Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: kritsada ที่ พฤศจิกายน 09, 2017, 21:46:54
-
จากหัวข้อ ถ้า Camry ใส่เครื่อง 1GD หรือ 2GD Honda ใส่เครื่อง 1.6 D-TECH ใน Accord จะมีคนสนใจหรือมีความนิยมไหมครับ เพราะ E-class หรือ BMW 5 ส่วนมากจะนิยมเครื่องดีเซลกัน
-
Camry ใส่เครื่อง GD นี่คนคงสาปละครับ 55555 ถ้าจะทำคงต้องบล็อกคนละอันกับกระบะไปเลย
ส่วนตัวคิดว่าขายได้ ไม่ได้แย่(Mazda2, CR-V G5 ก็ถือว่ารอดนะ) แต่กำไร/คันคงไม่ได้สวยหรูมากนัก ต้นทุนก็สูงอีก
-
ใส่เครื่องเดียวกันได้นะผมว่า
แต่ต้องจูนแรงม้าและแรงบิดให้มากขึ้นตามน้ำหนักรถที่มากขึ้น ไม่งั้นอืดเป็นเรือเกลือ
-
เกรงว่าจะขายไม่ได้ตรงราคานี่แหละครับ ถ้าเอามาทำราคาเท่าตัว hybrid คงจะพอมีคนซื้อบ้าง แต่ถ้าเกินนั้นไปอีกคนคงอยากไปเล่นยุโรปกันมากกว่า
-
ตอนนี้ กระแสความนิยมรถ D-Segment มันไปทาง Hybrid นะ
แล้ว...รถ Hybrid Diesel ใน D-Segment มีมั้ย ? (1)
หรือจะเลิก Hybrid ไปเลย แล้วให้เลือกระหว่าง เบนซินเครื่องเล็ก ราคาต่ำกว่า vs ดีเซลราคาสูง (2)
แต่...ดูจากปัจจุบันในไทย Accord Diesel มีโอกาสมากกว่า Camry Diesel
เพราะเครื่อง Diesel Toyota ในไทย มีแต่เครื่องในสายรถ Commercial ไม่ใช่สายรถเก๋ง
-
ดีเซลน่าเบื่อตรง EGR เถึยงกันไม่จบ
พัฒนาระบบไฟฟ้าแจ่มสุดๆๆครับ
-
มีความเป็นไปได้ว่า accord จะใส่ 1.6 idtec ที่อยู่ใน CRV ส่วน camry นี่นึกไม่ออกเลยครับ แต่ถ้าถามว่าซื้อไหม คงไม่ครับ อยากให้เอา 1.5T มาลงมากกว่า จากคนที่ใช้ E220d นะครับ เพราะเหตุผลคือ 1.6 idtec น่าจะขับไม่สนุกเท่าไหร่ เน้นประหยัดซะมากกว่า
-
ทำมาก็คงขายได้ อย่างน้อยในระดับหนึ่งครับ แต่จะขายดีมั๊ย อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันครับ
แล้วที่เห็นว่า Benz กับ BMW ขายดีเซลเยอะกว่า ก็คงหมายถึงในเมืองไทย ซึ่งก็คงเพราะมันไม่มีให้เลือกมากเท่าไหร่ครับ
ตอนนี้เบนซินก็ดันไม่มีแบบเพียวๆอีก กลายสภาพเป็นเบนซิน+ไฮบริด คนส่วนมากก็เลยหนีกัน ที่เหลือเครื่องเพียวๆก็จะเป็นดีเซลหมด
ไม่มีทางเลือกมากนักนะครับ อยากได้รถพรีเมี่ยมเครื่องสันดาปล้วนๆในเมืองไทยก็ต้องโดนบังคับให้ซื้อดีเซลครับ
ในยุโรป ถ้าผมจำไม่ผิด ยอดขายไม่ได้หนีกันมากนะครับ ระหว่างรถซีดานที่เป็นดีเซลกับเบนซิน
แต่อเมริกานี่ ถ้ารถแนวซีดาน เบนซินจะขายดีกว่าครับ....
ในกระทู้ต่างประเทศก็พูดถึงประเด็นนี้กันบ่อย เพราะเค้าลองคิดกันจริงๆแล้วระยะยาว ดีเซลประหยัดน้ำมันกว่าจริงๆแน่นอนครับ แต่...
