Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Ryu ที่ มกราคม 23, 2020, 09:49:45
-
จากปัญหาฝุ่น pm 2.5 หากรัฐบาลแก้ไขโดยทำการยกเลิกเครื่องยนต์ดีเซลในรถยนต์ เหมือนหลาย ๆ ประเทศที่เขาเลิกใช้ ท่านว่ารัฐบาลจะทำสำเร็จไหม
-
คิดว่าทำไม่ได้แน่นอนครับ ประเทศอื่นเค้ายังยกเลิกไม่ได้เลย อย่างน้อยมีรถบรรทุกก็ต้องใช้เครื่องดีเซลอยู่
-
ผมว่าไปโฟกัสรถที่อายุเกิน 15ปีขึ้นไปที่ควันดำๆ ดีกว่าครับ รถบัสโดยสาร รถบรรทุก รถกระบะ เก่าๆ ควันดำๆ เนี่ย แค่เห็นก็แสบจมูกละ :-X
-
ไม่มีทางเป็นไปได้100%ครับ ต่อให้อีกสัก30ปีก็ยังเป็นไปไม่ได้
-
ก่อนจะว่าดีเซลเป็นปัญหาทุกอย่าง ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมของดีเซล Euro 6 ก็ดีนะครับ
ถามว่ายกเลิกได้ไหม ลองสิเดี๋ยวจะรู้ หึหึ ขนาดเข็มขัดนิรภัย เรื่องความเป็นความตายยังควบคุมไม่ได้เลย
-
มีขยะ ก็ให้เลิกใช้ถุง
มีฝุ่น ก็จะเลิกใช้ดีเซล
มีคนเยอะ ก็คงดีดนิ้วให้หายไป
ธานอส?
หากเป็นโทนี่สตาร์ค คงคิดสิ่งรองรับ สร้างนวัตกรรม ::)
-
เอาแค่ บังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ยังไม่ได้เลย เช่นเผา จับควันดำ นับประสาอะไรกับเรื่องใหม่
-
มันไม่ใช่การแก้ไขปัญหา แต่เป็นการโยนบาปให้ประชาชน
ปัญหาฝุ่น มากจากรถยนต์ส่วนหนึ่ง แต่ลองไปดูในพื้นที่ PM2.5 ดูว่า มันไม่หนักเฉพาะกรุงเทพมหานคร
ต่างจังหวัดรถแทบบไม่มีวิ่ง ที่คิดว่าอากาศต้องดี ป่าเขียวขจี หายใจโล่งปอด ยัง PM2.5 พุ่งปรี๊ดเลย มันเกิดจากอะไร คิดแค่นี้ละ
-
ยากครับ ภาคขนส่งยังใช้ดีเซล
สิ่งที่ทำได้ คือ รถสาธารณะ บขส / ขสมก / แท็กซี่ ให้เป็น EV หรือ PHEV
ซึ่งจะเป็นไปได้มากกว่า , จีน ก็ใช้วิธีนี้ ในเมืองใหญ่
ส่วนภาคเอกชน ควรเริ่ม จากรถเก่า เกิน 10 หรือ 15 ปี ว่ากันไป ครับ ...
และอีกอย่าง EV คงไม่เกิด ถ้ายังหวงผลประโยชน์ กันอยู่
-
ยกเลิกทีเดียว มันเป็นไปไม่ได้ครับ ขนาดแค่เรื่องจัดการควันดำ ควันขาว ยังปวกเปียกอยู่เลย ถ้าจะไปถึงยกเลิกดีเซล ไม่มีทางทำได้ แถมคนด่าด้วย
ทางที่เป็นไปได้มากที่สุด คงเป็นการยกระดับมาตรฐานไอเสียเครื่องยนต์ตามรอบเวลา แบบพวก Euro4 Euro5 ฯลฯ
ส่วนรถเก่าก็ควรให้เวลาในการปรับปรุงเครื่องให้เข้ากับมาตรฐานนั้น, วางเครื่องใหม่ที่ได้มาตรฐานไอเสียที่ดีขึ้น, วางเครื่อง EV มาตรฐาน, ออกมาตรการแลกรถพร้อมสิทธิ์ทางภาษีและสวัสดิการต่างเพื่อเปลี่ยนผ่านรถเก่า รวมถึงคนที่ออกรถใหม่ด้วย และขายรถเก่าให้กับบริษัท Recycle แบบที่ในยุโรปและญี่ปุ่นบังคับใช้ ซึ่งอาจจะเอาไปแยกชิ้นส่วนเอาโลหะและวัตถุดิบมาใช้งานใหม่, เอามาซ่อมเป็นอะไหล่ใช้กับรถคันอื่น หรือขายออกไปให้ประเทศที่สาม ถ้าใช้รถเก่าต่อไปก็ต้องรับภาระภาษีเพิ่มขึ้น หรือไม่ให้ผ่าน เนื่องจากค่ามลภาวะ เว้นแต่จะแก้ไขรถตามที่ผมบอกไป
