Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: FlyMe ที่ ตุลาคม 17, 2018, 13:40:53
-
Intake manifold cleansing ตามหัวข้อครับ จะช่วยล้างเขม่าในท่อไอดีและ EGR ควรทำไหมครับ ถ้าควรทำไหมไม่รวมอยู่ใน BSI
ผมเคยมี BMW ดีเซลมา 4 คัน ใช้งานถึง 8-9 หมื่นกิโล ก็ขายไป ศูนย์ที่ใช้ประจำไม่เคยพูดถึง วันก่อนเปลี่ยนเข้าศูนย์อื่น แนะนำว่าควรล้างทุก 5 หมื่นกิโล แต่ไม่รวมใน BSI ต้องจ่ายเพิ่ม 4 -5 พันบาท เลยไม่แน่ใจ
ขนาดใบปัดน้ำฝนยังเปลี่ยนฟรีทุกปี
-
ผมว่าเอาออกไปวิ่งไกลๆ ต่างจังหวัด อัดรอบบ้าง ครึ่งปีครั้งนึง น่าจะพอแล้วมั้งครับ
-
ผม 520d E60 145,000โล ตอนยังอยู่ในBSI ที่ศูนร์ไม่เคยพูดถึงเลยครับ. ตอนนี้กำลังจะนัดเข้าล้างกับอู่นอก ถ้าราคา 4-5พัน แต่ทำที่ศูนย์แล้วมีประกัน ผมทำครับ. ราคาล้างกับอู่นอกประมาน 2-3พันบาทนะครับ ไม่ได้ถูกกว่าเยอะ. สรุปควรทำครับ ส่วนที่จะไปวิ่งไกลๆอัดๆ ไม่เกี่ยวครับ ตัวนั่นน่าจะช่วยการเผา dpf ซะมากกว่า แต่BMW รถไทยไม่ทราบว่ามีมั่ย.
-
ดูจากรูปที่ช่างถ่ายไว้รถเจ็ดหมื่นโลมีคราบเกาะพอสมควร
ศูนย์ผมแนะนำล้างที่เจ็ดหมื่น ก็ไม่แพงอะไร สองพันหกหรือสามพันหกนี่แหละจำไม่ได้แล้ว
-
ผมว่าจำเป็นนะ ยิ่งนานวันไปรถจะอืดลงและกินน้ำมันมากขึ้น
ยิ่งรถวิ่งในเมืองไม่ค่อยได้ไปไหน 20Kก็ล้างได้แล้ว
พวกที่วิ่งนอกเมือง ขับรถเร็ว ใช้รอบสูง ก็จะมีเขม่าแต่น้อยกว่า
ล้างให้หมด ท่อร่วมไอดี ลิ้นปีกผีเสื้อ หัวฉีด
-
คำว่าจำเป็น คือ ต้องทำมั้ย ไม่จำเป็น
ถามว่าควรมั้ย ควร เพื่อให้เครื่องสะอาด และมลพิษที่ออกมาลดลง ถ้าเงินพร้อม
-
ขอยืมภาพจากอู่แห่งนึงมาให้ชมประกอบนะครับ f10
มันก็จะตันๆแบบนี้หละครับ คล้ายๆในเบนซินที่วาล์วจานบินกับท่อตันจนไม่มีช่องให้หายใจ เครื่องก็จะเดินไม่เรียบเสียงดังกินน้ำมันเพิ่มครับ
-
ผมขายF10 520D ครานั้น180,000กม.
ไม่ได้ล้าง
วิ่งเหมือนๆเดิม
ใช้ตจว.มันจะไหลสะดวกไม่สะสมนะ
-
ผมเคยไปล้างตอน แสนกม.นิดๆ แทบไม่มีอะไรคับ
ส่วนตัวว่าอยู่ที่ การขับขี่ น้ำมันที่เติมด้วยครับ
ถ้า 50,000 กม. แนะนำว่าไม่ต้องทำคับ
-
เพิ่งเอาเข้าศูนย์ bmw แถวรัชดา
เพื่อเชคสุดท้ายก่อนหมด bsi
จนท.โทรกลับมา เชียร์ให้ล้าง
ค่าใช้จ่าย 6 พันกว่า บอกว่าจะประหยัดน้ำมัน
เครื่องทำงานดี วิ่งลื่น
ก็ตัดสินใจให้ทำไป รับรถวันศุกร์นี้
เดี๋ยวจะลองดูว่าต่างจากเดิมมั้ย
(5 ปี วิ่งไป 57,000 km.)