สุดท้ายเมื่อคำนวนจาก ราคารถที่แพงกว่า+ค่าซ่อมในอนาคตที่แพงกว่าของดีเซล ไม่ได้ได้เปรียบเรื่องความประหยัดไปจากเบนซินมากนักครับ
อย่างตัวรถที่แพงกว่าพอควรในรุ่นเดียวกัน (เมืองไทยนี่เห็นมีแพงกว่าเกิน 150,000 เลย) จะเอาค่าประหยัดน้ำมันที่ประหยัดกว่าของดีเซล
ให้คุ้มกับส่วนที่จ่ายค่ารถแพงกว่าไปจากของเบนซินนี่ คือเราต้องตะบี้ตะบันใช้รถอย่างเยอะ บางคนใช้รถปีละ 10,000โลนี่คงหลายๆปีเลยอะครับ
กว่าจะคุ้ม....
แล้วก็ดีเซลไม่มีคอยล์กับหัวเทียนให้ต้องดูแลเหมือนเบนซินก็จริง แต่ระบบคอมมอลเรลหรือเกี่ยวกับระบบน้ำมันของดีเซล
ถ้าเสียขึ้นมาทีนี่ แพงกว่า คอยล์+หัวเทียน ของเบนซินครับ o_O แล้วคอยล์+หัวเทียนของเบนซินมันก็ไม่ได้เสื่อมกันง่ายๆนะครับ เกิน 80,000โล
อย่างคอยล์นี่ก็เห็นได้เกิน 100,000โลแทบทุกคัน จริงๆอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ครับ เบนซินก็ไม่ได้จุกจิกกว่าดีเซลจนน่ารำคาญอะไรขนาดนั้นครับ
เครื่องทั้งสองแบบ อายุการใช้งานเกิน 200,000โล โดยที่ไม่ต้องโอเวอร์ฮอล์สบายครับ ซึ่งก็เพียงพอกับการใช้งานของคนส่วนมาก
(หลายๆคนได้แสนโลก็เบื่อรถแล้ว) แล้วเครื่องดีเซลสมัยใหม่ ที่มันไม่มีเหมือนเบนซิน หลักๆเลยก็แค่หัวเทียนกับคอยล์ นอกนั้น
เซ็นเซอร์อะไรต่างๆก็มีเหมือนกันหมดแล้ว ก็เสียได้พอๆกัน ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ใช้ปั๊มจานจ่ายแบบ VE (ปั๊มกลไก) แบบใน Big M
Mighty X , Strada มังกรทอง ฯลฯ พวกนั้นทำงานด้วยกลไกล้วนๆ ไม่มี ECU กับเซ็นเซอร์มาเกี่ยวข้องเลย
พวกนั้นนะ ถึก ทน ถึก จริงครับ แล้วรถเก๋งสมัยนั้นอย่าง Cefiro , Corona , Corolla , Sunny ฯลฯ มันก็เป็นหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์
ควบคุมด้วย ECU พร้อมเซ็นเซอร์ต่างๆไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าเป็นสมัยนั้น ผมจะบอกว่าดีเซลมันจุกจิกน้อยกว่าและถึกทนกว่าเบนซินจริงๆครับ
เพราะเบนซินเป็น ECU ควบคุม (ต้องใช้+ต้องมีเซ็นเซอร์) ส่วนดีเซลเป็นแค่ปั๊มกลไลล้วนๆ...
ส่วนถ้าเป็นสมัยนี้ ผมคงบอกว่าเลือกเอาตามชอบเลยครับ เบนซินกะดีเซลคะละอารมณ์กัน
โดยไม่ต้องห่วงเรื่องอื่นละครับ คงไม่หนีกันมากเหมือนสมัยก่อนละครับ
-
ทำมาก็คงขายได้ อย่างน้อยในระดับหนึ่งครับ แต่จะขายดีมั๊ย อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันครับ
แล้วที่เห็นว่า Benz กับ BMW ขายดีเซลเยอะกว่า ก็คงหมายถึงในเมืองไทย ซึ่งก็คงเพราะมันไม่มีให้เลือกมากเท่าไหร่ครับ
ตอนนี้เบนซินก็ดันไม่มีแบบเพียวๆอีก กลายสภาพเป็นเบนซิน+ไฮบริด คนส่วนมากก็เลยหนีกัน ที่เหลือเครื่องเพียวๆก็จะเป็นดีเซลหมด
ไม่มีทางเลือกมากนักนะครับ อยากได้รถพรีเมี่ยมเครื่องสันดาปล้วนๆในเมืองไทยก็ต้องโดนบังคับให้ซื้อดีเซลครับ
ในยุโรป ถ้าผมจำไม่ผิด ยอดขายไม่ได้หนีกันมากนะครับ ระหว่างรถซีดานที่เป็นดีเซลกับเบนซิน
แต่อเมริกานี่ ถ้ารถแนวซีดาน เบนซินจะขายดีกว่าครับ....
