกว่า จึงยอมจ่ายแพงกว่าเข้าไปด้วย