Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Arm ที่ กรกฎาคม 06, 2018, 11:40:15
-
ผมอ่านวิกิเล่นๆแล้วไปเจอบริษัทนี้เข้ารวมยี่ห้อรถดังๆจากเกาะอังกฤษไว้หลายยี่ห้อ แต่เกิดอะไรขึ้นทำไมบริษัทนี้ถึงล่มสลายไปครับ
(http://assets1.bentleypublishers.com/images/authors/britishleylandlogo.jpg)
-
เหมือนคุณภาพตัวรถจะสู้พวกเยอรมันไม่ได้มั้งครับ เเละการมาของพวก Hot Hatch จากคู่เเข่งยุโรป เมกา เข้ามาตีด้วย ผิดถูกขออภัยนะครับ รอคนที่มีรายละเอียดมากกว่านี้มาเล่า
-
พนักงานหมดเวลาไปกับการ Strike มากกว่าการทำรถ ;D ;D ;D
-
ถ้าให้เล่ากันจริง ๆ ก็ยาวละครับ ยาวแบบอ่านกันตาเหลือก
เพราะต้องย้อนไปถึงบริบทของตลาดรถยนต์ ย้อนไปถึงบริบทของประเทศอังกฤษ บริบทของตลาดโลก ซึ่งถ้าไม่เข้าใจก็จะสรุปเอาง่าย ๆ ด้วยเหตุผลไม่กี่อย่าง ซึ่งหลายอย่างก็ไม่ถูกต้องครับ
แนะนำให้อ่านเอาจาก source ที่มันน่าเชื่อถือหน่อย อย่างใน aronline.co.uk ครับ
-
ที่ว่ารวมยี่ห้อรถดังๆจากเกาะอังกฤษไว้หลายยี่ห้อ นั้นคือดังแต่ชื่อ แต่ขาดทุนบักโกรก รัฐบาลอังกฤษยุคนั้นเอาเงินภาษีประชาชน
ไปอุ้มโดยให้ British Leyland เป็นแกนกลาง แล้วบริษัทไหนมีปัญหาก็ให้ British Leyland ไปถือหุ้น
สาเหตุนั้นมีหลายอย่าง อย่างหนึ่งในนั้นคือคุณภาพการผลิต ตัวอย่างเช่น Rover 3500 ได้รางวัล Car of The Year ปี 1976 (ยุคนั้นรางวัลไม่เฟ้อเหมือนยุคนี้ การได้ตำแหน่ง Car of The Year จึงมีความศักดิ์สิทธิพอควร) ผู้ซื้อไปได้รถคุณภาพดี แต่มี defect เยอะเช่นหลังคารั่ว ฯลฯ
-
สารภาพ ไม่รู้จักยี่ห้อนี้เลยครับ
-
ค่าแรง คนอังกิด สูงครับ จ้าง แรงงาน ทำรถ ไม่คุ้ม
อุตสหกรรม ก็ต้องย้ายออกไป ประเทศ ค่าแรงต่ำ
-
สารภาพ ไม่รู้จักยี่ห้อนี้เลยครับ
+1
-
จริงๆ มีกรณีศึกษาเยอะครับ แต่สรุปง่ายๆ ดีกว่า
1. แบรนด์ที่มีการแข่งกันเองในเครือแต่กลับไม่ได้ส่งผลให้มีการพัฒนาในเครือ (ที่เป็นเอกเทศมีแค่ Land Rover, Jaguar, Mini)
- ลองสังเกตุดูนะครับว่ามันชน Segment กันเอง เช่น Triumph มีทั้ง Sedan, Convertible, Speciality (เช่น TR6 และ TR7) แต่ไปชนกับ Austin บ้าง (ในส่วนของ Sedan) Morris บ้าง (ใน segment เดียวกัน) รถใหญ่ก็ดันไปชนกับ Rover อีก ส่วน Speciality ก็ไปชนกับ Jaguar หน่อยๆ (โดยเฉพาะ Stag แต่ Spitfire นั้นรอดครับ ไม่มีคู่แข่ง) ส่วนรถเล็กก็มีชนกันเองทั้ง Austin Morris และ MG อีก จนต้องกำหนดให้ Morris เป็นแบรนด์รถ Small utility ไป แต่ก็เกิดปัญหา เพราะมันก็ชนกันเองระหว่าง Austin และ MG อีก
