Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: ภูมิใจไหม? ที่ สิงหาคม 03, 2019, 10:38:28
-
เวลา start ตอนเช้า ผมจะรอให้เข็มวัดรอบตก แล้วค่อยเคลื่อนตัว
โดยผมเชื่อว่ามันเป็นการถนอมเครื่องยนต์
ทำนองเดียวกันกับบางคนทำ cool down หลังจากที่วิ่งมา
แต่ผมมีข้อสงสัยหลายอย่างเช่น
ทำตอนไหน? ตอนวิ่งทางไกลมา?
ทำอย่างไร? ต้องเปิดฝากระโปรงไหม ต้องปิดแอร์ทั้งหมด หรือปิดเฉพาะปุ่ม AC หรือไม่ต้องปิดแอร์
นานไหม? จะรู้ได้อย่างไรว่าควรดับเครื่องได้แล้ว
ทำไปทำไมและเพื่ออะไรครับ?
-
เหมือนเตะบอล
ช่วงซ้อม ก็ต้องวอร์มอัพ เตะซ้อม วอร์มดาวน์
ช่วงแข่งอุ่นเครื่องหรือแข่งจริง ก็ต้องวอร์มอัพ เตะแข่ง วอร์มดาวน์
-
เรื่องปิดแอร์กับ cool down ผมมองแยกกัน
ปิดแอร์คือไล่ความชื้นที่อาจตกค้างในระบบหลังปิดแอร์ อันดนื่องจากบ้านเราเป็นเมืองความชื้นในอากาศสูงเกิดการควบแน่นง่าย .. ปกติผมจะปิด a/c ตอนเข้าหมู่บ้าน กว่าจะจอดรถ ดับเครื่อง ก็ราวๆ 3 นาที แต่ถ้าขับคนเดียวก็จะปิดก่อนหน้านั้นนานหน่อย ราวๆ 5-10 นาที
ส่วน cool down จริงๆคือ เข้าใจว่าทำเพื่อให้ทุกอย่างกลับสู่อุญหภูมิทำงานปกติก่อน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ร้อนแล้วติด (เช่น แกนเทอร์โบมีน้ำมันค้าง) หรือ crack จากการที่หายร้อนเร็วไป (เช่น ท่อไอเสีย หรือจานเบรค) .. ซึ่งปกติถ้าไม่ได้"หวด"มา การใช้งานปกติไม่น่าจำเป็นต้องตั้งใจ cool down นะครับ
-
แค่ขับย่องๆก่อนถึงบ้านสัก 1 โลก็เพียงพอแล้ว
-
Warm upเครื่องจำเป็นครับ ให้warmจนกว่า สัญลักษณ์ Cool บนหน้าจอดับไปก่อนค่อยเข้าเกียร์ออกรถ ส่วนCooldown โดนการจอดเกียร์ pหรือn ก่อนแล้วค่อยดับเครืรองไม่จำเป็นครับ ถ้าไม่ใช่เครื่องยนต์turdo ใช้งานเสร็จจอดรถดับเครื่องได้เลย ....อาจารย์วิศวะ สาขาเครืรองกลท่านได้กล่าวไว้
-
สำหรับที่อัดหนักๆรอบสูง อย่างเวลาซัดรถเล่น พอเสร็จเปิดฝากระโปงมาถ้ามีเทอร์โบจะเห็นชัดเลยว่าเทอร์โบกลายเป็นสีแดงเลย จอดติดเครื่องไว้รอเทอร์โบกลับเป็นสีปกนั่นล่ะเรียกคูลดาวน์ อันนี้รถโรงงานเดิมๆยังเป็นเลย ส่วน na ไม่ค่อยมีให้เห็นแล้ว ตัวอย่างก็พวกฮอนด้า b16 รอบประมาณหมื่นนึง แบบนี้เฮดเดอร์ก็แดงเหมือนกัน
ลองนึกถึงแก้วที่ใส่น้ำร้อนอยู่ เทออกแล้วใส่น้ำเย็นทันทีแก้วจะแตก เครื่องยนตร์ก็เหมือนกัน มันไม่ได้เปราะบางแบบแก้ว แต่ทำบ่อยๆสะสมกันก็ไม่ดี
