Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: urangutang ที่ สิงหาคม 29, 2020, 15:11:50
-
หมายถึงว่าค่าแรง+ค่าอะไหล่ เมื่อไป service ที่ศูนย์บริการ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลต่อปีต่างๆ
ทำให้บางคนตัดสินใจเลือกซื้อ D segment หรือ SUV ของค่ายญี่ปุ่นแทนเลยหรือเปล่าครับ
-
มีผลครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กำลังทรัพย์ของคนๆ นั้น เห็นมาเยอะ เพิ่มนิดเดียวขับยุโรปดีกว่า สุดท้ายเจ็บครับ
-
ตอนซื้อไม่เคยคิดเลยครับ พอมาเจอค่าเบี้ยประกันกับค่าอะไหล่ปีละ 3 คันก็เคยมองย้อนกลับไปครับว่ามีไว้ทำไม ตั้งหลายคัน ขับบ้างไม่ขับบ้าง ราคาที่จ่ายไปแต่ละปีบางปีเจอหนักๆซื้ออีโค่คาร์มาขับได้เลย :'(
แต่ก็ต้องทำใจครับซื้อมาแล้วก็ต้องจ่ายไป หาความสุขจากการใช้ให้ได้เยอะๆดีกว่าครับ
-
เพิ่งตัดสินใจไปเมื่อตอนกลางเดือน
ตอนแรกสุดเลยดู 320d, X1, xc40, GLA ประมาณนี้ ไปลองๆมาแล้วบ้าง แต่พอไปสิงในกลุ่ม FB เริ่มเห็นค่าใช้จ่ายใยแต่ละเคสของคนใช้งานจริง คำนวณดูแล้วปีละ 1 แสน+ หลังหมด warranty
ก็เลยถอยมาเหลือแค่ camry, accord ลองไปลองมามือลั่นไปจอง crv mc ซะงั้น
-
มีผลครับ มอง series3 อยู่ หมดปัญหาเรื่องค่าดูแลไป 5 ปี แต่ตั้งใจว่าจะใช้ยาวกว่านั้นซักหน่อย ทำให้ลังเลมากทีเดียวครับ
-
มีซิครับ มากด้วย มันเป็นเรื่องปกติ
รถยุโรปเอง ค่าบำรุงรักษาก็เป็นปัจจัยนึงในการเลือกเช่นกัน ไม่งั้นจะพากันขายตอนไกล้หมด warranty เหรอครับ
ขนาดคนซื้อ SuperCar ยังคิดแล้วคิดอีกเลยว่า จะซื้อกับใครดี ซื้อเกรย์ดีไหม หรือซื้อ Authorize Dealer ดีน๊ะ
-
มีครับ สำหรับเราๆทั่วไปที่ไม่ได้รำ่รวยอะไรมากมาย ตอนนี้ที่บ้านใช้bmw เข้าปีที่4แล้วยังคิดอยู่เลยครับว่า
ถ้าใกล้หมด bsi และวารันตี จะบริหารจัดการอย่างไรดี
-
มีครับ ไอ่เพิ่มอีกนิดได้ entry ยุโรปเนี่ยละ
ใครไม่เงินหนาจริง หรือซื้อเพราะเอาหน้า นี่เจ็บมานักต่อนักละครับ
ตราดาวค่า service x3 x4 ของ D-seg ญี่ปุ่น เลยครับ
ถึงจะเป็นแค่ GLA CLA ก็ตาม
-
นอกจากค่า service ค่าประกันที่โหดร้ายแล้ว
อีกเหตุผลที่ทำใจยากคือราคาขายต่อครับ
ซื้อ 3 ล้าน ใช้ 5 ปี เหลือล้านต้นๆ ไม่รวยจริงนี่ทำใจยากครับ
-
ไม่เคยเป็นเจ้าของนะครับ เคยคิดจะซื้อแต่พอเห็นค่าเซอวิสหลังหมดประกัน อะไหล่/ยาง/ประกัน แล้ว คิดว่าเรายังไม่พร้อมจะใช้รถยุโรป
อยู่กับMassญี่ปุ่นต่อไปดีกว่า อะไรเสียจับเข้าศูนย์ราคายังพอรับไหว
แต่ยังไงอนาคตถ้าไหวอาจลองสักคันนึงแก้คัน จะได้ไม่ค้างคา
-
ส่วนตัวผมมีผลครับ ถ้ามีงบหมิ่นเหม่ระหว่างรถยุโรป vs รถญี่ปุ่นหรือเกาหลี ผมน่าจะเลือกไปทางหลังมากกว่า
ถ้าเอา Performance หน่อยก็อาจจะไปหาพวกตัวนำเข้าหรือ JDM ของค่ายญี่ปุ่นเอาคับ ราคาชนรถยุโรปแต่ค่ารักษาก็ระดับรถบ้านทั่วไป
-
มีผลกับผมพอสมควรครับ
อยากลองนะรถยุโรปเนี่ย
ติดตรงที่ค่าดูแลรักษาครับ
-
ต่อให้มีตังซื้อก็ไม่กล้าอยู่ดี ขอมีเงินเย็นสักก้อนถึงจะกล้าเล่น
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยซีเรียสแล้ว รถอะไรก็ถึงที่หมายเหมือนกัน
-
มีครับ แต่ของงี้มันต้องเจอเอง เจ็บเองครับ เหมือนความรัก บ้างก็ว่ามันขมบ้างก็ว่าหวาน ต้องลิ้มเองครับ
ปล เพ้อเจ้อไปนิด ขออภัย
ปล ใช้ 320 d อยู่ 4 ปี ยังไม่เจ็บ มีเบี้ยประกันที่แพงกว่าแต่ก็รับได้ ไม่เจ็บ รอดูหลังหมด BSI แล้วจะเจ็บแค่ไหน ถ้ารับได้ก็คงใช้ยุโรปอีก แต่ถ้ารับไม่ได้ก็กลับมาใช้ญี่ปุ่นก็ไม่เสียหาย