ไม่ควรบังคับใช้ในทีเดียว แต่ควรเป็นการบังคับทีละขั้นตอน ที่ละระดับที่กระทบประชาชนให้น้อยที่สุด แต่ถ้าปัญหามันลุกลามแล้วประชาชนยังดื้อดึงอยู่อย่างรุนแรง ค่อยใช้ไม้แข็งเป็นทางเลือกสุดท้าย
-
อย่างแรกอยากให้เข้มงวดกระบะควันดำก่อนเลยครับ
-
Phase Out สัก 5 ปี ก็น่าจะได้นะครับ :-\
-
ความคิดเห็นของผมคือยอมแพ้ความคิดเห็นของคนแก้ปัญหาครับ
คิดมาแต่ละอย่าง ไม่รู้จะเถียงยังไงเลย
-
ยากครับ เอาแค่บังคับเครื่องยนต์ Diesel ที่ต่ำกว่า Euro 5 ห้ามวิ่งก่อน รวมถึงรถสาธารณะทุกชนิด และรถไฟดีเซลรางเก่า ๆ แล้วก็จับพวกวัยรุ่นสร้างตัวที่ควันดำทุกคันก่อน ดีกว่า พวกนี้นี่แหละตัวสร้างฝุ่น PM2.5 เลย แล้วมันไม่ใช่แค่นั้นนะ
พวกชาวบ้านที่เผาป่อ้อยนี่ก็ตัวดีเลย อ้างว่าเป็นคนจนไม่มีเงินไถกลบ อยู่เรื่อย (โดยเฉพาะที่โคราช ตอนนี้เผากันเยอะมาก AQI พุ่งไป 163 แล้ว เยอะกว่ากรุงเทพมหานครและปริมณฑลอีก) ไม่ใช่แค่ป่าอ้อยหรอก ทุกป่าเลยแหละ รวมไปถึงนาข้าว และ พวกที่ชอบเผาขยะและใบไม้ด้วย จัดการพวกนี้ได้นะ ฝุ่นลดลงไปเยอะเลยแหละ
-
เป็นไปไม่ได้ครับ
2.5 มาจากต้นเหตุอื่นมากกว่า มีข้อมูลสรุปอยู่นะ ลองไปหาอ่านดู
เกาไม่ถูกที่ ยังไงก็ไม่หายเหรอก
รถเมถ์ควันดำ ตรวจยังไงก็ไม่เจอ ความเป็นจริงวิ่งกันให้เกลื่อน
-
ทำได้ก็ดีนะครับ ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับการนำเครื่องดีเซลมาใช้กับรถเก๋ง เป็นการใช้งานผิดประเภท ส่วนรถบรรทุกต่างๆผมเห็นว่ายังควรให้ใช้อยู่ แต่ต้องปรับมาตรฐานเครื่องยนต์ให้สูงขึ้น ยกเลิกเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นเก่าๆทั้งหมด
ไอเสียเครื่องยนต์ดีเซลมีพิษภัยมากกว่าที่คิดนะครับ แค่รถกระบะวิ่งผ่านผมต้องกลั้นหายใจ ไม่เช่นนั้นจะเวียนศีรษะและอาเจียน
ส่วนเรื่องฝุ่นหนักๆก็อยู่ในเมืองใหญ่ที่มีการก่อสร้าง ฝุ่นที่มาจากการก่อสร้างขุด เจาะ ทำถนนตกลงยังพื้นถนน รถเหยียบก็ฟุ้งลอยตัวขึ้นมา และเพราะมีการก่อสร้างทำให้รถติดเคลื่อนตัวได้ช้า รถจึงอยู่ในถนนนานขึ้น ปล่อยควันไอเสียออกมามากขึ้น สองอย่างผสมผสานกันก็เลยกลายเปนหมอกบางๆปกคลุมไปทั่วบริเวณ
-
เรื่องพวกนี้ทำได้มันก็ดีครับ เกิดผลดีแน่ๆแหละ
แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม จะยกเลิกอะไรก็ควรจะมีอะไรมารองรับครับ เรื่องถุงคนยังพอปรับตัวได้มีถุงผ้าอะไรต่างๆมาใช้แทนได้
แต่เรื่องเครื่องดีเซลนี่ถ้าหักดิบเลย มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะคงไม่สามารถขายหรือทิ้งรถคนเดิมแล้วซื้อคันใหม่เพื่อใช้เลยได้ทันทีแน่นอน
ขนาดเรื่องรถวิ่งวันคู่ วันคี่ เอง ด้วยระบบขนส่งมวลชน ณ ตอนนี้เอง ยังไม่สามารถรองรับการใช้งานเวลาปกติได้ทันเลยครับ
-
ถุงพลาสติกยังดีดนิ้วให้หายได้เลยฮะ มีเด๊ดลงเด็ดไลน์สิ้นปี