ถ้าใช้รอบไม่สูงมากต่อให้วิ่งเร็วมาก็ไม่เป็นไรไม่ต้องคูลดาวน์ รถเดี๋ยวนี้ที 9-เกียร์กันแล้ว บางทีวิ่ง 160 รอบเครื่องแค่ 3000 แค่นี้ไม่จำเป็น ถึงบ้านดับเครื่องได้เลย
-
คูลดาวน์สำหรับเครื่องยนต์คงเป็นอย่างท่านสมาชิกข้างบนบอก..การเดินเบาหรือวิ่งช้าๆก่อนการจอดรถหลังจากที่อัดมาเช่น ใช้รอบสูงต่อเนื่องหรือไต่ทางชัน..จะช่วยให้ความร้อนในเครื่องยนต์ลดลงมาในระดับที่ปลอดภัยก่อนการดับเครื่อง เรื่องเครื่องเทอร์โบ..แม้ปัจจุบันจะเป็น oilless shaft แล้วก็ควรคูลดาวน์ เพราะความร้อนสูงที่สะสมสามารถถ่ายไปชิ้นส่วนที่ติดกันได้ น้ำมันเครื่องที่คั่งอยู่ใกล้ๆบริเวณเกิดไหม้และเป็นคราบ/ตะกอนได้ นอกจากจะคูลดาวน์เครื่อง ผมยังเปิดฝากระโปรงรถทุกครั้งที่ทำได้..เพื่อเร่งการระบายความร้อน น่าจะช่วยให้ชิ้นส่วนยางหรือพลาสติกในห้องเครื่องไม่ต้องถูกอบทิ้งไว้เป็นเวลานานๆ หวังว่าจะช่วยยืดอายุชิ้นส่วนให้อยู่ได้นานขึ้นครับ.
-
ขอเสริมจากเม้นท์ด้านบน
รถที่มีเกจ์หรือตัววัดอุณหภูมิหม้อน้ำเป็นตัวเลข จะเห็นได้ชัดว่า ตอนเหยียบมา 120-140 กม./ชม.
พอจอดรถปุ๊บ อุณหภูมิหม้อน้ำสูงขึ้นทันที สูงกว่าตอนเหยียบ 120
ทั้งที่รอบเครื่องยนต์ลดลง อยู่ที่รอบเดินเบา เพราะไม่มีลมปะทะเหมือนตอนรถวิ่ง มีแค่ลมจากพัดลมระบายความร้อน
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลนึง ที่ไม่ควรดับเครื่องยนต์ทันทีครับ
-
เรื่องเปิดฝาห้องเครื่องตอนเข้าบ้านนี่
ทำประจำครับ
อย่างน้อยป้องกันหนูเข้าห้องเครื่องด้วย
แต่ก็ทำให้ต้องทำความสะอาดห้องเครื่องเร็วขึ้นบ้าง
-
สำหรับ Cool Down พูดในเคสของรถใช้งานทั่วไปนะครับ รถสนามแข่งอีกเรื่องนึง
ถ้ากระบะเทอร์โบยุคปัจจุบัน วนในกรุงเทพแทบไม่มีความจำเป็นต้องทำ เพราะใช้รอบต่ำอยู่ตลอด
แต่ถ้าวิ่งทางไกลอัด 120 -140 เวลาจอดก็เดินเบาซัก 2 นาที ลงมายืดเส้นยืดสาย เดินดูรอบรถ ตรวจความเรียบร้อย
แล้วค่อยไปดับเครื่องก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดรอห้านาทีให้เสียเวลา
เก๋งเบนซิน"ไม่มี"เทอร์โบส่วนใหญ่ดับได้เลย ไม่ว่าจะในเมืองหรือวิ่งทางไกล ส่วนใหญ่ถูกบังคับด้วยพัดลมแอร์หน้ารถ อุณหภูมิมักจะไม่ค่อยเลยเท่าไร
ยกเว้นรถเทอร์โบ ก็อาจเข้าเงื่อนไขของกระบะเทอร์โบ ถ้าวิ่งมาไกลๆก็รอซัก 1-2 นาที ไถ Facebook ไปเรื่อยๆ แล้วค่อยดับเครื่องครับ