-
มีญาติคนนึง ทำธุรกิจค้าส่ง ค่อนข้างรวยทีเดียว แกเคยซื้อ Volvo V40 ตัวแรกมาใช้ยาว 10 ปี ความที่แกเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ทำงานเองคนเดียว พอเจอค่าอะไหล่แพงๆ กับการซ่อมจุกจิก และราคาขายต่อที่ตกค่อนข้างเยอะ (ราคาตกไม่ได้เยอะไปกว่า Accord G8 ของผมสักเท่าไหร่เลย) แกบอกว่า ไม่เอาอีกแล้วรถยุโรป หลังจากนั้นก็วนเวียนอยู่กับ D-segment หรือ Suv รุ่น Top สุด ทั้งที่แกสามารถซื้อรถ 4 ล้านได้ไม่ยากนัก
พอเจอเคสนี้ ผมยังคิดเลยว่า ถ้า Toyota เอา Harrier เข้ามาขาย ในราคา 1 ปลาย - 2 ต้น ก็จะกวาดกลุ่มลูกค้าที่ฐานะดี แต่ไม่กล้าแตะรถยุโรปไปได้อีกเพียบเลยทีเดียว
-
ตอบคำถาม ถ้ารู้ก่อนว่าต้องโดนเท่าไหร่ ก็มีผลในการตัดสินใจแน่นอนครับ และส่วนไหญ่ก็จะไป D-Seg ญี่ปุ่น
ส่วนตัวผมก็รู้ครับว่าจะโดนอะไรบ้าง แต่ที่พึ่งรู้ตอนได้รถมาแล้ว(ไม่ได้นึกถึง) ก็คือเบี้ยประกันชั้น 1 ที่มหาโหดมากครับ
ขนาด Alphard ราคา 3 ล้าน เบี้ยชั้น 1 ซ่อมห้างปีที่ 2 ยังราคาถูกกว่า GLA200 ราคา 2 ล้าน เบี้ยชั้น 1 ปีที่ 3 (ถูกกว่าเกือบ 30%)
ถ้าอยากมีสักคันและใช้น้อยก็จัดมาสักคันครับ ของผมคงมีคันเดียวก็เกินพอละครับ
-
น่าจะเป็นเหตุผลหลักเลยครับ หลังหมดประกัน เข้าศูนย์ก็แพงมากซ่อมหลายครั้งก็ไม่จบ เข้าอู่นอกก็ต้องไปตีซี้เจ้าของ กับช่าง ไม่งั้นรอคิวนาน กับซ่อมไม่จบ ค่าซ่อมถูกกว่าศูนย์ แต่ก็ยังแพงกว่า D Seg อยู่ดี
ค่าซ่อมที่ว่าอู่นอกถูกแล้ว ยังแพงกว่า D Seg เข้าศูนย์อยู่ 1-2 เท่าแต่สมรรถนะ และสิ่งที่ได้รับกลับมามันไม่ได้ดีกว่า 1-2 เท่า
ผมใช้ไปซ่อมไปจนเบื่อ เปลี่ยนมาใช้ D Seg หรือ Suv ญี่ปุ่น มีเงินเหลือไปเที่ยว ตปท ปีล่ะ 2-3 ครั้งได้เลย แถมได้เปลี่ยนรถใหม่ทุกๆ 4-5 ปี แบบไม่ต้องเสียดายเลย
-
มีผลมากครับ เจ็บปวดกันไปเยอะเลยหละ กับยุโรป ระดับเริ่มต้น เเต่ค่าบำรุงระหว่างใช้ มันไม่เริ่มต้นด้วย
มันไม่ใช่เเพงจนจ่ายไม่ไหวหรอก เเต่เหมือนเงินหายไปฟรีๆ เหมือนจากเคย ซื้อก้วยเตี้ยวชามละ 50 บาท ตอนนี้ ตอนนี้ต้องจ่ายชามละ 200 บาท ยังมีเงินจ่ายไหว เเต่ก็รู้สึก มันเเพงเกินไปมั้ยนะ
-
มีผลครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กำลังทรัพย์ของคนๆ นั้น เห็นมาเยอะ เพิ่มนิดเดียวขับยุโรปดีกว่า สุดท้ายเจ็บครับ
คำว่าเจ็บพูดเบา ๆ ก็เจ็บอยู่ดี 555555 นั่นละเป็นสาเหตุหลักเลยที่ผมไม่ซื้อรถยุโรปมือ 2 คือราคามันยั่วน้ำลายมาก ๆ แต่เวลาซ่อมทำใจไม่ได้ทุกที เอาเงินเดือนมาจ่ายค่าซ่อมรถแพง ๆ ไม่ไหวครับ เสียดาย
-
ผมไม่ได้เข้าศูนย์ เลยไม่คิดเรื่องพวกนี้เลยครับ
ดูแลเอง ถ่ายน้ำมันเครื่อง ของเหลวทั่วไป ดูแลทั่วไปเองหมด รถอะไรก็เหมือนๆ กัน ที่ไม่เหมือนก็พวกที่ใช้ไส้กรองหรืออะไหล่สิ้นเปลืองแบบผ้าเบรค กรองอากาศแพง ๆ รถพวกนี้ผมไม่ได้ซื้อไว้ใช้อยู่แล้ว เพราะมักจะเป็นพวกรถปัญหาเยอะ
-
ส่วนตัวคิดว่า มีส่วนมากในการตัดสินใจ ถึงแม้จะซื้อได้ แต่ก็ไม่คุ้มที่จะจ่ายค่าดูแล เพราะ
- ไม่ได้ใช้ความเป็นรถยุโรป premium ในการประกอบอาชีพ
- ไม่ได้ใช้ สมรถถนะ คุ้มค่าที่รถได้ให้มา หมายถึง จ่าย 100 บาท ใช้งาน แค่ 40-50 บาท รถญี่ปุ่นรุ่นบนๆ เดี่ยวนี้ก็สมรรถนะดีเทียบเท่ารถยุโรป ย้อนไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อนแล้วครับ
- การใช้งานส่วนมากเกือบทั้งหมด ตามกฏหมายกำหนด รถญี่ปุ่นดีๆ รับได้สบายๆ