... กับรถดีเซลควันดำปี๋ ทำไมยากจัง :'( :'( :'(
-
เอารถเมย์กับรถของรัฐทั้งหมดให้หายควันดำก่อนครับ
-
เครื่องดีเซล มีผลต่อ เศรฐกิจ บ้านเราโดยตรง ทั้งด้านขนส่ง เกษตรกรรม ถ้ายกเลิก นั้นคือหายนะของรัฐเอง รัฐไม่กล้าหรอก
-
ต้องยอมรับกันก่อนว่าเครื่องดีเซลเป็นสาเหตุหลักสาเหตุหนึ่ง (หลายคนไม่รู้รายละเอียดและไม่สน..) แต่ปัญหาส่วนหนึ่งอยู่ที่การตรวจสอบและบังคับใช้ เช่น การที่ผู้ผลิตเพิ่มมาตรฐานรอบระยะการดูแลเพิ่มไปเป็นหมื่นโลหรือมากกว่าในบางคัน มีใครเคยสนใจผลกระทบหลังการใช้งานมั้ย..จะสนใจแค่ตัวเลขทดสอบก่อนวางจำหน่ายเพราะกฎหมายกำหนดเรื่องภาษีมลพิษ
ถ้าภาครัฐหรือหน่วยงานอิสระลองสุ่มทดสอบเครื่องดีเซลตามหลักสถิติแล้วเอาผลมายืนยัน จากนั้นค่อยกำหนดมาตรการ เช่น ทำสอบ ห้ามวิ่ง กำหนดรอบการเข้าบริการเปลี่ยนถ่ายนมค./อะไหล่ที่สึกหรอ ฯลฯ แบบนี้จะแก้ปัญหาได้ตรงจุดและไม่กระทบในวงกว้างจนเกินไป
-
อยากให้จัดการพวกกระบะพ่นหมึก วัยรุ่นสร้างตัวก่อนครับ วิ่งทีควันดำเป็นกิโล
-
ยากครับ เอาแค่บังคับเครื่องยนต์ Diesel ที่ต่ำกว่า Euro 5 ห้ามวิ่งก่อน รวมถึงรถสาธารณะทุกชนิด และรถไฟดีเซลรางเก่า ๆ แล้วก็จับพวกวัยรุ่นสร้างตัวที่ควันดำทุกคันก่อน ดีกว่า พวกนี้นี่แหละตัวสร้างฝุ่น PM2.5 เลย แล้วมันไม่ใช่แค่นั้นนะ
พวกชาวบ้านที่เผาป่อ้อยนี่ก็ตัวดีเลย อ้างว่าเป็นคนจนไม่มีเงินไถกลบ อยู่เรื่อย (โดยเฉพาะที่โคราช ตอนนี้เผากันเยอะมาก AQI พุ่งไป 163 แล้ว เยอะกว่ากรุงเทพมหานครและปริมณฑลอีก) ไม่ใช่แค่ป่าอ้อยหรอก ทุกป่าเลยแหละ รวมไปถึงนาข้าว และ พวกที่ชอบเผาขยะและใบไม้ด้วย จัดการพวกนี้ได้นะ ฝุ่นลดลงไปเยอะเลยแหละ
ไอ้พวกเผาอป่าอ้อย เผาซังข้าวนี่ตัวดีเลยครับ ไม่ยอมจับพวกมันมาลงโทษให้หนักๆสักที มีแต่ปล่อยให้เผาจนปิดบังเส้นทางจนเกิดอุบัติเหตุหลายครั้งแล้ว แต่เครื่องดีเซลนี้ถ้าแบนห้ามรถนั่งใช้เครื่องยนต์ดีเซลผมเห็นด้วย ไม่เฉพาะแค่รถเก๋งแต่ต้องรวมไปถึงกระบะ4ประตู SUV ทั้ง PPV และCross over ส่วนรถบรรทุกต้องบังคับให้ค่ามาตรฐานไอเสียดีด้วยครับ กับต้องจริงจังกับพวกวัยรุ่นสร้างตัวที่มันพ่นควันดำๆ เอาให้ยึดรถติดคุกได้ยิ่งดี
-
แถวบ้านผมนครปฐม แปลงหญ้าแปลงนาแถวนี้ เผาทุกวัน เทศบาลยังไม่ทพอะไรเลย แจ้งไปก็เท่านั้น ยังจัดการไม่ได้
รอบพุทธมณฑลคนมาวิ่งออกกำลังกาย แต่รอบนอกเผาต้นไม้ที่ตัดทิ้งกันทุกวัน คนวิ่งก็รมควันกันไป
รถดีเซลมีกี่ล้านคัน จัดการได้เหรอ ใหญ่กว่าเผาเยอะ
-
รถเมล์ไฟฟ้า ev ไม่นานเกินรอ ตอนนี้วิ่งทดสอบอยู่ สามสี่คัน ปลายปีน่าจะได้เห็น
-
คงยากมากครับที่จะยกเลิก เอาเป็นว่ารถเก่าๆควันดำๆอายุเกิน10ปี ควรเข้มงวดเป็นพิเศษ ขนส่งตรวจจับปรับแพง ต่อภาษีแพงขึ้น รับรองดีกว่ายกเลิกครับ
-