ในกระทู้ต่างประเทศก็พูดถึงประเด็นนี้กันบ่อย เพราะเค้าลองคิดกันจริงๆแล้วระยะยาว ดีเซลประหยัดน้ำมันกว่าจริงๆแน่นอนครับ แต่...
สุดท้ายเมื่อคำนวนจาก ราคารถที่แพงกว่า+ค่าซ่อมในอนาคตที่แพงกว่าของดีเซล ไม่ได้ได้เปรียบเรื่องความประหยัดไปจากเบนซินมากนักครับ
อย่างตัวรถที่แพงกว่าพอควรในรุ่นเดียวกัน (เมืองไทยนี่เห็นมีแพงกว่าเกิน 150,000 เลย) จะเอาค่าประหยัดน้ำมันที่ประหยัดกว่าของดีเซล
ให้คุ้มกับส่วนที่จ่ายค่ารถแพงกว่าไปจากของเบนซินนี่ คือเราต้องตะบี้ตะบันใช้รถอย่างเยอะ บางคนใช้รถปีละ 10,000โลนี่คงหลายๆปีเลยอะครับ
กว่าจะคุ้ม....
แล้วก็ดีเซลไม่มีคอยล์กับหัวเทียนให้ต้องดูแลเหมือนเบนซินก็จริง แต่ระบบคอมมอลเรลหรือเกี่ยวกับระบบน้ำมันของดีเซล
ถ้าเสียขึ้นมาทีนี่ แพงกว่า คอยล์+หัวเทียน ของเบนซินครับ o_O แล้วคอยล์+หัวเทียนของเบนซินมันก็ไม่ได้เสื่อมกันง่ายๆนะครับ เกิน 80,000โล
อย่างคอยล์นี่ก็เห็นได้เกิน 100,000โลแทบทุกคัน จริงๆอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ครับ เบนซินก็ไม่ได้จุกจิกกว่าดีเซลจนน่ารำคาญอะไรขนาดนั้นครับ
เครื่องทั้งสองแบบ อายุการใช้งานเกิน 200,000โล โดยที่ไม่ต้องโอเวอร์ฮอล์สบายครับ ซึ่งก็เพียงพอกับการใช้งานของคนส่วนมาก
(หลายๆคนได้แสนโลก็เบื่อรถแล้ว) แล้วเครื่องดีเซลสมัยใหม่ ที่มันไม่มีเหมือนเบนซิน หลักๆเลยก็แค่หัวเทียนกับคอยล์ นอกนั้น
เซ็นเซอร์อะไรต่างๆก็มีเหมือนกันหมดแล้ว ก็เสียได้พอๆกัน ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ใช้ปั๊มจานจ่ายแบบ VE (ปั๊มกลไก) แบบใน Big M
Mighty X , Strada มังกรทอง ฯลฯ พวกนั้นทำงานด้วยกลไกล้วนๆ ไม่มี ECU กับเซ็นเซอร์มาเกี่ยวข้องเลย
พวกนั้นนะ ถึก ทน ถึก จริงครับ แล้วรถเก๋งสมัยนั้นอย่าง Cefiro , Corona , Corolla , Sunny ฯลฯ มันก็เป็นหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์
ควบคุมด้วย ECU พร้อมเซ็นเซอร์ต่างๆไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าเป็นสมัยนั้น ผมจะบอกว่าดีเซลมันจุกจิกน้อยกว่าและถึกทนกว่าเบนซินจริงๆครับ
เพราะเบนซินเป็น ECU ควบคุม (ต้องใช้+ต้องมีเซ็นเซอร์) ส่วนดีเซลเป็นแค่ปั๊มกลไลล้วนๆ...
