Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: RockmanJilly005 ที่ มีนาคม 07, 2018, 09:51:14
-
ล่าสุดโตโยต้า ยุโรปประกาศยุติการผลิตและขายรถเก๋งทั่วไปรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลทุกรุ่นภายในปี2018นี้ตามข่าวล่าสุด
https://brandinside.asia/toyota-ban-diesel-and-sell-hybrid/ (https://brandinside.asia/toyota-ban-diesel-and-sell-hybrid/)
ผมชักสงสัย2คำถามดังนี้ครับ :(
1.รถดีเซลยุโรปของVW group,Ford EU,BMW,PSA,Mercedes,JLR,Alfa Romeo,VolvoและRenaultจะมีหนทางเป็นอย่างไรได้บ้างในยุคต่อๆไป
2.รถใช้งานเชิงพาณิชย์ฝั่งญี่ปุ่นเช่นกระบะ,SUVใหญ่,รถบรรทุก,รถโดยสาร,รถตู้และเครื่องจักรใหญ่มีแววถูกแบนตามรถดีเซลยุโรปในหลายท้องที่หรือไม่อย่างไรครับ
-
เครื่องจักรหนักก็จะเป็นลูกผสมไงครับ เครื่องยนต์ปั่นไฟ ในส่วนที่ใช้แรงก็ใช้เป็นมอเตอร์ไป
แต่คงค่อยๆ หายไปแหละครับ ไม่ปุบปับหรอก
ส่วนพวกค่ายรถ เค้าก็มีเครื่องยนต์ทั้งสองแบบอยู่แล้ว คงไม่มีอะไรยาก
ทั้งเบนซิน ไฮบริด ไฟฟ้า ยกเปลี่ยนจบ
เครื่องดีเซลมลพิษเยอะจริงๆ ล่าสุดดูอู่นึง รื้อ Mz2 ดีเซล
ทั้ง EGR DPF เข่มาเกาะเยิ้ม ดูน่ากลัวมาก
-
อิงตามกฏหมายของแต่ละโซนครับ .... อนาคตโซนยุโรปก็คงต้องทำเป็นไฮบริต หรือ ไฟฟ้า
ส่วนบ้านเราสบายใจได้ครับ รถกระบะอายุเกือบ 20 ปี พ่นควันดำ ยังวิ่งอยู่ตามท้องถนนได้
-
เหมือนเคยอ่านเจอที่ไหนซักที่
ยอดขายเครื่องยนต์ดีเซลที่ยุโรปลดลงเยอะมาก..
ก็คงจะพอเห็นแนวโน้มและทิศทางที่จะเป็นบ้างหน่อยๆ
-
พวกเครื่องยนต์สันดาปไม่ว่าดีเซลหรือเบนซิน จะค่อยๆลดบทบาทลงเรื่อยๆ เพราะเรื่องของมลภาวะและประสิทธิภาพเชิงกลที่มีข้อจำกัด เมื่อไหร่ที่เรื่องของแบ็ตเตอรีมีการพัฒนาได้มีประสิทธิภาพความคงทน และราคาถูกลง เมื่อนั้นเครื่องยนต์สันดาปก็คงค่อยๆหายไป
-
อิงตามกฏหมายของแต่ละโซนครับ .... อนาคตโซนยุโรปก็คงต้องทำเป็นไฮบริต หรือ ไฟฟ้า
ส่วนบ้านเราสบายใจได้ครับ รถกระบะอายุเกือบ 20 ปี พ่นควันดำ ยังวิ่งอยู่ตามท้องถนนได้
ไม่ต้องกระบะอายุ 20 ปีหรอกครับ บ้านเรา
เดี๋ยวนี้ กระบะออกมาใหม่ ป้ายแดง เอาไปลงกล่อง เปลี่ยนหัวฉีด ก้านซิ่ง ควันดำกว่ากระบะอายุ 20 ปีอีก
-
สำหรับประเทศโลกที่ 3 อย่างเราอาจจะยังไม่กระทบ
หลายคนอาจไปหายุโรป มือ2 เล่นก้อดีครับ
-
ดีเซลญี่ปุ่นจากที่ไม่โดดเด่นอยู่แล้ว คงหายไปอย่างรวดเร็วเลยละครับ