เป็นแค่คำหวานนะครับ ทำให้คนฟังรู้สึกดี แล้วเดี๋ยวค่อยว่ากันใหม่ ในความเป็นจริงผมเชื่อว่าไม่มีรัฐบาลไหนทำได้หรอกครับ มันเกี่ยวเนื่องกับหลายหน่วยงาน ผู้เสียผลประโยชน์ก็มีเยอะ
-
ของพวกนี้ทำได้ แต่ไม่ใช่ ปุ๊บปั๊บทำ เพราะผลกระทบตามมาอีกมหาศาล ถ้าเป็นผมนะ
มาตรการระยะสั้น
- เน้นตรวจ ปรับ จับ ยึด รถที่ควันดำ รถแว๊นซ์ รถบรรทุก
- เน้นการตรวจสภาพก่อนต่อทะเบียน ใครต่อผี ต่อไม่ดูรถ จับ สั่งปิด สถานตรวจสภาพ
มาตรการระยะกลาง
- ปรับระดับมาตรฐานน้ำมันดีเซล ให้เป็น euro 5
มาตรการระยะยาว
- ปรับภาษีประจำปี ตามสภาพค่ามลพิษ หรือ pm2.5 ที่ปล่อย จะซอยกี่เรทก็ได้ เอาให้สะดุ้ง สำหรับพวกตัด dpf อัด egr
- ตั้งกำแพงภาษี สำหรับดีเซล ที่เอามาใช้เป็นรถนั่ง เช่น พวก ppv suv หรือ แม้แต่กระบะสี่ประตู หรือ อาจจะกำหนดมาตรฐาน มลภาวะ เน้นไปที่ pm2.5 ก็ได้
-
บางทีก็ งง กับ ECO Sticker
ทดสอบโรงงาน เบนซิล ปล่อยมลพิษมากกว่า ดีเซล
แต่ใช้ไป ใช้มา ดีเซล กลายเป็นตัวร้ายซะอย่างงั้น
(http://www.car.go.th//api/render/tagImageEcoA4grayCT/bff85aca6119474c98775e7076b9d521)
(http://www.car.go.th//api/render/tagImageEcoA4CT/cdce2e05f5074a229212356593fa49d0)
-
ปัญหาเรื่องรถดีเซลไม่ได้อยุ่ที่น้ำมันทั้งหมดหรอกครับมันอยู่ที่ตัวรถด้วย
- อุด EGR
- ใส่ดันราง
- จูนให้หนา
- ใช้ไปวันๆไม่ดูแลรักษา
-
บางทีก็ งง กับ ECO Sticker
ทดสอบโรงงาน เบนซิล ปล่อยมลพิษมากกว่า ดีเซล
แต่ใช้ไป ใช้มา ดีเซล กลายเป็นตัวร้ายซะอย่างงั้น
(http://www.car.go.th//api/render/tagImageEcoA4grayCT/bff85aca6119474c98775e7076b9d521)
(http://www.car.go.th//api/render/tagImageEcoA4CT/cdce2e05f5074a229212356593fa49d0)
เรากำลังพูดเรื่อง PM 2.5 ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับ CO2 เลยครับ
-
เอาที่รัฐควบคุมได้ก่อนดีกว่าไหมครับ
- การปล่อยจากโรงงาน
- จับคนเผาไร่
ส่วนเรื่องบังคับรถเมล์ตอนนี้อยู่ในช่วงจัดซื้อจัดจ้างครับ รอแปปนึง
ส่วนเรื่องเครื่าองดีเซล ทุกวันนี้ผมมีดีเซลรุ่นเก่า บอกตรงๆผมไม่มีปัญญาจะซื้อใหม่ครับ รัฐจัดหาเอาเครื่องคอมมอนเรลมาขายด้วยนะครับ :-X :-X :-X
-
คิดได้ แต่ทำไม่ได้หรอกครับ
-
ก่อนอื่นรู้ยัง? อากาศจากท่อไอเสียดีเซลรถยูโร5-6 มี pm2.5 น้อยกว่าอากาศที่เราสูดทุกวันนี้เสียอีก
หรือน้อยกว่ารถเบนซินที่ทั่วๆไปหลายเท่า
ปีที่แล้วเห็นภาครัฐบาลกระตือรือร้นอยากให้มาตรฐานรถยนต์เป็นยูโร 5 อย่างด่วน
ตอนนี้เหมือนจะบอกว่าให้รอน้ำมันปรับมาตรฐานให้เป็นยูโร5 ก่อน รถยนต์ค่อยขยับตามทีหลัง
มันเกี่ยวกันไหม 555 นี่แหละ พาววว์ ของบริษัทรถ เรื่องจะยกเลิกดีเซลช่วงสิบปีนี้ฝันไปเถอะ
-
แก้ที่รถในหน่วยงานรัฐ
-รถราชการเก่า
-รถ ขสมก.
-รถร่วม ขสมก.
ให้ปล่อยมลพิษน้อยๆก่อน ทำได้ไหมนะ?
