Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Pegasus7700 ที่ ตุลาคม 09, 2017, 08:02:56
-
แนวโน้มก็ได้รับความนิยมดีพอสมควร
https://cleantechnica.com/2017/10/08/tesla-keeps-crushing-chevy-bolt-keeps-climbing-nissan-leaf-hangs-us-electric-sales-report/ (https://cleantechnica.com/2017/10/08/tesla-keeps-crushing-chevy-bolt-keeps-climbing-nissan-leaf-hangs-us-electric-sales-report/)
ผู้เล่นหลักๆแน่นอนว่า
มีTesla Chevy Toyota Nissan Ford Audi BMW VW
ไม่แน่ใจค่ายญี่ปุ่นอื่นๆ. สนใจตลาดนี้มากน้อยแค่ไหน
-
ปลามาร์ลิน เอ้ย Prius Prime เยอะจริงๆ นะครับ เสียดายไม่มาขายไทย ถึงมันจะหน้าตาประหลาดๆ ไปหน่อยก็เถอะ
-
ไม่น่าแปลกใจเลยครับเพราะผมเพิ่งได้นั่งTesla Model X P90D มาแล้ว แรงดึงกระชากติดเบาะแบบเร็วมากๆโดยไม่ต้องรอรอบเลย ขอบอก
-
ประตูปีกนกกระพือปีกได้ด้วยนะครับ เวลาเปิดรถด้วยฟังก์ชันEaster Egg รถจะร้องเพลงกระพริบไฟและกระพือปีกอีกต่างหาก เท่มาก
-
อัตราการเพิ่มจากปี 2016
ราว ๆ 30 %
แนวโน้ม ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง แต่ไปแบบค่อยๆเป็นไป
ยอดขายรถทั้ง US ราวๆ 17.5 ล้านคัน/2015
EV = 0.12 ล้าน คัน /2017
= 0.6 % เอง
-
ข้อมูลประกอบของตลาดอื่นๆ ทั้ง Europe & China ประกอบด้วยตามนี้
https://evobsession.com/electric-car-sales/
ถ้าติดตามข้อมูลจะพบว่าในยุโรปเหนือ จะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมจึง เห็นว่าสัดส่วนรถที่จดทะเบียนใหม่ในปี 2016
เป็นรถไฟฟ้าในสัดส่วนที่สูงมาก เช่น
Norway 29%
Netherlands 6.4%
Sweden 3.4%
ในขณะที่ France & UK มีเพียง 1.5%
เพียงแต่จำนวนประชาการใน 3 ประเทศแรกมีไม่มากคือราวๆ 5M,17M,10M ตามลำดับ
ในขณะที่จีนนะมีการเติบโตของรถไฟฟ้าใหม่ค่อนข้างเยอะมากคือในปี 2016 กว่า 350,000 คันแม้คิดเป็นเพียง 1.44% จากยอดขายรถ 24.38M คัน
เทียบกับ ยุโรปราวๆ 1.3% และ USA 0.8%
และปีนี้สำหรับในจีนน่าจะมีรถไฟฟ้าจดทะเบียนอย่างน้อย 450,000 คันแน่ๆ และถ้ารวมๆกับประเทศอื่นๆก็น่าจะรวมถึง 1 ล้านคัน หมายความว่าในปี 2017 นี้มีรถใหม่ที่เป็นรถไฟฟ้าน่าจะถึง 1%
แต่รถไฟฟ้าขณะนี้คงเหมาะกับบางพื้นที่เช่น จีน ยุโรป และบางรัฐในอเมริกาเท่านั้น สำหรับ BEV เพราะสถานีชารต์และเวลาที่ใช้ชาร์ต เพราะมีแท่นชาร์ตที่รองรับการชาร์ต Mode 3 และ 4 ในจำนวนไม่มากนัก
มีงานวิจัยที่คาดการณ์ว่าในจีน ณ สิ้นปีนี้น่าจะมีสถานีชาร์ตเกิน 500,000 สถานีและมีแท่นขาร์ตถึง 2 ล้านแท่น โดย 1 ใน 4 จะเป็นแท่นชาร์ต Mode 3 ขึ้นไปด้วย
แต่ผมคาดว่าปี 2020 ถ้าไม่มีอะไรสะดุด อาจเห็นยอดขายรถไฟฟ้าน่าถึง 3-4% ของยอดขายรถทั้งหมดแล้ว โดยมีประชากรมากมายในจีน และยุโรป เพราะว่ามีแท่นชาร์ตอยู่แพร่หลาย
