Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: apinui ที่ ธันวาคม 22, 2020, 10:22:18
-
http://www.headlightmag.com/news-akio-toyoda-is-not-a-fan-of-ev/
จากข่าวนี้ ....ที่ผมสนใจคือประโยคนี้ที่กล่าวว่า
"Toyoda ยังแสดงความไม่เห็นด้วยต่อกระแสข่าวที่ว่า ภาครัฐของญี่ปุ่นอาจแบนไม่ให้จำหน่ายรถยนต์ใหม่ ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ในปี 2035 พร้อมให้เหตุผลว่า หากยานพาหนะ 100% ในประเทศเป็น EV ทั้งหมด กระแสไฟฟ้าคงหมดประเทศภายในไม่กี่เดือน นอกจากนั้น เขายังระบุว่าหากต้องการพัฒนาสาธารณูปโภคให้รองรับปริมาณ EV อาจต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 3,580 ล้านเยน (ราว 1,040 ล้านบาท)"
ซึ่งขนาดที่ญี่ปุ่นมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เปิดใช้งานอยู่ 5 โรงในปัจจุบัน
และถ้าหันกลับมามองบ้านเราเพื่อนๆคิดว่าไงกันบ้างครับ ...
-
http://www.headlightmag.com/news-akio-toyoda-is-not-a-fan-of-ev/
จากข่าวนี้ ....ที่ผมสนใจคือประโยคนี้ที่กล่าวว่า
"Toyoda ยังแสดงความไม่เห็นด้วยต่อกระแสข่าวที่ว่า ภาครัฐของญี่ปุ่นอาจแบนไม่ให้จำหน่ายรถยนต์ใหม่ ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ในปี 2035 พร้อมให้เหตุผลว่า หากยานพาหนะ 100% ในประเทศเป็น EV ทั้งหมด กระแสไฟฟ้าคงหมดประเทศภายในไม่กี่เดือน นอกจากนั้น เขายังระบุว่าหากต้องการพัฒนาสาธารณูปโภคให้รองรับปริมาณ EV อาจต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 3,580 ล้านเยน (ราว 1,040 ล้านบาท)"
ซึ่งขนาดที่ญี่ปุ่นมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เปิดใช้งานอยู่ 5 โรงในปัจจุบัน
และถ้าหันกลับมามองบ้านเราเพื่อนๆคิดว่าไงกันบ้างครับ ...
ใช้ครับ ในตอนนี้ผมว่ายังไม่Work. ต้องกลับมาถามกันก่อนว่าทุกวันนี้เราผลิตไฟฟ้าจากอะไร?
-
เห็นด้วยครับ ตัวแปรสำคัญที่หลายๆคนมองข้าม และไม่ให้ความสนใจคือ แหล่งที่มาของไฟฟ้าที่เอามาใช้ในรถยนต์ เพราะสื่อต่างๆมัวแต่ไปสนใจตัว product ที่มันว้าว ว่ารถน้ำมันมากกว่า แต่มองข้ามปัจจัยสำคัญไปคือไฟฟ้า ซึ่งหลายๆประเทศแม้แต่อเมริกาเองก็ไม่พร้อมเมื่อเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้า 100% ทั่วประเทศ
-
http://www.headlightmag.com/news-akio-toyoda-is-not-a-fan-of-ev/
จากข่าวนี้ ....ที่ผมสนใจคือประโยคนี้ที่กล่าวว่า
"Toyoda ยังแสดงความไม่เห็นด้วยต่อกระแสข่าวที่ว่า ภาครัฐของญี่ปุ่นอาจแบนไม่ให้จำหน่ายรถยนต์ใหม่ ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ในปี 2035 พร้อมให้เหตุผลว่า หากยานพาหนะ 100% ในประเทศเป็น EV ทั้งหมด กระแสไฟฟ้าคงหมดประเทศภายในไม่กี่เดือน นอกจากนั้น เขายังระบุว่าหากต้องการพัฒนาสาธารณูปโภคให้รองรับปริมาณ EV อาจต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 3,580 ล้านเยน (ราว 1,040 ล้านบาท)"
ซึ่งขนาดที่ญี่ปุ่นมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เปิดใช้งานอยู่ 5 โรงในปัจจุบัน
และถ้าหันกลับมามองบ้านเราเพื่อนๆคิดว่าไงกันบ้างครับ ...
มันเป็นไฟท์บังคับของญี่ปุ่น หลังจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ถล่มไปครับ ถ้าจำไม่ผิด จาก 50-60 โรง เหลือเปิดทำการแค่หลักหน่วย
และญี่ปุ่นเอง ก็ไม่ได้มีเพื่อนบ้าน หรือเขื่อนใหญ่โต มากสุดมีแค่แหล่งความร้อนไต้พื้นที่เอาแน่ไม่ได้
ทางการเลยวางแผนกลับไปใช้ถ่านหิน ทำให้สะอาดขึ้น พร้อมกันนั้น ก็ใช้ถ่านหินผลิต ไฮโดรเจนไปพร้อมกันด้วย
และวัตถุดิบของการผลิตแบ็ต ที่ญี่ปุ่นผลิตเองไม่ได้มาก ก็เป็นอีกปัจจัย
พร้อมกับ Toyota ที่พัฒนารถไฮโดรเจน เห็นได้ชัดครับ เอกชนและรัฐบาลเค้า ไปทิศทางเดียวกัน เกื่อหนุนกัน ว่างแผนล่วงหน้ากันไป หลาย 10 ปี
คหสต รถไฮโดรเจน ในอนาคต อาจจะมีใช้ที่ญี่ปุ่นที่เดียว หรือประเทศอื่นที่มีปัญญาแบบเดียวกันก็ได้ ประเทศอื่นที่มีทรัพยากรไฟฟ้ามากๆ ก็ใช้รถ EV ไป ยังไงก็คิดค้นมาขายได้อยู่แล้วครับ
-
เห็นด้วยครับ ถึงตอนนี้นะครับ จริงๆแล้วรถ fuel cell จะเหมาะที่สุดแต่ก้ยังไม่รีบพัฒนาแบบเต็มที่ซักที
น้ำมันยังเหลืออีกเยอะครับ ส่วนตัวผมๆไม่แคร์จะรถอะไรก้ได้ครับ NA Turbo PHEV HV EV Fuel cell
ไงก้ได้ครับได้หมด ในlifetime ของผมมันคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเร็วอะไรมากมาย ให้มันเป็นเรื่องของ
คนยุค ต่อๆไปอีก 100ปี+ ไปแล้วจะเป็นยังไงก้แล้วแต่ครับ ไปคิด ไปอยู่กันเอาเอง
-
เห็นด้วยกับท่านประธาน และที่ว่าเงินลงทุน 3 พันล้านเยน น่าจะตกคำว่า "ล้าน" ไปอีกตัวนึง
ไฮโดรเจนคือเชื้อเพลิงแห่งอนาคตครับ
-
ผมยังจำได้รถยีห้อนี้ละที่บอกว่าปะตูแคปเปิดได้ของค่าย us ไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้เพราะของตัวเองผลิตไม่ได้ผลสุดท้ายตอนนี้พอตัวเองผลิตได้ก็ทำออกมาขาย
-
ส่วนตัวผมเข้าใจความคิดของเค้านะครับ แต่ผมก็ไม่เห็นด้วย 100% ซะทีเดียว
ผมมองว่าปัจจุบันรถยนต์สันดาปรุ่นใหม่ๆก็ก่อมลพิษน้อยลงกว่าเดิมมากแล้ว แถมคนใช้รถยนต์ Hybrid ก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนรถยนต์ EV แม้จะเป็นพลังงานสะอาด แต่ก็ต้องมาดูวิธีการกำจัดเซลล์แบตเตอรี่ที่ไม่ใช้แล้ว รวมถึงมลพิษของโรงงานผลิตไฟฟ้า ด้วยเช่นกัน
แต่ถ้าวันนึงมีสถานีชาร์จครอบคลุมพร้อมหมดแล้ว ผมก็เลือกที่จะใช้รถ EV นะครับ เพราะเทคโนโลยีมันต้องก้าวไปข้างหน้าครับ จะเดินอยู่กับที่ หรือ เดินถอยหลังไม่ได้
-
เรื่องใช้ไฟฟ้าจนจะหมดประเทศญี่ปุ่นในไม่กี่เดือน ตรงนี้ผมมองว่าเป็นแค่ความเห็นของบุคคลหนึ่งคับ ยังไม่ใช่ Fact หรือข้อเท็จจริง
ซึ่งเรื่องจริงปริมาณใช้ไฟฟ้าในญี่ปุ่นเป็นอย่างไร คงต้องรอดูข้อมูลกันอีกที
แบบเดียวกับเมืองไทยบ้านเราเหมือนกัน ถ้าจู่ๆมีพรวิเศษเปลี่ยนรถทุกคันเป็นไฟฟ้าหมดวันพรุ่งนี้เลยก็คงใช้ไฟกันไม่พอ
แต่การเปลี่ยนผ่านมันคงค่อยๆทะยอยเปลี่ยน แหล่งผลิตไฟฟ้าก็ทะยอยสร้าง (และสร้างได้จากหลายแหล่งด้วยเช่น พลังน้ำจากเขื่อน กังหันลม โซลาเซลล์ ถ่านหิน )
ช่วงวันนี้อากาศแถบ กทม.นี่ดีนะคับ แต่ไว้ลมนิ่งๆก่อนเถอะ ระดับ PM2.5 พุ่งทะลุชวนให้เป็นมะเร็งปอดเมื่อไหร่กระแสนี้คงเริ่มแรงขึ้นอีก
-
