Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: FlyMe ที่ กรกฎาคม 06, 2021, 22:25:05
-
ลองเปรียบเทียบ curb weight ของ X3 ทั้ง 3 รุ่น
X3 20d -> 1,750 kg
X3 30e -> 1,990 kg (+240 kg จากมอเตอร์ + แบต 12kWh)
iX3 -> 2,260 (+510 kg จากมอเตอร์ + แบต 80kWh ขณะที่ลดเครื่องยนต์และระบบเชื้อเพลิง)
ไม่อยากแบกน้ำหนัก 510 kg เหมือนมีคนอีก 6 คนนั่งไปด้วย สงสัยต้องล้มความคิดรถ ev ส่วนตัวไม่อยากให้โลกต้องเจอปัญหา LiOn ในอนาคต
-
ต้องรอแบตยุคใหม่ครับที่เบากว่าดีกว่าจุเยอะกว่า ชาร์จเร็วกว่า ขนาดเล็กกว่าและไม่ระเบิดครับ
-
แต่แรงบิดรถไฟฟ้านี่สุดๆนะครับ เทียบสเปคเท่ากันยังไงก็พุ่งกว่ารถน้ำมัน
-
ซื้อรถดูที่ performance ดีกว่าครับ เบากว่าก็ไม่ใช่แปลว่าจะขับดีกว่า
แต่ถ้ากังวลเรื่องสิ่งแวดล้อม จะขับรถเผาฟอสซิลไปเดือนละ 100 - 200 ลิตรก็ไม่เป็นไรครับ มันแล้วแต่คนจะคิด
แต่ต่อไปถึงจะอยากขับรถน้ำมันแค่ไหนก็อาจจะไม่ได้ใช้อยู่ดี เพราะเค้าจะเปลี่ยนไปไฟฟ้ากันทั่วโลกแล้วครับ ตัวที่จะทำให้เปลี่ยนเร็วขึ้นก็คือมาตรฐานยูโรเจนต่อๆไปที่โหดขึ้นเรื่อยๆ โหดจนไม่คุ้มที่จะทำรถน้ำมันอีกแล้วแน่นอน
ยังไงก็ต้องเปลี่ยน ::)
-
แค่นี้ยังเบาครับ
พวก Audi Tesla นี่มี 2.3-2.5 ตันเป็นปกติ
-
ยังไม่พอใจก็ยังไม่ต้องรีบซื้อครับ รถสันดาปยังจะมีขายในประเทศไทยไปอีกราว 20 ปี กว่าจะถึงตอนนั้นเทคโนโลยีของแบตเตอรี่มันก็อาาจะเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิมเลยก็ได้
บางคนอ้างไปถึงมาตรฐาน Euro VII ที่จะทำให้รถน้ำมันตายเร็วขึ้นแต่ขอโทษทีนั่นมันในยุโรปครับ เพราะในประเทศไทยและประเทศที่โรงงานรถยนต์ในไทยส่งรถ CBU เกือบทั้งหมดไปขายยังอีกนานกว่าจะใช้ Euro VII เอาแค่ตอนนี้ Euro VI ยังไม่มีประเทศไหนใช้เลย
ออสเตรเลีย Euro V
นิวซีเแลนด์ Euro IV/V
ASEAN Euro IV
ตะวันออกกลาง Euro IV
ปากีสถาน Euro II
และก็ยังไม่มีรัฐบาลประเทศไหนบนรายชื่อข้างต้นประกาศเป้าหมายกรอบเวลาการแบนการขายรถยนต์สันดาปเช่นกัน
