Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: รถจักรไอน้ำ ที่ สิงหาคม 18, 2020, 08:33:37
-
สมมติว่าตัวรถมี aerodynamic ใกล้เคียงกัน น้ำหนักรถใกล้เคียงกัน อัตราทดเกียร์ใกล้เคียงกัน
1.เครื่องยนต์ต่างรุ่นต่างผู้ผลิตที่มีความจุเท่ากันจะให้ top speed ต่างกันมากน้อยขนาดไหนครับ
2.ปัจจัยไหนสำคัญที่สุดสำหรับ top speed ของรถแต่ละคันครับ
ขอบคุณครับ
-
ข้อ 2. แรงม้า แรงม้า และแรงม้า
-
แรงม้า แรงบิด รอบเครื่อง
ทำให้นึกถึง Corolla Cross กับ Altis และ Chr
เครื่องเดียวกัน แต่อัตราเร่งต่างกัน แต่ไม่ห่างกัน
แต่ น้ำหนักเท่ากัน เครื่องตัวเดียวกัน
ตัดไฮบริดออกไปก่อน
เน้น Top speed
เครื่อง 1.8 เบนซินเดิมๆ ไม่ปรับจูน ไม่ใส่โบ
กดให้เข็มไมล์ขึ้นให้สุด อยู่ที่ใจคนขับและน้ำหนักบรรทุก
-
ต่อให้ทุกอย่างเหมือนกัน แต่ต่างคน setup
ก็วิ่งออกมาต่างกัน. มันแล้วแต่นิสัยของเครื่องยนต์
เน้นประหยัด. เน้นแรง. เน้นเหนียว. มันคือการออกแบบและตั้งใจทำให้เป็นแแบบนั้น
-
8) 8) 8).....max. rpm และ final ratio (differential) เป็นตัวแปรหลักครับ หาข้อมูล Honda Sport Coupe 800 c.c. RWD. ดุจะเห็นชัดว่า ซีซี นิดเดียว ทดรอบกับเฟืองท้ายยังไง รถ 400 แรงม้าถึงขย้ำไม่ลง :-X
-
อะไรสำคัญที่สุดก็ต้องตอบว่าอัตตราทดเกียร์ ง่ายๆสั้นๆ
-
ผมว่า gear ratio มีความสำคัญมากครับสำหรับ top speed หรือ อัตราการเร่ง
-
ถ้าเกี่ยวกับอัตราทดและรอบเครื่อง ทำไม บางคัน topspeed ที่เกียร์สุดท้าย รอบเครื่องมันไม่จมไมล์ เช่น 219Km/hr ที่ 4พันกว่ารอบเอง เครื่องมันดันไม่ไหวหรือเขาล็อคไว้แค่นั้น
-
ถ้าอัตราทดเกียร์สำคัญที่สุดทำไมในการแข่งขันแบบ F1 เขาไม่ทดให้ได้ top speed มากกว่านี้หรอครับ
ผมไม่มีความรู้จริงๆครับ
-
1. ผมว่าพอกันถ้าเงื่อนไขต่างๆพอกันหมดและไม่ล้อค +- ไม่เกิน 10-15 km/h
2. อัตราทดเกียร์ และแรงม้า แรงบิดต่อ นน. ครับ
-
ถ้าอัตราทดเกียร์สำคัญที่สุดทำไมในการแข่งขันแบบ F1 เขาไม่ทดให้ได้ top speed มากกว่านี้หรอครับ
ผมไม่มีความรู้จริงๆครับ
รถ F1 ตั้งแต่หลังปี 2017 มาเวลาต่อรอบเร็วขึ้นทุกปี ถ้าย้อนกับไปเทียบกับรถช่วง ปี 2009-2015
เวลาต่อรอบเร็วขึ้นเป็น 10 วินาที ครับมันเร็วพอแล้วสำหรับการแข่งขัน แรงจีที่คนขับต้องรับในการแข่งแต่ล่ะ
ครั้ง ในวันแข่ง F1 จะแข่งรวมหมด 300-315 km นักแข่งน้ำหนักตัวหายไป 2.5-3.5 kg ครับ ณ ยุคนี้
รถตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา เป็น V6 1600cc turbo hybrid Top speed จะไม่สูงเท่า สมัยเครื่องยนต์