แต่ประเทศไทยคงยังมีอยู่ ดู CR-V diesel ได้ เพิ่งมาเมืองไทย แต่ที่ยุโรปไม่ขายแล้ว
ส่วนดีเซลยุโรปบางค่ายเช่น Volvo ก็ออกมาบอกว่าจะไม่พัฒนาเครื่องดีเซลใหม่แล้ว
คือขายบล็อกปัจจุบันไปเรื่อยๆ จนกว่า demand จะหมดแล้วยกเลิกไป
ขณะเดียวกันก็จะค่อยๆ เพิ่มรุ่น plug-in hybrid และไฟฟ้าล้วนไปเรื่อยๆ
แต่ค่ายเยอรมันยังไม่เห็นออกมาประกาศอะไร เบนซ์ก็เพิ่งออกเครื่องดีเซล 6 สูบเรียงมาใหม่
Porsche หยุดผลิตรถดีเซลชั่วคราว แต่ก็บอกว่าอาจจะมี Cayenne diesel กลับมาใหม่
BMW ยังทำเครื่องดีเซลใส่เทอร์โบ 4 ลูกอยู่เลย ผมว่าคงไม่หยุดง่ายๆ ;D
-
ดีครับ ราคาน้ำมันดีเซลจะได้ถูกลง ถ้ามาตรการภาครัฐมาแนวนี้ทั่วโลก เราคงจะได้เห็นดีเซลถูกกว่าเบนซินในอีกหลายๆ ปีข้างหน้า
-
ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องมานั่งเถียงกันเรื่องอุดอีจีอาร์
-
อนาคตคงเป็นhybrid แหละครับ ไม่ว่าเราจะอยากได้หรือไม่ก็ตาม
-
เครื่องยนต์สันดาป จะหมดก็ต่อเมื่อ มีแบตเตอรี ที่มีประสิทธิภาพสูง วิ่งได้ไกล ชาตร์เร็ว
-
คิดว่า มาตรฐานมลพิษในยุโรป และในประเทศเจริญแล้ว คงเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ก็ขึ้นกับ บริษัทรถ ว่าจะทำเครื่องดีเซล ให้พัฒนาตามมาตรฐานอันเข้มงวดได้ทันไหม ในราคาที่ยังได้กำไรอยู่
ถ้ายังทำได้มั่นใจ อาจจะไปต่อ จนไม่ไหว
ถ้าไม่สามารถก็รีบถอยออกมา แบบ บางบริษัท ที่เห็นมั้งครับ
แต่สุดท้าย เทคโนโลยี่ก็คงมีทางตันของเขา คงได้เลิกใช้กันหมดตอนท้ายสุดล่ะครับ
-
จะบอกว่าไม่มีผลเลยไม่ได้ครับ เพราะว่าบริษัทรถเวลาเขาออกแบบมาในการใช้เครื่องยนต์ก็พยายามแชร์ให้ใช้กันทั่วโลก ถ้ามันขายได้แค่ทวีปเดียวอาจยกเลิกเครื่องยนต์นั้นไป หาเครื่องยนต์ที่มันใช้ได้ทั่วโลกดีกว่า แล้วบ้านเรา หน่วยงาน สมอ. จะเดินตามประเทศพัฒนาแล้วในการกำหนดมาตรฐานไอเสีย ซึ่งอนาคตก็มีแต่จะเคี่ยวขึ้นเรื่อย ๆ มลพิษในกทม ที่มีข่าวออกมา เป็นตัวเร่งให้เครื่องดีเซล และรถใช้เครื่องสันดาป ค่อย ๆ หมดไป จาก กทม บริษัทรถก็ต้อทำตามนโยบายของ สมอ ไม่งั้นไม่ผ่าน ไม่สามารถผลิตรถออกมาขายได้ เพียงแต่เมืองไทยจะเริ่มห็นผล ก็อย่างน้อย ๆ 5 ปีน่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง จาก สมอ ออกมากระตุ้นบริษัทรถยนต์ล่ะ
-
ขึ้นอยู่กับว่า จะพัฒนาเครื่องดีเซลให้ลดมลพิษไปได้ถึงระดับไหนครับ