-
ในกระบะคอมมอนเรล มีคนนิยมอุด EGR และบอกผลดีว่า ท่อร่วมไอดีสะอาด ยืดอายุน้ำมันเครื่อง แต่ของผมไม่อุด ไม่ล้าง เพื่อทดสอบ ทดลอง พิสูจน์ ว่าทฤษฎี หรือหลักการ การปฏิบัติของกลุ่มที่อุดกับไม่อุดจะต่างกันชัดเจนขนาดไหน โดยยอมเอารถของตนเองพิสูจน์ ส่วนตัว เพิ่งมีกระบะดีเซล ที่มีระบบ EGR คันแรกครับ ตอนนี้วิ่งไป 6 ปีจะครึ่งแล้ว วิ่งไปเพิ่ง 1.5 แสนโล โดยหลักการแล้ว
1. น้ำมันเครื่องในดีเซล แม้จะไม่มีระบบ EGR มันก็ต้องทำหน้าที่หลักๆ ของมันอยู่แล้ว ล่อลื่น ชะล้างเขม่าในห้องเผาไหม้ ระบายความร้อนห้องเผาไหม้ ระยะเวลาผ่านไปมันก็ดำ
2. ระบบ EGR มันเปิดให้นำไอเสียส่วนหนึ่งเข้ามาร่วมเผาไหม้ใหม่เพื่อลด ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ลง โดยหลักการทำงานแล้ว มันไม่ได้เปิดตลอดเวลาที่เครื่องยนต์ทำงานครับ มันถูกโปรแกรมมาให้ทำงานที่รอบเครื่องยนต์ต่ำๆ และอุณภูมิเผาไหม้ยังต่ำๆ โดยมีสมองกลควบคุมผ่านวาว EGR
3. ท่อร่วมไอดี ใครๆ ก็รู้ว่ามันไม่ใช่มีแต่ไอดีบริสุทธิ์ที่ผ่านการกรองโดยกรองอากาศ เพราะ หลังกรองอากาศจะมีท่อหายใจเครื่อง (ไอน้ำมันเครื่อง) ต่อเข้าไป เทอร์โบอัดรวมกับอากาศจากกรอง ลงไปลดความร้อนที่หม้ออินเตอร์คูลเลอร์ เพื่อลดอุณหภูมิอากาศ เมื่อเย็นแล้วก็ผ่านท่ออินเตอร์เย็น ไปถึงลิ้นปีกผีเสื้อ จ๊ะเอ๋กับไอเสียจากระบบ EGR แต่จะเจอไม่เจอ อยู่ที่ ข้อ 2 (การสั่งการของ ECU) คันที่แต่งซิ่งทั้งหลายมักต่อท่อหายใจทิ้งลงข้างล่างหรือมีถังรองรับ อุด EGR ทิ้ง แต่คันที่ทำขนาดนี้ทุกคันมักทำอย่างอื่นด้วย สุดท้ายแล้วความทนทานของเครื่องก็สู้แบบเดิมไม่ได้มักพังก่อนเสมอ เพราะใช้งานแรงๆ จึงได้ใช้แค่ระยะสั้น เมื่อเทียบกับคันเดิมๆ
4. จากข้อ 3. คันใดที่อุด EGR มา ใช่ว่าท่อร่วมไอดีจะแห้งสะอาดปราศจากคราบเหนียวต่างๆ เหตุผลคือ ไอน้ำมันเครื่องที่รับเข้าหลังกรองอากาศ และหลังเทอร์โบอัด คือเหตุผลที่ว่าหม้ออินเตอร์แตกมีคราบน้ำมันเยิ้ม หรือถอดท่ออินเตอร์ท่อล่าง จะมีคราบน้ำมันเครื่อง
5. จากข้อ 3. คันที่ไม่อุด คราบเขม่าจาก EGR มันก็มาไม่ถึงฝั่งท่อไอดี (ท่อเย็นจากหม้ออินเตอร์) เหตุผลคือทิศทางการเดินของอากาศมันเป็นวันเวย์ มันไม่สามารถวิ่งทวนแรงอัดของเทอร์โบ หรือลมปกติได้อยู่แล้ว เพราะ EGR ไม่มีพัดลมอัดเข้ามา เหมือนฝั่งไอดี ต่อให้ปีกผีเสื้อปิดลมฝั่งไอดีสัก 75% ก็ไปหาไม่ได้อยู่ดี (อากาศไอดีเดินทางเป็นวันเวย์) ใครไม่เห็นภาพให้มองไปบนท้องฟ้า ควันไฟ ย่อมไปในทิศทางที่ลมพัด