- ยอดเงินเดียวกันเอามาซื้อหลายๆคัน หลายๆการใช้งาน ถูกกับผมมากกว่าครับ
- ที่เหลือๆ เอาๆไว้ลงทุน สบายใจดีครับ
-
ไม่น่าจะคุ้ม น่ะคับ
-
ไม่มีผลกับคนที่ตั้งใจซื้อ MB
แต่มีผลกับคนที่จะซื้อ MB หรือ BMW ก็ได้
เพราะที่ผมรู้จักคนที่ MB ทุกคนรู้ว่า BMW มี BSI แต่เค้าไม่สนใจเพราะต้องการ MB รุ่นนี้ เท่านั้น
ส่วนคนที่จะซื้อ BMW เท่านั้น ก็ถือว่า BSI เป็นผลพลอยได้
และถ้าเรื่องนี้เป็นเหตุผลหลักของคนส่วนใหญ่ BMW ก็ควรขายดีกว่า MB แต่ยอดขายที่ผ่านมา BMW มี BSI ก็ขายได้น้อยกว่า MB มาตลอด
-
นอกจากค่า service ค่าประกันที่โหดร้ายแล้ว
อีกเหตุผลที่ทำใจยากคือราคาขายต่อครับ
ซื้อ 3 ล้าน ใช้ 5 ปี เหลือล้านต้นๆ ไม่รวยจริงนี่ทำใจยากครับ
จริงครับ สมัยก่อนผมเคยซื้อรถจากค่ายยนตะกะ ค่าซ่อมบำรุงแพงโคตรรร
เข้าศูนย์ช่างซ่อมไม่จบอีก ต้องไปจบอู่นอก :'(
ขับรถธรรมดา ที่ระบบน้อย ๆ สบายใจกว่า ;D
-
มีผลแน่นอนครับ เพราะต่างกันค่อนข้างชัดเจน
ทั้งนี้ขึ้นกับสถาณะทางการเงิน และการให้ความสำคัญกับรถของแต่ละคนเลยครับ
เหมือนกับการใช้ของฟุ่มเพือยอย่างอื่นนั่นแหละครับ เช่น ตั๋วเครื่องบิน First class , Poolvilla หรูๆ , ของ Brandname ต่างๆ , นาฬิกาข้อมือ
ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจในการใช้เงินของแต่ละคน
-
สำหรับคนทั่วไปลองดูเงื่อนไขการรับประกันที่ละที่ด้วย
เพราะถ้าไม่เข้าศูนย์เลยจะมีผลกับการรับประกัน อย่างน้อยในประกันไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะก็ยังดี (กรองเปลี่ยนที่อื่นก็ได้) เพื่อให้มีประวัติการเข้าศูนย์ เพื่อป้องกันการปฏิเสธความรับผิดชอบกรณีรถมีปัญหาหรือต้องเคลมอะไหล่โดนเฉพาะรถ hybrid ซึ่งแพงมาก แต่ถ้าหมดประกันแล้วอู่นอกเลยครับ
เว้นแต่คุณรับผิดชอบเองได้หรือมีคอนเน็คชั่นอื่นใด
-
ของผม มีผลอันดับหนึ่่งเลยครับ
ถ้าค่ายไหนมี Warranty + Maintenance 7-10 ปี ผมจะเอาขึ้นเป็นตัวเลือกแรก ๆ เลย
ึค่าซ๋อมบำรุง ค่าอะไหล่มันก้าวกระโดดมาก
ที่บ้านส่วนใหญ่ใช้ Volvo ซึ่งค่าบำรุงรักษาสูงพอควร
ค่าสายพาน อะไหล่ต่าง ๆ สูงกว่ารถญีุ่ปุ่นชัดเจน
ค่าแรง ชั่วโมงละ 1050 บาท
เช็คระยะหลังหมดประกัน ปกติหมื่นกว่าบาท
ถ้าตรงรอบ เปลี่ยนอะไหล่่สำคัญ 3-4 หมื่นบาท
ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะออก XC60 ในเร็ว ๆนี้
แต่ก็กังวลเรื่องโมดูลแบตเตอรี่ ค่าซ๋อมหลังหมดประกัน
เลยมอง ๆ CX5 2.5T แม้ว่า ราคาอะไหล่สูงกว่ารถญี่ปุ่นแบรนด์อื่น ๆ แต่ก็อยู่ในเกณฑ์รับได้
จริง ๆ ก็มอง X3 เหมือนกัน ถ้าได้ BSI 6 ก็น่าสนใจ
แบรนด์ยุโรปมันดึงดูดจริง ๆ ครับ แต่ค่าดูแลมันสูง
-
สำหรับผมมีผลแต่ไม่ใช้ส่วนใหญ่ครับ แต่จากที่เคยลองใช้มาคันนึง F10 ผมมองว่าสิ่งที่ได้เหนือกว่ารถราคา
1.4-1.8 ล้านมันไม่มากพอครับ ถ้าเทียบกับ d seg jpn ถ้ารถไซสเดียวกันแล้วราคาสูงกว่า 400,000-
700,000 ผมว่ามันควรจะประมาณนี้ ไม่ใช่ห่าง 1.5-2.5 ล้านครับ สิ่งที่ได้เพิ่มมามันไม่มากพอสำหรับผม
เลยไม่ได้ใช้แล้วเดี๋ยวนี้ ซื้อรถ d seg 1.5 ล้านมาทำ2 แสน ได้ทั้งสวยและสมรรถนะแทบจะไล่กันหรือดีกว่า
ด้วย ยกเว้นพูดถึงเรื่อง image นะครับ ถ้าเรื่องนี้มันก้แน่อยู่แล้วอะครับ
-
มีผลแน่นอน ยิ่งนิสัยผมนี่ รถต้องเนี๊ยบ ต้องสภาพเหมือนป้ายแดง อะไหล่เทียม อะไหล่มือสอง ใช้ไม่เป็น เจอเข้าไปก็คงจุก
เอาแค่ญี่ปุ่น อายุ 9 ขวบ ที่ใช้เนี่ย ..