-
ดีเซล Euro 6 พร้อมเติมน้ำยา AdBlue
https://en.wikipedia.org/wiki/European_emission_standards (https://en.wikipedia.org/wiki/European_emission_standards)
https://www.youtube.com/watch?v=GXQPsAW-iZA (https://www.youtube.com/watch?v=GXQPsAW-iZA)
-
บางทีก็ งง กับ ECO Sticker
ทดสอบโรงงาน เบนซิล ปล่อยมลพิษมากกว่า ดีเซล
แต่ใช้ไป ใช้มา ดีเซล กลายเป็นตัวร้ายซะอย่างงั้น
(http://www.car.go.th//api/render/tagImageEcoA4grayCT/bff85aca6119474c98775e7076b9d521)
(http://www.car.go.th//api/render/tagImageEcoA4CT/cdce2e05f5074a229212356593fa49d0)
อย่าเปรียบเทียบเฉพาะ co2 ซิครับ ให้ดูสารประกอบที่ถูกปล่อยออกมา แล้วค่อยชั่งน้ำหนัก อะไรเป็นอะไร
พวกที่เผาถนนควรหมดไปเสียที รถไม่ว่าเก่าหรือใหม่ ถ้าเขาดูแลดี มลพิษน้อยกว่ากลุ่มนี้
ส่วนพวกรถบรรทุก หลาย ๆคันใช้ cng ซึ่งมลพิษก็ลดลงเยอะ
ดังนั้น ควรกำหนดคุณภาพรถจากไอเสียแบบเดิม นั่นถูกแล้ว แต่การปฏิบัติตามกฎหมายมันห่วย แค่นั้นครับ
-
บางทีก็ งง กับ ECO Sticker
ทดสอบโรงงาน เบนซิล ปล่อยมลพิษมากกว่า ดีเซล
แต่ใช้ไป ใช้มา ดีเซล กลายเป็นตัวร้ายซะอย่างงั้น
(http://www.car.go.th//api/render/tagImageEcoA4grayCT/bff85aca6119474c98775e7076b9d521)
(http://www.car.go.th//api/render/tagImageEcoA4CT/cdce2e05f5074a229212356593fa49d0)
สารพิษจำพวกเขม่าเกิดจากเครื่องยนต์ Diesel เช่น NOx เป็นสารพิษจำพวก PM2.5 ครับ
ส่วนเบนซีนเผาไหม้ได้ CO2 สูง ทำให้โลกร้อนครับ
ก่อให้เกิดปัญหาทั้งคู่ แต่ ณ ตอนนี้ PM2.5 มันเร่งด่วนไงครับ
-
เป็นเรื่องตลกครับ แค่เรื่องให้นั่งท้ายกระบะยังบังคับไม่ได้เลยจะมาบังคับรถของคนกลุ่มใหญ่ให้เลิกใช้รถดีเซล ฝันไปเถอะ
-
แค่จัดการเรื่องเผาขยะรอบบ้าน ยังไม่ใด้เลย นับประสาอะไร
-
จับ!! สั่งปิดร้านดัดแปลงก่อนเลย สาเหตุต้นตอ ควันดำ กระบะแต่งทั้งหลาย
คุณคือต้นเหตุ อย่าอ้างว่าทำมาหากิน คุณมีสิทธิ์ไม่ทำให้ลูกค้าได้ในเมื่อมันคือความเดือดร้อนของประเทศ
เผาตามจุดต่างๆ อันนี้ทำไรไม่ได้ครับ หน่วยงานรับผิดชอบขอนั่งห้องแอร์ ไม่ออกมาจับ มันก็เผาไปดิ
ข้าง โรงเรียนผม เผาใบไม้ วันเว้นวัน ผมแจ้งไปเป็นร้อยๆครั้งแล้ว ก็เฉย แต่ก็แจ้งต่อไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะมาจับ
ดีเซล เครื่องใหม่ๆเค้าทำมาดีๆ ศึกษาก่อนพูดก็ดีนะ รถเก่าๆ ที่ไม่บำรุงรักษา ก็ต้องไปตามกฏหมายครับ
-
อาจจะทำได้นะครับ
แต่อีกนานมากๆ น่าจะสัก 20-30ปี
ตอนนี้บริษัทใหญ่ๆในยุโรป เช่น เครือโฟลค์ เบนซ์ เค้าก็ประกาศยุติการพัฒนาดีเซลไปแล้ว เพราะมาตรฐานมลพิษเข้มงวดมาก euro6ก็ถือว่ายังสูงเกินไป
ในจีนก็เช่นกัน มาตรฐานมลพิษก็บีบ บริษัทรถยนต์มากขึ้นไปเรื่อยๆ อนาคต trend อเมริกา กับ ยุโรป และจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของโลก ก็จะค่อยๆเลิกผลิตดีเซลไป รถขนส่งพานิชย์ ในยุโรปก็ก็กำลังเป็นtrendรถไฟฟ้า แต่เริ่มจากรถขนาดเล็กๆก่อน
เมื่อรถดีเซลไม่ถูกพัฒนา ถูกผลิตน้อยลง ต้นทุนแพงขึ้นก็จะค่อยๆยุติไปเอง ซึ่งนั่นเป็นtrendของตลาดโลก
แต่ในไทย บริษัทญี่ปุ่นยักษ์ใหญ่คงอาศัย อำนาจต่างๆ ให้ใช้ดีเซลตาอไปเรื่อยๆ เพื่อให้คุ้มค่าวิจัย พัฒนา จนความน่าจะเป็นในอนาคตมีสามแบบ