6. คันที่ไม่อุด EGR ในยามที่ต้องมีการเผาไหม้ไอเสียร่วมด้วยในรอบต่ำ อุณหภูมิเครื่องยังไม่พร้อม ผมคิดว่ามีไอเสียมาร่วมด้วยไม่น่าเกิน 10-15% (ใครที่รู้ตัวเลขชัดเจนโปรดชี้แนะด้วย) ในห้องเผาไหม้ ก็มีการเผาไหม้ตามปกติ หรืออาจมีอุณหภูมิการเผาไหม้ที่สูงขึ้น สุดท้ายมันก็คือการเผาไหม้แบบภาวะปกตินั่นแหละ ภาวะปกติทิ้งคราบสกปรกขนาดไหน ภาวะนี้ก็สกปรกเท่าเดิม เพราะก็จุดระเบิดในห้องเผาไหม้ตามประสิทธิภาพของห้องเผาไหม้เดิม น้ำมันเครื่องก็ยังคงต้องทำหน้าที่ชะล้าง หล่อลื่น ระบายความร้อนเหมือนเดิม และขณะที่เร่งเครื่องรอบขึ้นสูงเพื่อเรียกพละกำลัง ถ้าจำไม่ผิด โดยทั่วไปวาล์ว EGR จะปิดที่รอบราวๆ 1,500 - 1,700 หรืออาจเกินกว่านิดหน่อย แล้วแต่จะโปรแกรม ในภาวะนี้ก็เท่ากับคันที่ไปอุด EGR มา
7. ด้วยหลักการทำงานทั้งหมดในระบบเผาไหม้ที่ว่ามา ผมจึงเลือกที่ไม่อุด EGR แต่เลือกที่จะใช้น้ำมันเครื่องเกรดสังเคราะห์แท้ตลอดมา ผมเปิดดูตอนวิ่งไป 1.5 แสนโล เปิดดู ฝั่งไอดีก็ไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากคราบที่เกิดจากไอน้ำมันเครื่อง ฝั่งไอเสีย(EGR)ก็มีคราบเขม่าแห้งสนิทเหมือนในท่อไอเสียของเขาตามปกติ ไม่เป็นคราบก้อนดำๆ เหนียวๆ ปั้นเป็นก้อนได้ เหมือนที่ใครหลายๆ คนถ่ายมา ตรงนี้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ จะก่อให้เกิดไอน้ำมันเครื่องน้อยกว่าน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ แต่อีกคันของพี่ชาย(ดีแม็กซ์ 2.5)ที่ไม่อุด ไม่ใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ วิ่งไป 1.8 แสนโล ก็ไม่มีปัญหาในเรื่อง EGR หรือ ท่อร่วมไอดีเลยครับ
โดยส่วนตัว จากข้อ 1.-7. จากการใช้งานจริงและประสบการณ์ที่พบเจอมา จึงได้ขอสรุปมาว่า ไม่มีความจำเป็นต้องถอดล้างท่อไอดี คือใช้และบำรุงรักษาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะที่เหมาะสมไปเถอะครับ ส่วนอื่นๆ ของเครื่องยนต์จะพังก่อน ส่วนนี้แน่นอน ลุงป้าน้าอาที่ยึดอาชีพค้าขายไม่ได้อุดและวิ่งเกิน 3 แสนโลแล้วก็มีครับ จึงคิดว่าแค่ดูแลเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะก็น่าจะเพียงพอ แต่ไม่มีความเห็นค้านคนที่ไปล้างนะครับ ...กราบขออภัยร่ายยาวไปหน่อย
-
รถกระบะผมไม่อุดวิ่งไปเจ็ดหมื่นกว่าช่องในท่อร่วมไอดีเหลือพื้นที่ให้อากาศไหลผ่านประมาณ 20-30% โดนค่าแรงช่างไป 1 ชม. ค่าน้ำมันเบนซิล 100 บาท(ช่างคุ้นเคยกัน)
หลังจากล้างวิ่งตัวเบาเลยครับ
-
จะเชื่อใครดีเนี่ย555
เรื่อง EGR มีทั้งทำกับไม่ทำ คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ก็ตัดสินใจไม่ถูกแหะ