ถ้ายังสามารถกดค่ามลพิษได้ เครื่องดีเซลก็คงยังอยู่ต่อไป แต่ถ้างบพัฒนามันดูไม่คุ้ม ก็คงจะเป็นไฮบริดหรือไฟฟ้าล้วนต่อไปครับ
แต่คงไม่ใช่ไฟฟ้าล้วนเร็วๆนี้ เพราะด้วยขีดจำกัดของแบตเตอรี่
ส่วนในบ้านเรา คงได้ใช้กันไปอีกพักใหญ่ๆ แหละครับ
-
เคยอ่านเจอว่าการพัฒนาเครื่องดีเซล ใช้เงินมากกว่าเบนซินด้วยนะครับ เพราะคนซื้อต้องการทั้งประหยัด ทั้งสมรรถนะ ไหนจะเรื่องมลพิษอีก และตอนนี้ต้องพยายามทำให้เงียบพอๆกับเบนซินอีก
ถ้า บ.รถ เห็นว่าไม่คุ้มที่จะลงทุน ก็คงค่อยๆเลิกไปเองแหละครับ
-
ในรถนั่งส่วนบุคคล คงหมดอนาคตในอีกไม่นาน
-
ในวันที่ปัจจุบัน ซีวิค 1.5 แรงบิดสูงกว่า มาสด้า 2 ดีเซล พิกัด cc เท่ากัน หรือแม้แต่ bmw 330e แรงบิดมากกว่า 320d เพื่อนร่วมยี่ห้อในพิกัดเท่ากันเช่นกัน อนาคตคงไม่ต้องบอกว่าจะเป็นยังไง ในเมื่อความภาคภูมิใจของดีเซลคือแรงบิดแพ้ให้กับเครื่องเบนซินได้
-
ในวันที่ปัจจุบัน ซีวิค 1.5 แรงบิดสูงกว่า มาสด้า 2 ดีเซล พิกัด cc เท่ากัน หรือแม้แต่ bmw 330e แรงบิดมากกว่า 320d เพื่อนร่วมยี่ห้อในพิกัดเท่ากันเช่นกัน อนาคตคงไม่ต้องบอกว่าจะเป็นยังไง ในเมื่อความภาคภูมิใจของดีเซลคือแรงบิดแพ้ให้กับเครื่องเบนซินได้
เดี๋ยวนะครับ
civic 1.5t 220Nm. mazda2 1.5t 250Nm. (ว่าตามหน้าเวปของ honda/mazdaนะ) จริงๆแล้วไม่ควรเทียบกันด้วยเพราะ 2 ต้องกดมลพิษและค่าความสิ้นเปลืองลง
และถ้ามาดู Honda ด้วยกันเอง CRV 1.6 dtec 350Nm. เลยนะ
...............
แต่ส่วนตัวคิดว่า ดีเซลคงจะค่อยๆหายไปละครับ ไม่ใช่เรื่องความแรงหรอก แต่จะหายไปเพราะเรื่องมลพิษนั่นละ และเอาเข้าจริงๆ เบนซินเองก็น่าจะตามไปด้วยนั่นละ
แต่คงอีกนานมากกก(โดยเฉพาะในไทย) ตราบใดที่ระบบจ่ายไฟฟ้าในไทยยังทำให้สมบูรณ์ไม่ได้ครับ
และเชื่อว่ายังมีรถเฉพาะทางจำนวนนึง เช่นพวก offroad ที่ลุยกันจริงจัง คงจะใช้ดีเซลไปอีกจนน้ำมันหมดโลกนั่นละครับ
-
ส่วนตัวแล้ว อยากให้รถยนต์นั่งเป็นเบนซิลกันให้หมด แบนไปเลยก็ดีครับ เพราะมลพิษเยอะกว่าเบนซิลมาก ขับผ่านยังฉุนจมูก เสียงก็ไม่เพราะ ดีอย่างเดียวตรงแรงบิดดี
-
แนวโน้มดูเหมือนว่าจะไปในทางเดียวกันครับ ในอนาคตก็จะค่อยเป็นค่อยไป และเห็นภาพชัดมากขึ้น แต่อะไรก็ไม่แน่ไม่นอนอยู่แล้วถ้าพูดกันถึงอนาคต เพราะยังไม่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน
-
แต่ทำไมในไทยยังเชียร์ดีเซลอยู่ คงเป็นค่านิยม ความเชื่อ ที่มีมานานว่ามันประหยัด รึเปล่า
-