1.บริษัท พวกนี้อยู่ได้ ก็ขายดีเซลไปเรื่อยๆ ไทยก็เป็น ขยะเอาเทคโนโลยีเก่าๆมาทิ้ง
2.บริษัทพวกนี้อยู่ไม่ได้เพรระผลิตแค่ไทยอย่างเดียวไม่คุ้มก็หันมาผลิตรถไฟฟ้า ในอีกซัก10-20ปีข้างหน้า
3. ยอดขาย ตกลงเรื่อยๆ ทั่วโลกแล้วไม่ยอมปรับตัวก็เจ๊งไปเอง
ซึ่งข้อสองกับข้อสาม รัฐบาลอาจสนับสนุน รถไฟฟ้า แทนดีเซล ได้ แต่คงอีกนานน 20-30 ปีจากนี้
-
เป็นเรื่องตลกครับ แค่เรื่องให้นั่งท้ายกระบะยังบังคับไม่ได้เลยจะมาบังคับรถของคนกลุ่มใหญ่ให้เลิกใช้รถดีเซล ฝันไปเถอะ
555 จริงอย่างที่ท่านว่าเลยครับ ผมก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน ประเทศเราการบังคับใช้กฎหมายมันต่ำมาก หยวน ๆ ช่วย ๆ หน่อย รังแกคนจน คำพวกนี้เจอบ่อยมาก
ความเห็นส่วนใหญ่เป็นไปในทางเดียวกันหมดคือทำไม่ได้แน่นอน ซึ่งผมก็เห็นด้วยครับ รอดูยาแรงที่รัฐบาลบอกว่าจะเอามาใช้ ว่ามันคืออะไร
-
ถึงจะเริ่มนโยบายยกเลิกตั้งแต่ตอนนี้ ดีเซลก็ยังจะมีอีกอย่างน้อย 20 ปีแน่ๆ ครับ
จริงๆ ปัญหา PM 2.5 มันไม่ใช่แค่ดีเซลด้วยน่ะสิครับ แล้ววินัยรวมของคนไทยก็อย่างที่เห็นๆ กัน
-
ไม่ได้หรอก กอ ไก่ ล้านตัว
-
ถ้าตั้งใจทำเหมือนยกเลิกการใช้ถุงพลาสติก ก็น่าจะทำได้ครับ ฝุ่น PM2.5 มาจากดีเซลมากกว่าเป็นเพราะเทคโนโลยีในการเผาไหม้ไม่เหมือนกัน เครื่องดีเซลตั้งแต่ยุค Common Rail จะใช้แรงอัดให้น้ำมันเป็นละออง ก่อนเข้าหัวฉีด ซึ่งละอองน้ำมันที่เผาไหม้ไม่หมดก็กลายมาเป็นเขม่า PM2.5 นี่ละครับ
ส่วน CO2 จะเป็นเรื่องภาวะโลกร้อน ซึ่งแนวโน้มก็จำเป็นต้องยกเลิกการใช้เครื่องยนต์สันดาปทั้งหมดอยู่ดี
-
ผมอยากให้ออกกฎ บังคับจะซื้อรถต้องดาวน์ขั้นต่ำ 25-30% ผ่อนได้ไม่เกิน 60 งวด
แค่นี้ ก็น่าจะช่วยลดจำนวนรถยนต์ลงได้บ้างนิดหน่อย ก็ยังดีครับ
-
ถามหน่อยนึง
ถ้ายกเลิกแล้วน้ำมันดีเซลที่กลั่นได้ออกมาพร้อมกันกับเบนซิน จะเอาไปทำอะไรได้อีกบ้าง
ถ้าไม่เอาไปทำอะไรทดแทนเลยเพราะกลัวมลพิษ ราคาน้ำมันเบนซินพุ่งปรี๊ดแน่ เพราะต้นทุนกลั่นเท่าเดิม แต่สินค้าที่ออกมาขายมีน้อยลง
เรือเดินสมุทร
-
ไม่ต้องยกเลิกหรอก รถรุ่นใหม่ๆออกมาจากโรงงานมาตรฐานเขาดีอยู่แล้ว
แค่เข้มงวด จับให้จริงจัง กับรถที่แต่งเครื่อง ควันดำ ก็พอแล้ว
ปัญหาทั้งหมดทั้งมวลในประเทศเรา ไม่ได้อยู่ที่ตัวกฎหมายหรือระเบียบอะไรเลย. กฎเดิมๆมันใช้ได้อยู่แล้ว ไม่ใช่พอมีปัญหาอะไรขึ้นมาสักอย่างก็จ้องแต่จะแก้กฎหมายออกกฎใหม่ออกมาเรื่อยๆ
ปัญหามันอยู่ที่ จนท ผู้รักษากฎหมาย และวิธีการรักษากฎหมายมากกว่า
ยกตัวอย่าง
ด่านจราจร จะตั้งมาทำไมให้รถติด รถที่รู้ว่าผิดแน่ๆ เห็นด่านมันก็จอดรอด่านเลิก. ส่วนคนที่คิดว่าไม่ผิด เข้าด่านไป สุดท้ายท่าน จนท ก็จะตรวจซะละเอียดยิบ หาข้อผิดให้จนได้ (กลัวไม่ได้ยอกตามเป้า) ควันดำก็เอาเครื่องมาตรวจ เกินนิดเดียวโดนแน่นอน
แล้วไง. พอเลิกตั้งด่าน. ต่อให้เห็นรถควันดำปี๋วิ่งผ่านหน้า มองด้วยตาก็รู้ว่าดำ. ยังไม่เคยเห็นตำรวจตามไปจับสักที
มันต้องเปลี่ยนวิธีการได้แล้ว. เห็นทำผิดให้จับได้ทันที ไม่ต้องรอตั้งด่าน แต่ถ้าจับเพื่อกลั่นแกล้ง ถ้าเรามั่นใจว่าไม่ผิด ก็ไปสู้ในชั้นศาล. และเพิ่มโทษในกรณีกลั่นแกล้งให้หนักๆ จนท ก็จะไม่กล้าจับถ้าไม่ผิดแบบจะแจ้ง ส่วนพวกทำผิดก็จะอยู่ยากเพราะอาจโดนจับได้ตลอดเวลา แต่ปัจจุบันพวกรึซิางรถซ่า รถผิดเขารู้แกวหมดแล้ว. ขับไปเถอะ ถ้าไม่ใีด่านยังไงก็ไม่โดนจับ.
