Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: lay ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2019, 15:28:58
-
...ภายในปี 2025 รถออกใหม่ทุกคัน ในโลก จะเป็นรถไฟฟ้า รวมถึงรถ กระบะ และรถบรรทุกด้วย ......
..อ่านรายละเอียดได้ตามลิงค์นี้ครับ..
..https://amp.mgronline.com/daily/9620000019228.html
-
8) 8) 8) .....อนาคตอันใกล้เป็นตัวบังคับ ยานยนต์ประเภทอื่น ที่ไม่ใช่ EV จะค่อยๆเลิกใช้กันไป แม้กระทั่ง Hybrid เองก็ไร้ความสำคัญไปด้วยเช่นกัน ส่วน Classic & Antique cars คงยอมรับเบนซีนลิตรละเกิน 200 บาทได้ในเวลานั้น คงจับตาดูกันต่อไปทุกๆปลายปี ที่ราคาเชื้อเพลิงต้องมีราคาสูงเป็นตัวชี้วัด ชาวบ้านชาวเมืองคงรู้จัก ใช้ระบบรางกันทุกเมืองใหญ่ของไทยในเวลานั้นครับ :-X
-
ไทยเราเอาอย่างไวที่สุดก็คงไม่ต่ำกว่าสิบปีอ่ะครับ
-
ผมก็อยากให้รถยนต์ไฟฟ้าขายดีในประเทศไทยนะครับ
แต่ก็พูดกันตามตรง รัฐยังสนับสนุนไม่มากพอ
คือถ้าจะให้สำเร็จมันต้องผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ ต่างประเทศเขาไม่ใช่แค่ไม่เก็บภาษี แต่ยัง sub ราคารถให้ด้วย
เบื้องต้นรัฐไม่ต้องอุ้มใคร รัฐอุ้มผู้ประกอบการ รถกระบะไฮบริดต้องเกิด รถบรรทุกไฟฟ้าต้องมา รถเมล์ไฟฟ้าต้องเต็ม
พวก eco car อะไรพวกนี้ถ้าเทียบยอดขายกับกระบะแล้วแค่หยิบมือ ที่สำคัญพวกนี้มันไม่ได้ปล่อยแก๊สพิษเยอะอยู่แล้ว แต่เห็นรัฐเน้นจัง ถ้าคนใช้กระบะส่งของอย่างพวกธุรกิจ logistic งี้ มันใช้ ecocar ไม่ได้อยู่แล้ว ก็ต้องใช้กระบะวิ่ง แล้ววิ่งกันทั่วไป มลพิษก็ทั่วไทย
ถ้ากระบะไฮบริด รัฐซับให้ ตอนเดียว หรือแค็ป ออกให้ 2 แสนต่อคัน เป็นระยะเวลา 5 ปี คนก็จะแห่กันไปใช้กระบะไฮบริดในช่วงนี้ พอพ้นระยะ 5 ปีแล้วรถไฮบริดก็จะเริ่มเข้าถึงมวลชน ช่างเริ่มซ่อมเป็น มีอะไหล่นอก ถึงตอนนั้นแบตราคาลง รัฐเลิกอุดหนุน คนก็ยังใช้ต่อเนื่อง
แล้วเรื่องกำจัดแบต ก็ทำให้เป็นรูปธรรม ไม่ใช่เอะอะกลบ จะกลบไปทำเกาะหรืออย่างไร ให้เอกชนเข้ามาร่วมทำธุรกิจกำจัดแบตมากขึ้น ราคากำจัดถูกลง มลพิษลดลง
แล้วระยะยาวก็เปลี่ยนถ่ายไปสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าครับ สาธุ
-
เอาสิครับ เอามาสิ อยากเห็น
ยิ่งบอกว่ามีบริษัทรถยนต์ในยุโรปที่จะเลิกผลิตรถยนต์ใช้น้ำมันภายในปี 2019 (ปีนี้แล้วสิเนี่ย)
อยากเห็นจริง ๆ ว่าบริษัทไหน
คือเข้าใจว่าท้ายที่สุดรถยนต์ในโลกนี้คงไปในทาง EV
แต่คงไม่ใช่ปี 2025 ที่รถออกใหม่ทุกคันเป็น EV ทั้งหมดแน่ ๆ
แค่ที่เห็นในบทความที่ยกข้อดีทั้งหมดของ EV มา แต่ไม่พูดถึงเรื่องข้อเสียหรืออุปสรรคใด ๆ เลย
ก็รู้แล้วว่าเป็นนักเพ้อฝันมากกว่าที่จะเป็นนักวิชาการครับ
ส่วนที่ว่าอยากให้รัฐ subsidy รถ EV แก่ผู้ซื้อสักคันละสองแสน
โถ...พี่ เงินของรัฐ รายได้ของรัฐมันก็มาจากภาษีที่เก็บจากประชาชนอย่างพวกเรานี่นะครับ
เอาเงินที่เก็บจากคนทุกคน ไป subsidy ให้กับคนที่จะซื้อรถ EV จะดีเหรอครับ
เว้นแต่ว่าจะเอามาซื้อรถสาธารณะทั้งหมดเป็นรถ EV อันนี้โอเคฮะ
แต่ถ้าเป็นรถส่วนตัว "ใครใช้ คนนั้นซื้อ" ดีกว่าฮะ
-
ให้อีก 20 ปี รถน้ำมันยังไม่หมดเลย
-
ให้อีก 20 ปี รถน้ำมันยังไม่หมดเลย
เมื่อความต้องการใช้น้ำมันในตลาดลด ราคาน้ำมันก็จะถูก คนก็ลังเล ยังกลับไปใช้อีก
