Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: NarongritL ที่ มกราคม 17, 2018, 16:14:04
-
คำถามไร้เดียงสาหน่อยนะครับ
ตย.
CLS53 พื้นฐานของเครื่องยนต์เอามาจาก CLS450 รุ่นปกติ รวมถึงมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน 21 แรงม้าก็เป็นชุดเดียวกัน เเต่จูนเครื่องให้เเรงขึ้น
Camry Hybrid พื้นฐานของเครื่องยนต์เอามาจาก รุ่นปกติตัว 2.5 เเต่จูนเครื่องให้เเรงลดลง
อาจจะงงๆนะครับ
เเต่ทำไมอย่างกรณี Camry ต้องจูนเครื่องให้เเรงน้อยลงด้วยครับ ไหนๆเครื่องก็ไปได้เเล้ว ยิ่งเเรงยิ่งไม่ดีหรอ
เหมือนว่าทำไม เครื่องยนต์ไปได้อีกเเต่ต้องกั้กไว้
เหมือนพีซีที่จริงๆสามารถเอามา Overclock ได้ประสิทธิภาพเเรงไปอีก
-
ผมว่าเพื่อให้ผ่านกฏเกณฑ์ของเรื่องภาษี ที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศครับ
ทำนองเดียวกับ 86 BRZ ที่ขายในญี่ปุ่นและอเมริกา ได้เฟืองท้ายใหม่ ได้ลิ้นปีกผีเสื้อใหญ่ ท่อไอดีใหญ่ขึ้น ทำอะไรไปมากมาย ทำไมมันเพิ่มแค่ 5 แรงม้าวะ?
มานึกดู มันต้องจูนกั๊กไว้เพื่อให้ขายในราคาใกล้ของเดิม และปล่อยไอเสียใกล้ของเดิมครับ แต่ความจริงมีพลังแฝงอยู่อีก (แบบชาวไซย่าน่ะครับ)
เพราะฉะนั้น รถที่จูนกั๊กมาแต่ขายถูกลงเป็นข้อดีครับ ไม่ใช่ข้อเสีย
-
รู้แต่ camry เครื่องที่เอามาพ่วงกับ hybrid มันปรับเป็น atkinson ครับ ไม่ได้เหมือนเครื่องตัว 2.5 เป๊ะๆ
-
รู้แต่ camry เครื่องที่เอามาพ่วงกับ hybrid มันปรับเป็น atkinson ครับ ไม่ได้เหมือนเครื่องตัว 2.5 เป๊ะๆ
ช่าย 2.5 , 2.5 HV มันคนละเครื่องกันนะ --
-
ปริมาณ co2 กับการประหยัดน้ำมันครับ อย่างเครื่อง 2.0 เทอร์โบของ mercedes & bmw & Audi ตอนนี้มีหลายระดับความแรงมาก cc เท่ากันแต่แรงม้าน้อย แรงบิดน้อยก้กินน้ำมันน้อยและปล่อย co2 น้อยกว่า สำหรับคนที่ไม่ต้องการแรงอะไรมากมายครับแต่ใครอยากได้แรง ก้ซื้อตัวกินน้ำมันมากขึ้นปล่อยco2 มากขึ้น ราคาก้แพงขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ข้อดีของเรื่องนี้คือใครที่ซื้อรถรุ่นล่างมาเอาไปจูน ม้าขึ้นง่ายมากและตัวเครื่องรองรับได้สบายๆ
-
รถบางรุ่นก็เหมือนเป็นแค่การตลาดครับ ตัวที่ราคาสูงกว่า ออฟชั่นเยอะหรือสปอร์ตกว่าเครื่องยนต์ก็ต้องมีกำลังมากกว่า (ทั้งๆที่พื้นฐานเครื่องเหมือนกันแทบจะทุกอย่าง) และผู้ผลิตทำรถออกมาได้หลายโมเดลโดยไม่ต้องใช้เครื่องยนต์หลายๆตัว ประหยัดต้นทุนทางด้านวิศวกรรม แต่ก่อน BMW 320i กับ 330i เครื่องยนต์คนละตัวเลยแต่ในปัจจุบันสองรุ่นนี้ก็ยังคงทำตลาดอยู่แต่เครื่องตัวเดียวกันแค่ปรับแต่งนิดหน่อยให้รองรับกับกำลังที่สูงกว่า