ส่วนถ้าเป็นสมัยนี้ ผมคงบอกว่าเลือกเอาตามชอบเลยครับ เบนซินกะดีเซลคะละอารมณ์กัน
โดยไม่ต้องห่วงเรื่องอื่นละครับ คงไม่หนีกันมากเหมือนสมัยก่อนละครับ
วิเคราะห์ได้ละเอียดมากครับ ชื่นชมเลย
ส่วนตัวเคยใช้ดีเซลยุโรปมา 2 คันถ้าเจอเทอร์โบ หัวฉีด ปั๊มแรงดัน
เอาแค่อันใดอันหนึ่งเสียก็หน้ามืดแล้วครับ
ต่อให้ดีเซลญี่ปุ่นเถอะครับ
ลองไปเช็คราคาของสามอย่างนี้ผมว่าก็เอาเรื่องอยู่ครับ
-
น้ำมันดีเซลแพงกว่าเบนซิน ตัวรถก็แพงกว่า
ผมหาเหตุผลที่จะต้องซื้อดีเซลไม่ออกเลยครับ
ผมจะเล่นก็เฉพาะ PPV กับกระบะ 4 ประตู เท่านั้นจริงๆ
-
ทำมาก็คงขายได้ อย่างน้อยในระดับหนึ่งครับ แต่จะขายดีมั๊ย อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันครับ
แล้วที่เห็นว่า Benz กับ BMW ขายดีเซลเยอะกว่า ก็คงหมายถึงในเมืองไทย ซึ่งก็คงเพราะมันไม่มีให้เลือกมากเท่าไหร่ครับ
ตอนนี้เบนซินก็ดันไม่มีแบบเพียวๆอีก กลายสภาพเป็นเบนซิน+ไฮบริด คนส่วนมากก็เลยหนีกัน ที่เหลือเครื่องเพียวๆก็จะเป็นดีเซลหมด
ไม่มีทางเลือกมากนักนะครับ อยากได้รถพรีเมี่ยมเครื่องสันดาปล้วนๆในเมืองไทยก็ต้องโดนบังคับให้ซื้อดีเซลครับ
ในยุโรป ถ้าผมจำไม่ผิด ยอดขายไม่ได้หนีกันมากนะครับ ระหว่างรถซีดานที่เป็นดีเซลกับเบนซิน
แต่อเมริกานี่ ถ้ารถแนวซีดาน เบนซินจะขายดีกว่าครับ....
ในกระทู้ต่างประเทศก็พูดถึงประเด็นนี้กันบ่อย เพราะเค้าลองคิดกันจริงๆแล้วระยะยาว ดีเซลประหยัดน้ำมันกว่าจริงๆแน่นอนครับ แต่...
สุดท้ายเมื่อคำนวนจาก ราคารถที่แพงกว่า+ค่าซ่อมในอนาคตที่แพงกว่าของดีเซล ไม่ได้ได้เปรียบเรื่องความประหยัดไปจากเบนซินมากนักครับ
อย่างตัวรถที่แพงกว่าพอควรในรุ่นเดียวกัน (เมืองไทยนี่เห็นมีแพงกว่าเกิน 150,000 เลย) จะเอาค่าประหยัดน้ำมันที่ประหยัดกว่าของดีเซล
ให้คุ้มกับส่วนที่จ่ายค่ารถแพงกว่าไปจากของเบนซินนี่ คือเราต้องตะบี้ตะบันใช้รถอย่างเยอะ บางคนใช้รถปีละ 10,000โลนี่คงหลายๆปีเลยอะครับ
กว่าจะคุ้ม....