ธันวา ปีที่แล้ว .. แร็คพวงมาลัย 4 หมื่น
เมษา ปีนี้ .. ลูกหมากกันโคลงหน้า 5 พัน
มิถุนา ปีนี้ .. ไดชาร์จ 2 หมื่น
สิงหา ปีนี้ .. โช้ค + ส่วนควบ 3 หมื่น
แค่นี้ก็ แตะ แสน แล้วครับ นี่รถญี่ปุ่นตลาดๆ บ้านๆ ที่อะไหล่ไม่แพงนะ .. จะให้ใช้แร็คเทียมเหรอ ? ใช้แร็คซ่อมเหรอ ? หรือ ไดชาร์จ ซ่อม เหรอ ? มันไม่ใช่ผมแน่ๆ ขับไประแวงไป
แต่แน่นอนว่า ญี่ปุ่นเก่าๆของผม ผมก็ท้าว่า มานั่งขับ ทุกอย่างคือ เหมือนป้ายแดงนะ ช่วงล่างแน่น ภายในแน่น ไม่มีเสียงผิดปกติ ไม่รู้สึกว่า ขับรถอายุ 9 ปี แสนกว่ากม. แน่ๆ
พอคิดกลับว่า เอ ถ้าเราซื้อยุโรป หลังหมดพวก warranty แล้ว เจออะไรแบบนี้ จะเจอเท่าไหร่นะ
-
มีผลแน่นอน ยิ่งนิสัยผมนี่ รถต้องเนี๊ยบ ต้องสภาพเหมือนป้ายแดง อะไหล่เทียม อะไหล่มือสอง ใช้ไม่เป็น เจอเข้าไปก็คงจุก
เอาแค่ญี่ปุ่น อายุ 9 ขวบ ที่ใช้เนี่ย ..
ธันวา ปีที่แล้ว .. แร็คพวงมาลัย 4 หมื่น
เมษา ปีนี้ .. ลูกหมากกันโคลงหน้า 5 พัน
มิถุนา ปีนี้ .. ไดชาร์จ 2 หมื่น
สิงหา ปีนี้ .. โช้ค + ส่วนควบ 3 หมื่น
แค่นี้ก็ แตะ แสน แล้วครับ นี่รถญี่ปุ่นตลาดๆ บ้านๆ ที่อะไหล่ไม่แพงนะ .. จะให้ใช้แร็คเทียมเหรอ ? ใช้แร็คซ่อมเหรอ ? หรือ ไดชาร์จ ซ่อม เหรอ ? มันไม่ใช่ผมแน่ๆ ขับไประแวงไป
แต่แน่นอนว่า ญี่ปุ่นเก่าๆของผม ผมก็ท้าว่า มานั่งขับ ทุกอย่างคือ เหมือนป้ายแดงนะ ช่วงล่างแน่น ภายในแน่น ไม่มีเสียงผิดปกติ ไม่รู้สึกว่า ขับรถอายุ 9 ปี แสนกว่ากม. แน่ๆ
พอคิดกลับว่า เอ ถ้าเราซื้อยุโรป หลังหมดพวก warranty แล้ว เจออะไรแบบนี้ จะเจอเท่าไหร่นะ
ผมขับยุโรป มือสองมาตลอด รถเก่า 5ปี+ ทั้งนั้น
เข้าอู่ อะไหล่ก็ราคาเดียวกันที่พี่ว่าไว้นะครับ
-
คิดมากไปชาตินี้ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ ติดค้างด้วยความอยาก
คิดน้อยไปชาตินี้เป็นเจ้าของได้แค่ครั้งเดียวแบบเจ็บๆจุกๆ
ต้องใช้คำว่าจากประสบการณ์เพื่อน เล่นรถแพงก็เหมือนเล่น.....ตัวท๊อป ทั้งค่าเทอม ค่ากระเป๋า ค่าคอนโด ดีหน่อยตอนนี้มีโควิดไม่งั้นโดนค่าไปเมืองนอกปีนึ่งหลายรอบ
-
ค่าประกันหลักครับ นั่นคือปัญหา ;D ;D
-
มีผลแน่นอน ยิ่งนิสัยผมนี่ รถต้องเนี๊ยบ ต้องสภาพเหมือนป้ายแดง อะไหล่เทียม อะไหล่มือสอง ใช้ไม่เป็น เจอเข้าไปก็คงจุก
เอาแค่ญี่ปุ่น อายุ 9 ขวบ ที่ใช้เนี่ย ..
ธันวา ปีที่แล้ว .. แร็คพวงมาลัย 4 หมื่น
เมษา ปีนี้ .. ลูกหมากกันโคลงหน้า 5 พัน
มิถุนา ปีนี้ .. ไดชาร์จ 2 หมื่น
สิงหา ปีนี้ .. โช้ค + ส่วนควบ 3 หมื่น
แค่นี้ก็ แตะ แสน แล้วครับ นี่รถญี่ปุ่นตลาดๆ บ้านๆ ที่อะไหล่ไม่แพงนะ .. จะให้ใช้แร็คเทียมเหรอ ? ใช้แร็คซ่อมเหรอ ? หรือ ไดชาร์จ ซ่อม เหรอ ? มันไม่ใช่ผมแน่ๆ ขับไประแวงไป
แต่แน่นอนว่า ญี่ปุ่นเก่าๆของผม ผมก็ท้าว่า มานั่งขับ ทุกอย่างคือ เหมือนป้ายแดงนะ ช่วงล่างแน่น ภายในแน่น ไม่มีเสียงผิดปกติ ไม่รู้สึกว่า ขับรถอายุ 9 ปี แสนกว่ากม. แน่ๆ
พอคิดกลับว่า เอ ถ้าเราซื้อยุโรป หลังหมดพวก warranty แล้ว เจออะไรแบบนี้ จะเจอเท่าไหร่นะ
คูณสองไปครับ ผมใช้ยุโรป 5ปี+ มา 5 คันแล้ว ถ้าอะไหล่ตามที่ท่านว่ามาเบิกมือหนึ่งอู่นอก คูณสองไปครับ
ยกเว้นพวก โช้คกับช่วงล่าง ที่หนีกันไม่มาก แต่จุดยึดยุโรปเยอะว่า ยกทั้งชุดไม่รวมโช้ค อย่าง A6 หรือ Series5 ก็มี 2หมื่นแล้วครับ
ที่โหดร้ายไม่แพ้กันแรคพวงมาลัยก็ ระบบแอร์ยกทั้งระบบ ปั้มเบนซิน ปั้มเบรค ยิ่งถ้าเจอพวงสมอง ABS สมอง Central Lock เบิกใหม่นี่หนาวเลย อู่นอกเปลี่ยนมือสองให้ก็หนาวเพราะพวกรับประกันแค่ 3-6 เดือน