องุ่นเปรี้ยว มะนาวหวาน ครับ ท่านประธาณ
-
ญี่ปุ่นมีเวลาอีก 15 ปีให้ปรับตัว ไม่ใช่แค่บริษัทรถ รวมถึงรัฐบาลด้วย
แกอาจพูดแค่ในมุมมองญี่ปุ่น แต่ในบ้านเราใช้เครื่องยนต์ดีเซล ควันดำเยอะแยะ ค่ามลพิษสูงมาก ถ้าไม่ปรับปรุง ก็มีแต่แย่ลงไปเรื่อยๆ ถ้าทุกคนรอกันหมด ก็ไม่มีใครริเริ่มสักที
-
ก็ต้องเดาทาง megatrendให้ออก ขึ้นกับประชากรส่วนใหญ่บนโลกครับ
ใครสวนทางอาจหมดอนาคตได้
พัฒนามาถูกทางก็เฮงไป ญี่ปุ่นก็แค่ 1 ประเทศ
-
ผมมองว่าก็จริงส่วนหนึ่ง แต่ก็มามองที่ความเป็นจริงก็คือ การผลิตไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างน้อยการบริหารจัดการเรื่องมลพิษก็น่าจะทำได้ดีกว่าภาคประชาชนนะ แน่นอนว่ามีมลพิษปล่อยออกมา แต่อาจจะน้อยกว่าที่ปล่อยจากท่อไอเสีย ไม่มากก็น้อย
เว้นเสียแต่ว่าจะสามารถผลิตไฟฟ้าแบบไร้มลภาวะได้ 100% (Solar Cell, Wind Turbine, เขื่อนขนาดเล็ก (เขื่อนขนาดใหญ่ เกิดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมในการก่อสร้างและพื้นที่ใกล้เคียง) และ Tidal Power) และเพียงพอต่อการใช้งานในประเทศด้วย การจัดการมลพิษก็น้อยลงมาก แต่ต้องเพิ่มการซ่อมบำรุงแทน
แต่ถ้าผู้บริโภคยังไม่พร้อมจะใช้รถไฟฟ้า ก็ยังต้องแก้เรื่องมลพิษที่รถกันต่อไป (DPF, AdBlue, Catalytic Converter, Turbo Engine ฯลฯ) ควบคู่กับการลดมลภาวะของโรงไฟฟ้าด้วย รวมถึงการจัดการ Battery ที่หมดอายุหรือเสื่อมสภาพก็ยังเป็นที่กังขาอยู่ว่าจะจัดการยังไง และจัดการได้ดีแค่ไหน แล้วสามารถนำกลับมาใช้งานได้เยอะแค่ไหน
-
ผมไม่ได้อินกับรถ EV แบบไฟฟ้าล้วนๆ มากนัก
แต่ลองคิดตื้นๆ ง่ายๆ และใชเ้เทคโนโลยีที่เกือบทุกค่ายในไทยมีตอนนี้ เช่น ไฮบริด ทั้ง HEV และ PHEV
ว่าแค่เปลัี่ยนรถทั้งหมดเป็นไฮบริดได้ ก็ลดการใช้น้ำมันไปขนาดไหนแล้ว...
-
ธุรกิจยานยนต์ก็เหมือนกับอิเล็คทรอนิคในยุคที่แล้วที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าตลาด จะให้กลับลำตามจีน ยุโรป เมกา ก็อาจจะไม่คล่องตัวนัก...
-
พูดมีเหตุผลครับ ผมไม่ได้ pro รถ ev เมื่อไรที่มันมาก็เวลานั้นแหละ รถ ev มันมีมาตั้งเนิ่นนานแล้ว ถ้ามันจะบูมมันคงบูมไปนานแล้ว ส่วนตัวไม่ได้สนใจสิ่งแวดล้อม ใช้อะไรก็ได้ที่คุ้มค่าที่สุด
-
บ้านเรา มลพิษดีเซล
โดนอุดปากไว้ไม่ให้พูดครับ
เบนซิน หรือ Hybrid ทำสะอาดไปแทบตาย
ก็เหมือนกินน้ำสะอาดแก้วสกปรก
-
สะอาดตอนใช้งาน
แต่สกปรกตอนผลิตและเก็บกวาด
-
เห็นด้วยกับท่านประธาน และที่ว่าเงินลงทุน 3 พันล้านเยน น่าจะตกคำว่า "ล้าน" ไปอีกตัวนึง
ไฮโดรเจนคือเชื้อเพลิงแห่งอนาคตครับ
+1
-
เฉยๆกะ ความเห็นที่มาจากค่ายรถนี้คับ ยังกะโลกนี้ เทคโนโลยี เทรนอุตสาหกรรมจะหมุนพัฒนาไปตามค่ายนี้ หัดคิดกันบ้างยุคนี้มันไม่ใช่ยุค 70s,80s อีกแล้ว แบรนด์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาตินั้นเน่าเพราะอะไร มีเคสการบริหาร mindset หลงยุคให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่แล้ว
ไม่อยากผลิตอีวี ก็ช่างมันก็เรื่องของค่ายนั้นครับ ผู้บริโภคหัว liberal อย่างผมก็ไปซื้อของค่ายอื่นที่เค้าทำมาขาย ยิ่งมี FTA มา การค้าเสรีแบบฟินๆโคตรดี
ปล. ใครหลงเชื่อคำโคสะนาของค่ายนี้อวยเชียร์ไฮโดรเจนอยู่ เอาง่ายๆ ลองคิดดูเอาราคาหน้าปั้ม 300-400 บาทต่อกิโล รถ fuel cell คันนึงเติมห้ากิโล คิดต้นทุนค่าเชื้อเพลิงแล้วมันถูกกว่ารถ ice ตรงไหน
-
เขาก็มีเหตุผลของเขา
เหมือน เด็กกับคนแก่ คุยกัน
แต่ละคนก็เชื่อไม่เหมือนกัน
แต่อย่าลืมว่า ในตอนที่เปลี่ยน เทคโนโลยี
มันไม่เคยมีครั้งไหน ที่ผู้นำ ต้องไปสนใจคำของผู้ตามหรือความคิดเดิม
และเมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยน มีใครเคยสนใจวงการอุตสาหกรรมเก่าๆมั้ย
เค้ามีแต่เกาะรถ เกาะเทรนด เพราะรู้ว่านั่นคือ ตลาดใหม่ ใครที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็ค่อยๆหายไป หรืออยู่ไปเป็นตลาดเฉพาะเล็กๆ
ซึ่งมันก็ยังมีตลาดของมัน เช่น วงการเครื่องเสียงหลอด รถคลาสสิค รถจักรไอน้ำ รถม้า คนทำก็ยังมีแต่กลายเป็นทำเพื่อศิลป ประวัติศาสตร์
แล้วเวลาก็จะเป็นตัวพิสูจนื จะเป็นยังไง ผมว่าอีกไม่เกิน 5 ปี ได้เห็นคำตอบชัดๆ
มันคงต้องมีคนกลืนน้ำลายตัวเอง
-
วันนี้ผมยังไม่เห็นการทำลายลิเทียมอย่างเป็นรูปธรรม
ยังไม่เห็นการผลิตไฟฟ้าเป็นจำนวนมากๆแบบยังไม่ก่อมลพิษ
ผมก็ยังเห็นด้วยกับท่านประธาน
เพื่อนๆรู้มั๊ยครับ ถ้าลิเทียมในมือถือของเพื่อนๆแตก แล้วเพื่อนๆสูดกลิ่นหอมๆเข้าไป เพื่อนๆจะมีโอกาสเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น 20%ทันที
ถ้าไฟไหม้กองขยะที่มีโทรศัพท์ทิ้งอยู่ ก็จะเพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็งถึง 40%
การผลิตไฟฟ้าในปริมาณมากๆ วันนี้ยังต้องอาศัยความร้อน การทำลายแบตเตอรี่ก็ยังต้องใช้ความร้อน
จริงๆแล้ว ทางเลือกที่ดีที่สุด ก็คือการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้มีประสิทธิภาพสูงสุดครับ
-
จะอะไรกันนักหนา
คนทำรถจะพูดอะไรก็พูดไป
คนซื้อรถ ขะซื้ออะไรก็ซื้อไป
วันนี้ในบ้านเรามี EV ราคาต่ำล้านขายแล้วนะ
ส่วนคนพูดนั่นน่ะ เพิ่งให้ข่าวการพัฒนาแบต EV
ใหม่อยู่ไม่ใช่เหรอ
วงการมายาอ่ะนะ
-
ต้นทางเขาคุยกันที่พลังงานสะอาดแล้ว รถยนต์จะ Transformation หรือไม่ก็ว่ากันไปครับ
-
ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ออกมาให้ข่าวแบบนี้ มันก็จริงแต่ มันไม่ใช่จะเปลี่ยนกันทั้งหมด พรุ่งนี้ หรือปีหน้า
วิศวกรก็รู้ๆ กันอยู่แล้ว ว่ากังหันขนาดใหญ่ในโรงไฟฟ้า ส่งกระแสมาตามสายถึงบ้าน
ก็ยังให้ประสิทธิภาพมากกว่าเครื่องยนต์สันดาบใน
จุดแตกหักน่าจะอยู่ที่ ค่ายจีน อย่างเช่น ถ้าทำ MG ZS EV ราคา 6 แสนได้ cross สะเทือนแน่ๆ
หรือ greatwall ทำรถเล็กไฟฟ้า วิ่งได้ 300 KM ขายแค่ 3 แสนกว่าๆ ถ้าทำดีทนทาน ไม่จุกจิก
ไม่ดับกลางทางภายใน 5 ปี ค่ายญี่ปุ่น eco car ทั้งหลายสะเทือนแน่ๆ
-
ผมเห็นด้วย ผมเคยให้สัมภาษณ์เมื่อสิบปีที่แล้ว เรื่องที่มาของไฟฟ้าในกรณีที่ต้องใช้รถไฟฟ้า
สมมุติ ผมจะเปิดปั๊มที่ให้บริการขายไฟฟ้ากับ รถ ev ทั่วไป ผมต้องลงทุนขนาดไหน
เครื่องที่สามารถปล่อยกระแสไฟได้ถึงขั้น 150 kw ราคาเท่าไร
ถ้าต้องโละแค่ 10-20 % ของปั๊มน้ำมันทั่วประเทศ ต้องใช้เงินจำนวนเท่าไร