-
น่าคิดเหมือนกันแฮะ โดยเฉพาะรถยุโรปหลายรุ่นเครื่องรหัสเดียวกันเป๊ะ แค่จูนกำลังแตกต่างกัน ค่า CO2 ก็แทบไม่ต่าง ตัวสเปคกำลังสูงชอบใส่อุปกรณ์ของเล่นตกแต่งมาให้ขายราคาแพงกว่าได้
-
Cost, stock , maintenance, communication , technical knowledge
-
ส่วนตัวแล้ว ผมว่าน่าจะเป็นเทคนิคในการขายมากกว่านะครับ
แล้วก็สามารถช่วยให้ลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้นในราคาที่ย่อมเยาลงด้วยครับ
อย่างลูกค้าบางคนต้องการซื้อรถรุ่นนึง แต่เผอิญไม่ใช่คนที่ขับรถเร็ว
เค้าก็สามารถซื้อรถรุ่นดังกล่าวได้ในราคาที่ย่อมเยาลงครับ
-
เคสCLS คือ...
ตัว53ตำแหน่งทางการตลาดสูงกว่าเลยจูนให้แรงกว่าและไส้ในอาจจะต่างกันด้วยแต่เรายังไม่รู้(เช่นเสื้อสูบ แหวนลูกสูบ เทอร์โบ อาจจะคนละตัว)
ทำให้เกิดความแตกต่างจากรุ่น450และลดต้นทุนของเครื่องยนต์ไปในตัว(เพราะไม่งั้นต้องใช้เครื่องคนละตัว เปลืองอีก)
เพราะรายละเอียดอื่นๆคงต่างกันแน่นอน เช่น ช่วงล่าง เบรก การตกแต่งภายใน ล้อ เบาะ วัสดุ และอื่นๆ(ผมยังไม่ได้หาข้อมูลของรุ่นนี้นะ แต่รหัสสองตัวกับสามตัวของเบ้นก็เดาได้ไม่ยาก)
เคสCamry คือ...
หลักๆอยู่ที่ค่ายของแต่ละค่ายมากกว่าว่าจะทำแบบไหน ของโตโยต้าเป็นการนำเอาเครื่องแบบAtkinsonมาใช้ ซึ่งเครื่องโดนตอนแรงม้าให้น้อยกว่าเครื่องตัวที่ขายปกติ
ของฮอนด้าเองก็ทำในแอคคอร์ดเป็นAtkinsonเหมือนกัน แต่...นิสสันเอ็กเทลไฮบริดและพวกรถยุโรปไฮบริดทั้งหลายไม่เป็น(เป็นเครื่องแบบตัวที่ขายปกติแล้วจับยัดระบบไฮบริดใส่ไปเลย)
-
ขอพูดถึงแค่เครื่องยนต์เดียวกัน แต่แรงม้าไม่เท่ากัน ในยี่ห้ออะไรก็ได้ เพราะ
- อัตราภาษี
- ราคาจำหน่าย
- โอกาสทางการตลาด
- กลุ่มลูกค้า
ทุกรุ่นทุกยี่ห้อ แรงม้าแรงบิดมากกว่า จะถูกบรรจุในรุ่นที่สูงกว่า ในราคาที่แพงกว่า
ในบางลูกค้า ชอบโฉมแบบนี้ แต่ไม่ต้องการแรงมากเกินไป และราคาย่อมเยา ก็มีเยอะ
แต่บางคน ชอบแรง หรือ เอาไว้คุย ขับไม่เร็วก็ชั่ง แต่พูดได้เต็มปากว่ารุ่น Top
ประมาณนี้
-
อัตราภาษี
คุณภาพน้ำมัน
กฎหมายสิ่งแวดล้อม
-
เห็นคุณยกเรื่องพีซีมา น่าจะเข้าใจได้ง่ายนะครับว่ามันเป็นเรื่องการตลาด และต้นทุนการผลิต
ซีพียูที่คุณซื้อ ตัวมันสามารถล็อกหรือปลดล็อค เพื่อกำหนดสเปคได้เลยว่าจะเป็นรุ่นไหน ขายเท่าไหร่