เรื่องเปิดฝาหน้าระบายผมทำประจำครับ ตอนถึงที่ทำงานและตอนเข้าบ้าน วิ่งในเมืองร้อนจริงๆ
-
ผมอยากถามว่า พวกเบนซีนเทอร์โบ ที่ต้อง cool down
ถ้าผมรอบ ไม่เกิน 3000แต่เทอร์โบก็ทำงาน ยังต้อง cool down ไหมครับ ปกติขับในหมู่บ้าน ตั้งแต่ทางเข้า ถึงบ้าน 5 นาที เลยไม่เคย cool down เลยครับ
-
ในคู่มือAMG บอกไว้นะครับ ก่อนดับเครื่องยนต์ต้องค่อยๆเบาเครื่องลง ปิดแอร์ ปิดเครื่องเสียง เพื่อลดการทำงานของเทอร์โบก่อน
ประมาณนั้น เดี๋ยวขอเวลาหาที่ถ่ายไว้ก่อนนะ จำไม่ได้ว่าเก็บไว้ตรงไหน
-
คุยเฉพาะรถ Turbo นะครับ
ถ้าขับในเมือง หรือ วิ่งมายาวๆ แล้วกลับบ้าน กว่าจะรอเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน คลานในหมู่บ้าน มารอเปิดประตูรั้ว ถอยรถ โยกรถ กว่าจะเข้าได้ อันนี้ผมดับเครื่องเลย ไม่มีปัญหา แต่ผมเปิดฝากระโปรงทุกครั้งครับ เพราะในห้องเครื่องจะร้อนมาก เมื่อเทียบกับเครื่องอีกคัน
ถ้าทางไกล มันจะมีสถานการณ์แบบว่า ซัดมา 100 - 120 - 140 ลงเขามา ไล่ตบชาวบ้านมา แล้วเจอปั๊ม เบรคแล้วเลี้ยวเลย .. อันนี้แรกๆลืม ดับเครื่องเลย ปรากฎว่า พัดลมไฟฟ้าหมุนต่อยาวๆเลยครับ
ตอนหลัง ก็เลยใช้วิธี พกกุญแจสำรอง ปล่อยเดินเบาไว้ วิ่งเข้าห้องน้ำ แล้วก็ออกมา แต่ถ้าจะอยู่ปั๊มนานกว่านั้น ก็จะนั่งเล่นในรถสัก 2 นาที แล้วถึงดับครับ
-
ผมอยากถามว่า พวกเบนซีนเทอร์โบ ที่ต้อง cool down
ถ้าผมรอบ ไม่เกิน 3000แต่เทอร์โบก็ทำงาน ยังต้อง cool down ไหมครับ ปกติขับในหมู่บ้าน ตั้งแต่ทางเข้า ถึงบ้าน 5 นาที เลยไม่เคย cool down เลยครับ
จากปากซอยมาบ้าน ถ้าวิ่ง 20-40 มาเรื่อยๆ ไม่ได้ลากเกียร์อะไร
ถึงบ้านก็ปล่อยเดินเบา ลงไปเปิดประตูเอารถเข้าบ้าน จากนั้นดับได้เลยครับ
-
Warm Up เครื่องยนต์จำเป็นมาก ในตอนเช้า
Cool Down วิ่งในเมือง มาเรื่อยๆ เข้าห้าง เข้าซอยและหมู่บ้าน ดับเครื่องยนต์ได้เลย
วิ่งต่างจังหวัด ทางยาวๆ อันนี้ต้อง Cool Down ก่อนดับเครื่องยนต์ 1-3 นาที
ถึงบ้าน เปิดฝากระโปรงรถ เพื่อระบายความร้อน ทำประจำ ก่อนนอนค่อยมาปิดครับ
-
ทางทฤษฎีวิชาการ ขอเก็บความรู้ด้วยคน ::)
ทางปฏิบัติผมทำคล้ายๆเพื่อนสมาชิกหลายๆท่าน
รถผมปัจจุบันไม่มี turbo , รัศมี 5 นาที รอบบ้าน ไม่มีทางโล่งๆให้ขับเร็ว เร็วสุดก็ 60-80 กม/ชม