ทำใจครับ ยังไงๆก็แพงกว่า D Seg แน่ แม้จะเข้าอู่นอก
-
ค่าประกันรถยุโรปตัวเริ่ม มันเท่าไหร่หรือครับ
แล้วรถ PPV C-SUV กับ D-seg นี่เท่าไหร่ครับ ถึงได้บอกว่ามันแพงกว่าหลายเท่าครับ
-
มีผลแน่นอนครับ สำหรับพ่อบ้านแบบเราที่อาจจะต้องเป็นคนบำรุงรักษารถที่เราใช้เองและภรรยาใช้ ค่าบำรุงรักษาหลังหมดวารันตี กับประกันภัย นี่ยังงัยก็คนละเรื่องกับรถณี่ปุ่นแน่นอนครับเจ็บหนักแน่นอน แต่สุดท้ายก็โดนความเชื่อของภรรยาและผู้ใหญ่รอบข้างที่เชื่อมาตลอดว่ารถยุโรปปลอดภัยกว่าเลยขี้เกียจไปต่อสู้อะไรมาก ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของเราไป 555
อาศัยว่าไปสิงอยุ่ในกรุ๊ป fb line แล้วหาอู่นอกดีๆที่พรรคพวกแนะนำกันไปก็พอช่วยผ่อนมาได้พอสมควรครับ แต่ก็ยังแพงมากอยุ่ดี
-
ค่าประกันรถยุโรปตัวเริ่ม มันเท่าไหร่หรือครับ
แล้วรถ PPV C-SUV กับ D-seg นี่เท่าไหร่ครับ ถึงได้บอกว่ามันแพงกว่าหลายเท่าครับ
ตัวเริ่มต้นผมไม่มีข้อมูลครับ แต่ปีล่าสุดผมจ่ายเบี้ย ป1 ดังนี้
Cls 40,000
XC60 60,000
C43 75,000
ปล มีเคลมบ้างประปรายยกเว้น C43 ยังไม่เคยเคลมครับ
-
รักที่จะใช้เล่นกับไฟ แลกมาด้วยอิมเมจ อย่าคิดมาก จัดยุโรปได้เลย
ประกันมี bsi มา ขายตอนยังไม่หมด เรื่องราคาร่วงเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
สี่ปี ที่คุณใช้ มันอัพเวลคุณขนาดไหนบ้าง
เหมือนเช่าใช้ เงินไม่มีเหลือ คันเก่าแลกคันใหม่ ก้มหน้าก้มตาผ่อนกันต่อไป
ตราบใด ที่คนส่วนใหญ่ ใช้ราคารถเป็นตัววัดชนิดของรถ
ราคาขนาดนี้ใช้ไอ้นั่นดี ใช้ไอ้นี่ดีกว่า
ใช้ติดมือจริงๆ คือ คนใจรัก หรือไม่ก็ต้องยอมรับข้อนี้ตั้งแต่ซื้อแล้วครับ
บางคนจึงคิดว่า ใช้รถธรรมดา หมดประกันก็เปลี่ยนใหม่ จะไม่ซ่อมเป็นอันขาด
เพราะซ่อมไปวันหนึ่งก็ต้องขายอยู่ดี
-
นอกจากค่า service ค่าประกันที่โหดร้ายแล้ว
อีกเหตุผลที่ทำใจยากคือราคาขายต่อครับ
ซื้อ 3 ล้าน ใช้ 5 ปี เหลือล้านต้นๆ ไม่รวยจริงนี่ทำใจยากครับ
D Segment นี่ก็พอๆ กันเลยครับ ซื้อล้านสาม ล้านสี่ ผ่านไป 5 ปี เหลือ 6 แสนกว่า
ช่วงนี้ แม้จะไม่กระทบจากโรคระบาดแล้ว แต่ต้องระวังการใช้จ่าย ทำใจยากที่จะซื้อรถใหม่ครับ ตอนนี้บางคันของผมตั้งแต่ปี 2013 ครับ ทำการซ่อมเปลี่ยนหลายอย่างไปแล้วรอบนึง คงใช้ยาวๆ ครับ ไม่เคยใช้รถนานขนาดนี้ (นับเฉพาะรถส่วนตัวนะครับ)
-
ค่าประกันรถยุโรปตัวเริ่ม มันเท่าไหร่หรือครับ
แล้วรถ PPV C-SUV กับ D-seg นี่เท่าไหร่ครับ ถึงได้บอกว่ามันแพงกว่าหลายเท่าครับ
ตัวเริ่มต้นผมไม่มีข้อมูลครับ แต่ปีล่าสุดผมจ่ายเบี้ย ป1 ดังนี้
Cls 40,000
XC60 60,000
C43 75,000
ปล มีเคลมบ้างประปรายยกเว้น C43 ยังไม่เคยเคลมครับ
รถผม C300 (A205) วิริยะเสนอเก้าหมื่นกว่า ต่อประกันกับอีกประกันนึง เหลือ 7 หมื่นกว่า ค่าประกันโหดร้ายมากๆ
Yaris Ativ, Civic ก็เบี้ยโหดร้ายเมื่อเทียบกับราคารถเหมือนกัน ค่าเบี้ย 2 หมื่นกว่า
-
ค่าประกันรถยุโรปตัวเริ่ม มันเท่าไหร่หรือครับ
แล้วรถ PPV C-SUV กับ D-seg นี่เท่าไหร่ครับ ถึงได้บอกว่ามันแพงกว่าหลายเท่าครับ
ตัวเริ่มต้นผมไม่มีข้อมูลครับ แต่ปีล่าสุดผมจ่ายเบี้ย ป1 ดังนี้
Cls 40,000
XC60 60,000
C43 75,000
ปล มีเคลมบ้างประปรายยกเว้น C43 ยังไม่เคยเคลมครับ
รถผม C300 (A205) วิริยะเสนอเก้าหมื่นกว่า ต่อประกันกับอีกประกันนึง เหลือ 7 หมื่นกว่า ค่าประกันโหดร้ายมากๆ