ทีนี้บางคนอาจจะเถียงอีกว่า อ้าว ก็ในเมื่อพวกยุโรป อเมริกา จีน เค้าเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันหมดแล้วไทยก็ต้องเปลี่ยนตามหรือเปล่า แต่เมื่อลงไปดูรายละเอียดจะพบว่ารถยนต์ที่ขายดีและครองตลาดส่วนใหญ่ในประเทศไทยคือรถเก๋งเล็ก Eco car และรถกระบะ ซึ่งมันเป็น Regional Model สำหรับตลาดประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่ได้มีความเร่งรีบในการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั้งนั้น
-
ยังไม่พอใจก็ยังไม่ต้องรีบซื้อครับ รถสันดาปยังจะมีขายในประเทศไทยไปอีกราว 20 ปี กว่าจะถึงตอนนั้นเทคโนโลยีของแบตเตอรี่มันก็อาาจะเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิมเลยก็ได้
บางคนอ้างไปถึงมาตรฐาน Euro VII ที่จะทำให้รถน้ำมันตายเร็วขึ้นแต่ขอโทษทีนั่นมันในยุโรปครับ เพราะในประเทศไทยและประเทศที่โรงงานรถยนต์ในไทยส่งรถ CBU เกือบทั้งหมดไปขายยังอีกนานกว่าจะใช้ Euro VII เอาแค่ตอนนี้ Euro VI ยังไม่มีประเทศไหนใช้เลย
ออสเตรเลีย Euro V
นิวซีเแลนด์ Euro IV/V
ASEAN Euro IV
ตะวันออกกลาง Euro IV
ปากีสถาน Euro II
และก็ยังไม่มีรัฐบาลประเทศไหนบนรายชื่อข้างต้นประกาศเป้าหมายกรอบเวลาการแบนการขายรถยนต์สันดาปเช่นกัน
ทีนี้บางคนอาจจะเถียงอีกว่า อ้าว ก็ในเมื่อพวกยุโรป อเมริกา จีน เค้าเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันหมดแล้วไทยก็ต้องเปลี่ยนตามหรือเปล่า แต่เมื่อลงไปดูรายละเอียดจะพบว่ารถยนต์ที่ขายดีและครองตลาดส่วนใหญ่ในประเทศไทยคือรถเก๋งเล็ก Eco car และรถกระบะ ซึ่งมันเป็น Regional Model สำหรับตลาดประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่ได้มีความเร่งรีบในการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั้งนั้น
ใช่ครับ อีกนานและ รถไฟฟ้ายังไงก็ยังแพงอยู่
-
ส่วนหนึ่งที่หนัก คงไม่ใช่เพราะแบตอย่างเดียวหรอกครับ
ถ้าเค้าใช้วัสดุเกรดที่ทำเช่นเหล็กดีๆมาปกป้องแบต ราคารถก็คงจะไปไกลพอสมควร
เค้าอาจใช้เหล็กเกรดต่ำลงมาหน่อย แต่เพิ่มความหนาเพื่อให้ได้มาซึ่งความแข็งแรง
ผมว่า โครงสร้างรถ ev แท้ๆ น่าจะแข็งแรงพอสมควรเลย ถ้าปกป้องแบตได้ก็ต้องปกป้องผดส.ได้ดีเช่นกัน
-
แค่นี้ยังเบาครับ
พวก Audi Tesla นี่มี 2.3-2.5 ตันเป็นปกติ
รถหนักขึ้นแต่จุดศูนย์ถ่วงอยู่ต่ำ รถน่าจะทรงตัวดีขึ้น พลิกคว่ำยากขึ้นนะ
-
แค่นี้ยังเบาครับ
พวก Audi Tesla นี่มี 2.3-2.5 ตันเป็นปกติ