V10 ที่ไปได้ถึง 375 km/h แต่จะอยู่ที่ประมาณ 350km/h ยกเว้นเปิด drs มี vettel ทำได้ที่สนาม
Monza ปีที่แล้วขึ้นไปได้ถึง 365km/h ครับ แต่เครื่อง V6 1.6 turbo hybrid มีอัตราเร่งที่ดีที่สุด
ตั้งแต่มี F1 มาครับ 0-300km/h อยู่ที่ 8 วินาทีนิดๆครับ เดี๋ยวหลังปี 2022 รถF1 จะวิ่งช้าลงหน่อยครับ
จากการกำหนดสเปครถ แต่ตัวเครื่องยังแรงเหมือนเดิมนะ
-
ถ้าทุกอย่างเท่ากันหมด (เกียร์ ตัวรถ) ต่างกันแค่เครื่อง top speed น่าจะวัดกันที่แรงม้ากับรอบเครื่องสูงสุดครับ
-
สำคัญที่แรงม้าครับ แรงม้าคือแรงบิดคูณกับรอบ ส่วนเรื่องอัตราทดผมว่ารถสมัยนี้เกียร์เยอะครับ ถ้ามันหนักก็เอาเกียร์ต่ำลงไปดันท็อปสปีดครับ
-
ถ้าอัตราทดเกียร์สำคัญที่สุดทำไมในการแข่งขันแบบ F1 เขาไม่ทดให้ได้ top speed มากกว่านี้หรอครับ
ผมไม่มีความรู้จริงๆครับ
เพราะทางตรงในสนามมีจำกัด ถ้าทำให้ความเร็วสูงสุดมากขึ้นก็ต้องแลกกับอัตตราเร่งที่ด้อยลง
-
เครื่องยนต. เกียร์. น้ำหนัก. แอรโรวไดนามิค ยาง น้ำมัน
-
สำหรับผม ผมว่าการออกตัวเครื่องมีผลมากครับ
1. ขนาดและช่วงชัก - เครื่อง Torque (ช่วงชักยาว) จะได้แรงบิดรอบต่ำดี แต่ปั่นรอบได้น้อยกว่า และได้แรงม้าต่ำกว่า ส่วนเครื่อง Square จะได้แรงบิดที่รอบต่ำน้อยกว่า แต่ปั่นรอบได้สูง และได้แรงม้าที่รอบสูงมากกว่า แรงม้ามีผลต่อ top speed โดยตรง
2. อัตราส่วนกำลังอัด - ยิ่งมีอัตราส่วนกำลังอัดสูง ก็ยิ่งแรงครับ เป็นความแรงที่เพิ่มทั้ง Torque และ HP
3. แคมองศาสูง - มีผลต่อการดูดลมเข้าสู้ห้องเผาไหม้ พอได้ไอดีมากขึ้น ก็สามารถฉีดน้ำมันใส่ได้มากขึ้น และแรงระเบิดมากขึ้น เครื่องก็แรงขึ้น
ขอยกตัวอย่างเครื่องของโตโยต้านะครับ
1zz-fe ขนาด 1.8 ลิตร เป็นเครื่องรอบต่ำ เน้นประหยัด ขับง่าย และระบบไม่ซับซ้อน
- Bore X stroke: 79 mm × 91.5 mm (Torque)
- Compression ratio: 10.0:1
- ไม่มีแคมองศาสูง
=> Output is between 120 bhp (122 PS; 89 kW) at 5,600 rpm
2zz-ge ขนาด 1.8 ลิตร เท่ากัน เป็นเครื่องรอบกลาง-สูง เน้นสมรรถนะและขับสนุก
- Bore x stroke: 82 mm × 85 mm (เกือบ Square)
- Compression ratio: 11.5:1
- ไอดี Low Cam 228°, High Cam 292° | ไอเสีย Low Cam 228°, High Cam 276°
=> produce 180 hp (134 kW) @ 7,600 rpm (แรงม้าอยู่ที่ประมาณ 170 - 200 แล้วแต่ว่าอยู่ในรถรุ่นอะไรครับ)
1ZZ เดิมๆ Top speed ได้ราวๆ 180-190
2ZZ เดิมๆ Top speed ได้ราวๆ 220-230
-
ถ้ารถ 2 คัน ทุกอย่างเท่ากัน น้ำหนัก แรงม้า อัตรทดสอบ ขนาดล้อ(และยาง) และอื่นๆ แล้วละก้อ