ดังนั้น ตอนนี้ผมไปเปิดบริษัทนำเข้าอุปกรณ์เหล่านั้นดีกว่ามั้ย
มีสิ่งหนึ่งที่รถไฟฟ้า ยังไม่ทำให้ดูคือการทดสอบในสภาวะอากาศต่างๆ
กรุงเทพ ผมอยากเห็นการลุยน้ำลึก 50 เซน คุณภาพของวัสดุภายใน
ที่ทนต่อความร้อนบ้านเรา ระบบขับเคลื่อนในรถสัญชาติจีน มอเตอร์ หัวเพลา ตอนนี้รถใหม่ทุกอย่างยังแน่น
-
นั่นสิครับ
เค้าก็แสดงความเห็น แบบ ปัญญาชนนะครับ
มอง ผลกระทบ ทุกๆด้าน
และไม่ได้ บอกว่าอะไรต้อง 100 %
อีกอย่าง ไม่ได้บอกว่าจะไม่ขาย EV
และเค้าพูดก็ถูกอีก ไม่ใช่ เร่งแต่ จะขาย EV โดยที่ ไม่ทำ สาธารณูปโภคไปด้วย
สรุปๆ ง่าย คือ รัฐบาลจะ กำหนดนโยบายอะไรก็ต้อง วางแผนรองรับด้วย แค่นั้นเอง
แต่พวกเขวาะก็เขวาะไปครับ
สุดท้าย เค้าก็พูดถึง ประเทศ เค้าเอง ก็ยังมี
ประเทศเค้า เค้าจะ ใช้ ไฮโดรเจน จะใช้ PHEV หรือ EV ก็เรื่องของเค้านั่นละครับ
ไม่ต้องเป็นเดือดเป็นร้อน ให้มาก
-
ตามนั้น มันไม่ควรเร่งรีบจะอะไรๆก็ EV คิดแต่จะรีบแบนนั่นนี่ เครื่องยนต์สันดาปไม่ใช่สิ่งเลวร้ายชั่วร้ายขนาดนั้น
ผมยังคิดว่าระบบ Hybrid นั่นแหละคือสิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่หักดิบเอาแต่เอะอะ EV
-
เรียนตามตรง EV ไม่ใช่ทางออกของพลังงานโลกครับ
เพราะยังไง ไฟฟ้าก็ต้องมาจากพลังงานความร้อน ซึ่งการที่จะได้พลังงานความร้อนก็มาจากน้ำมัน ถ่านหิน หรือนิวเคลียร์
ส่วนที่จะมีพลังงานสะอาดมาเป็นกระแสไฟฟ้าก็พอมีครับแต่มันน้อยมาก
PHEV ไฮบริด และไฮโดรเจน อาจจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
-
คิดว่ารัฐบาลประเทศทางยุโรปเค้าโง่รึเปล่าละครับ ถึงได้สนับสนุนรถไฟฟ้า
ฟังความเห็นจากผู้ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียน่าจะเห็นความเห็นที่เป็นกลางมากกว่าไหม?
-
คือ เห็นข่าวแล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นความคิดเห็นของประธานโตโยต้านะครับ น่าจะเป็นการปกป้อง Supply Chain ของตนเองมากกว่า ญี่ปุ่นเองก็วิจัยเรื่อง Fuel Cell จนสามารถใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้แล้ว โครงสร้างพื้นฐานก็แค่ทำ Smart Grid ก็สามารถทดแทนการสร้างโรงไฟฟ้าใหญ่ ๆ ได้แล้วครับ
-
อ่าน ใจความ Toyota ดีๆ ครับ
เค้าพูดถึง EV 100 % ในระยะ ใกล้นี้
พูดในแง่ ผลกระทบ
ผมถามหน่อย มีใคร เคยวิจัย ไหม ว่า
การกระโดด จากรถน้ำมัน มาเป็น EV 100%
ภาคไฟฟ้ารัฐ ต้อง เพิ่มกำลังการผลิต เท่าไหร่ ปริมาณไฟที่ใช้เท่าไหร่
ขนาดอเมริกา เอง ก็ไม่เห็น จะ ตื่นเต้นอะไร ก็เป็น แค่ รถ แห่งอนาคต
แล้วถ้า ใครทำงานการไฟฟ้า จะรู้เลยครับ ว่า ยากกกก มากมีแต่พวก ไม่รู้อะไรนั่นละที่คิดว่า ง่าย
แล้วยิ่งคนไทย ใช่รถ แบบ รวยน้ำมันโครตๆ ขับมันทุกบ้าน ทุกหลัง
ใครบอกไม่รวย ไป ดูจำนวน การลงทุน อเมริกา สำรวจ ตั้ง โรงสูบน้ำมันดิบในทะเลออกไปตั้งเท่าไหร่ บอกไม่รวยได้ไง
ที่เอา ยุโรษมาอ้าง ยุโรษ ทั้งทวีป ยอดขาย ต่อปี ก็แค่ 12-13 ล้านคัน
เจอไทยประเทศเดียว ขายได้ปีละ 1 ล้านคัน
คิดเป็น 8 % ของ ยุโรษทั้ง ทวีบ คิดเอาครับ คนไทย ใช้พลังงาน รวยน้ำมันกันขนาดไหน ใช้ รถเยอะแค่ไหน
มันไม่ได้เปลี่ยน กันง่ายๆ ขนาดนั้น เหอะๆ
ยิ่ง บ้านเรา สนับสนุน ดีเซล พ่นควันดำปี้ Co2 เกิน 200 แต่เสียภาษี นอยกว่า Eco car จะบ้าตาย
-
ผมขอพูดตรงๆเลยละกันนะครับ แฟนๆ Toyota จะอะไรกับ EV นักหนา ถ้าอยากใช้ Fuel Cell ก็บอกให้ประธานโตโยต้าผลิตเลยครับ แล้วก็ไปช่วยเค้าอุดหนุนถ้าพวกท่านว่าดี แต่ผมบอกได้เลยว่ามันเป็นอนาคตที่มาไม่ถึง และไม่มีวันเกิดขึ้นจริง เพราะ Fuel Cell ก็เปรียบเสมือน Wi-Max ความคุ้มค่าต่อการลงทุนมันต่ำ
ลองมองไปไกลๆและคิดดูว่าทำไมวันนี้ Tesla ถึงเป็นบริษัทรถมูลค่าสูงกว่าโตโยต้า ในระยะเวลาหลายปีมานี้แบ็ตเตอรี่มือถือมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมมาก ประจุไฟฟ้าได้มากขึ้นกว่าดิมหลายเท่า ลองมองไปที่อนาคตแบ็ตฯของ BEV มีขนาดเท่ากับแบ็ตฯหน้ารถในปัจจุบัน แต่การชาร์จแต่ละครั้งสามารถวิ่งได้เป็นพันกิโล ถ้าหากไม่เริ่มตอนนี้แล้วการพัฒนาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็เหมือนกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ต้องมีจุดเริ่มต้น แล้วจึงเกิดพัฒนาการตามมาอย่างในปัจจุบัน
ในอนาคต BEV อาจจะมีระบบอื่นเข้ามาช่วยเสริมระบบการทำงาน เช่น มีระบบการ Generate พลังงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สามารถวิ่งไปชาร์จไป โดยไม่จำเป็นต้องมีเครื่องยนต์มาปั่นไฟ ก็ยังสามารถปั่นไฟชาร์จกลับเข้าแบ็ตฯได้ตลอดเวลา ไม่เฉพาะตอนเบรคเหมือนในปัจจุบัน ซึ่งทำให้ความต้องการการชาร์จกระแสไฟบ้านลดน้อยลง
สิ่งต่างๆต้องมีจุดเริ่มต้นถึงจะมีพัฒนาการ ไม่เช่นนั้นแล้วคนขี่มาก็จะบอกว่าขี่มาก็เพียงพออยู่แล้วไม่จำเป็นต้องมีรถยนต์ ที่ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษ ซึ่งถ้าเชื่อแบบนั้นคนยุคปัจจุบันคงไม่มีโอกาสได้ใช้รถ
ปล่อยโลกให้หมุนไปตามวิถีของมันเถิด พ่อcowboy ทั้งหลาย
-
เนื้อ ข่าว มีแค่เนี้ย
ที่เหลือ พวกปั่นกระแส 5555
Toyotas Chief Says Electric Vehicles Are Overhyped
Akio Toyoda says converting entirely to EVs could cost hundreds of billions of dollars and make cars unaffordable for average people
TOKYO Toyota Motor Corp.s leader criticized what he described as excessive hype over electric vehicles, saying advocates failed to consider the carbon emitted by generating electricity and the costs of an EV transition.
Toyota President Akio Toyoda said Japan would run out of electricity in the summer if all cars were running on electric power. The infrastructure needed to support a fleet consisting entirely of EVs would cost Japan between ¥14 trillion and ¥37 trillion, the equivalent of $135 billion to $358 billion, he said.
When politicians are out there saying, Lets get rid of all cars using gasoline, do they understand this? Mr. Toyoda said Thursday at a year-end news conference in his capacity as chairman of the Japan Automobile Manufacturers Association.