แล้วก็ดีเซลไม่มีคอยล์กับหัวเทียนให้ต้องดูแลเหมือนเบนซินก็จริง แต่ระบบคอมมอลเรลหรือเกี่ยวกับระบบน้ำมันของดีเซล
ถ้าเสียขึ้นมาทีนี่ แพงกว่า คอยล์+หัวเทียน ของเบนซินครับ o_O แล้วคอยล์+หัวเทียนของเบนซินมันก็ไม่ได้เสื่อมกันง่ายๆนะครับ เกิน 80,000โล
อย่างคอยล์นี่ก็เห็นได้เกิน 100,000โลแทบทุกคัน จริงๆอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ครับ เบนซินก็ไม่ได้จุกจิกกว่าดีเซลจนน่ารำคาญอะไรขนาดนั้นครับ
เครื่องทั้งสองแบบ อายุการใช้งานเกิน 200,000โล โดยที่ไม่ต้องโอเวอร์ฮอล์สบายครับ ซึ่งก็เพียงพอกับการใช้งานของคนส่วนมาก
(หลายๆคนได้แสนโลก็เบื่อรถแล้ว) แล้วเครื่องดีเซลสมัยใหม่ ที่มันไม่มีเหมือนเบนซิน หลักๆเลยก็แค่หัวเทียนกับคอยล์ นอกนั้น
เซ็นเซอร์อะไรต่างๆก็มีเหมือนกันหมดแล้ว ก็เสียได้พอๆกัน ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ใช้ปั๊มจานจ่ายแบบ VE (ปั๊มกลไก) แบบใน Big M
Mighty X , Strada มังกรทอง ฯลฯ พวกนั้นทำงานด้วยกลไกล้วนๆ ไม่มี ECU กับเซ็นเซอร์มาเกี่ยวข้องเลย
พวกนั้นนะ ถึก ทน ถึก จริงครับ แล้วรถเก๋งสมัยนั้นอย่าง Cefiro , Corona , Corolla , Sunny ฯลฯ มันก็เป็นหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์
ควบคุมด้วย ECU พร้อมเซ็นเซอร์ต่างๆไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าเป็นสมัยนั้น ผมจะบอกว่าดีเซลมันจุกจิกน้อยกว่าและถึกทนกว่าเบนซินจริงๆครับ
เพราะเบนซินเป็น ECU ควบคุม (ต้องใช้+ต้องมีเซ็นเซอร์) ส่วนดีเซลเป็นแค่ปั๊มกลไลล้วนๆ...
ส่วนถ้าเป็นสมัยนี้ ผมคงบอกว่าเลือกเอาตามชอบเลยครับ เบนซินกะดีเซลคะละอารมณ์กัน
โดยไม่ต้องห่วงเรื่องอื่นละครับ คงไม่หนีกันมากเหมือนสมัยก่อนละครับ
วิเคราะห์ได้ละเอียดมากครับ ชื่นชมเลย
ส่วนตัวเคยใช้ดีเซลยุโรปมา 2 คันถ้าเจอเทอร์โบ หัวฉีด ปั๊มแรงดัน
เอาแค่อันใดอันหนึ่งเสียก็หน้ามืดแล้วครับ
ต่อให้ดีเซลญี่ปุ่นเถอะครับ
ลองไปเช็คราคาของสามอย่างนี้ผมว่าก็เอาเรื่องอยู่ครับ
ขอบคุณครับ นึกว่าจะมีคนด่าเพราะพิมพ์ยาวซ่ะอีก 555 ตอนแรกก็นึกว่าไม่ยาวครับ แต่พอกดโพสเท่านั้นแหละ เลยรู้เลยว่ายาว 55555+
เรื่องนี่้เป็นประเด็นกันในต่างประเทศประจำครับ Diesel vs Gassoline เนี่ย (บ้านเค้ามีเครื่องให้เลือกเยอะนิ) ผมก็ชอบไปหาอ่านครับ
ถ้ามองกันแบบการใกล้เหมือนคนส่วนมาก ดีเซลก็เหมือนจะดีเพราะประหยัดกว่า (ระยะทางต่อลิตร)
แต่ถ้ามองการไกล คิดละเอียดๆกันจริงๆก็แทบไม่ต่างกันเท่าไหร่ครับ อย่างที่ท่านว่า ดีเซลนานวันเข้าชอบเจอปัญหาเกี่ยวกับ
ระบบน้ำมัน ปั๊มคอมมอลเรล หัวฉีด พวกนี้เสียขึ้นมาทีนี่ แพงกว่า คอยล์+หัวเทียน ของเบนซิน
อย่างที่ต่างประเทศ เสียทีก็แทบร้องเลย แทบจะขายรถทิ้ง (บ้านเค้าค่าแรงแพงมากก้ซ่อมแพง แต่รถถูก - บ้านเราค่าแรงถูก แต่รถแพงอะไหล่แพง)
-
ผมคิดว่าขายไม่ออก เพราะราคาคงสูงจนไปใกล้กับราคาตัวเริ่มต้นของรถยุโรป
-
Innova ตัวที่แล้ว ใช้เครื่องเบนซิล 2.0/2.5 ของ Camry (รู้สึกว่าจะมีเครื่องดีเซล) แต่ตัวปัจจุบัน ใช้เครื่อง 2.8 เครื่องเดียวกับ REVO/FORTUNER (คนละจูน) ก็อย่างที่เห็นครับ