อ้อ แต่ตอนนี้ให้ ปชช ส่งรูปรถทำผิดส่งไปได้แล้ว ก็น่าจะทำให้กลัวๆกันไปได้บ้าง
-
มีขยะ ก็ให้เลิกใช้ถุง
มีฝุ่น ก็จะเลิกใช้ดีเซล
มีคนเยอะ ก็คงดีดนิ้วให้หายไป
ธานอส?
หากเป็นโทนี่สตาร์ค คงคิดสิ่งรองรับ สร้างนวัตกรรม ::)
+1
-
เป็นไปได้ถ้าค่อยๆปรับเปลี่ยน ใช้เวลานาน ตั้ง Road map ล่วงหน้าหลายๆปี แล้วค่อยๆทำตาม
ประเด็นคือจะเริ่มลงมือทำหรือไม่ และเมื่อไร
-
ถามหน่อยนึง
ถ้ายกเลิกแล้วน้ำมันดีเซลที่กลั่นได้ออกมาพร้อมกันกับเบนซิน จะเอาไปทำอะไรได้อีกบ้าง
ถ้าไม่เอาไปทำอะไรทดแทนเลยเพราะกลัวมลพิษ ราคาน้ำมันเบนซินพุ่งปรี๊ดแน่ เพราะต้นทุนกลั่นเท่าเดิม แต่สินค้าที่ออกมาขายมีน้อยลง
เรือเดินสมุทรเบนซิน
[/quote ] กลั่นเหลือก็ส่งออกขายประเทศเพื่อนบ้านไปเหมือนเบนซิน ไม่ต้องห่วงหรอกมีทางออกอยู่แล้ว
-
เรื่องยกเลิกทันทีคงเป็นไปได้ยาก
เอาแค่เข้มงวดกับมาตรการจับ/ปรับรถยนต์ควันดำเกินค่ามาตรฐานก็ช่วยได้มากแล้วครับ
แค่ในกทม.เส้นรัชดาภิเษกช่วงหัวค่ำรถติดมาก รถทัวร์นักท่องเที่ยววิ่งกันครบทุกช่องทาง จำนวนไม่น้อยที่เป็นรถเก่าเอามาทำสีขาวเฉพาะ
ภายนอกพ่นควันดำขโมง แต่ก็เห็นวิ่งกันได้ปกติ รวมทั้งพวกรถเมล์ขาวแดง รถเมล์ส้มของ ขสมก.เองก็น่าจะปล่อยควันดำเกินค่ามาตรฐาน
ในขณะที่รถร่วมส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นว่ามีปัญหาแบบนี้
ที่สำคัญ เครื่องยนต์ดีเซลเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดมลพิษ จะแก้ไขคงต้องออกมาตรการรอบด้านให้ชัดเจนไปเลย แล้วสื่อสารไปถึงหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้องด้วยเช่น "กรมควบคุมมลพิษ" ว่าปัญหามันเกิดขึ้นจริงๆแล้ว
..ช่วงนี้เป็นช่วงวิกฤติ อีกสักพักคงดีขึ้น แต่ไม่นานปัญหาก็กลับมาอีก เอาตัวรอดก่อน หาหน้ากากดีๆมาใส่ ป้องกันตัวเองก่อนดีกว่าครับ..
-
จะยกเลิกเครื่องยนต์ดีเซล เป็นได้ยากตามความเป็นจริง เป็นแนวคิดมากกว่า
ปรับกฏหมายใหม่ การตรวจควันดำให้เข้มงวด รถคันไหนควันดำ ปรับหนักๆและยึดใบขับขี่ 7 วันครับ
-
ที่บอกให้รถขนส่ง วิ่งวันคู่ ห้ามวิ่งวันคี่ คนกรุงเทพจะมีวันอากาศดีในวันคี่ แต่อากาศแย่และรถติดมากวันคู่ เป็นนโยบายทีไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่งครับ ยาแรงควรเป็น รถขนส่งเกิน 12 ปี ห้ามเข้าเมืองจนกว่าจะมีใบรับรอง ตรอ.จะเอกชน หรือกรมขนส่งทางบกก็ได้ นี่ต่างหากควรทำ.
-
เริ่มจากการปรับน้ำมันเป็น > Euro5 > Euro6 ก่อนมั๊ยครับ ยกเลิกเลย ยาก
-
ยกเลิกได้ครับ แต่ก่อนอื่นต้องหาว่ามีอะไรแทนได้
-
เขาว่า
: รถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลทำให้เกิดฝุ่น PM2.5
จริงไหม ?