รถหนักขึ้นแต่จุดศูนย์ถ่วงอยู่ต่ำ รถน่าจะทรงตัวดีขึ้น พลิกคว่ำยากขึ้นนะ
เรื่อง CG ที่อยู่ต่ำกว่าจะดีกว่าก็จริง แต่อย่าลืมว่าในเมื่อรถหนักขึ้นเวลาเข้าโค้งจะเกิดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางมากขึ้น (ภาษาฟิสิกส์ใช้ว่าแรงสู่ศูนย์กลาง คือแรงที่ต้องใช้ดึงต้านให้รถยังวิ่งต่อไปในโค้งโดยไม่หลุด ซึ่งหลักๆเลยก็คือแรงเสียดทานที่ล้อกับพื้นถนนนั่นเอง) จะทำให้รถหลุดโค้งได้ง่ายขึ้น ยางต้องหน้ากว้างขึ้น ช่วงล่างต้องปรับปรุงให้ดีขึ้นเพื่อป้องกันการถ่ายน้ำหนักไปที่ตัวรถฝั่งนอกโค้ง และที่สำคัญเบรคก็ต้องปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นด้วย อันนี้ต้องใช้เงินทั้งนั้น
-
ครับ แบตหนักแน่นอนแต่ส่วนตัวผมว่าจัดการเรื่องของเสียง่ายกว่ารถสันดาปภายในนะครับเพราะเครื่องยนต์ต้องใช้ทั้งน้ำมันเครื่องและไส้กรองอากาศ ไส้กรองน้ำมันเครื่องและอุปกรณ์ดักจับไอเสีย พวกนี้ทำลายหรือจัดการยากกว่าการคัดแยกแบตครับ
-
แค่นี้ยังเบาครับ
พวก Audi Tesla นี่มี 2.3-2.5 ตันเป็นปกติ
รถหนักขึ้นแต่จุดศูนย์ถ่วงอยู่ต่ำ รถน่าจะทรงตัวดีขึ้น พลิกคว่ำยากขึ้นนะ
เรื่อง CG ที่อยู่ต่ำกว่าจะดีกว่าก็จริง แต่อย่าลืมว่าในเมื่อรถหนักขึ้นเวลาเข้าโค้งจะเกิดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางมากขึ้น (ภาษาฟิสิกส์ใช้ว่าแรงสู่ศูนย์กลาง คือแรงที่ต้องใช้ดึงต้านให้รถยังวิ่งต่อไปในโค้งโดยไม่หลุด ซึ่งหลักๆเลยก็คือแรงเสียดทานที่ล้อกับพื้นถนนนั่นเอง) จะทำให้รถหลุดโค้งได้ง่ายขึ้น ยางต้องหน้ากว้างขึ้น ช่วงล่างต้องปรับปรุงให้ดีขึ้นเพื่อป้องกันการถ่ายน้ำหนักไปที่ตัวรถฝั่งนอกโค้ง และที่สำคัญเบรคก็ต้องปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นด้วย อันนี้ต้องใช้เงินทั้งนั้น
อันนี้เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ น้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น ช่วงล่างก็ต้องเพิ่มตาม ยางคงใช้เกรดต่ำๆไม่ได้ หรือ ต้องเปลี่ยนเร็วขึ้น ง่ายๆว่าช่วงล่างก็อัปเกรดทั้งชุด
-
ครับ แบตหนักแน่นอนแต่ส่วนตัวผมว่าจัดการเรื่องของเสียง่ายกว่ารถสันดาปภายในนะครับเพราะเครื่องยนต์ต้องใช้ทั้งน้ำมันเครื่องและไส้กรองอากาศ ไส้กรองน้ำมันเครื่องและอุปกรณ์ดักจับไอเสีย พวกนี้ทำลายหรือจัดการยากกว่าการคัดแยกแบตครับ