He said if Japan is too hasty in banning gasoline-powered cars, the current business model of the car industry is going to collapse, causing the loss of millions of jobs.
Advocates of EVs say they can be charged at night when electricity demand is low and, over time, can grow in tandem with other green technologies such as solar power.
ผมกลับ มองว่า Toyota ฉลาด ที่หัดมองผลกระทบ ไม่ใช่ แค่ ตามกระแส ไปวัน ๆ
-
เป็นคนเหลี่ยมจัดจริงๆ นิสัยผู้บริหารก็แบบนี้ละครับ แกพูดไม่หมด
ต้นทางโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดมีครับเยอะแยะ เพียงแต่ไม่เพียงพอเท่านั้นเอง ตอนนี้ต้นทุนโรงไฟฟ้าที่ถูกที่สุดคือนิวเคลียร์ มันก็ง่ายๆ แค่ตอนนี้ ev ต้นทุนมันสูงกว่า ภาครัฐจึงสนับสนุนให้เกิดโดยเร็ว เพราะมันเป็นพลังงานสะอาด นโยบายโลกไปทาง green energy ค่อนข้างแน่นอนอยู่แล้ว
ทีนี้ปัญหาตอนนี้ก็คือ การกักเก็บพลังงาน พวกโรงไฟฟ้า solar หรือ ลม และรวมถึงเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงาน ชาร์จไฟรถ ev ด้วย หากพัฒนาถึงจุดที่โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดผลิตได้เพียงพอ และลบจุดด้อยของ ev ในเรื่องเวลาการชาร์จ เรื่องระยะทาง จะทำให้เกิดทางเลือกที่น่าสนใจเกิดขึ้น เนื่องจากรถ ev นั้นมี efficiency มากกว่ารถสันดาบมาก เพราะพลังงานที่รถสันดาบใช้นั้นไม่ถึงครึ่งที่สร้างได้ สิ่งที่สูญเสียไปจากกระบวนการนี้คือพลังงานความร้อน เว้นแต่จะมีการนำตรงนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แถม ev ยังสะอาดกว่าอีก
ทีนี้ขั้นต่อมาก็คงจะมาแข่งกันที่ต้นทุน รถ ev รถสันดาบ ใครจะคุ้มค่ากว่ากันผู้บริโภคก็จะเลือกบริโภค ดังนั้นเมื่อต้นทุนการผลิต ev ลดลงถึงจุดนึง ราคาน้ำมันจะต้องลดลงมาเพื่อให้รถสันดาบแข่งขันได้ และต้องปรับตัวหลายๆ อย่าง คล้ายๆ สินค้าทดแทนที่ ev มีแต้มต่อจากรัฐ และสะอาดกว่า เพราะหากว่าต้นทุนเท่ากันผู้บริโภคเลือก ev แน่นอน ผมยังมองว่ารัฐไม่สามารถจำกัดเสรีภาพได้ขนาดนั้น ถึงขนาดบังคับให้มี ev 100% และถ้าหากราคาน้ำมันถูกกว่ามากๆ ก็ยังคิดว่ายังมีคนเลือกใช้รถสันดาบอยู่แน่
-
อ่าน ใจความ Toyota ดีๆ ครับ
เค้าพูดถึง EV 100 % ในระยะ ใกล้นี้
พูดในแง่ ผลกระทบ
ผมถามหน่อย มีใคร เคยวิจัย ไหม ว่า
การกระโดด จากรถน้ำมัน มาเป็น EV 100%
ภาคไฟฟ้ารัฐ ต้อง เพิ่มกำลังการผลิต เท่าไหร่ ปริมาณไฟที่ใช้เท่าไหร่
ขนาดอเมริกา เอง ก็ไม่เห็น จะ ตื่นเต้นอะไร ก็เป็น แค่ รถ แห่งอนาคต
แล้วถ้า ใครทำงานการไฟฟ้า จะรู้เลยครับ ว่า ยากกกก มากมีแต่พวก ไม่รู้อะไรนั่นละที่คิดว่า ง่าย
แล้วยิ่งคนไทย ใช่รถ แบบ รวยน้ำมันโครตๆ ขับมันทุกบ้าน ทุกหลัง
ใครบอกไม่รวย ไป ดูจำนวน การลงทุน อเมริกา สำรวจ ตั้ง โรงสูบน้ำมันดิบในทะเลออกไปตั้งเท่าไหร่ บอกไม่รวยได้ไง
ที่เอา ยุโรษมาอ้าง ยุโรษ ทั้งทวีป ยอดขาย ต่อปี ก็แค่ 12-13 ล้านคัน
เจอไทยประเทศเดียว ขายได้ปีละ 1 ล้านคัน
คิดเป็น 8 % ของ ยุโรษทั้ง ทวีบ คิดเอาครับ คนไทย ใช้พลังงาน รวยน้ำมันกันขนาดไหน ใช้ รถเยอะแค่ไหน
มันไม่ได้เปลี่ยน กันง่ายๆ ขนาดนั้น เหอะๆ
ยิ่ง บ้านเรา สนับสนุน ดีเซล พ่นควันดำปี้ Co2 เกิน 200 แต่เสียภาษี นอยกว่า Eco car จะบ้าตาย
เห็นพวกอวยรถไฟฟ้าล้วนว่าดีวิเศษไม่มีข้อเสียอะไร แต่ลืมนึกถึงแหล่งที่มาของการผลิตไฟฟ้าว่าสร้างมลพิษได้อย่างไรบ้าง แบตลิเที่ยมนั้นยังกำจัดหรือรีไซเคิลได้ยากกันเลยครับ รวมไปถึงมลพิษจากลิเที่ยมอีกต่างหาก ไม่นับไปถึงการผลิตไฟฟ้าให้พอเพียงต่อการใช้งานและค่าไฟตามบ้านจะสูงขึ้นขนาดไหนเมื่อความต้องการใช้ไฟเพิ่มขึ้นอย่างมากนะครับ และตอนนี้อยากให้แก้เลยคือเรื่องเครื่องดีเซลตัวปล่อยมลพิษ ที่ภาษีรถกระบะดีเซล 2.5 -3.0 ถูกมากๆ ถูกกว่าเก๋งเบนซินคันเล็ก1.0-1.5 ทั้งที่มันขับกร่างชวนให้ถูกกระทืบ ปล่อยควันดำให้ทุกวี่ทุกวัน แถมไม่ยอมจับมาลงโทษมาอย่างจริงจังสักที กับพวกเผาอ้อย เผาซังข้าว เผาขยะที่ก่อมลพิษเยอะเหมือนกัน แต่ก็ก็ไม่จับมาลงโทษให้หนักๆสักที ไม่ว่าจะรัฐบาลยุคไหนก็ตามปัญหามันก็เป็นแบบนี้ไม่่แปลกที่มีปัญหาฝุ่นควันและโรคมะเร็งปอดสูงขึ้นทุกทีกับความเสรีเกินไป
-
เห็นด้วยทุกอย่างครับ มลพิษในกระบวนการผลิตไฟฟ้า ผลิตเเบตเตอรี่ ไมไ่ด้ต่ำอย่างที่คิด
-
ควรบาลานซ์ให้เกิดการแข่งขันกันอย่างสมบูรณ์ทั้งราคา ประสิทธิภาพ การควบคุมการสร้างแหล่งพลังงาน สร้างการมาตรฐานกำจัดมลพิษและซากอุปกรณ์
สุดท้ายดีมานด์-ซัพพลายจะบอกเองว่าใครจะอยู่ใครจะไป
-
เห็นด้วยครับ ถึงตอนนี้นะครับ จริงๆแล้วรถ fuel cell จะเหมาะที่สุดแต่ก้ยังไม่รีบพัฒนาแบบเต็มที่ซักที
น้ำมันยังเหลืออีกเยอะครับ ส่วนตัวผมๆไม่แคร์จะรถอะไรก้ได้ครับ NA Turbo PHEV HV EV Fuel cell
ไงก้ได้ครับได้หมด ในlifetime ของผมมันคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเร็วอะไรมากมาย ให้มันเป็นเรื่องของ
คนยุค ต่อๆไปอีก 100ปี+ ไปแล้วจะเป็นยังไงก้แล้วแต่ครับ ไปคิด ไปอยู่กันเอาเอง
+1
-
อ่าน ใจความ Toyota ดีๆ ครับ
เค้าพูดถึง EV 100 % ในระยะ ใกล้นี้
พูดในแง่ ผลกระทบ
ผมถามหน่อย มีใคร เคยวิจัย ไหม ว่า
การกระโดด จากรถน้ำมัน มาเป็น EV 100%
ภาคไฟฟ้ารัฐ ต้อง เพิ่มกำลังการผลิต เท่าไหร่ ปริมาณไฟที่ใช้เท่าไหร่
ขนาดอเมริกา เอง ก็ไม่เห็น จะ ตื่นเต้นอะไร ก็เป็น แค่ รถ แห่งอนาคต
แล้วถ้า ใครทำงานการไฟฟ้า จะรู้เลยครับ ว่า ยากกกก มากมีแต่พวก ไม่รู้อะไรนั่นละที่คิดว่า ง่าย
แล้วยิ่งคนไทย ใช่รถ แบบ รวยน้ำมันโครตๆ ขับมันทุกบ้าน ทุกหลัง
ใครบอกไม่รวย ไป ดูจำนวน การลงทุน อเมริกา สำรวจ ตั้ง โรงสูบน้ำมันดิบในทะเลออกไปตั้งเท่าไหร่ บอกไม่รวยได้ไง
ที่เอา ยุโรษมาอ้าง ยุโรษ ทั้งทวีป ยอดขาย ต่อปี ก็แค่ 12-13 ล้านคัน
เจอไทยประเทศเดียว ขายได้ปีละ 1 ล้านคัน
คิดเป็น 8 % ของ ยุโรษทั้ง ทวีบ คิดเอาครับ คนไทย ใช้พลังงาน รวยน้ำมันกันขนาดไหน ใช้ รถเยอะแค่ไหน
มันไม่ได้เปลี่ยน กันง่ายๆ ขนาดนั้น เหอะๆ
ยิ่ง บ้านเรา สนับสนุน ดีเซล พ่นควันดำปี้ Co2 เกิน 200 แต่เสียภาษี นอยกว่า Eco car จะบ้าตาย