ปฎิเสธ ไม่ได้ครับหรอกครับ ว่ามันก็ต้องเป็นไป ส่วน Camry จะใช้ 2.4/2/8 ดีเซลไหม ผมว่าคงไม่ อาจจะพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ ขนาดความจุ 1600-2000 ดีเซล กำลังพอดี
-
น้ำมันดีเซลแพงกว่าเบนซิน ตัวรถก็แพงกว่า
ผมหาเหตุผลที่จะต้องซื้อดีเซลไม่ออกเลยครับ
ผมจะเล่นก็เฉพาะ PPV กับกระบะ 4 ประตู เท่านั้นจริงๆ
ไม่มีหัวเทียน,ไม่มีคอยจุดระเบิด โดยรวมแล้วถ้าใช้แบบเดิมๆจากโรงงานใช้เป็น10ปี ไม่มีอะไรเสียเลยครับ แถมระยะทางต่อกิโลเมตรก็ได้มากกว่า
-
น้ำมันดีเซลแพงกว่าเบนซิน ตัวรถก็แพงกว่า
ผมหาเหตุผลที่จะต้องซื้อดีเซลไม่ออกเลยครับ
ผมจะเล่นก็เฉพาะ PPV กับกระบะ 4 ประตู เท่านั้นจริงๆ
แรงบิดช่วงต้นดี ใช้ซีซีน้อยอัดเทอร์โบได้แรงฉุดลากรถน้ำหนักมากสบายๆ
ถ้าไม่ได้เร่งเอาความเร็วสูงสุดตลอด Cruising ยังไงดีเซลก็ได้กำลังมากกว่าที่น้ำมันเท่ากัน
ถ้าคุมเรื่องการสั่นรอบเดินเบาและเสียงได้ น่าใช้จะตาย
-
น้ำมันดีเซลแพงกว่าเบนซิน ตัวรถก็แพงกว่า
ผมหาเหตุผลที่จะต้องซื้อดีเซลไม่ออกเลยครับ
ผมจะเล่นก็เฉพาะ PPV กับกระบะ 4 ประตู เท่านั้นจริงๆ
แรงบิดช่วงต้นดี ใช้ซีซีน้อยอัดเทอร์โบได้แรงฉุดลากรถน้ำหนักมากสบายๆ
ถ้าไม่ได้เร่งเอาความเร็วสูงสุดตลอด Cruising ยังไงดีเซลก็ได้กำลังมากกว่าที่น้ำมันเท่ากัน
ถ้าคุมเรื่องการสั่นรอบเดินเบาและเสียงได้ น่าใช้จะตาย
มันประหยัดกว่าประมาณเท่าไหร่คับ
-
เอิ่ม ผมว่าจะขายดีใน 2 กรณี
1 คือ line ทั้งหมดเป้น Diesel
2. Line ตัวถูกสุดต้องเป็น Diesel (วางแบบ BMW อ่ะครับลง Diesel เป็นพื่นฐานแล้วลง เบ็นซินไว้ตัว บน)
ส่วน Hybrid นี่อาจตั้ง ต่ำกว่านั้น แทรกๆ ไปตาม option
ผมว่ามองกระแส Hybrid ตอนนี้ก็ไม่น่าจะลงทุนกับ Diesel ต่อสำหรับรถเก๋งครับ
ส่วนตัวแล้ว Diesel ดีครับสำหรับลูกค้า แต่ข้อเสียก็มีครับ
-
ผมว่ารถจะขายดีไม่ดีมีหลายปัจจัยนะครับ ถ้าเป็นเครื่องของ CX-5 หรือ Kia Grand Carnival มาใส่ก็ราคาต้องมาแทนรุ่น 2.5 คืออยู่ช่วง 1.6 ล้าน ผมว่ามันก็ไปได้ของมันแหละเผลอๆ อาจจะทำได้ดีด้วยเพราะทำอัตราเร่งและอัตราสิ้นเปลืองได้ค่อนข้างดี
-
เครื่อง GD มันเครื่องวางยาวขับหลัง ใช้กับรถคานแข็ง เอามาใส่ Camry ได้ไงตลก 55555 ............................. Camry มันวางขวางขับหน้า จขกท. คงนึกว่าในโลกนี้ รูปแบบรถมันอันเดียวกันหมด หรือไงครับ
-
ถ้าต้องเปิดเครื่่อง overhual ชุดใหญ่ ผมก็ว่าดีเซลแพงกว่าเบนซินในขนาดความจุเครื่องเท่าๆกันนะครับ ;D
-
มันประหยัดกว่าประมาณเท่าไหร่คับ
ถ้าคิดเสียว่ากระบะตอนเดียวน้ำหนักเท่าไหร่ เหล็กเป็นแพ อีโคคาร์หนักไม่ถึงตัน C-Seg 1.1-1.3 ตัน
แต่เปลืองน้ำมันเท่ากันแถมเครื่องใหญ่กว่า แล้วถ้าเป็นดีเซลที่กำลังต่ำลงเล็กน้อย เครื่องเล็กลงหน่อย
ก็พอจะลากพวกรถไซส์ C-D Seg ได้สบายๆ อย่าง Skoda ก็เอา 1.6 ดีเซลเทอร์โบ ไปใส่ Octavia
https://www.autocar.co.uk/car-review/skoda/octavia/first-drives/2017-skoda-octavia-16-tdi-se-l
รถหนัก 1.2 ตัน 0-100 10 วิต้นๆ ปล่อย CO2 109 กรัม/กิโลเมตร และอัตราสิ้นเปลืองแบบผสม ประมาณ 23 กม./ลิตร
แรงระดับเบนซิน 1.8 กินระดับอีโคคาร์เฟสสอง หรือเอาง่ายๆ ก็แรง-ประหยัดไม่ต่างอะไรกับพวกไฮบริด คงจะดูน่าสนใจขึ้นกระมังครับ?