เท่าที่รู้มาประเทศไทย ยังไม่มีโรงงานจัดการแบตเตอรี่ที่มีกำลังมากพอ ไม่งั้นก็วกกลับไปว่าการกำจัดไม่มีประสิทธิภาพมากพอส่งผลต่อมลพิษอยู่ดีนะครับ
ที่จริงรัฐอาจจะต้องรีบตั้งฉรงงานกำจัดให้มีประสิทธิภาพก่อนที่แบตจะล้นประเทศ ไม่งั้นความหวังว่ามันจะสะอาดต่อโลกอาจจะไม่สะอาดจริงๆ
-
หนักและแพง แต่รู้ให้เยอะกว่านี้จะเห็นข้อดีของ ev อีกเยอะครับ
-
ไปลองซิ่งสักคันดูก่อนน่าจะดีกว่าคับ เห็นหนักๆยังงี้ขับซิ่งสะใจ แรงจีมาหนักหน่วง หลังติดเบาะกันได้ทุกโมเม้น เหนือกว่ารถน้ำมันมากโดยเฉพาะพวกรถเกียร์ CVT แม่บ้านติ่มๆ
-
ครับ แบตหนักแน่นอนแต่ส่วนตัวผมว่าจัดการเรื่องของเสียง่ายกว่ารถสันดาปภายในนะครับเพราะเครื่องยนต์ต้องใช้ทั้งน้ำมันเครื่องและไส้กรองอากาศ ไส้กรองน้ำมันเครื่องและอุปกรณ์ดักจับไอเสีย พวกนี้ทำลายหรือจัดการยากกว่าการคัดแยกแบตครับ
เท่าที่รู้มาประเทศไทย ยังไม่มีโรงงานจัดการแบตเตอรี่ที่มีกำลังมากพอ ไม่งั้นก็วกกลับไปว่าการกำจัดไม่มีประสิทธิภาพมากพอส่งผลต่อมลพิษอยู่ดีนะครับ
ที่จริงรัฐอาจจะต้องรีบตั้งฉรงงานกำจัดให้มีประสิทธิภาพก่อนที่แบตจะล้นประเทศ ไม่งั้นความหวังว่ามันจะสะอาดต่อโลกอาจจะไม่สะอาดจริงๆ
ถ้าว่ากันจริงๆ มันจะมีข้อกำหนดอยู่แล้วว่า ถ้ามีการนำแบตมาใช้ หรือตั้งรง.แบตแล้ว แบตมีปริมาณในตลาดที่เท่าไหร่ในแต่ละปี
แล้วพอแบตมีปริมาณถึงที่กำหนด หรือจะถึงกำหนดอายุแบตที่ต้องเลิกใช้ ก็จะบังคับให้มีระบบกำจัดแบต หรือโรงงานรีไซเคิลแบต
ัมนเป็นข้อกำหนดสากลอยู่แล้ว (มาตรฐานยูโร ซึ่งมาตรฐานไทย ก็ลอกยูโรมาทั้งดุ้น)
ถ้าแบตมันถึงกำหนด มันมีอยู่แล้ว ซึ่งในที่นี้ยกตัวอย่างอเมริกา หรือยุโรป หรือ ที่ใช้แบตรถไฟฟ้ามากกว่าไทยไม่รู้กีพันเท่า ยังไม่ได้เริ่มบังคับใช้กฎเรื่องรง.รีไซเคิลแบตกันเลย (เพราะปริมาณยังไม่ถึง อายุแบตยังไม่ถึง)
เหมือนเคส เทสล่า ที่ผู้ร่วมก่อตั้งคนนึง เพิ่งลาออกไปปีก่อน จะออกไปตั้งรง.รีไซเคิลแบต (ข้างๆรง.เทสล่า) ตอนนี้ก็ยังไม่ได้สร้างเลยนะ
ดังนั้ สำหรับประเทศไทย ที่มันยังไม่ได้แพร่หลาย ผมว่าอีกนานกว่าจะถึงขั้นนั้น
-
รถยุโรปมันก็ถูกออกแบบที่ยุโรป ถึงแม้จะผลิตที่ไทยหรือที่อื่นๆก็ตาม