เห็นพวกอวยรถไฟฟ้าล้วนว่าดีวิเศษไม่มีข้อเสียอะไร แต่ลืมนึกถึงแหล่งที่มาของการผลิตไฟฟ้าว่าสร้างมลพิษได้อย่างไรบ้าง แบตลิเที่ยมนั้นยังกำจัดหรือรีไซเคิลได้ยากกันเลยครับ รวมไปถึงมลพิษจากลิเที่ยมอีกต่างหาก ไม่นับไปถึงการผลิตไฟฟ้าให้พอเพียงต่อการใช้งานและค่าไฟตามบ้านจะสูงขึ้นขนาดไหนเมื่อความต้องการใช้ไฟเพิ่มขึ้นอย่างมากนะครับ และตอนนี้อยากให้แก้เลยคือเรื่องเครื่องดีเซลตัวปล่อยมลพิษ ที่ภาษีรถกระบะดีเซล 2.5 -3.0 ถูกมากๆ ถูกกว่าเก๋งเบนซินคันเล็ก1.0-1.5 ทั้งที่มันขับกร่างชวนให้ถูกกระทืบ ปล่อยควันดำให้ทุกวี่ทุกวัน แถมไม่ยอมจับมาลงโทษมาอย่างจริงจังสักที กับพวกเผาอ้อย เผาซังข้าว เผาขยะที่ก่อมลพิษเยอะเหมือนกัน แต่ก็ก็ไม่จับมาลงโทษให้หนักๆสักที ไม่ว่าจะรัฐบาลยุคไหนก็ตามปัญหามันก็เป็นแบบนี้ไม่่แปลกที่มีปัญหาฝุ่นควันและโรคมะเร็งปอดสูงขึ้นทุกทีกับความเสรีเกินไป
เห็นด้วยนะ พอไปถามพวกอวยรถไฟฟ้าว่ามีวิธีกำจัดแบตอย่างไรไม่ให้มีมลพิษนี่ไบ้กินกันทุกคน
-
อ่าน ใจความ Toyota ดีๆ ครับ
เค้าพูดถึง EV 100 % ในระยะ ใกล้นี้
พูดในแง่ ผลกระทบ
ผมถามหน่อย มีใคร เคยวิจัย ไหม ว่า
การกระโดด จากรถน้ำมัน มาเป็น EV 100%
ภาคไฟฟ้ารัฐ ต้อง เพิ่มกำลังการผลิต เท่าไหร่ ปริมาณไฟที่ใช้เท่าไหร่
ขนาดอเมริกา เอง ก็ไม่เห็น จะ ตื่นเต้นอะไร ก็เป็น แค่ รถ แห่งอนาคต
แล้วถ้า ใครทำงานการไฟฟ้า จะรู้เลยครับ ว่า ยากกกก มากมีแต่พวก ไม่รู้อะไรนั่นละที่คิดว่า ง่าย
แล้วยิ่งคนไทย ใช่รถ แบบ รวยน้ำมันโครตๆ ขับมันทุกบ้าน ทุกหลัง
ใครบอกไม่รวย ไป ดูจำนวน การลงทุน อเมริกา สำรวจ ตั้ง โรงสูบน้ำมันดิบในทะเลออกไปตั้งเท่าไหร่ บอกไม่รวยได้ไง
ที่เอา ยุโรษมาอ้าง ยุโรษ ทั้งทวีป ยอดขาย ต่อปี ก็แค่ 12-13 ล้านคัน
เจอไทยประเทศเดียว ขายได้ปีละ 1 ล้านคัน
คิดเป็น 8 % ของ ยุโรษทั้ง ทวีบ คิดเอาครับ คนไทย ใช้พลังงาน รวยน้ำมันกันขนาดไหน ใช้ รถเยอะแค่ไหน
มันไม่ได้เปลี่ยน กันง่ายๆ ขนาดนั้น เหอะๆ
ยิ่ง บ้านเรา สนับสนุน ดีเซล พ่นควันดำปี้ Co2 เกิน 200 แต่เสียภาษี นอยกว่า Eco car จะบ้าตาย
เห็นพวกอวยรถไฟฟ้าล้วนว่าดีวิเศษไม่มีข้อเสียอะไร แต่ลืมนึกถึงแหล่งที่มาของการผลิตไฟฟ้าว่าสร้างมลพิษได้อย่างไรบ้าง แบตลิเที่ยมนั้นยังกำจัดหรือรีไซเคิลได้ยากกันเลยครับ รวมไปถึงมลพิษจากลิเที่ยมอีกต่างหาก ไม่นับไปถึงการผลิตไฟฟ้าให้พอเพียงต่อการใช้งานและค่าไฟตามบ้านจะสูงขึ้นขนาดไหนเมื่อความต้องการใช้ไฟเพิ่มขึ้นอย่างมากนะครับ และตอนนี้อยากให้แก้เลยคือเรื่องเครื่องดีเซลตัวปล่อยมลพิษ ที่ภาษีรถกระบะดีเซล 2.5 -3.0 ถูกมากๆ ถูกกว่าเก๋งเบนซินคันเล็ก1.0-1.5 ทั้งที่มันขับกร่างชวนให้ถูกกระทืบ ปล่อยควันดำให้ทุกวี่ทุกวัน แถมไม่ยอมจับมาลงโทษมาอย่างจริงจังสักที กับพวกเผาอ้อย เผาซังข้าว เผาขยะที่ก่อมลพิษเยอะเหมือนกัน แต่ก็ก็ไม่จับมาลงโทษให้หนักๆสักที ไม่ว่าจะรัฐบาลยุคไหนก็ตามปัญหามันก็เป็นแบบนี้ไม่่แปลกที่มีปัญหาฝุ่นควันและโรคมะเร็งปอดสูงขึ้นทุกทีกับความเสรีเกินไป
เห็นด้วยนะ พอไปถามพวกอวยรถไฟฟ้าว่ามีวิธีกำจัดแบตอย่างไรไม่ให้มีมลพิษนี่ไบ้กินกันทุกคน
ผมเห็นพวกอวยพูดถึงแต่อัตราเร่ง กับไม่มีควัน แต่ไม่พูดถึงเรื่องใช้ไฟฟ้าที่โหดเพราะอัดแรงม้าแรงบิดโหดๆมีเพียงเกียร์แค่เกียร์เดียวแบบรถอเมริกันยุคโบราณที่เครื่องใหญ่แต่มีแค่2-3เกียร์ ซดน้ำมันบานตะไท ดังนั้นเวลาเดินทางจริงย่อมใช่นอบที่สูงอัตราการซดไฟย่อมเพิ่มขึ้นแน่นอน รวมไปถึงพูดถึงแต่กำจัดแบตแต่ไม่พูดถึงการที่จะรีไซเคิล รียูสเลย รวมไปถึงการหาแหล่งไฟฟ้าที่พอเพียงต่อการใช้งาน ที่บางคนพูดแต่อยากได้นิวเคลีย ซึ่งประเทศญี่ปุ่นได้เลิกใช้ไปจนเหลือแค่5โรงไฟฟ้าเท่่านั้นอันเนื่องจากปัญหาสารกัมมันตรังสีที่รั่วไหล รวมไปถึงกากกัมมันตรังสีที่กำจัดยังไม่ได้เลย ถ้ายังไม่พร้อมอะไร รถไฟฟ้ายังไม่ต้องมาก็ได้หรอกนะครับดูแล้วรถน้ำมันขายได้จนถึงอายุุขัยคนนึงๆแน่นอน ถ้าไม่นับรวมแบตเตอรี่ ระบบขับเคลื่อนของรถไฟฟ้าน่าจะถูกกว่าระบบเครื่องยนต์ใช้น้ำมันมากพอสมควรครับเพราะชิ้นส่วนหายไปเยอะ
-
ผมว่าเรามาดูกันก่อนดีกว่านะว่าปัจจุบันแบตเตอรี่ Lithium มีการพัฒนากันไปถึงไหน แนวโน้มการ reuse, recycle battery เป็นอย่างไรบ้าง
พูดถึงแบตเตอรี่ก่อนล่ะกัน แบตเตอรี่ Lithium ตอนนี้มีหลากหลายแบบมากกก ส่วนใหญ่ที่คนเรานึกถึงก็คือแบตเตอรี่มือถือ ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ Lithium แบบ
Lithium Polymer (LiPo, LIP, Li-poly, lithium-poly) ซึ่งมี cycle life อยู่ประมาณ 300 cycle
*cycle life คือจำนวนรอบการชาร์จ ซึ่งจะชาร์จตั้งแต่ระดับ 0-100% แล้วก็ใช้งานจนหมด แล้วก็ชาร์จซ่ำ ทำแบบนี้วนไปเรื่อยๆ จนกระทั้งความจุแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 80% เช่น แบตเตอรี่ LiPo มี cycle life อยู่ที่ 300 รอบ สมมุติว่าแบตลูกนี้มีความจุ 1 kWh เมื่อใช้งานจนครบ 300 cycle life แล้ว จะเหลือความจุที่ 0.8 kWh (และไม่ได้ถือว่าเสียหรือใช้งานต่อไม่ได้ ยังสามารถใช้ต่อได้แต่แค่จะต้องชาร์จมือถือบ่อยขึ้น)
ต่อมาแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ล่ะใช้แบบไหน ต่อนี้หลักๆเลยจะมี
NCA (Lithium nickel cobalt aluminum oxide battery) หลักๆที่ใช้คือ Tesla ซึ่งผู้ผลิตแบตเตอรี่คือ Panasonic (ช่วงปลายปี 2020 รถ Tesla Model3 ที่ประกอบจากโรงงานในจีนจะมีทั้ง NMC (จาก LG Chem) และ LFP (จาก CATL))
NMC (Lithium Nickel Manganese Cobalt Oxide battery) หลักๆที่ใช้คือรถที่รับ battery มาจากผู้ผลิตเกาหลีและจีน ซึ่ง NMC แบ่งเป็นหลายสูตรอีก เช่น
NMC111, NMC523, NMC622, NMC811 โดยแต่ล่ะสูตรก็จะมีคุณสมบัติกันคนละแบบไปอีก เช่น
NMC523 มี cycle life ประมาณ 1600 แต่เก็บประจุได้น้อยกว่า NMC811 แต่มีปลอดภัยกว่า (ถ้าจำไม่ผิด MG ZS EV กับ MG 5 EP จะใช้แบบนี้)
NMC811 มี cycle life ประมาณ 1400 แต่เก็บประจุได้เยอะ แต่ไม่ค่อยปลอดภัย (ต้องมี BMS จัดการ battery ดีๆ มีรถบางรุ่นมีปัญหาจนต้องเปลี่ยนกลับไปใช้ NMC523 ก็มี)