คำว่า อนาคต คือ ยังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรแน่นอน
ดีเซลปล่อยมลพิษเยอะกว่าจริง แต่ข้อดีมันก็มีเยอะ เช่น ให้แรงบิดสูง ที่รอบต่ำ, การสึกหรอต่ำกว่า เพราะใช้รอบการทำงานที่ต่ำกว่า
เพียงแต่ตอนนี้ยังหาทางลดพิษได้ยังไม่ดีพอ
แต่ในอนาคต อาจจะมีเทคโนฯ มาสนับสนุนได้ ก็นำกลับมาใช้ใหม่ได้ หรือพัฒนาต่อได้
และมันน่าจะเป็นการยาก ที่จะเลิกผลิตไปเลย เพราะรถหลายรุ่น เครื่องจักรหลายประเภท ทั้งเล็กและใหญ่ก็ยังใช้เครื่องดีเซล
รถหลายยี่ห้อ หลายรุ่น เครื่องดีเซล ราคาสูงกว่าเบนซิน แต่กลับมีคนเลือกใช้มากกว่า และบางรุ่นเคยมีดีเซล แต่ตอนนี้มีแต่เบนซิน
ก็ยังถามหาดีเซลกันเยอะ เพราะอะไร ถ้ามันไม่ดีกับผู้ใช้มากกว่า หรือมันมีอะไรมากกว่ามลพิษไหม ที่ซ้อนอยู่ในการต่อต้านนี้
-
ในไทยคงยังอีกนาน
ผมอยากให้เก๋ง กระบะหรือรถบรรทุกในไทย รุ่นใหม่ที่ีใช้ดีเซล ต้องเติม Adblue เพื่อมลพิษทุกรุ่น
แล้วมีกฎหมายมาเลย ใครดัดแปลงเอาออกติดคุก
-
สามห่วง ทำเครื่องดีเซลถึงยูโร6 แล้ว แต่ใส่ยี่ห้ออื่นขาย
การออกข่าวแบบนี้ คงปล่อยให้ในเครือทำตลาดแทน
และให้ยุโรปหากินกับดีเซลต่อ คงมีข้อแลกเปลี่ยนกันบางอย่าง
ดีเซลยังอยู่อีกนานมาก ยังไงรถก่อสร้าง กองทัพ ต้องใช้ เครื่องจักรหนักขาดไม่ได้
ปั่นจั่น รถยก รถไถนา ไหนจะเรือตังเก เรือยอร์ค เรือดำน้ำ เครื่องปั่นไฟ ปั้มน้ำเข้านาอีก
กทม.น้ำท่วมที เครื่องสูบน้ำดีเซลทั้งนั้น ทำงาน24ชม. ไอเสียเท่าไหร่ ยูโร3ก็มี
เลิกขายไปเลย ก็จะได้รู้ว่าปั้มไฟฟ้าทำไม่ได้ครึ่งของดีเซลหรอก ค่าไฟกินตาย ยิ่งไม่พอใช้อยู่
เครื่องบินใบพัดเล็กมีดีเซลใช้แล้ว ประหยัดกว่าเบนซิน ออกเทน100-140 มาก
สูบนอนยันหัวชนกัน กับนอนยันแบบชกมวย ราคาไม่แพง เริ่มนำมาแทนเบนซินบ้างแล้ว
ต่อไปค่าฝึกนักบินสมัครเล่นจะถูกลงไม่ถึงล้านบาท เพราะใช้น้ำมันดีเซลธรรมดาเติม
กม.เข้มกับรถส่วนบุคคล แต่ปล่อยกับรถเฉพาะทาง ไม่งั้นหากินยาก รบลำบาก
ถ้ายุโรป กับสามห่วงกลัวดีเซลไม่มีคนเอา มาขายแถวนี้ก็ดี คนชอบเยอะ เลิกกีดกันรถเกรย์เก่าด้วย
เพราะไฮบริดบังคับยังไง คนก็ไม่ยอมง่ายๆ อย่างมากเลิกซื้อยี่ห้อนี้ ยี่ห้ออื่นก็มี ไม่ต้องง้อ
น้ำมันยูโร5กลั่นได้แล้ว รอแค่โรงกลั่นปรังปรุงครบทุกโรงก็ไม่ขาด เพิ่มฉี่หมูไอเสียสะอาดเป็นยูโร6แล้ว
แต่สามห่วง ไม่ต้องมีฉี่หมู แต่ให้ดีเซลล้างได้ไอเสียยูโร6 แค่กลับไปใช้ฉี่หมูแบบชาวบ้านก็ทนทานแล้ว