start รถ รอให้เข็มวัดรอบตกลงมาถึงรอบเดินเบาปกติ ค่อยออกรถ
ขากลับ ถึงบ้านดับเครื่องเลย (เพราะขับชิลๆมา 5 นาทีก่อนถึงบ้านแล้ว)
มีสมัยก่อน นานแล้ว ลงเครื่อง turbo แล้วติด turbo timer ด้วย
พอถึงบ้านก็ดึงกุญแจออก ลงรถไป แต่เครื่องยังไม่ดับ ให้มันติดอยู่อีก 2 นาที แล้วให้มันดับเองด้วย turbo timer
ไม่รู้ว่ารถ turbo ยุคใหม่ ที่มีระบบ start-stop ด้วย ถ้าวิ่งทางต่างจังหวัด ซัดมาหนักๆ เจอไฟแดง จอด ถ้าระบบ start stop มันดับเครื่องให้ทันที จะเป็นอะไรหรือไม่
-
คหสต
จากการที่สังเกตุ มาตรวัดอุณหภูมิ จาก obd และ เกจน์แยก ทั้ง water และ oil
ช่วง warm up บ้านเราอุณหภูมิไม่ได้ต่ำแบบเมืองหนาว การรอจนให้ตัวเร่งรอบ ลดรอบ มันนานเกินความจำเป็น
ช่วงอันตรายที่สุดคือ ช่วง วินาทีแรกๆ ที่น้้ำมันเครื่องยังไม่สามารถหล่อเลี้ยงเครื่องได้ทั่วถึง รวมถึงน้ำมันเกียร์ด้วย
ช่วงวอร์มอัพ เคยจับเทียบระยะทาง ถ้าสตาร์ท ทิ้งไว้สักสามสิบวิ
รัดเข็มขัด เก็บมือถือ เปิดเพลง เช็คกระจก ดูหน้า ดูหลัง ก็สามสิบวิละ
แล้วขับออกไป ช้าๆ รอบเครื่องต่ำๆ จนอุณหภูมิน้ำ เทียบเท่ากับช่วงที่จอดติด
เครื่องจนรอบตก จะได้ระยะประมาณ หนึ่งกิโลเมตร
ถ้าเราวอร์มเครื่องนานๆ ปีนึงเท่ากับเราเผาน้ำมันทิ้งฟรีๆ ไปพอสมควร
ส่วน cooldown ปรกติ ถ้าใช้งานทั่วไป ไม่ได้อัดมาแบบสุดๆ แล้วองจอดดับเครื่องทันที o
ก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไร ช่วงรถความเร็วต่ำ อุณหภูิน้ำ จะลดลงเร็วมาก เพราะ มีทั้งลมผ่าน มีทั้งพัดลมแอร์ช่วย ถึงแม้ oil temp จะลดช้ากว่าน้ำ แต่มันก็ไม่ได้สูงเวอร์ ถ้าเครื่องใช้โหลดปรกติ
พวกระบบน้ำมันเครื่อง มักจะระบายความร้อนร่วมกับหม้อน้ำอยู่แล้ว ดู oil temp ส่วนมากก็จะเท่ากับหม้อน้ำ ยกเว้น ตอนใช้รอบจัดหรือ โหลดเยอะๆ อันนั้นจะสูงกว่า ลงช้ากว่าด้วย
ถ้าก่อนจอดใช้รอบปรกติ สักห้าร้อยเมตร ก็ดับได้เลย ไม่ต้องกังวล
ทำสองอย่างนี้ให้พอดีๆ เท่ากับได้น้ำมันคืนมาปีนึง หลายร้อยกิโลอยู่นะ
-
คหสต
จากการที่สังเกตุ มาตรวัดอุณหภูมิ จาก obd และ เกจน์แยก ทั้ง water และ oil
ช่วง warm up บ้านเราอุณหภูมิไม่ได้ต่ำแบบเมืองหนาว การรอจนให้ตัวเร่งรอบ ลดรอบ มันนานเกินความจำเป็น
ช่วงอันตรายที่สุดคือ ช่วง วินาทีแรกๆ ที่น้้ำมันเครื่องยังไม่สามารถหล่อเลี้ยงเครื่องได้ทั่วถึง รวมถึงน้ำมันเกียร์ด้วย