(https://pushevs.com/wp-content/uploads/2018/02/ncm811-vs-ncm523-cycle-life.png.webp)
LFP (Lithium Iron Phosphate battery, Lithium Ferro Phosphate(LiFePO4) battery) ผู้ผลิตส่วนใหญ่จะมาจากฝั่งจีน ข้อดีคือปลอดภัยกว่า NMC มาก แต่เก็บความจุได้น้อย มี cycle life มาก (4000 cycle) แต่เนื่องจากความจุน้อยช่วงหลังจึงมีการพัฒนามาเป็น LFMP (เพิ่ม Manganese เข้าไป)
* ถ้าใครตามข่าวที่ว่าตอนนี้พัฒนาแบตเตอรี่ให้ใช้ได้ 1,000,000km ขึ้นไปได้แล้ว แบตเตอรี่ที่ว่าก็คือ LFMP กับ LNMO นี่แหละ
(https://pbs.twimg.com/media/EjEDHTsUwAI_98X?format=jpg&name=small)
ที่นี้ลองมาคำนวณการใช้งานกัน
ยกตัวอย่างเป็น ORA Goodcat ละกัน พอดีรุ่นนี้ที่จีนมีแบตเตอรี่ให้เลือกสองแบบคือ 400km กับ 500km โดย 400 ใช้ LFP ส่วน 500 ใช้ NMC
400 km ตามมาตรฐาน NEDC จะเทียบเป็น WLTP ได้ที่ประมาณ 316km
500 km ตามมาตรฐาน NEDC จะเทียบเป็น WLTP ได้ที่ประมาณ 395km
ORA Goodcat 400 เมื่อมีการใช้งานครบ 4000 cycle จะมีระยะทางต่อการชาร์จตาม WLTP อยู่ที่ประมาณ 253km
เฉลี่ย 4000 cycle จะวิ่งไปแล้ว (316+253)/2 * 4000 = 1,138,000km
ORA Goodcat 500 เมื่อมีการใช้งานครบ 1600 cycle จะมีระยะทางต่อการชาร์จตาม WLTP อยู่ที่ประมาณ 316km
เฉลี่ย 1600 cycle จะวิ่งไปแล้ว (395+316)/2 * 1600 = 568,800km
ผมไม่แน่ใจว่าคนทั่วไปใช้รถกันเยอะขนาดไหนนะ แต่ส่วนตัวผมเองตีว่าปีนึงผมใช้รถประมาณ 20000km การจะใช้ให้ถึง 568,800km คงใช้เวลาเกือบสามสิบปี
สมมุติว่ามีคนใช้งาน จนครบ 1600 cycle แล้วละ รถคันนี้จะใช้ไม่ได้เลยรึเปล่า ก็ไม่นะครับ ยังใช้ต่อได้เพียงแต่ระยะที่ได้ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งมันน้อยลงก็เลยต้องชาร์จบ่อยขึ้นก็แค่นั้นเอง แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ แล้วอันเก่าที่ยังใช้ได้แต่มีประขจุน้อยลงจะเอาไปทำอะไรต่อดี
ขั้นตอนต่อมาของแบตเตอรี่เหล่านี้คือการ reuse มาทำ Energy storage ยกตัวอย่างเช่น Amsterdam's "Johan Cruyff Arena" multipurpose stadium ที่ได้มีการใน battery ของ Nissan Leaf รุ่นแรกมาทำเป็น Energy Storage 2.8MWh ... ใช้ Nissan Leaf กี่คันล่ะ รู้สึกว่ารุ่นแรกแบตเตอรี่ขนาด 24kWh ช่วงที่เอามาใช้คงมีความจุเหลืออยู่ที่ 20kWh แสดงว่าอย่างน้อยก็ต้องใช้ 140 คันแหละ (ที่เอามาทำ Energy Storage ผู้ติดตั้งเค้ารับประกันแบตเตอรี่ 10 ปีด้วยนะ)
(https://www.eaton.com/content/dam/eaton/products/energy-storage/johan-cruijff-arena-success-story/media-gallery-arena/johan-cruijff-arena-xstorage-buildings-overview.jpg.transform/default-desktop/image.jpg)
(https://www.eaton.com/content/dam/eaton/products/energy-storage/johan-cruijff-arena-success-story/media-gallery-arena/johan-cruijff-arena-xstorage-buildings-inverter-racks.jpg.transform/default-desktop/image.jpg)
https://www.eaton.com/gb/en-gb/products/energy-storage/johan-cruijff-arena-success-story.html
ส่วนแบตเตอรี่ที่เสียนะเหรอ ส่งไป recycle ซิครับ ใน ASIAN เราก็ส่งไปสิงคโปร์ซิ เค้ามีโรงงาน recycle แบต Lithium อยู่นะ
https://www.tes-amm.com/battery-recycling
พวกข้อมูล paper กระบวนการ recycle battery lithium ของปี 2019 ลองไปอ่านอันนี้ดูละกัน
https://www.cell.com/heliyon/pdf/S2405-8440(19)34701-2.pdf
-
แบตเตอรี่ไม่น่าห่วงครับบ
ห่วง ว่า ตอน รถทุกคัน จอดชาร์ทตอนลกลางคืนพร้อมกัน
ยอดรถยนต์ จดทะเบียน ใช้งาน ตอนนี้ 20 ล้านคัน รวมทุกประเภท
ตี สมุติ ใช้จริง 10 ล้านคัน จอดชาร์ท พร้อมกัน
จะขายจะดัน EV เคยถามการไฟฟ้า ไหม ไหวรึเปล่า ไม่ใช่ทำแค่แท่นชาร์ท ถามคนผลิตไฟด้วย พร้อมรึยัง กับ EV 100 %
-
แบตเตอรี่ไม่น่าห่วงครับบ
ห่วง ว่า ตอน รถทุกคัน จอดชาร์ทตอนลกลางคืนพร้อมกัน
ยอดรถยนต์ จดทะเบียน ใช้งาน ตอนนี้ 20 ล้านคัน รวมทุกประเภท
ตี สมุติ ใช้จริง 10 ล้านคัน จอดชาร์ท พร้อมกัน
จะขายจะดัน EV เคยถามการไฟฟ้า ไหม ไหวรึเปล่า ไม่ใช่ทำแค่แท่นชาร์ท ถามคนผลิตไฟด้วย พร้อมรึยัง กับ EV 100 %
จริงๆอยากให้ทาง headlightmag ทำจดหมายถึงการไฟฟ้าฝ่ายผลิต, การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับผลกระทบการใช้งานรถ EV ทุกคนจะได้รู้กันไปเลยว่าพวกเค้ามีความคิดยังไง มีแผนรองรับยังไงบ้าง
ซึ่งผมบอกเลยว่ามันจะพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป และรถ EV มันไม่ได้มาแบบที่เดียวถล่มถลายจนรถ ICE หายไป มันไม่มีทางเป็นแบบนั้น
ซึ่งตอนนี้มีนโยบายจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคออกมาแล้วว่าบ้านหนึ่งหลังสามารถขอมิเตอร์เพิ่มอีกหนึ่งอันสำหรับนำมาใช้ในการชาร์จรถไฟฟ้าโดยเฉพาะได้
https://www.facebook.com/Provincial.Electricity.Authority/photos/a.220381807991300/4226417164054391/
-
นั่นสิครับ ทุกวันนี้ไทยยังนำเข้าไฟฟ้าจากเพื่อนบ้านอยู่เลย
-
ผมว่าเรามาดูกันก่อนดีกว่านะว่าปัจจุบันแบตเตอรี่ Lithium มีการพัฒนากันไปถึงไหน แนวโน้มการ reuse, recycle battery เป็นอย่างไรบ้าง
พูดถึงแบตเตอรี่ก่อนล่ะกัน แบตเตอรี่ Lithium ตอนนี้มีหลากหลายแบบมากกก ส่วนใหญ่ที่คนเรานึกถึงก็คือแบตเตอรี่มือถือ ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ Lithium แบบ
Lithium Polymer (LiPo, LIP, Li-poly, lithium-poly) ซึ่งมี cycle life อยู่ประมาณ 300 cycle
*cycle life คือจำนวนรอบการชาร์จ ซึ่งจะชาร์จตั้งแต่ระดับ 0-100% แล้วก็ใช้งานจนหมด แล้วก็ชาร์จซ่ำ ทำแบบนี้วนไปเรื่อยๆ จนกระทั้งความจุแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 80% เช่น แบตเตอรี่ LiPo มี cycle life อยู่ที่ 300 รอบ สมมุติว่าแบตลูกนี้มีความจุ 1 kWh เมื่อใช้งานจนครบ 300 cycle life แล้ว จะเหลือความจุที่ 0.8 kWh (และไม่ได้ถือว่าเสียหรือใช้งานต่อไม่ได้ ยังสามารถใช้ต่อได้แต่แค่จะต้องชาร์จมือถือบ่อยขึ้น)
ต่อมาแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ล่ะใช้แบบไหน ต่อนี้หลักๆเลยจะมี