Yaris Ativ, Civic ก็เบี้ยโหดร้ายเมื่อเทียบกับราคารถเหมือนกัน ค่าเบี้ย 2 หมื่นกว่า
Ativสองหมื่นกว่านี่โทดมากครับ ;D
ส่วนตัวพวกนี้เมนเทนแนนซ์กับประกันไม่ค่อยมีผลครับ
ถ้าจะซื้อรถราคาแบบนั้นก็ทำใจแล้วครับว่าค่าใช้จ่ายระหง่างทางมันไม่ถูกแน่ๆ
แต่ปัจจัยอื่นอย่างศูนย์บริการและการเข้ารับบริการถ้าต้องวิ่งข้ามจังหวัดผมก็ไม่เอาแล้วครับ ขนาดปัจจุบันใช้รถญีาปุ่นอยู่บางอย่ารอ1สัปดาห์ผมยังรู้สึกว่านานเลยครับ ถ้าเปลี่ยนเป็นรถยุโรปที่ต้องวิ่งไปเข้าศูนย์ไกลๆผมก็ไม่เอาครับ เสียทั้งเวลาและสุขภาพจิตครับ ;D
-
ค่าประกันรถยุโรปตัวเริ่ม มันเท่าไหร่หรือครับ
แล้วรถ PPV C-SUV กับ D-seg นี่เท่าไหร่ครับ ถึงได้บอกว่ามันแพงกว่าหลายเท่าครับ
ตัวเริ่มต้นผมไม่มีข้อมูลครับ แต่ปีล่าสุดผมจ่ายเบี้ย ป1 ดังนี้
Cls 40,000
XC60 60,000
C43 75,000
ปล มีเคลมบ้างประปรายยกเว้น C43 ยังไม่เคยเคลมครับ
รถผม C300 (A205) วิริยะเสนอเก้าหมื่นกว่า ต่อประกันกับอีกประกันนึง เหลือ 7 หมื่นกว่า ค่าประกันโหดร้ายมากๆ
Yaris Ativ, Civic ก็เบี้ยโหดร้ายเมื่อเทียบกับราคารถเหมือนกัน ค่าเบี้ย 2 หมื่นกว่า
อันนี้เค้าเอาอะไรมาคำนวนครับ ทำไมประกันชั้น1ที่ผมดูมาสำหรับรถผมมันไม่ถึง 12,000 เลย (Ford Fiesta)
เพราะมีการเคลมกับรถคันอื่นหรือเปล่าเพราะมอไซผมผมเคลมไปรอบนึง พอจะต่อกับอีกค่ายก็จากปีละ 9,000 เป็น 19,000 ทันที
-
ค่าประกันรถยุโรปตัวเริ่ม มันเท่าไหร่หรือครับ
แล้วรถ PPV C-SUV กับ D-seg นี่เท่าไหร่ครับ ถึงได้บอกว่ามันแพงกว่าหลายเท่าครับ
ตัวเริ่มต้นผมไม่มีข้อมูลครับ แต่ปีล่าสุดผมจ่ายเบี้ย ป1 ดังนี้
Cls 40,000
XC60 60,000
C43 75,000
ปล มีเคลมบ้างประปรายยกเว้น C43 ยังไม่เคยเคลมครับ
รถผม C300 (A205) วิริยะเสนอเก้าหมื่นกว่า ต่อประกันกับอีกประกันนึง เหลือ 7 หมื่นกว่า ค่าประกันโหดร้ายมากๆ
Yaris Ativ, Civic ก็เบี้ยโหดร้ายเมื่อเทียบกับราคารถเหมือนกัน ค่าเบี้ย 2 หมื่นกว่า
อันนี้เค้าเอาอะไรมาคำนวนครับ ทำไมประกันชั้น1ที่ผมดูมาสำหรับรถผมมันไม่ถึง 12,000 เลย (Ford Fiesta)
เพราะมีการเคลมกับรถคันอื่นหรือเปล่าเพราะมอไซผมผมเคลมไปรอบนึง พอจะต่อกับอีกค่ายก็จากปีละ 9,000 เป็น 19,000 ทันที
เรื่องประกันภัยเป็นเรื่องข้อมูลและคณิตศาสตร์ทางสถิติครับ
กลุ่มรถที่กลุ่มคนขับมีสถิติอุบัติเหตุสูง อยู่ในกลุ่มตวามเสี่ยงสูง
อัตราค่าเบี้ยประกันจึงสูงครับ
-
ค่าประกันรถยุโรปตัวเริ่ม มันเท่าไหร่หรือครับ
แล้วรถ PPV C-SUV กับ D-seg นี่เท่าไหร่ครับ ถึงได้บอกว่ามันแพงกว่าหลายเท่าครับ
ตัวเริ่มต้นผมไม่มีข้อมูลครับ แต่ปีล่าสุดผมจ่ายเบี้ย ป1 ดังนี้
Cls 40,000
XC60 60,000
C43 75,000
ปล มีเคลมบ้างประปรายยกเว้น C43 ยังไม่เคยเคลมครับ
รถผม C300 (A205) วิริยะเสนอเก้าหมื่นกว่า ต่อประกันกับอีกประกันนึง เหลือ 7 หมื่นกว่า ค่าประกันโหดร้ายมากๆ
Yaris Ativ, Civic ก็เบี้ยโหดร้ายเมื่อเทียบกับราคารถเหมือนกัน ค่าเบี้ย 2 หมื่นกว่า
ทำไมของท่านเบี้ยแพงจังครับ :'(
-
ตอนซื้อไม่มีผลคับเพราะอยากได้ จะมีผลตอนขายถ้าซ่อมแพงก็อยากจะรีบขาย 55 ล้อเล่นคับ
จริงๆคือถ้าเป็นรถมือ 1 ผมว่ามีผลน้อยนะ เพราะรถใหม่ๆ สมมติในระยะ 100,000 km รถมันยังไม่ช้ำมากคับ อาจจะเข้า service a หรือ b มาไม่กี่ครั้ง พวกอะไหล่ที่ชอบพังระยะยาวมันยังไม่ออกอาการ ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการซ่อมเลยยังไม่มาก