ช่วงวอร์มอัพ เคยจับเทียบระยะทาง ถ้าสตาร์ท ทิ้งไว้สักสามสิบวิ
รัดเข็มขัด เก็บมือถือ เปิดเพลง เช็คกระจก ดูหน้า ดูหลัง ก็สามสิบวิละ
แล้วขับออกไป ช้าๆ รอบเครื่องต่ำๆ จนอุณหภูมิน้ำ เทียบเท่ากับช่วงที่จอดติด
เครื่องจนรอบตก จะได้ระยะประมาณ หนึ่งกิโลเมตร
ถ้าเราวอร์มเครื่องนานๆ ปีนึงเท่ากับเราเผาน้ำมันทิ้งฟรีๆ ไปพอสมควร
ส่วน cooldown ปรกติ ถ้าใช้งานทั่วไป ไม่ได้อัดมาแบบสุดๆ แล้วองจอดดับเครื่องทันที o
ก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไร ช่วงรถความเร็วต่ำ อุณหภูิน้ำ จะลดลงเร็วมาก เพราะ มีทั้งลมผ่าน มีทั้งพัดลมแอร์ช่วย ถึงแม้ oil temp จะลดช้ากว่าน้ำ แต่มันก็ไม่ได้สูงเวอร์ ถ้าเครื่องใช้โหลดปรกติ
พวกระบบน้ำมันเครื่อง มักจะระบายความร้อนร่วมกับหม้อน้ำอยู่แล้ว ดู oil temp ส่วนมากก็จะเท่ากับหม้อน้ำ ยกเว้น ตอนใช้รอบจัดหรือ โหลดเยอะๆ อันนั้นจะสูงกว่า ลงช้ากว่าด้วย
ถ้าก่อนจอดใช้รอบปรกติ สักห้าร้อยเมตร ก็ดับได้เลย ไม่ต้องกังวล
ทำสองอย่างนี้ให้พอดีๆ เท่ากับได้น้ำมันคืนมาปีนึง หลายร้อยกิโลอยู่นะ
ชัดเจนครับ เครื่องยนต์เทอร์โบสมัยนี้ มีน้ำเลี้ยงเสื้อแกนกันเกือบหมดทั้งเบนซิน, ดีเซล น้ำหม้อน้ำนี่ละครับ ขึ้นลงเร็วสุด ผมใช้เครื่องเบนซินเทอร์โบใหญ่ที่ต่อน้ำเลี้ยงเสื้อแกน อัดมาหนักๆแค่ชลอเข้าจนจอดหน้าห้องน้ำ ก็เพียงพอสุดๆ เพียงแต่เฮดเดอร์ยังแดงชัดเจน สำหรับเครื่องเบนซินเทอร์โบ
-
ปกติ ถ้าเราขับทางไกล แล้วจะแวะปั๊ม ช่วงที่เราติดไฟแดง หรือชะลอความเร็ว ช่วงนี้ก็ถือว่า cool down ไปได้เยอะแล้วไม่จำเป็นต้อง จอดฟรีเครื่องในปั๊มนานเกินไป จนกินน้ำมันโดยใช่เหตุ หรือถ้ากลัวลืมที่จะสตาร์ทรถทิ้งไว้ ก็ติดเทอร์โบร์ทามเมอร์ไว้ครับ เพราะตัวนี้ช่วยได้เยอะมาก
-
คหสต
จากการที่สังเกตุ มาตรวัดอุณหภูมิ จาก obd และ เกจน์แยก ทั้ง water และ oil
ช่วง warm up บ้านเราอุณหภูมิไม่ได้ต่ำแบบเมืองหนาว การรอจนให้ตัวเร่งรอบ ลดรอบ มันนานเกินความจำเป็น
ช่วงอันตรายที่สุดคือ ช่วง วินาทีแรกๆ ที่น้้ำมันเครื่องยังไม่สามารถหล่อเลี้ยงเครื่องได้ทั่วถึง รวมถึงน้ำมันเกียร์ด้วย
ช่วงวอร์มอัพ เคยจับเทียบระยะทาง ถ้าสตาร์ท ทิ้งไว้สักสามสิบวิ
รัดเข็มขัด เก็บมือถือ เปิดเพลง เช็คกระจก ดูหน้า ดูหลัง ก็สามสิบวิละ