- บางแบรนด์มีทรัพยากรดี แต่ไม่แบ่งใช้ในเครือ เช่นเครื่อง V8 ที่ Rover มีในมือ แต่ไม่แบ่งกระจายให้แบรนด์อื่นๆ (ทั้งๆ ที่มีในมือไปได้จาก Chrylser ด้วย)
จำ Triumph Stag ได้ไหมครับ? เขากลับไม่สามารถคว้าทรัพยากรในเครือ BL ได้ เลยต้องเอาเครื่อง Dolomite มาวิจัยใหม่ด้วยการ "ประกบ" เลยเป็นเครื่อง V8 ใหม่ แต่กลับมีปัญหาทางวิศวกรรมเรื่องความร้อนจนพังง่าย
- ตัวตนในฐานะสินค้าไม่แบ่งชัดเจน มีความกำกวมมากเกินไป ทับซ้อนเกินไป แบรนด์ที่แยกชัดเจนมีน้อยมาก เช่น Jaguar ที่เป็นรถ Premium, Rover เป็นรถซีดาน Excecutive ไป ที่เหลือนั้นมี "ตัวตน" ที่ชนเละเทะกันครับ (ยกเว้น Mini ที่มันชัดเจน แต่มันมาจาก BMC)
2. คุณภาพของตัวรถ อันนี้บอกจากประสบการณ์ที่บ้านมีรถอังกฤษมาหลายคัน และต้องขยันซ่อมทุกวี่ทุกวัน ออกแบบดีแค่ไหน แต่สุดท้ายก็พังง่าย โดยเฉพาะระบบไฟฟ้าครับ (ใช้ของ Lucas ที่โดนล้อว่าตู้เย็น Lucas แช่เบียร์ยังไงก็อุ่นเพราะมันเจ๊ง)
- คุณภาพทั้งการประกอบที่ส่วนมากใช้แรงงานเป็นส่วนใหญ่ ดูเหมือนจะดีต่อภาคอุตสาหกรรม แต่... แรงงานเหล่านั้นกลับทำให้ไม่สามารถคงมาตรฐานได้ต่อเนื่อง และมีต้นทุนสูง (ข้อนี้มีปัจจัยอื่นกระทบด้วยครับ)
3. การประท้วงของสหภาพแรงงาน
- ข้อนี้ต่อเนื่องจากข้อหนึ่งและสองครับ แรงงานเกิดความไม่พอใจกับสภาพที่ได้รับ เลยมีการเรียกร้องมากขึ้นโดยเฉพาะช่วง 70 (ที่กระทบยาวจากเศรษฐกิจตั้งแต่ภาวะคว่ำบาตรการส่งน้ำมันจากกลุ่ม OPEC คู่กับการที่อังกฤษมีสภาพเศรษฐกิจซบเซายาวตั้งแต่สละอนานิคมแล้ว) เศรษฐกิจซบเซา + การเรียกร้องของแรงงาน = ประท้วง เมื่อเกิดการประท้วงก็ทำให้หยุดภาคการผลิตคู่กับการละทิ้งควบคุมคุณภาพในการผลิต ผลกระทบก็ตกใส่ผู้บริโภคหนักกว่าเดิม (รถยนต์โดนเลื่อนส่งถึงมือ พังง่ายเพราะไม่ได้คุณภาพ)
4. การแข่งขันการตลาดจากทางญี่ปุ่น
- ข้อนี้เป็นผลต่อเนื่องจากข้างต้น เพราะในเมื่อคุณซื้อรถจาก BL มาแล้วขยันพังเอาๆ สตาร์ทไม่ติดบ่อยจนหัวร้อน สุดท้ายก็โละทิ้งขายทิ้ง (นี่ไม่รวมรถที่สนิมขึ้นง่ายนะครับ แต่มีกรณีที่สุดคือ Lancia Beta) พอเห็นตัวเลือกเป็นแบรนด์จากทางญี่ปุ่นที่คุ้มต่อเงินมากกว่า ทนทานมากกว่า คนเราก็มีทางเลือกครับ เลยไปสนับสนุนมากกว่า (แบรนด์เยอรมันถือว่าของแพง แบรนด์อิตาลีคือรถสวยแต่พังง่าย)
นี่คือข้อสรุปง่ายๆ ล่ะครับ จริงๆ มีข้อมูลให้ศึกษาเยอะมาก