NCA (Lithium nickel cobalt aluminum oxide battery) หลักๆที่ใช้คือ Tesla ซึ่งผู้ผลิตแบตเตอรี่คือ Panasonic (ช่วงปลายปี 2020 รถ Tesla Model3 ที่ประกอบจากโรงงานในจีนจะมีทั้ง NMC (จาก LG Chem) และ LFP (จาก CATL))
NMC (Lithium Nickel Manganese Cobalt Oxide battery) หลักๆที่ใช้คือรถที่รับ battery มาจากผู้ผลิตเกาหลีและจีน ซึ่ง NMC แบ่งเป็นหลายสูตรอีก เช่น
NMC111, NMC523, NMC622, NMC811 โดยแต่ล่ะสูตรก็จะมีคุณสมบัติกันคนละแบบไปอีก เช่น
NMC523 มี cycle life ประมาณ 1600 แต่เก็บประจุได้น้อยกว่า NMC811 แต่มีปลอดภัยกว่า (ถ้าจำไม่ผิด MG ZS EV กับ MG 5 EP จะใช้แบบนี้)
NMC811 มี cycle life ประมาณ 1400 แต่เก็บประจุได้เยอะ แต่ไม่ค่อยปลอดภัย (ต้องมี BMS จัดการ battery ดีๆ มีรถบางรุ่นมีปัญหาจนต้องเปลี่ยนกลับไปใช้ NMC523 ก็มี)
(https://pushevs.com/wp-content/uploads/2018/02/ncm811-vs-ncm523-cycle-life.png.webp)
LFP (Lithium Iron Phosphate battery, Lithium Ferro Phosphate(LiFePO4) battery) ผู้ผลิตส่วนใหญ่จะมาจากฝั่งจีน ข้อดีคือปลอดภัยกว่า NMC มาก แต่เก็บความจุได้น้อย มี cycle life มาก (4000 cycle) แต่เนื่องจากความจุน้อยช่วงหลังจึงมีการพัฒนามาเป็น LFMP (เพิ่ม Manganese เข้าไป)
* ถ้าใครตามข่าวที่ว่าตอนนี้พัฒนาแบตเตอรี่ให้ใช้ได้ 1,000,000km ขึ้นไปได้แล้ว แบตเตอรี่ที่ว่าก็คือ LFMP กับ LNMO นี่แหละ
(https://pbs.twimg.com/media/EjEDHTsUwAI_98X?format=jpg&name=small)
ที่นี้ลองมาคำนวณการใช้งานกัน
ยกตัวอย่างเป็น ORA Goodcat ละกัน พอดีรุ่นนี้ที่จีนมีแบตเตอรี่ให้เลือกสองแบบคือ 400km กับ 500km โดย 400 ใช้ LFP ส่วน 500 ใช้ NMC
400 km ตามมาตรฐาน NEDC จะเทียบเป็น WLTP ได้ที่ประมาณ 316km
500 km ตามมาตรฐาน NEDC จะเทียบเป็น WLTP ได้ที่ประมาณ 395km
ORA Goodcat 400 เมื่อมีการใช้งานครบ 4000 cycle จะมีระยะทางต่อการชาร์จตาม WLTP อยู่ที่ประมาณ 253km
เฉลี่ย 4000 cycle จะวิ่งไปแล้ว (316+253)/2 * 4000 = 1,138,000km
ORA Goodcat 500 เมื่อมีการใช้งานครบ 1600 cycle จะมีระยะทางต่อการชาร์จตาม WLTP อยู่ที่ประมาณ 316km
เฉลี่ย 1600 cycle จะวิ่งไปแล้ว (395+316)/2 * 1600 = 568,800km
ผมไม่แน่ใจว่าคนทั่วไปใช้รถกันเยอะขนาดไหนนะ แต่ส่วนตัวผมเองตีว่าปีนึงผมใช้รถประมาณ 20000km การจะใช้ให้ถึง 568,800km คงใช้เวลาเกือบสามสิบปี
สมมุติว่ามีคนใช้งาน จนครบ 1600 cycle แล้วละ รถคันนี้จะใช้ไม่ได้เลยรึเปล่า ก็ไม่นะครับ ยังใช้ต่อได้เพียงแต่ระยะที่ได้ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งมันน้อยลงก็เลยต้องชาร์จบ่อยขึ้นก็แค่นั้นเอง แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ แล้วอันเก่าที่ยังใช้ได้แต่มีประขจุน้อยลงจะเอาไปทำอะไรต่อดี
ขั้นตอนต่อมาของแบตเตอรี่เหล่านี้คือการ reuse มาทำ Energy storage ยกตัวอย่างเช่น Amsterdam's "Johan Cruyff Arena" multipurpose stadium ที่ได้มีการใน battery ของ Nissan Leaf รุ่นแรกมาทำเป็น Energy Storage 2.8MWh ... ใช้ Nissan Leaf กี่คันล่ะ รู้สึกว่ารุ่นแรกแบตเตอรี่ขนาด 24kWh ช่วงที่เอามาใช้คงมีความจุเหลืออยู่ที่ 20kWh แสดงว่าอย่างน้อยก็ต้องใช้ 140 คันแหละ (ที่เอามาทำ Energy Storage ผู้ติดตั้งเค้ารับประกันแบตเตอรี่ 10 ปีด้วยนะ)
(https://www.eaton.com/content/dam/eaton/products/energy-storage/johan-cruijff-arena-success-story/media-gallery-arena/johan-cruijff-arena-xstorage-buildings-overview.jpg.transform/default-desktop/image.jpg)
(https://www.eaton.com/content/dam/eaton/products/energy-storage/johan-cruijff-arena-success-story/media-gallery-arena/johan-cruijff-arena-xstorage-buildings-inverter-racks.jpg.transform/default-desktop/image.jpg)
https://www.eaton.com/gb/en-gb/products/energy-storage/johan-cruijff-arena-success-story.html
ส่วนแบตเตอรี่ที่เสียนะเหรอ ส่งไป recycle ซิครับ ใน ASIAN เราก็ส่งไปสิงคโปร์ซิ เค้ามีโรงงาน recycle แบต Lithium อยู่นะ
https://www.tes-amm.com/battery-recycling
พวกข้อมูล paper กระบวนการ recycle battery lithium ของปี 2019 ลองไปอ่านอันนี้ดูละกัน
https://www.cell.com/heliyon/pdf/S2405-8440(19)34701-2.pdf
ไม่มีใครสนใจข้อมูลหรอกครับ 555
พอbev จะมา ก็ดักไว้ก่อน โน่นนี่นั่น ไฟไม่พอใช้ ไม่ได้ลดมลพิษจริง แบตทำลายที่ไหน บลาๆๆ
เรื่องแบต ใช้มือถือมาเปลี่ยนไม่รุ้กี่เครื่องแล้ว ก็แบตลิเทียมเหมือนรถ ไม่เห็นมีใครโวยวายเรื่องแบตทำลายที่ไหนยังไงเลย
องุ่นเปรี้ยว ชัดๆ
-
แบตเตอรี่ไม่น่าห่วงครับบ
ห่วง ว่า ตอน รถทุกคัน จอดชาร์ทตอนลกลางคืนพร้อมกัน
ยอดรถยนต์ จดทะเบียน ใช้งาน ตอนนี้ 20 ล้านคัน รวมทุกประเภท
ตี สมุติ ใช้จริง 10 ล้านคัน จอดชาร์ท พร้อมกัน
จะขายจะดัน EV เคยถามการไฟฟ้า ไหม ไหวรึเปล่า ไม่ใช่ทำแค่แท่นชาร์ท ถามคนผลิตไฟด้วย พร้อมรึยัง กับ EV 100 %
จริงๆอยากให้ทาง headlightmag ทำจดหมายถึงการไฟฟ้าฝ่ายผลิต, การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับผลกระทบการใช้งานรถ EV ทุกคนจะได้รู้กันไปเลยว่าพวกเค้ามีความคิดยังไง มีแผนรองรับยังไงบ้าง
ซึ่งผมบอกเลยว่ามันจะพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป และรถ EV มันไม่ได้มาแบบที่เดียวถล่มถลายจนรถ ICE หายไป มันไม่มีทางเป็นแบบนั้น
ซึ่งตอนนี้มีนโยบายจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคออกมาแล้วว่าบ้านหนึ่งหลังสามารถขอมิเตอร์เพิ่มอีกหนึ่งอันสำหรับนำมาใช้ในการชาร์จรถไฟฟ้าโดยเฉพาะได้
https://www.facebook.com/Provincial.Electricity.Authority/photos/a.220381807991300/4226417164054391/
นั่นละครับ คือ สิ่งที่ Toyota กำลังจะสื่อ คือ มันต้องไป พร้อมกันในทุกๆด้าน
นโยบายอะไร ก้ควร คิดให้รอบคอบ ทำได้จริง ไม่ใช่ ฉาบฉวย
ประเด็นคือ ญี่ปุ่น จะยกเลิกไม่ให้มีรถันดาป ในปี 2035 แค่ 14 ปีจาก นี้ ซึ่ง ไม่น่าจะทำได้จริง โดยที่รัฐไม่ทำอะไรเลย นั่นบะ สรุปประเด็น ง่ายๆ