สิ่งที่ทำให้ top speed ต่าง อย่างเดียวเลย คือ "รอบเครื่องยนต์" ครับ
คิดง่ายๆ เกียร์ 3 หรือ 4 ที่อัตรทด 1:1 นั้น
รอบเครื่องยนต์ คัน A สูงสุดที่ 6000 รอบ/นาที รถคัน B รอบสูงสุด ที่ 7500 รอบ/นาที
ผลที่ได้คือ รถคัน B ได้ top speed มากกว่า แน่นอน ครับ
-
ถ้ารถ 2 คัน ทุกอย่างเท่ากัน น้ำหนัก แรงม้า อัตรทดสอบ ขนาดล้อ(และยาง) และอื่นๆ แล้วละก้อ
สิ่งที่ทำให้ top speed ต่าง อย่างเดียวเลย คือ "รอบเครื่องยนต์" ครับ
คิดง่ายๆ เกียร์ 3 หรือ 4 ที่อัตรทด 1:1 นั้น
รอบเครื่องยนต์ คัน A สูงสุดที่ 6000 รอบ/นาที รถคัน B รอบสูงสุด ที่ 7500 รอบ/นาที
ผลที่ได้คือ รถคัน B ได้ top speed มากกว่า แน่นอน ครับ
รบกวนขอถามพ่วงไปนิดนึงได้ไหมครับ ผมสงสันใยเรื่องอัตราทด 1:1 มานานแล้วว่าต้องดูยังไงถึงเป็น 1:1 ครับ อย่างผมเข้าใจว่าในรถส่วนใหญ่อัตราทดที่ไกล้ 1:1 มากที่สุด สำหรับรถเกียร์ธรรมดาคือเกียร์ 4 แล้วถ้ารถคันเดียวคัน เปลี่ยนเฟืองท้าย (Final Drive) จาก 4.5 เหลือ 4.0 ยังเรียกว่า เกียร์ 4 เป็น 1:1 ได้เหมือนเดิมไหมครับ อันนี้ผมสงสัยเฉยๆ ถ้าทราบรบกวนขอคำตอบด้วยนะครับ
-
ถ้ารถ 2 คัน ทุกอย่างเท่ากัน น้ำหนัก แรงม้า อัตรทดสอบ ขนาดล้อ(และยาง) และอื่นๆ แล้วละก้อ
สิ่งที่ทำให้ top speed ต่าง อย่างเดียวเลย คือ "รอบเครื่องยนต์" ครับ
คิดง่ายๆ เกียร์ 3 หรือ 4 ที่อัตรทด 1:1 นั้น
รอบเครื่องยนต์ คัน A สูงสุดที่ 6000 รอบ/นาที รถคัน B รอบสูงสุด ที่ 7500 รอบ/นาที
ผลที่ได้คือ รถคัน B ได้ top speed มากกว่า แน่นอน ครับ
รบกวนขอถามพ่วงไปนิดนึงได้ไหมครับ ผมสงสันใยเรื่องอัตราทด 1:1 มานานแล้วว่าต้องดูยังไงถึงเป็น 1:1 ครับ อย่างผมเข้าใจว่าในรถส่วนใหญ่อัตราทดที่ไกล้ 1:1 มากที่สุด สำหรับรถเกียร์ธรรมดาคือเกียร์ 4 แล้วถ้ารถคันเดียวคัน เปลี่ยนเฟืองท้าย (Final Drive) จาก 4.5 เหลือ 4.0 ยังเรียกว่า เกียร์ 4 เป็น 1:1 ได้เหมือนเดิมไหมครับ อันนี้ผมสงสัยเฉยๆ ถ้าทราบรบกวนขอคำตอบด้วยนะครับ
อัตราทด 1:1 คือ เป็นอัตราทดสอบของเกียร์ครับ
รถ 5 speed ส่วนมากจะอยู่ที่เกียร์ 4 ส่วนเกียร์ 5 เรียก overdrive
รถ 6 speed ส่วนมากจะอยู่ที่เกียร์ 4 หรือ 5 ส่วนเกียร์ 6 เรียก overdrive
ส่วนรถ 7-10 speed ก็ว่ากันไป แล้วแต่รุ่น ยี่ห้อ แต่มีระบุใน spec sheet หรือ tech spec และ บนโบร์ชัวร์ก็น่าจะมีทุกรุ่น