และเมื่อความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงมากขึ้น ไฟฟ้าต่อหน่วยก็จะเพิ่มขึ้นไปอีก เผลอๆถึงจุกนึงราคาเท่าน้ำมันเลย
ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้วยังอีกนานมาก
-
ถึงแม้จะมีข้อดีมากมาย ใครขับก็ติดใจ แต่ไม่ได้แปลว่าจะเหมาะกับทุกคน ตราบใดที่ยังไม่มีการห้ามขายรถที่ใช้เครื่องยนต์ เราก็จะยังเห็นรถใช้น้ำมันอยู่ดี
https://youtu.be/Qo4byxhI6kY
-
ถ้ารถยนต์ไฟฟ้า มันวิ่งจากกรุงเทพยาวจนถึงเชียงใหม่ได้ โดยไม่ต้องแวะชาร์จไฟ นั่นล่ะครับค่อยว่ากัน
รถเครื่องยนต์สันดาบ มันได้เปรียบในการใช้งานที่ต้องใช้ระยะทางมากๆครับ ขนาดรถไฟฟ้า วิ่งทั้งวันได้เพราะมีไฟเลี้ยงตลอด แต่รถยนต์ไฟฟ้าไม่มีทำไงให้วิ่งยาวๆได้
ถ้ายังทำไม่ได้ มันก็เกิดยากในเรื่องของความต้องการใช้งานครับ
-
มุมมองที่มี bias ยังงัยก็ไม่น่าเชื่อถือ ก่อนอื่นเลย เรื่องการแปลงพลังงาน บอกรถไฟฟ้าแปลงได้ 90-95% อันนี้จริงแค่ส่วนเดียว
ถ้า outcome คือการพาคนจากจุด 1 ไปอีกจุดหนึ่ง โดยการอาศัยน้ำมันเป้นแหล่งพลังงานหลัก สามารถเอาน้ำมันไปใช้ได้ 2 วิธี
- แบบเดิม เอาน้ำมันที่กลั่นแล้ว ใส่รถยนต์เครื่องสันดาปแล้วพาไปจุดหมาย ถ้าเคสนี้ ประสิทธิภาพ 17-21% (อ้างตัวเลขที่ว่ามา)
-แบบใหม่ เอาน้ำมันที่กลั่นแล้ว ไปผลิตไฟฟ้า (โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม) ประสิทธภาพรวม 40-45% (เป็นค่ามาตรฐานของโรงไฟฟ้าแบบนี้)
(ตัวเลขนี้ไม่ค่อยพูดกันนะไม่รู้ทำไม อาจจะบอกว่าจะใช้พลังงานสะอาดอย่างพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากแผงโซล่า ก็อย่าลืมต้นทุนแฝงอย่างแบตเตอรี่ที่มีราคาแพงด้วยนะ)
กับ ประสิทธืภาพรถไฟฟ้า 90-95% (ชอบพูดกันแต่ตัวเลขนี้) จะเห้นว่า ประสิทธิภาพดีขึ้นไม่เกิน 2 เท่าตัวแค่นั้น ไม่ 4-5 เท่าแบบตัวเลขแรก
แน่นอนว่าถึงยังงัยรถไฟฟ้าก็ประสิทธิภาพดีกว่า แต่ในเรื่องต้นทุนเทคโนโลยีที่สูงลิ่ว มันเลยฉุดรถไฟฟ้าไม่ให้เติบโต ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่เห็น tuning point ของการเปลี่ยนแปลงแบตเตอรี่เลย
ปล. เดาว่าในประเทศไทย ที่ตลาดรถไม่ได้อิสระเสรีที่จะทำอะไรก็ได้ 5 ปี ไม่มีทางแน่ๆ 10 ปี นี่ยังต้องคิดให้หนักเลย เพราะแบตเตอรี่ซึ่งเป้นอุปกรณ์สำคัญที่สุดของรถ
ยังไม่ mass และ ยังมีปัญหาแฝงในอนาคต เรื่องการกำจัดหรือรียูสแบตเตอรี่ที่หมดหรือเสื่อมสภาพแล้ว อีกด้วย ใครทำ ใครลงทุน ส่วนใครจ่ายไม่ต้องเดาคนซื้อแบตแน่ๆ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
-
ส่วนตัวผมอ่านแล้วคิดว่าบทความนี้ไม่น่าสนใจครับ หลายๆอย่างเหมือนเป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้คิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วน และมี Bias เยอะเกินไปสำหรับปัจจุบันที่จับต้องได้
ถึงแม้จะมีข้อดีมากมาย ใครขับก็ติดใจ แต่ไม่ได้แปลว่าจะเหมาะกับทุกคน ตราบใดที่ยังไม่มีการห้ามขายรถที่ใช้เครื่องยนต์ เราก็จะยังเห็นรถใช้น้ำมันอยู่ดี
https://youtu.be/Qo4byxhI6kY
+1 ครับ คลิปนี้ผมดูแล้วเหมือนกัน มีประโยชน์มากครับ
ส่วนตัวขอดูแนวโน้มใกล้ๆก่อน ไม่คิดจะมองไกล อาจเพ้อฝันบ้างแต่จะอยู่กับความจริงครับ
ส่วนอนาคตเป็นเรื่องของผู้ผลิตและนักวิจัยที่ต้องทำงานหนักเพื่อให้ความคาดหวังเกิดขึ้นเป็นความจริง ก็ขอให้ทำสำเร็จครับ