-
D-seg ญี่ปุ่นกับเครื่องดีเซลท่าจะยากครับ เพราะตลาดหลักอิงอเมริกา แล้วอีกอย่างรถแบบ d-seg ผมยังไม่เห็นว่ามันน่าจะไปคบกับดีเซลตรงไหน
อาจจะเพราะความชอบของผมเองด้วยที่ชอบลากรอบเล่นพอสมควร ทีนี้พอมาดีเซล มันพุ่งช่วงต้นก็ตริง แต่พอเลย 3 พันรอบไปก็เหี่ยวแล้วเอาจริงๆมาใช้ดีเซลได้สักพักใหญ่ๆ ทุกวันนี้คิดถึงเบนซินพอสมควร นี่ยังไม่นับถึงพวก DPF และพวก adblue urea after treatment ทั้งหลายที่มีต้นทุนอันแสนแพง และดีเซลสมัยใหม่ๆยังไงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ๆ แต่กระนั้นมันก็ยังไมได้ไปต่อในหลายๆประเทศ
honda เองก็กลับลำชัดเจน โดย 1.6 i-dtec ใน crv ตัวล่าสุดนี้จะไม่ไปเปิดตัวที่ยุโรปแล้ว
https://asia.nikkei.com/Business/Companies/Honda-to-retrench-in-European-diesel-market
ก็แปลกใจพอสมควรว่าเทรนด์มันเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้
คิดว่ายังไงดีเซลก็จะค่อยๆลดลงจนหายไปในที่สุดครับ
-
อีกข้อนึงคือ รถขับหน้าเครื่องมันวางขวาง น้ำหนักเครื่อง+เกียร์+เฟืองท้าย+เพลาขับ มันไปกระจุกอยู่ข้างหน้า แล้วเป็นในแนวขวางอีก
การกระจายน้ำหนักมันก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว แล้วทีนี้เครื่องดีเซลมันจะหนักกว่าเบนซินพอสวมควร ทีนี้บาล๊านซ์รถมันก็จะยิ่งแย่ลงไปอีกนะครับ
-
สมัยก่อนใช้ Mitsu Space Wagon
ตอนนี้ใช้ Honda Odyssey เป็นรถสำหรับครอบครัวเล็กๆของผม
ซึ่ง 2 คันที่ว่ามานี่ก็จัดอยู่ใน Base ของ D-seg
ด้วยเครื่องขนาด 2.4 ลิตรเท่ากัน
ย้อนไปในอดีตตอนที่ที่บ้าน มี grand via ทั้งดีเซลและเบนซิน และปัจจุบันพ่อผมใช้ H1 รวมกับที่เคยไปทดลองขับ Kia Grand Carnival
สรุปแล้ว ถ้า D-seg เป็น ดีเซล ผมว่าขายได้แน่นอนครับ
ทั้งแรงดึง ทั้งการเดินทางไกล และความประหยัด จัดอยู่ในขั้นดีเลย
ผมลืมไปว่า จริงๆ เจ้า crv ใหม่นี้ ก็เทียบเคียงระดับ d-seg อยู่แบบไม่ใกล้ไม่ไกล
ผลตอบรับอย่างไรน่าจะตอบโจทย์ได้มั๊งครับ
-
เครื่อง GD มันเครื่องวางยาวขับหลัง ใช้กับรถคานแข็ง เอามาใส่ Camry ได้ไงตลก 55555 ............................. Camry มันวางขวางขับหน้า จขกท. คงนึกว่าในโลกนี้ รูปแบบรถมันอันเดียวกันหมด หรือไงครับ