ส่วนเฟืองท้าย หรือ final drive โดยทั่วไป ถ้ารถเครื่องยนต์เดียวกัน เกียร์เดียวกัน แต่มีมากกว่า 1 body เขาก็จะมาปรับเปลี่ยนต้อง final drive หรือเฟืองท้ายเอาครับ มันง่าย และ ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า ง่ากว่าไปไล่อัตราทดเฟืองเกียร์ 5-6 ชิ้น ซึ่งค่าใช้จ่ายสูงกว่าแน่นอน
ส่วนจะปรับเปลี่ยนเฟืองท้าย หรือ final drive จะขึ้น หรือ ลง อัตราทดเกียร์ ก็ยังเหมือนเดิมครับ แต่ความเร็วที่หมุนล้อ จะเปลี่ยนไป
ถ้า เล็กลง ก็จิ๊ดขึ้น ปลายไหลขึ้น top speed มากขึ้น แต่อึดขึ้น ต้นไม่ดี ออกตัวช้า ครับ
ถ้า ใหญ่ขั้น ก็แรงฉุด แรงบิด(ที่ล้อ) ดีขึ้น กดเป็นพุ่ง กดเป็นมา ออกตัวไวขึ้น แต่ top speed น้อยลง ปลายไม่เดิน ครับ
บางคนจะก็เปลี่ยนที่ล้อเอา ใส่ล้อขนาดใหญ่ขี้น ก็เห็นผลคล้ายๆ กับเปลี่ยนเฟืองท้ายครับ
-
อัตราทด 1:1 คือ เป็นอัตราทดสอบของเกียร์ครับ
รถ 5 speed ส่วนมากจะอยู่ที่เกียร์ 4 ส่วนเกียร์ 5 เรียก overdrive
รถ 6 speed ส่วนมากจะอยู่ที่เกียร์ 4 หรือ 5 ส่วนเกียร์ 6 เรียก overdrive
ส่วนรถ 7-10 speed ก็ว่ากันไป แล้วแต่รุ่น ยี่ห้อ แต่มีระบุใน spec sheet หรือ tech spec และ บนโบร์ชัวร์ก็น่าจะมีทุกรุ่น
ส่วนเฟืองท้าย หรือ final drive โดยทั่วไป ถ้ารถเครื่องยนต์เดียวกัน เกียร์เดียวกัน แต่มีมากกว่า 1 body เขาก็จะมาปรับเปลี่ยนต้อง final drive หรือเฟืองท้ายเอาครับ มันง่าย และ ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า ง่ากว่าไปไล่อัตราทดเฟืองเกียร์ 5-6 ชิ้น ซึ่งค่าใช้จ่ายสูงกว่าแน่นอน
ส่วนจะปรับเปลี่ยนเฟืองท้าย หรือ final drive จะขึ้น หรือ ลง อัตราทดเกียร์ ก็ยังเหมือนเดิมครับ แต่ความเร็วที่หมุนล้อ จะเปลี่ยนไป
ถ้า เล็กลง ก็จิ๊ดขึ้น ปลายไหลขึ้น top speed มากขึ้น แต่อึดขึ้น ต้นไม่ดี ออกตัวช้า ครับ
ถ้า ใหญ่ขั้น ก็แรงฉุด แรงบิด(ที่ล้อ) ดีขึ้น กดเป็นพุ่ง กดเป็นมา ออกตัวไวขึ้น แต่ top speed น้อยลง ปลายไม่เดิน ครับ
บางคนจะก็เปลี่ยนที่ล้อเอา ใส่ล้อขนาดใหญ่ขี้น ก็เห็นผลคล้ายๆ กับเปลี่ยนเฟืองท้ายครับ
สรุปคือ เปลี่ยน Final Drive จาก 4.5 เป็น 4.0 อัตราทดที่เรียกว่าเป็นหรือไกล้ 1:1 ที่สุด ก็ยังเหมือนเดิม ใช่ไหมครับ
-
อัตราทด 1:1 คือ เป็นอัตราทดสอบของเกียร์ครับ
รถ 5 speed ส่วนมากจะอยู่ที่เกียร์ 4 ส่วนเกียร์ 5 เรียก overdrive
รถ 6 speed ส่วนมากจะอยู่ที่เกียร์ 4 หรือ 5 ส่วนเกียร์ 6 เรียก overdrive
ส่วนรถ 7-10 speed ก็ว่ากันไป แล้วแต่รุ่น ยี่ห้อ แต่มีระบุใน spec sheet หรือ tech spec และ บนโบร์ชัวร์ก็น่าจะมีทุกรุ่น