คันไหนไม่มีฉี่หมูติดเครื่องไม่ได้ ขายลิตรละ400 วิ่งได้พันโลต่อลิตรก็รับได้แล้ว
น้ำมันทะเลเหนือคุณภาพดีสุดๆ กลับไม่โวยวาย ทำไมหรือไม่ต้องใช้แบงค์กงเต็กซื้อ เพราะเลิกใช้หลายที่แล้ว
-
ให้ eco car ,hybrid ,ev ลดมลพิษกันแทบตายสุดท้ายก็เจอยอดขายกระบะทั้งประเทศ ที่เป็น euro4 ปล่อยมลพิษกันกระจาย ไม่นับอุด egr หรือจูนควันดำกันอีก
ถ้าบังคับใช้ euro5 กระบะก็ต้องมี dpf ต้นทุนกับค่าบำรุงรักษาก็พุ่งกระชูด และมาจบด้วยต่อท่อแทน dpf เหมือนอุด egr กันอีกเช่นเคย
ปล.ผมก็มีกระบะดีเซลนะ :P
-
8) 8) 8) .....รถยนต์นั่ง ประเภท sedan คงเลิกดีเซลไม่เกิน 2025 น่าจะทุกบริษัท ส่วนรถประเภทอื่นรวมบรรทุกกับบัส ยังคงต้องใช้ดีเซลต่อ แต่จำกัดโซนให้วิ่ง ภายใน 3-4 ปีต่อจากนี้ไป ยกเว้นเยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส และซีกตะวันตกอีกหลายประเทศ จะบังคับเข้มให้กลั่นดีเซลเฉพาะ Euro 6 ส่วนดีเซล รัสเซียยังนิ่งๆอยู่
สรุป อนาคตดีเซลยังมีใช้ต่อไป เว้นแต่พัฒนาการแบตเตอรี่ ทนขึ้นและถูกลง สถานะภาพดีเซลอาจจะมองเห็นชัดเจนกว่านี้ครับ ห้วง 2-3 ปีนี้ ควร wait & see ไปพลางๆก่อนอย่าไปตื่นเต้นขายรถดีเซลที่กำลังใช้กันอยู่ :-X
-
ให้ eco car ,hybrid ,ev ลดมลพิษกันแทบตายสุดท้ายก็เจอยอดขายกระบะทั้งประเทศ ที่เป็น euro4 ปล่อยมลพิษกันกระจาย ไม่นับอุด egr หรือจูนควันดำกันอีก
ถ้าบังคับใช้ euro5 กระบะก็ต้องมี dpf ต้นทุนกับค่าบำรุงรักษาก็พุ่งกระชูด และมาจบด้วยต่อท่อแทน dpf เหมือนอุด egr กันอีกเช่นเคย
ปล.ผมก็มีกระบะดีเซลนะ :P
นี่แหละครับที่น่าแปลกใจ ยังไม่นับพวกฉิ่งฉับทัวร์ รถรับส่งทั้งหลายที่ไม่รู้จะไปจูนน้ำมันหนาขนาดนั้นทำไม วิ่งตามทีกลิ่นไอเสียเข้ารถชัดเลย แล้วที่ตามๆกันเป็นขบวน แต่ละคันนี่ควันดำมาก่อนเลย
รีดเอาทุกอย่างกับกลุ่มรถเก๋งซะ แต่ไม่ทำอะไรเลยกับฝั่งดีเซล แถมกลายๆว่าพยุงราคาดีเซลทั้งปีทั้งชาติ
สรุปผมเองก็เลยมี ppv ดีเซลคันนึงเหมือนกันครับ แต่ไม่อุดไม่อั้น ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ขับเดิมๆครับ
ผลคือ ออก ppv คันนี้มาค่าใช้จ่ายหลังจากซื้อรถ ค่าดูแล ค่าน้ำมันแทบไม่ต่างจากขับ vios , civic เลยครับ
แลยคิดว่าเครื่องดีเซลในไทย ยังไงก็คงยังอยู่ไปอีกนาน
ส่วนตลาดโลก 1.6 i-dtec ที่สะอาดกว่าแทบทุกเครื่องดีเซลที่มีขายในไทยตอนนี้ ที่ยุโรปไม่ได้ไปต่อแล้วครับ