-
ควรล้างครับ รถอย่างลื่นเลย
320D 3GT ปรกติกินน้ำมัน 15-16
ตอนหลังอืดๆ เหลือ 12-13
ที่ศูนย์แนะนำให้ล้าง ก็ล้างเลย
ลื่นปรื้ด กดเป็นมา ตอนนี้อัตราการกินน้ำมันกลับมาดีขึ้นราวๆ 14-15 โลลิตร
ค่าใช้จ่าย 5000 นิดๆ
Performance รามอินทรา
ช่างใจดี ผมซื้อจากที่อื่นมา
แต่ที่นี่บริการดีครับ
-
ถ้ารถวิ่งต่างจังหวัดอัดบ่อยๆ ติดบูททุกครั้งแบบนี้คงแทบไม่มีเขม่าให้เกาะเท่าไร
แต่รถที่วิ่งในกรุงเทพรถติดๆนี่บูสแทบไม่ติด การเผาไหม้ต่ำ ยังไงก็ควรล้างครับถ้าพอจะจ่ายได้สะดวกและอยากให้เครื่องสั่นน้อยลงเดินเรียบเงียบก็จัดเลยครับ
ตัวอย่างง่ายๆลองสังเกตุดูครับ รถวิ่งตจว.ไล่ๆหมื่นห้าถึงมีไฟโชวร์ แต่รถใช้งานหนักๆในเมืองหมื่นนึงไฟก็เตือนแล้วครับ
ปล.ดีเซลยุโรปน่าจะอุดไม่ได้ คือมันไม่ได้เป็นระบบแมคคานิคเหมือนฝั่งญี่ปุ่น เห็นว่าเป็นระบบอิเลคทรอนิคลิ้งกับกล่องecu
-
มันขึ้นอยู่กับสภาพด้วยครับ แน่นอนว่าหากเป็นเครื่องตัวที่เขม่าเกะสะสมเยอะมากๆ เหลือทางให้อากาศวิ่งอยู่ไม่ถึงครึ่งจากเดิม หลังจากล้างมันก็วิ่งดีขึ้นเป็นธรรมดา เพราะได้ช่องทางให้อากาศไหลเข้าเท่าเดิมเหมือนตอนมันใหม่ๆ แต่ถ้าหากเขม่าไม่ได้เกาะติดมากนักมันก็ไม่ค่อยมีผลมากเท่าไหร่
แต่สิ่งที่ผมสงสัยมากคือ บางคนชอบล้างลิ้นปีกผีเสื้อในเครื่องดีเซล เพื่อ....????
ปล. ไอน้ำมันเครื่อง+ไอเสียเก่า ที่เอามาเผาอีกรอบนี่ เป็นอะไรที่ล้างยากใช่เล่นครับ ;D ;D ;D ;D
-
ถ้าไม่ล้างหรือทำอะไรสักอย่าง จะเหมือนคนเป็นหวัดมีน้ำมูกแล้วไม่สั่งออก :)
-
รถดีเซลคมมอนเรล แนะนำล้างท่อร่วมไอดี ทุกๆ 100,000 เหมือนได้รถใหม่กลับ
รถวิ่งต่างจังหวัด วิ่งความเร็วบ่อยๆ เขม่าเกาะสะสมน้อยกกว่า รถวิ่งในเมืองครับ
-
320d e90 ล้างไปตอน 110,000 กม. ตอนขับรถออกมาจากอู่รู้สึกได้เลยว่าคันเร่งเบาขึ้นมาก เหมือนรถเบาขึ้น อัตราเร่งดีขึ้นเห็นๆเลย
-
กระบะ 1.3แสนโล วิ่งชานเมือง ถ่ายมันเครื่องสังเคาะห์แท้ทุก 7-8พันโล เติม additive เชื้อเพลิงสลับกับเติมดีเซลพรีเมียมประจำ ถอดท่อร่วมไอดีออกมาดำเหนียวเป็นก้อนๆ อินเตอร์ก็มีน้ำมันเครื่องที่รวมตัวเป็นยางเหนียวท่วมเลย หัวฉีดก็มีคราบเหนียวเกาะ
ล้างเสร็จต่างอยากชัดเจนครับ ทั้งความรู้สึกและตัวเลขเชื้อเพลิง
-
ขอบคุณทุกความเห็นครับ สรุปเลยทำมาแล้ว ดีขึ้นจริง ประหยัดขึ้น เกียร์เปลี่ยนที่รอบต่ำลง แรงบิดดีขึ้น คุ้มครับ
-
ผมก็ไม่อุดนะ egr กับ ford ranger เดี๋ยวถึง 100,00 km. ว่าจะถอดล้างหน่อย แต่ไม่อุดเหมือนเดิม