แล้วขับออกไป ช้าๆ รอบเครื่องต่ำๆ จนอุณหภูมิน้ำ เทียบเท่ากับช่วงที่จอดติด
เครื่องจนรอบตก จะได้ระยะประมาณ หนึ่งกิโลเมตร
ถ้าเราวอร์มเครื่องนานๆ ปีนึงเท่ากับเราเผาน้ำมันทิ้งฟรีๆ ไปพอสมควร
ส่วน cooldown ปรกติ ถ้าใช้งานทั่วไป ไม่ได้อัดมาแบบสุดๆ แล้วองจอดดับเครื่องทันที o
ก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไร ช่วงรถความเร็วต่ำ อุณหภูิน้ำ จะลดลงเร็วมาก เพราะ มีทั้งลมผ่าน มีทั้งพัดลมแอร์ช่วย ถึงแม้ oil temp จะลดช้ากว่าน้ำ แต่มันก็ไม่ได้สูงเวอร์ ถ้าเครื่องใช้โหลดปรกติ
พวกระบบน้ำมันเครื่อง มักจะระบายความร้อนร่วมกับหม้อน้ำอยู่แล้ว ดู oil temp ส่วนมากก็จะเท่ากับหม้อน้ำ ยกเว้น ตอนใช้รอบจัดหรือ โหลดเยอะๆ อันนั้นจะสูงกว่า ลงช้ากว่าด้วย
ถ้าก่อนจอดใช้รอบปรกติ สักห้าร้อยเมตร ก็ดับได้เลย ไม่ต้องกังวล
ทำสองอย่างนี้ให้พอดีๆ เท่ากับได้น้ำมันคืนมาปีนึง หลายร้อยกิโลอยู่นะ
+1 ครับ รถผมก็เห็น oil temp เป็นแบบที่บอกครับ ถ้ารถมีเทอร์โบ ซัดมายาวๆ ขับรอบต่ำๆมา 1 กิโลเมตรสุดท้าย ตอนจอดดับเครื่องได้เลยครับ อุณหภูมิลงมาเยอะมากๆครับ
-
ผมลองเปิดคู่มือรถผมดู (รถอายุ 17 ปี เครื่อง na) เห็นมีเขียนเกี่ยวกับการดับเครื่องไว้บ้างเหมือนกันตามรูปครับ
(รูปที่ 2 ไม่มีอะไรมาก แค่แสดงให้เห็นว่ารูปแรกแคปมาจากส่วนบนด้านซ้ายของหน้านี้)
-
ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความรู้ครับ
และทำให้รู้ว่าชาว HLM เราดูแลถนอมรถอย่างดีจริง ๆ ครับ
-
ขอบคุณสำหรับความรู้และคำแนะนำครับ
-
เข้ามาเก็บความรู้ ขอบคุณครับ :)
รถแก๊ส LPG ผมก็เปิดกระโปรงรถตลอด
เพราะความร้อนมันลอยขึ้นด้านบน
พอจอดมันเป็นเตาอบความร้อนออกยาก
เปิดกระโปรงทีระบายต่างกันมากเลยครับ
รถไฮบริด เย็นเฉียบแบบเหล็กโดนลมถ้าวิ่งในเมือง
ส่วนวิ่งทางไกลยังแค่อุ่นๆ เลยไม่ได้เปิดครับ
-
ขอเพิ่มเติม
ที่จอดรถบนห้างร้อนกว่าเยอะครับ
ทั้งขึ้นเนิน ทั้งไม่มีลมระบาย
อุณภูมิปกติ 85-90
เข้าที่จอดรถบนห้างทีไร 95+
-
ผมทำคันที่มีโบนะ กลัวมันพัง แค่3-5นาทีไม่ได้เปลืองน้ำมันเท่าไหร่
ส่วนแอร์ผมจะปิดก่อน นานๆทีจะปิดACแล้วเปิดลมแรงๆ(ตอนรู้สึกว่าแอร์เริ่มเหม็นอับ)
ฝากระโปรงหลักๆคือเปิดกันหนู รองลงมาคือระบายความร้อน
-
Warm up ถ้าเป็นรถรุ่นใหม่ที่มีกล่อง ECU ควบคุมแล้ว "ไม่จำเป็น"