จริง : เพราะในไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซลมีส่วนประกอบของเขม่าควันดำ จากไฮโดรคาร์บอน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดฝุ่นละออง PM2.5
เครื่องยนต์ดีเซลเป็นเครื่องยนต์ที่จุดระเบิดด้วยการอัด การสันดาปจึงมักไม่สมบูรณ์ ทำให้มีแกสพิษจากไอเสียมากมาย หนึ่งในนั้น คือ เขม่าควันดำ หรือฝุ่นละอองขนาดเล็ก และแกสไนโตรเจนออกไซด์ (NOX) ซึ่งเป็นสาเหตุของPM2.5 และหมอกควัน
ช่วง 2 เดือนแรกของปี กรุงเทพฯ ถูกปกคลุมด้วยฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) จนกลายเป็น เมืองในฝุ่น ทำให้ประชาชนเริ่มตื่นตัวกับปัญหามลภาวะ พร้อมชี้เป้าไปที่รถดีเซลควันดำว่าเป็นตัวการของปัญหานี้ ฝุ่นละอองPM2.5 เกิดจากรถดีเซลจริงหรือ ? ไปทำความเข้าใจเรื่องนี้กัน
กรมควบคุมมลพิษระบุว่า ฝุ่นละออง PM2.5 เกิดจากอุตสาหกรรมการก่อสร้าง 13 % อุตสาหกรรมไฟฟ้า 14 % มนุษย์/พืช/สัตว์ 15 % โรงงานอุตสาหกรรม 30 % และยานพาหนะ 29 % จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า PM2.5 เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมในอัตราส่วนใกล้เคียงกับยานพาหนะ ดังนั้นยานพาหนะอาจไม่ใช่สาเหตุหลัก แต่ก็ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ โดยเฉพาะรถเครื่องยนต์ดีเซล
เครื่องยนต์ดีเซลจุดระเบิดด้วยการอัด จึงมักเกิดการสันดาปที่ไม่สมบูรณ์ทำให้มีแกสพิษในไอเสียมาก ประกอบด้วยไนโตรเจนออกไซด์ (NOX) เป็นมลพิษหลักของเครื่องยนต์ดีเซล เกิดจากไนตริคออกไซด์ (NO) ร้อยละ 80 และไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) ร้อยละ 20 เป็นสารพิษที่เป็นอันตรายต่อทางเดินหายใจ และยังทำปฏิกิริยากับอากาศทำให้เกิดโอโซนซึ่งเป็นสาเหตุหลักของหมอกควัน
ตัวต่อมา คือ ไฮโดรคาร์บอน (HC) เกิดจากน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซล และน้ำมันหล่อลื่น ที่เผาไหม้ไม่หมด หรือเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ จะส่งกลิ่นที่หากสูดดมเข้าไปจะทำให้อวัยวะต่างๆ เกิดการระคายเคือง และเมื่อทำปฏิกิริยากับอากาศจะเกิดหมอกควันเช่นกัน
คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) คือ แกสพิษที่ได้ยินกันบ่อยสุด ไม่มีสีไม่มีกลิ่น เกิดขณะสันดาปโดยที่ออกซิเจนไม่เพียงพอ จนคาร์บอนไม่สามารถทำปฏิกิริยาให้เ้กิดเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ แต่ในเครื่องยนต์ดีเซลจะเกิดขึ้นน้อยมาก เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์เบนซิน
และสุดท้าย เขม่าควันดำ (SMOKE) เป็นแกสที่เห็นชัดที่สุด เพราะมีเขม่า หรือฝุ่นละอองให้เห็น ซึ่งก็คือ ละอองของคาร์บอนขนาดเล็กในรูปควันดำ เกิดขณะที่มีเชื้อเพลิงผสมหนาเกินไป สามารถฟุ้งกระจายไปได้ในอากาศ เป็นสาเหตุของฝุ่นละออง PM2.5 นั่นเอง
Credit: https://www.autoinfo.co.th/article/265557/
ความเป็นอันตรายต่อสุขภาพจากน้ำมันดีเซล
1. สามารถเข้าสู่ร่างกายทั้งทางผิวหนัง การสูดดม การดื่มกิน
2. อันตรายที่เกิดเฉพาะที่ เช่น ผิวหนัง ตา เยื่อบุ มักทำให้เกิดอาการระคายเคืองบริเวณที่สัมผัส
3. การสัมผัสในปริมาณมาก
กรณีหายใจเข้าจะทำให้การทำงานระบบประสาทส่วนกลางลดลง เกิดอาการชัก และสูญเสียความรู้สึก
กรณีเข้าสู่กระเพาะอาหารจะทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน และมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง
การสัมผัสทางตา และผิวหนัง จะทำให้เกิดอาการคัน และระคายเคือง
4. การสัมผัสในปริมาณน้อย และยาวนาน จะทำให้เป็นโรคผิวหนัง โรคระบบประสาท โรคไต โรคตับ โรคโลหิตจาง โรคมะเร็งในเม็ดเลือดและโรคมะเร็งที่ไต
-
อีกนาน ตอนนี้รัฐบาลไม่กล้าคิด