พวก ฝรั่ง มันก็ เอาไปวิเคราะห์ ใส่สี ตีไข เติมแต่ง แล้วเราก็เอามา ต่อ กัน มันส์เลย
-
ผมว่าเรามาดูกันก่อนดีกว่านะว่าปัจจุบันแบตเตอรี่ Lithium มีการพัฒนากันไปถึงไหน แนวโน้มการ reuse, recycle battery เป็นอย่างไรบ้าง
พูดถึงแบตเตอรี่ก่อนล่ะกัน แบตเตอรี่ Lithium ตอนนี้มีหลากหลายแบบมากกก ส่วนใหญ่ที่คนเรานึกถึงก็คือแบตเตอรี่มือถือ ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ Lithium แบบ
Lithium Polymer (LiPo, LIP, Li-poly, lithium-poly) ซึ่งมี cycle life อยู่ประมาณ 300 cycle
*cycle life คือจำนวนรอบการชาร์จ ซึ่งจะชาร์จตั้งแต่ระดับ 0-100% แล้วก็ใช้งานจนหมด แล้วก็ชาร์จซ่ำ ทำแบบนี้วนไปเรื่อยๆ จนกระทั้งความจุแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 80% เช่น แบตเตอรี่ LiPo มี cycle life อยู่ที่ 300 รอบ สมมุติว่าแบตลูกนี้มีความจุ 1 kWh เมื่อใช้งานจนครบ 300 cycle life แล้ว จะเหลือความจุที่ 0.8 kWh (และไม่ได้ถือว่าเสียหรือใช้งานต่อไม่ได้ ยังสามารถใช้ต่อได้แต่แค่จะต้องชาร์จมือถือบ่อยขึ้น)
ต่อมาแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ล่ะใช้แบบไหน ต่อนี้หลักๆเลยจะมี
NCA (Lithium nickel cobalt aluminum oxide battery) หลักๆที่ใช้คือ Tesla ซึ่งผู้ผลิตแบตเตอรี่คือ Panasonic (ช่วงปลายปี 2020 รถ Tesla Model3 ที่ประกอบจากโรงงานในจีนจะมีทั้ง NMC (จาก LG Chem) และ LFP (จาก CATL))
NMC (Lithium Nickel Manganese Cobalt Oxide battery) หลักๆที่ใช้คือรถที่รับ battery มาจากผู้ผลิตเกาหลีและจีน ซึ่ง NMC แบ่งเป็นหลายสูตรอีก เช่น
NMC111, NMC523, NMC622, NMC811 โดยแต่ล่ะสูตรก็จะมีคุณสมบัติกันคนละแบบไปอีก เช่น
NMC523 มี cycle life ประมาณ 1600 แต่เก็บประจุได้น้อยกว่า NMC811 แต่มีปลอดภัยกว่า (ถ้าจำไม่ผิด MG ZS EV กับ MG 5 EP จะใช้แบบนี้)
NMC811 มี cycle life ประมาณ 1400 แต่เก็บประจุได้เยอะ แต่ไม่ค่อยปลอดภัย (ต้องมี BMS จัดการ battery ดีๆ มีรถบางรุ่นมีปัญหาจนต้องเปลี่ยนกลับไปใช้ NMC523 ก็มี)
(https://pushevs.com/wp-content/uploads/2018/02/ncm811-vs-ncm523-cycle-life.png.webp)
LFP (Lithium Iron Phosphate battery, Lithium Ferro Phosphate(LiFePO4) battery) ผู้ผลิตส่วนใหญ่จะมาจากฝั่งจีน ข้อดีคือปลอดภัยกว่า NMC มาก แต่เก็บความจุได้น้อย มี cycle life มาก (4000 cycle) แต่เนื่องจากความจุน้อยช่วงหลังจึงมีการพัฒนามาเป็น LFMP (เพิ่ม Manganese เข้าไป)
* ถ้าใครตามข่าวที่ว่าตอนนี้พัฒนาแบตเตอรี่ให้ใช้ได้ 1,000,000km ขึ้นไปได้แล้ว แบตเตอรี่ที่ว่าก็คือ LFMP กับ LNMO นี่แหละ
(https://pbs.twimg.com/media/EjEDHTsUwAI_98X?format=jpg&name=small)
ที่นี้ลองมาคำนวณการใช้งานกัน
ยกตัวอย่างเป็น ORA Goodcat ละกัน พอดีรุ่นนี้ที่จีนมีแบตเตอรี่ให้เลือกสองแบบคือ 400km กับ 500km โดย 400 ใช้ LFP ส่วน 500 ใช้ NMC
400 km ตามมาตรฐาน NEDC จะเทียบเป็น WLTP ได้ที่ประมาณ 316km
500 km ตามมาตรฐาน NEDC จะเทียบเป็น WLTP ได้ที่ประมาณ 395km
ORA Goodcat 400 เมื่อมีการใช้งานครบ 4000 cycle จะมีระยะทางต่อการชาร์จตาม WLTP อยู่ที่ประมาณ 253km
เฉลี่ย 4000 cycle จะวิ่งไปแล้ว (316+253)/2 * 4000 = 1,138,000km
ORA Goodcat 500 เมื่อมีการใช้งานครบ 1600 cycle จะมีระยะทางต่อการชาร์จตาม WLTP อยู่ที่ประมาณ 316km
เฉลี่ย 1600 cycle จะวิ่งไปแล้ว (395+316)/2 * 1600 = 568,800km
ผมไม่แน่ใจว่าคนทั่วไปใช้รถกันเยอะขนาดไหนนะ แต่ส่วนตัวผมเองตีว่าปีนึงผมใช้รถประมาณ 20000km การจะใช้ให้ถึง 568,800km คงใช้เวลาเกือบสามสิบปี
สมมุติว่ามีคนใช้งาน จนครบ 1600 cycle แล้วละ รถคันนี้จะใช้ไม่ได้เลยรึเปล่า ก็ไม่นะครับ ยังใช้ต่อได้เพียงแต่ระยะที่ได้ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งมันน้อยลงก็เลยต้องชาร์จบ่อยขึ้นก็แค่นั้นเอง แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ แล้วอันเก่าที่ยังใช้ได้แต่มีประขจุน้อยลงจะเอาไปทำอะไรต่อดี
ขั้นตอนต่อมาของแบตเตอรี่เหล่านี้คือการ reuse มาทำ Energy storage ยกตัวอย่างเช่น Amsterdam's "Johan Cruyff Arena" multipurpose stadium ที่ได้มีการใน battery ของ Nissan Leaf รุ่นแรกมาทำเป็น Energy Storage 2.8MWh ... ใช้ Nissan Leaf กี่คันล่ะ รู้สึกว่ารุ่นแรกแบตเตอรี่ขนาด 24kWh ช่วงที่เอามาใช้คงมีความจุเหลืออยู่ที่ 20kWh แสดงว่าอย่างน้อยก็ต้องใช้ 140 คันแหละ (ที่เอามาทำ Energy Storage ผู้ติดตั้งเค้ารับประกันแบตเตอรี่ 10 ปีด้วยนะ)
(https://www.eaton.com/content/dam/eaton/products/energy-storage/johan-cruijff-arena-success-story/media-gallery-arena/johan-cruijff-arena-xstorage-buildings-overview.jpg.transform/default-desktop/image.jpg)
(https://www.eaton.com/content/dam/eaton/products/energy-storage/johan-cruijff-arena-success-story/media-gallery-arena/johan-cruijff-arena-xstorage-buildings-inverter-racks.jpg.transform/default-desktop/image.jpg)
https://www.eaton.com/gb/en-gb/products/energy-storage/johan-cruijff-arena-success-story.html
ส่วนแบตเตอรี่ที่เสียนะเหรอ ส่งไป recycle ซิครับ ใน ASIAN เราก็ส่งไปสิงคโปร์ซิ เค้ามีโรงงาน recycle แบต Lithium อยู่นะ
https://www.tes-amm.com/battery-recycling
พวกข้อมูล paper กระบวนการ recycle battery lithium ของปี 2019 ลองไปอ่านอันนี้ดูละกัน
https://www.cell.com/heliyon/pdf/S2405-8440(19)34701-2.pdf
ไม่มีใครสนใจข้อมูลหรอกครับ 555
พอbev จะมา ก็ดักไว้ก่อน โน่นนี่นั่น ไฟไม่พอใช้ ไม่ได้ลดมลพิษจริง แบตทำลายที่ไหน บลาๆๆ
เรื่องแบต ใช้มือถือมาเปลี่ยนไม่รุ้กี่เครื่องแล้ว ก็แบตลิเทียมเหมือนรถ ไม่เห็นมีใครโวยวายเรื่องแบตทำลายที่ไหนยังไงเลย
องุ่นเปรี้ยว ชัดๆ
มันคนละขนาดกันครับแบตรถยนต์กับแบตโทรศัพท์ แล้วขั้นตอนรีไซเคิลมันก็ทำลายสิ่งแวดล้อมเช่นกัน ส่วนไฟฟ้าก็ต้องมีแหล่งที่มาเช่นกันไม่ใช่เสกมาได้เอง ไม่ควรลำเอียงจนตาบอดเลยครับ