เพียงแต่ว่า หลังจากการจอดรถนานกว่า 8ชม.ขึ้นไป นมค.ไหลลงไปอยู่ก้นอ่างซะมาก
เมื่อ start รถ เพื่อใช้แล้ว ไม่ควรเร่งรอบสูงเลยซะทีเดียว เพื่อป้องกัน นมค.ไหลไปยังไม่ทั่วถึงดี
เร่งตามปกติ ใช้ตามปกติ เมื่อความร้อนอยู่ในระดับใช้งานแล้ว ก็ตามสะดวก
Cool down จำเป็นมากสำหรับรถมี Turbo เพราะมันปั่นหมุนเป็น "แสนรอบ" ต่อนาที
ถ้าไม่ได้อัดมาต่อเนื่อง "เบาๆ" ซักนาทีก่อนถึงจุดหมายก็เพียงพอ
แต่ถ้าอัดมาอย่างโหดเหี้ยม ซัก 3-5 นาที ก่อนถึงจุดหมายได้จะดีมาก
สำหรับ NA จะเอาสูตรเดียวกับ Turbo ไปใช้ก็ไม่ผิด
เพียงแต่ ไม่ว่าจะ Warm up or Cool down
ถ้าใช้เวลามาก "มลพิษ" และความสิ้นเปลืองจะมากขึ้นตามเวลา
-
เรื่อง Warm up ผมว่า ควรนะ เพราะอย่างที่หลายๆ ทฤษฏีก็บอกไว้ว่า เครื่องยนต์สึกหรอมากที่สุดคือตอนสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ๆ เนี่ยละ ส่วนนานแค่ไหน ก็และแต่สะดวก
ส่วนเรื่อง Cooldown เอาง่ายๆ เลย มอง ณ ปัจจุบัน
Cooldown สำหรับรถ รถ NA แทบไม่ต้องเลย ขับมาถึงจอดดับเครื่องยนต์ได้ทันที
Cooldown สำหรับรถ รถ Turbo ก็แทบไม่ต้องเลย แค่วิ่งธรรมดาๆ เข้าซอยก่อนถึงบ้านก็พอแล้ว จอดดับเครื่องยนต์ได้ทันที เช่นกัน
แต่... การ Cooldown สำหรับรถ รุ่นก่อนๆ รถเก่าๆ ที่ตัวยังเป็น ชาร์ป อยู่ จะเจอปัญหาว่าน้ำมันเครื่องที่ร้อนจัดๆ จะสะสมอยู่ในชาร์ป แล้วถ้าดับเครื่องยนต์ทันที จะทำให้น้ำมันตรงจุดนั้น ข้นตัว แห้ง แข็ง แล้วจะส่งผลให้เวลาเราสตาร์คเครื่องยนต์อีกครั้ง ชาร์ปจะติด หนักสุดก็ชาร์ปละลาย แล้วก็เกิดการบรรลัยตามมา ยิ่งรถ Turbo ยุด 90 นี่จะรู้กันเลย
-
รถรุ่นใหม่ๆส่วนมาก โดยเฉพาะทางยุโรป
ถ้าเราดับเครื่องแล้วอุณหภูมิอะไรมันยังร้อนเกินไป ปั๊มน้ำ และ พัดลมไฟฟ้าทำงานต่อเองครับ
และจะตัดเมื่อได้อุณหภูมิที่เหมาะสมแล้ว
-
ควรทำทั้งตอนติดเครื่อง และก่อนจะดับเครื่อง
-
ผมขอรักคน มากกว่ารถ ละกัน รถผม ทั้ง bb และรถยนต์ start แล้ว
เข้าเกียร์ ออกทันที แต่ไม่เร่งเครือง ถึงปากซอย อุณหภูมิ เข้าที่พอดี
bb ducati start ประมาณ 3-5 วินาที รอยเครื่องลดลง เข้าเกียร์ เลี้ยงครัช
ไม่งิดคันเร่ง ถึงปากซอย วิ่งชิดซ้าย ไปก่อน จนได้ประมาณ 3 นาที ค่อยบิด
ทหอย่างนี้มา เกือบ10 ปีแล้ว กลับถึงบ้าน ดังเครื่องทันที รถไมเคยมีปัญหาเลย