ส่วนเฟืองท้าย หรือ final drive โดยทั่วไป ถ้ารถเครื่องยนต์เดียวกัน เกียร์เดียวกัน แต่มีมากกว่า 1 body เขาก็จะมาปรับเปลี่ยนต้อง final drive หรือเฟืองท้ายเอาครับ มันง่าย และ ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า ง่ากว่าไปไล่อัตราทดเฟืองเกียร์ 5-6 ชิ้น ซึ่งค่าใช้จ่ายสูงกว่าแน่นอน
ส่วนจะปรับเปลี่ยนเฟืองท้าย หรือ final drive จะขึ้น หรือ ลง อัตราทดเกียร์ ก็ยังเหมือนเดิมครับ แต่ความเร็วที่หมุนล้อ จะเปลี่ยนไป
ถ้า เล็กลง ก็จิ๊ดขึ้น ปลายไหลขึ้น top speed มากขึ้น แต่อึดขึ้น ต้นไม่ดี ออกตัวช้า ครับ
ถ้า ใหญ่ขั้น ก็แรงฉุด แรงบิด(ที่ล้อ) ดีขึ้น กดเป็นพุ่ง กดเป็นมา ออกตัวไวขึ้น แต่ top speed น้อยลง ปลายไม่เดิน ครับ
บางคนจะก็เปลี่ยนที่ล้อเอา ใส่ล้อขนาดใหญ่ขี้น ก็เห็นผลคล้ายๆ กับเปลี่ยนเฟืองท้ายครับ
สรุปคือ เปลี่ยน Final Drive จาก 4.5 เป็น 4.0 อัตราทดที่เรียกว่าเป็นหรือไกล้ 1:1 ที่สุด ก็ยังเหมือนเดิม ใช่ไหมครับ
ใช่ครับ เพราะอัตราทดเกียร์ ที่เรียกๆ กัน เขาไม่รวม final drive ครับ
-
อัตราทด 1:1 คือ เป็นอัตราทดสอบของเกียร์ครับ
รถ 5 speed ส่วนมากจะอยู่ที่เกียร์ 4 ส่วนเกียร์ 5 เรียก overdrive
รถ 6 speed ส่วนมากจะอยู่ที่เกียร์ 4 หรือ 5 ส่วนเกียร์ 6 เรียก overdrive
ส่วนรถ 7-10 speed ก็ว่ากันไป แล้วแต่รุ่น ยี่ห้อ แต่มีระบุใน spec sheet หรือ tech spec และ บนโบร์ชัวร์ก็น่าจะมีทุกรุ่น
ส่วนเฟืองท้าย หรือ final drive โดยทั่วไป ถ้ารถเครื่องยนต์เดียวกัน เกียร์เดียวกัน แต่มีมากกว่า 1 body เขาก็จะมาปรับเปลี่ยนต้อง final drive หรือเฟืองท้ายเอาครับ มันง่าย และ ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า ง่ากว่าไปไล่อัตราทดเฟืองเกียร์ 5-6 ชิ้น ซึ่งค่าใช้จ่ายสูงกว่าแน่นอน
ส่วนจะปรับเปลี่ยนเฟืองท้าย หรือ final drive จะขึ้น หรือ ลง อัตราทดเกียร์ ก็ยังเหมือนเดิมครับ แต่ความเร็วที่หมุนล้อ จะเปลี่ยนไป
ถ้า เล็กลง ก็จิ๊ดขึ้น ปลายไหลขึ้น top speed มากขึ้น แต่อึดขึ้น ต้นไม่ดี ออกตัวช้า ครับ
ถ้า ใหญ่ขั้น ก็แรงฉุด แรงบิด(ที่ล้อ) ดีขึ้น กดเป็นพุ่ง กดเป็นมา ออกตัวไวขึ้น แต่ top speed น้อยลง ปลายไม่เดิน ครับ
บางคนจะก็เปลี่ยนที่ล้อเอา ใส่ล้อขนาดใหญ่ขี้น ก็เห็นผลคล้ายๆ กับเปลี่ยนเฟืองท้ายครับ
สรุปคือ เปลี่ยน Final Drive จาก 4.5 เป็น 4.0 อัตราทดที่เรียกว่าเป็นหรือไกล้ 1:1 ที่สุด ก็ยังเหมือนเดิม ใช่ไหมครับ
ถ้าอัตราทดเกียร์เท่ากันแต่เฟืองท้ายไม่เท่า ก็เท่ากับอัตราทดรวมไม่เท่านะครับ แปลว่าคันที่อัตราทดเฟืองท้ายมากกว่าเครื่องยนต์จะต้องหมุนด้วยรอบที่สูงกว่าในความเร็วรถที่เท่ากัน