แต่สำหรับเมืองไทย คงจะไม่ได้มีรถไฟฟ้าอะไรมากมายเพราะสิ้นปี 2018 เราน่าจะมีสถานีชาร์ตอย่างมากแค่ 2,000 แห่งเท่านั้นซึ่งน่าจะรองรับรถได้ไม่เกิน 10,000 คัน แต่ผมก็ว่าสิ้นปี 2018 ก็คงยังไม่มีมาตรการสนับสนุนคนซื้อรถไฟฟ้าอะไรพิเศษเพิ่มเติม เ่ช่นทำให้ รถอย่าง nissan leaf สามารถขายได้ในราคาไม่เกิน 1.2 ล้านนั้นคงจะยากอยู่ และรถไฟฟ้าที่วิ่งคงเป็นพวก phev มากกว่าพวก bev ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่า phev หรือ hev (ยกเว้น Range extender) ไม่ใช่รถที่น่าใช้ในแง่ของค่าใช้จ่ายในการใช้งาน เพราะมีถึง 2 ระบบซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการ maintenance สูงซึ่งไม่เหมาะสำหรับสังคมของบ้านเราที่คนส่วนใหญ่ที่ใช้รถ ที่จะซื้อรถแต่ละคันต้องทำงานเกินปีหรือหลายปีทั้งนั้นเพื่อจะได้เงินมาซื้อรถ 1 คัน
-
ข้อมูลประกอบของตลาดอื่นๆ ทั้ง Europe & China ประกอบด้วยตามนี้
https://evobsession.com/electric-car-sales/
ถ้าติดตามข้อมูลจะพบว่าในยุโรปเหนือ จะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมจึง เห็นว่าสัดส่วนรถที่จดทะเบียนใหม่ในปี 2016
เป็นรถไฟฟ้าในสัดส่วนที่สูงมาก เช่น
Norway 29%
Netherlands 6.4%
Sweden 3.4%
ในขณะที่ France & UK มีเพียง 1.5%
เพียงแต่จำนวนประชาการใน 3 ประเทศแรกมีไม่มากคือราวๆ 5M,17M,10M ตามลำดับ
ในขณะที่จีนนะมีการเติบโตของรถไฟฟ้าใหม่ค่อนข้างเยอะมากคือในปี 2016 กว่า 350,000 คันแม้คิดเป็นเพียง 1.44% จากยอดขายรถ 24.38M คัน
เทียบกับ ยุโรปราวๆ 1.3% และ USA 0.8%
และปีนี้สำหรับในจีนน่าจะมีรถไฟฟ้าจดทะเบียนอย่างน้อย 450,000 คันแน่ๆ และถ้ารวมๆกับประเทศอื่นๆก็น่าจะรวมถึง 1 ล้านคัน หมายความว่าในปี 2017 นี้มีรถใหม่ที่เป็นรถไฟฟ้าน่าจะถึง 1%
แต่รถไฟฟ้าขณะนี้คงเหมาะกับบางพื้นที่เช่น จีน ยุโรป และบางรัฐในอเมริกาเท่านั้น สำหรับ BEV เพราะสถานีชารต์และเวลาที่ใช้ชาร์ต เพราะมีแท่นชาร์ตที่รองรับการชาร์ต Mode 3 และ 4 ในจำนวนไม่มากนัก
มีงานวิจัยที่คาดการณ์ว่าในจีน ณ สิ้นปีนี้น่าจะมีสถานีชาร์ตเกิน 500,000 สถานีและมีแท่นขาร์ตถึง 2 ล้านแท่น โดย 1 ใน 4 จะเป็นแท่นชาร์ต Mode 3 ขึ้นไปด้วย
แต่ผมคาดว่าปี 2020 ถ้าไม่มีอะไรสะดุด อาจเห็นยอดขายรถไฟฟ้าน่าถึง 3-4% ของยอดขายรถทั้งหมดแล้ว โดยมีประชากรมากมายในจีน และยุโรป เพราะว่ามีแท่นชาร์ตอยู่แพร่หลาย
แต่สำหรับเมืองไทย คงจะไม่ได้มีรถไฟฟ้าอะไรมากมายเพราะสิ้นปี 2018 เราน่าจะมีสถานีชาร์ตอย่างมากแค่ 2,000 แห่งเท่านั้นซึ่งน่าจะรองรับรถได้ไม่เกิน 10,000 คัน แต่ผมก็ว่าสิ้นปี 2018 ก็คงยังไม่มีมาตรการสนับสนุนคนซื้อรถไฟฟ้าอะไรพิเศษเพิ่มเติม เ่ช่นทำให้ รถอย่าง nissan leaf สามารถขายได้ในราคาไม่เกิน 1.2 ล้านนั้นคงจะยากอยู่ และรถไฟฟ้าที่วิ่งคงเป็นพวก phev มากกว่าพวก bev ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่า phev หรือ hev (ยกเว้น Range extender) ไม่ใช่รถที่น่าใช้ในแง่ของค่าใช้จ่ายในการใช้งาน เพราะมีถึง 2 ระบบซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการ maintenance สูงซึ่งไม่เหมาะสำหรับสังคมของบ้านเราที่คนส่วนใหญ่ที่ใช้รถ ที่จะซื้อรถแต่ละคันต้องทำงานเกินปีหรือหลายปีทั้งนั้นเพื่อจะได้เงินมาซื้อรถ 1 คัน
ขอบคุณข้อมูลดีๆครับ
-
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ :D
-
ข้อมูลประกอบของตลาดอื่นๆ ทั้ง Europe & China ประกอบด้วยตามนี้
https://evobsession.com/electric-car-sales/
ถ้าติดตามข้อมูลจะพบว่าในยุโรปเหนือ จะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมจึง เห็นว่าสัดส่วนรถที่จดทะเบียนใหม่ในปี 2016
เป็นรถไฟฟ้าในสัดส่วนที่สูงมาก เช่น
Norway 29%
Netherlands 6.4%
Sweden 3.4%
ในขณะที่ France & UK มีเพียง 1.5%
เพียงแต่จำนวนประชาการใน 3 ประเทศแรกมีไม่มากคือราวๆ 5M,17M,10M ตามลำดับ
ในขณะที่จีนนะมีการเติบโตของรถไฟฟ้าใหม่ค่อนข้างเยอะมากคือในปี 2016 กว่า 350,000 คันแม้คิดเป็นเพียง 1.44% จากยอดขายรถ 24.38M คัน
เทียบกับ ยุโรปราวๆ 1.3% และ USA 0.8%
และปีนี้สำหรับในจีนน่าจะมีรถไฟฟ้าจดทะเบียนอย่างน้อย 450,000 คันแน่ๆ และถ้ารวมๆกับประเทศอื่นๆก็น่าจะรวมถึง 1 ล้านคัน หมายความว่าในปี 2017 นี้มีรถใหม่ที่เป็นรถไฟฟ้าน่าจะถึง 1%
แต่รถไฟฟ้าขณะนี้คงเหมาะกับบางพื้นที่เช่น จีน ยุโรป และบางรัฐในอเมริกาเท่านั้น สำหรับ BEV เพราะสถานีชารต์และเวลาที่ใช้ชาร์ต เพราะมีแท่นชาร์ตที่รองรับการชาร์ต Mode 3 และ 4 ในจำนวนไม่มากนัก
มีงานวิจัยที่คาดการณ์ว่าในจีน ณ สิ้นปีนี้น่าจะมีสถานีชาร์ตเกิน 500,000 สถานีและมีแท่นขาร์ตถึง 2 ล้านแท่น โดย 1 ใน 4 จะเป็นแท่นชาร์ต Mode 3 ขึ้นไปด้วย
แต่ผมคาดว่าปี 2020 ถ้าไม่มีอะไรสะดุด อาจเห็นยอดขายรถไฟฟ้าน่าถึง 3-4% ของยอดขายรถทั้งหมดแล้ว โดยมีประชากรมากมายในจีน และยุโรป เพราะว่ามีแท่นชาร์ตอยู่แพร่หลาย
แต่สำหรับเมืองไทย คงจะไม่ได้มีรถไฟฟ้าอะไรมากมายเพราะสิ้นปี 2018 เราน่าจะมีสถานีชาร์ตอย่างมากแค่ 2,000 แห่งเท่านั้นซึ่งน่าจะรองรับรถได้ไม่เกิน 10,000 คัน แต่ผมก็ว่าสิ้นปี 2018 ก็คงยังไม่มีมาตรการสนับสนุนคนซื้อรถไฟฟ้าอะไรพิเศษเพิ่มเติม เ่ช่นทำให้ รถอย่าง nissan leaf สามารถขายได้ในราคาไม่เกิน 1.2 ล้านนั้นคงจะยากอยู่ และรถไฟฟ้าที่วิ่งคงเป็นพวก phev มากกว่าพวก bev ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่า phev หรือ hev (ยกเว้น Range extender) ไม่ใช่รถที่น่าใช้ในแง่ของค่าใช้จ่ายในการใช้งาน เพราะมีถึง 2 ระบบซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการ maintenance สูงซึ่งไม่เหมาะสำหรับสังคมของบ้านเราที่คนส่วนใหญ่ที่ใช้รถ ที่จะซื้อรถแต่ละคันต้องทำงานเกินปีหรือหลายปีทั้งนั้นเพื่อจะได้เงินมาซื้อรถ 1 คัน
ขอบคุณ กับข้อมูลดีๆ ครับ มีหลักฐาน ข้อมูล ตัวเลข มาประกอบ การวิเคราะห์
-
เป็น global trend จริงๆ รถไฟฟ้า แต่บ้านเราอย่าเพิ่งรีบเลยครับ ให้หลายๆอย่างลงตัว พร้อมที่จะรองรับก่อนดีกว่า
-
หันมาดูระเทศไทย......
เบ้ ปากมองบน
;)