เช่นเดียวกัน รถยนต์ถึงแม้จะเป็นเครื่องยนต์เดียวกัน แต่ทำสเปคให้ต่างกัน การผลิต อะไหล่ การซ่อมบำรุง ทำได้ง่าย
-
เห็นคุณยกเรื่องพีซีมา น่าจะเข้าใจได้ง่ายนะครับว่ามันเป็นเรื่องการตลาด และต้นทุนการผลิต
ซีพียูที่คุณซื้อ ตัวมันสามารถล็อกหรือปลดล็อค เพื่อกำหนดสเปคได้เลยว่าจะเป็นรุ่นไหน ขายเท่าไหร่
เช่นเดียวกัน รถยนต์ถึงแม้จะเป็นเครื่องยนต์เดียวกัน แต่ทำสเปคให้ต่างกัน การผลิต อะไหล่ การซ่อมบำรุง ทำได้ง่าย
CPU สเป๊คเดียวกัน แต่พอปลดล๊อคให้แรงขั้นเทพ
สิ่งที่ตามมาคือหม้อน้ำระบายความร้อน แปลว่าทั้งชุดมันก็แพงขึ้น
ถ้าใครไม่ต้องการสมรรถนะขั้นสุด แค่เล่นเกมส์ระดับกลางๆ ก็ไม่ต้องไปโมเพิ่ม
ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ
-
ปรับตามความเหมาะสมของรถรุ่นนั้นๆ หรือกลุ่มลูกค้ารุ่นนั้นๆ ครับ
- เกณฑ์มลพิษในแต่ละประเทศ
- อัตราภาษี
- วัตถุประสงค์ของตัวรถความต้องการของกลุ่มลูกค้า เช่น เน้นประหยัดน้ำมันหรือเน้นอัตราเร่ง ดูจากนาวาร่า np300 หรือเครื่อง KD ในวีโก้ กับใน hiace ก็ได้ครับ
- ความเหมาะสมกับตัวถัง เช่น รถเก๋งซีดาน กับรถตู้มินิแวน น้ำหนักตัวถัง และน้ำหนักบรรทุกต่างกัน อาจจะต้องจูนแรงบิดมาให้เหมาะสมกับการใช้งาน อย่างพวกรถตู้จะต้องการแรงบิดรอบต่ำ มากกว่ารถเก๋งซีดานในการออกตัว ด้วยเรื่องของน้ำหนักตัวรถ (แต่บางค่ายอาจใช้วิธีทดเกียร์แทน)
- เชื้อเพลิงที่รองรับ
ส่วนในกรณีรถไฮบริด จะเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง รถไฮบริดจะมีทั้งเครื่องแบบที่ใช้ Atkinson cycle กับแบบทั่วไป มาประกบกับมอเตอร์ อย่าง toyota กับ honda จะใช้จังหวะการจุดระเบิดแบบ Atkinson ส่วนพวกค่ายยุโรปจะใช้วงจรปกติในรถทั่วไป ซึ่งในเมื่อเครื่องมีจังหวะการดูดคายไอเสียและการจุดระเบิดต่างกับแบบปกติหลายประการ แรงเครื่องที่ได้จึงต่างกันอย่างชัดเจน
เครื่องใช้วงจรพวกนี้จะเน้นไปในทางประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงสูงสุด (ก็คือเน้นประหยัดน้ำมันนั่นแหละ) กำลังที่ได้จะน้อยกว่าเครื่องแบบปกติ แต่จะกลบจุดอ่อนเรื่องภาระกำลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแทน กรณีแคมรี่ ไฮบริดจะอยู่ในหัวข้อนี้แทนครับ
-
เครื่อง แพงครับ การทำออกมาเยอะๆ จะได้ลดต้นทุนต่อหน่วยลง
ส่วนเครื่อง จะไปพ่วงกับอะไร จูนแรงแค่ไหน ค่อยว่ากันอีกที