ในอดีต toyota มี 3SGE 4AGE ที่ทำมาวางทั้งรถขับหน้า ขับหลัง
มาสด้าก็เอาเครื่อง 2.0 skyactive ที่วางในรถขับหน้ามาชนเกียร์ขับหลังใส่ใน MX-5
QR25DE ของนิสสัน ก็มีวางทั้งเอ็กเทรล teana และนาวาร่า เบนซิล SR20DE ยิ่งเยอะ ก็มีวางทั้งรถขับหน้าขับหลัง รถสปอร์ต รถตู้ นิสสันจับยัดได้หมด
มิตซูฯ ไทรตันเบนซิล นัานก็เครื่องรถเก๋ง
หรือถ้าจะเอาตัวอย่างเครื่องดีเซล ก็เครื่องของ KIA Canival ใหม่ ที่จับดีเซลมาวางขวางขับหน้าซะ และผมมั่นใจว่าเครื่องบล็อคนี้ต้องถูกวางในรถขับหลังบางรุ่นแน่นอน
จะขับหน้าขับหลัง ถ้าเป็นเครื่อง 4 สูบ วางได้หมดหละครับถ้าคิดจะทำ อยู่ที่ว่าจะเอามาชนกับเกียร์แบบไหน
-
ผมคนนึงใช้ d seg มาหลายคันมาก บอกได้เลยว่า ถ้า Accord หรือ camry มีดีเซลยังไงก้ไม่ซื้อครับ ถ้าhonda 1.5 T cvt เทียบกับ 1.6 Idtec 9speed ยังไงผมเอา 1.5T ดีกว่า แล้วถ้ายิ่งเทียบดีเซลกับไฮบริด ผมไปไฮบริดแน่นอน ผมใช้รถไม่เกิน 5-6 ปีนะครับ ถ้าคนใช้เกินอันนี้ไฮบริดอาจจะไม่เวิค
-
บ้านเราอาจจะขายยากอยู่นะครับ ยิ่งกระแส d-seg ตกลงแบบนี้ บ.รถ ไม่เอาเข้ามาหรอกครับ
-
ทำไมผมอยากจะได้นะ คิดต่างกับคนอื่นหรอ
ชอบรถแรงบิดเยอะๆ แซงหนุกๆ
-
เครื่อง GD มันเครื่องวางยาวขับหลัง ใช้กับรถคานแข็ง เอามาใส่ Camry ได้ไงตลก 55555 ............................. Camry มันวางขวางขับหน้า จขกท. คงนึกว่าในโลกนี้ รูปแบบรถมันอันเดียวกันหมด หรือไงครับ
เคยได้ยินชื่อ Nissan SR20 ไหมครับ เครื่องตัวเดียวกัน มีทั้งวางตามยาวขับหลัง และวางขวางขับหน้า
ก่อนจะว่าคนอื่นเขา ลองเปิดตา เปิดใจ นิดนึงครับ เครื่องยนต์ 1 block หรือ 1 ตัว ทีมพัฒนา หรือ วิศวกร ผู้ผลิต เขาสามารถจะเอาไปใส่รถอะไรก็ได้ครับ(ถ้าเขาจะทำ)
มันไม่มีข้อห้าม หรือ สูตรตายตัวหรอก ว่า GD หรือ เครื่องยนต์รูปแบบวางยาว ขับหลัง คานแข็ง แหนบ เอามาใส่ รถขับเคลื่อนล้อหน้าไม่ได้ แค่เขาไม่ทำ ไม่คุ้ม ไม่เหมาะกับการใช้งาน หรือบลาๆๆๆ
ดู Audi ดิครับ เครื่องวางตามยาว แต่ขับเคลื่อนล้อหน้า ผิดหลัก หรือ แปลกตรงไหน
-
ผมว่ามันขึ้นกับราคาและออฟชั่นด้วยครับ แพงกว่าเดิมเยอะแค่ไหนนี่คือประเด็นหลักเลย
-
VQ35DE ก็มีวางขวาง ขับหน้า/ขับเคลื่อน 4 ล้อ นะจ๊ะ ;D