แต่ถ้าเป็นรถมือ 2 นี่ เวลาเพื่อนๆมาถามผมเรื่องการเล่นรถมือสอง ผมจะทิ้งประเด็นไว้ให้คิดเลยว่า คุณซื้อรถถูกก็จริง แต่รับได้กับค่าบำรุงรักษา 50-100k ต่อปีไม๊ และถ้าแจคพอตจริงๆไปเจออาการหนักๆซ่อมเป็นแสนนี่รับไหวไม๊ ใจรักพอที่จะใช้ต่อหรือรับได้กับการยอมปล่อยขาดทุน
ส่วนใหญ่ที่รับได้ คือคนที่ซื้อรถยุโรปมือ 2 ที่ตั้งใจจะเก็บ เช่นพวกตัวหายาก Roadster coupe convertible อะไรพวกนี้คับ นอกนั้นถ้าเป็น sedan ธรรมดา สมมติ w212 ซื้อมา 900k ตั้งใจใช้สามปี แต่ไปๆมาๆมันซ่อมปีละ 100k นี่หลายคนถอดใจตั้งแต่ปีแรกละ 55
-
พูดถึงประกันภัย
รถตลาดๆอย่าง CR-V เนี่ย ทำตัวให้ประวัติสวยๆ ไม่มีเคลม ได้ชั้น 1 ซ่อมห้างยาวๆ ยันปีที่ 10 ทุนก็สูงกว่าราคามือสอง แต่เบี้ยแค่ 1.2 - 1.3 หมื่น (G3 น้องสาว ปลดลงซ่อมอู่ ตอนเข้าปีที่ 11 / G3 ผม ปีที่ 9 ยังได้ซ่อมห้าง)
พอมาเป็นรถแปลกอย่าง pulsar DIG ประกันเดียวกัน โบรคเกอร์เดียวกัน แค่ปีที่ 3 ประกันก็ไม่ยอมให้ซ่อมห้างละ ต้องต่อรองกันว่าจะยอม แลกกับค่าเบี้ยที่เพิ่มจากปีที่แล้ว ทั้งที่ไม่มีเคลมด้วย
-
ชอบ "คำถาม" นี้แฮะ
อย่างว่า "ลางเนื้อชอบลองยา"
ถ้ายังไม่เคยมี ยังไม่เคยเป็นเจ้าของ "Euro" มาก่อน
ฟัง "เขาเล่า" มาว่า มันเกาะแบบนี้ เบรคดีแบบนั้น มันโก้แบบนี้
มันก็ต้อง "คัน" เป็นธรรมดา และเมื่อถึงวันหนึ่งที่ "สามารถ" ผ่อนหรือซื้อมาเป็นเจ้าของไหว ก็อยากลอง!!
"ค่าดูแล" ไม่ใช่ "แลดู" โดยมาก Euro มัก "คูณสองถึงคูณสาม" จาก "Jap" ในคลาสเดียวกัน
แค่นั้นยังไม่พอ ไม่รู้เป็นไง "Euro" มักจุกจิกกวนใจมากกว่า "Jap" เยอะอีกพอควร
พอคิดแค่นี้ มันจะมีเส้นบางๆ ว่า "ซื้อ ไม่ซื้อ"
แต่บางครั้ง ความคัน ถ้าไม่ถูกเกา ก็อาจจะ "คาใจ"
แต่ถ้า ซื้อมาแก้คันแล้ว อาการคันมันอาจจะหาย
แต่พอดูไปดูมา กลายเป็น "แผล" ไปซะงั้น
และบางแผลนี่ มันรักษายาก เป็นแผลลึกเข้าไปอีก หรืออาจจะเป็น "แผลเป็น" ก็ได้
ใครจะรู้??
ลองหรือไม่ลองดี!!??
โดยส่วนตัวลองมาแล้วรู้.. แต่ไอ้บางรุ่นมันก็น่าลอง ซะจริงๆ!!
"ยังเจ็บไม่พอ จะขออีกซักที...!!?? "
-
ไม่มีผลกับคนที่ตั้งใจซื้อ MB
แต่มีผลกับคนที่จะซื้อ MB หรือ BMW ก็ได้
เพราะที่ผมรู้จักคนที่ MB ทุกคนรู้ว่า BMW มี BSI แต่เค้าไม่สนใจเพราะต้องการ MB รุ่นนี้ เท่านั้น
ส่วนคนที่จะซื้อ BMW เท่านั้น ก็ถือว่า BSI เป็นผลพลอยได้
และถ้าเรื่องนี้เป็นเหตุผลหลักของคนส่วนใหญ่ BMW ก็ควรขายดีกว่า MB แต่ยอดขายที่ผ่านมา BMW มี BSI ก็ขายได้น้อยกว่า MB มาตลอด
+1 จากความรู้สึกตอนซื้อเลยค่ะ ซื้อเพราะชอบรุ่นนี้เท่านั้น
ตอนซื้อ BM ก็รู้สึกดี ที่ได้ BSI มาเป็น "ของแถม"
ตอนซื้อ MB ก็รู้อยู่ลึกๆว่าค่า maintenance ไม่เบา แต่ใจมัน "เลือก" ไปแล้ว ก็เลยไม่อยากคิดมาก
เพราะยังไงสุดท้ายก็ได้ขับรุ่นที่เราต้องการ ขับไป มีความสุขไป แบบนี้มั้ง ที่เค้าเรียกว่า เจ็บ...แต่จบ ;D ;D
-
รายได้สุทธิไม่ถึงเดือนละ 200.000 บาท
อย่าเล่นเลยครับ
-
กรณีของผมเป็นรถมือสองทีแรกหมายมั่นปั้นมือว่า70%ซื้อรถยุโรปแต่พอค้นคว้าและศึกษาจากหลายๆทางและจากคนใช้ในต่างประเทศด้วยพบว่ารถยุโรปไม่เหมาะที่จะซื้อมาใช้มือสองเลยถ้าไม่รวยเงินเหลือมากๆ ยกตัวอย่างเบนซ์ก็จะมีกรณีเฟืองแคมชาร์ฟที่เสียแน่ๆเสียทุกคันแม้จะไปอู่นอกก็เสียแน่ๆ20000บาท :'( ยังไม่รวมถึงระบบไฟฟ้าอื่นๆและปัญหาประจำรุ่นอีกมากมายที่มันพร้อมจะทำให้ไฟเตือนเครื่องยนต์สว่างและใช้งานไม่ได้ :-\ ใน BMW ก็มีกรณีที่โซ่สายพานไทมมิ่งขาดตอนระยะแสนกิโลหน่อยๆ โซ่สายพานไทมมิ่งนี่คนส่วนใหญ่ก็เข้าใจกันว่ามันตลอดอายุการใช้งานแต่ของซีรี่5ดีเซลต้องเปลี่ยนที่แสนกิโลแต่ศูนย์ไม่บอกว่ามันต้องเปลี่ยนที่แสนกิโล เจ้าของรถขาดไปแล้วระหว่างใช้งานแล้วมาเพิ่งรู้จากคนในกลุ่มว่าต้องเปลี่ยน :'( บ้างก็รถอายุ7ปีเจอน้ำขังกระเด็นทำให้ ECU เกียร์พังขับไม่ได้ :-\ ในทางกลับกันผมสังเกตุคู่แข่งตัวแสบของรถยุโรปอย่างเล็กซัสจะมีอาการเสียน้อยกว่ามาก ในประเทศที่ภาษีรถราคาไม่แพงหลายคนยืนยันว่ารถยุโรปมือ1ซื้อมาใช้5ปีก็ต้องขายทิ้งแล้วเพราะว่าหลังจากนั้นมันจะทยอยเสียเรื่อยๆและการเสียแต่ละครั้งนั้นแพง หลายคนขายรถยุโรปมือ1ไปซื้อเล็กซัสมือ2ที่อายุเก่ากว่ามาใช้เพื่อว่าไม่ต้องจ่ายค่าซ่อมแพงแล้วก็ตายรังที่เล็กซัสไม่ไปไหนเพราะมันไม่พังหนักๆจนอยากขายทิ้งสักที ::)
-
มีผลมากๆ เพราะเคยเจ็บมาแล้ว กับ VW Passat เคยเจอเกียร์กระตุก เปลี่ยนโซลินอยด์เกียร์ น้ำมันเกียร์ยกชุดหมดไปเกือบหมื่น ใช้มาได้อีกไม่กี่เดือนสรุปพังมันทั้งลูก ให้อู่บีเอ็มใกล้บ้านซ่อมเกียร์ให้ หมดไปอีกแสนนึง ไม่เอาอีกแล้ว จริงๆถ้ารู้แหล่งอะไหล่-แหล่งซ่อมที่ในคลับแนะนำกัน ก็อาจไม่เจ็บตัวเท่านี้
ผมเล่นค่ายรถฝรั่งเศสมือสองมาหลายปีละ รู้แหล่งอะไหล่แหล่งซ่อมที่ไว้ใจ ราคาแทบไม่ต่างจากรถญี่ปุ่น ตัวรถเองมันก็ไม่ได้จุกจิกอะไร มันจึงเป็นรถยุโรปเพียงไม่กี่ค่ายที่ผมยังกล้าเล่น
แต่กลับบางค่ายอย่าง Alfa Romeo ซึ่งเป็นรถที่ชอบมากๆ โดยเฉพาะ 156 บอกตามตรงว่ายังไม่กล้าเล่น ทั้งๆที่ราคามือสองตอนนี้น่าเล่นมากก็ตาม เพราะกลัวเรื่องเกียร์เซเลสปีดที่ค่อนข้างเกเรตามอายุมัน ซ่อมทีหมดเป็นหมื่น บอกตามตรงว่าไม่อยากลงทุนกับเรื่องรถมากแล้ว
-
มีผลมากๆๆ ปัจจุบันใช้อยู่รถก็ 13ปีละ เบื่อมากซ่อมทีก็หลายอยู่ เสียทั้งเงินเสียทั้งเวลากำลังจะหันกลับมาใช้ญี่ปุ่นน่าจะเหมาะกับเรามากกว่า
ปล. ใครที่ยังไม่เคยใช้รถยุโรปส่วนตัวแนะนำให้ซื้อมาลองดูซะครั้งจะได้ไม่คาใจ
-
ค่าซ่อมมีผลแต่ไม่ใช่ประเด็นหลักสำหรับผมครับ
แต่คันต่อๆไปคงจะหนีห่างจาก BM,MB แน่ๆเพราะ
1.ศูนย์บริการจองยากมาก
2.ราคาตกเยอะ
3.ยางแพง
4.ผมอยู่ ตจว. เอาเข้า0ทีนึงไปกลับร่วมๆ 500กม เสียเวลาชีวิตครับ
5.ยางบางๆแก้มเล็ก ไม่เหมาะกับถนนเมืองไทย
ตอนนี้หนีมาใช้ Lexus แทนครับ เข้า0โตโยต้าได้ทั่วไทย ง่ายดี
-
ค่าประกันรถยุโรปตัวเริ่ม มันเท่าไหร่หรือครับ
แล้วรถ PPV C-SUV กับ D-seg นี่เท่าไหร่ครับ ถึงได้บอกว่ามันแพงกว่าหลายเท่าครับ
ตัวเริ่มต้นผมไม่มีข้อมูลครับ แต่ปีล่าสุดผมจ่ายเบี้ย ป1 ดังนี้
Cls 40,000
XC60 60,000
C43 75,000
ปล มีเคลมบ้างประปรายยกเว้น C43 ยังไม่เคยเคลมครับ
รถผม C300 (A205) วิริยะเสนอเก้าหมื่นกว่า ต่อประกันกับอีกประกันนึง เหลือ 7 หมื่นกว่า ค่าประกันโหดร้ายมากๆ
Yaris Ativ, Civic ก็เบี้ยโหดร้ายเมื่อเทียบกับราคารถเหมือนกัน ค่าเบี้ย 2 หมื่นกว่า
ทำไมของท่านเบี้ยแพงจังครับ :'(
ตัวแทนที่ต่อประกันแจ้งว่ารถกลุ่มที่ผมใช้ มีการเคลมเยอะ (จากผู้ใช้รถคนอื่นในรุ่นเดียวกันด้วย) ครับ Yaris Ativ ผมเคลมครั้งเดียว ไม่กี่พัน อีกคันไม่เคยเคลม แล้วก็ Civic เคลมครั้งเดียวเหมือนกัน ค่าเบี้ยแพงกระฉูดเลยครับ เกือบเท่า Camry Hybrid ของญาติครับ ส่วน Alphard เคลมหลายครั้งมาก เบี้ยยังแค่ 4 หมื่นกว่าครับ
-
มีผลนะครับ หลายๆ ท่านอยากได้มาก แต่ห่วงเรื่องนี้ ทำให้ไม่กล้าไป
-
ผ่อนหมดก็เก็บเงินไว้ซ่อมต่อเลยครับ...ไม่ลองไม่รู้ คันต่อไปก็คงเป็นรถไฟฟ้าจากจีนแล้ว 55