และถ้าผู้ออกแบบไม่สามารถทำตามมาตรฐานได้ เค้าก็จะเปลี่ยนไปในทางที่โดนกำหนด แล้วเราจะเอาแบบเดิมๆที่ไหนมาผลิตครับ หรือผมเข้าใจอะไรผิด
รุ่นใหม่ๆที่ออกมาอาจจะยังไม่เป็นไฟฟ้าล้วน แต่น่าจะโดนบีบให้เป็นไฮบริดเป็นอย่างน้อย เริ่มจาก C class เจนที่จะถึงนี่เลย ตัว 6 สูบ 8 สูบ หายไปหมดแล้ว และเจนถัดไปอีกน่าจะโดนทั้งหมด
อีกเรื่องที่แปลกใจก็คือประเทศที่เค้าพัฒนาแล้ว อย่างน้อยก็ฝั่งยุโรป เค้าสนับสนุนรถไฟฟ้ากันหมด ดันแบบสุดๆ แต่คนไทยหลายคนมาแอนตี้คิดว่าทำลายสิ่งแวดล้อม แล้วประเทศที่สนับสนุนเค้าคิดมาไม่ดีหรือยังไง
อันที่จริงผมว่าปัจจัยที่คนไทยจะใช้มาตัดสินว่าควรซื้อหรือไม่ควรน่าจะเป็นเรื่องของการชาร์จมากกว่า เพราะถ้าไม่สามารถชาร์จที่บ้านได้ก็ยังไม่ควรจะซื้อจริงๆ อีกปัจจัยก็คือเรื่องการเดินทาง ถ้าเดินทางไกลบ่อยมากๆก็ยังไม่ควรซื้อเช่นกัน ไม่ใช่ว่าตอนนี้คนไทยควรจะหันไปซื้อกันหมด แค่ปัจจัยที่ใช้ตัดสินมันควรเป็นคนละเรื่อง
-
หนักครับ แค่เครื่องสำรองไฟตัวเล็กๆ ยังหนักเลยครับ
-
แรงบิดมันเยอะกว่าเครื่องสันดาปไม่ใช่เหรอครับ
-
รถยุโรปมันก็ถูกออกแบบที่ยุโรป ถึงแม้จะผลิตที่ไทยหรือที่อื่นๆก็ตาม
และถ้าผู้ออกแบบไม่สามารถทำตามมาตรฐานได้ เค้าก็จะเปลี่ยนไปในทางที่โดนกำหนด แล้วเราจะเอาแบบเดิมๆที่ไหนมาผลิตครับ หรือผมเข้าใจอะไรผิด
รุ่นใหม่ๆที่ออกมาอาจจะยังไม่เป็นไฟฟ้าล้วน แต่น่าจะโดนบีบให้เป็นไฮบริดเป็นอย่างน้อย เริ่มจาก C class เจนที่จะถึงนี่เลย ตัว 6 สูบ 8 สูบ หายไปหมดแล้ว และเจนถัดไปอีกน่าจะโดนทั้งหมด
อีกเรื่องที่แปลกใจก็คือประเทศที่เค้าพัฒนาแล้ว อย่างน้อยก็ฝั่งยุโรป เค้าสนับสนุนรถไฟฟ้ากันหมด ดันแบบสุดๆ แต่คนไทยหลายคนมาแอนตี้คิดว่าทำลายสิ่งแวดล้อม แล้วประเทศที่สนับสนุนเค้าคิดมาไม่ดีหรือยังไง
อันที่จริงผมว่าปัจจัยที่คนไทยจะใช้มาตัดสินว่าควรซื้อหรือไม่ควรน่าจะเป็นเรื่องของการชาร์จมากกว่า เพราะถ้าไม่สามารถชาร์จที่บ้านได้ก็ยังไม่ควรจะซื้อจริงๆ อีกปัจจัยก็คือเรื่องการเดินทาง ถ้าเดินทางไกลบ่อยมากๆก็ยังไม่ควรซื้อเช่นกัน ไม่ใช่ว่าตอนนี้คนไทยควรจะหันไปซื้อกันหมด แค่ปัจจัยที่ใช้ตัดสินมันควรเป็นคนละเรื่อง
คุณเข้าใจผิดหมดครับ รถยุโรปออกแบบที่ยุโรปก็จริง แต่รถยุโรปที่ผลิตและขายในประเทศไทยมันไม่ได้ใช้ spec เดียวกันกับที่ขายยุโรปโดยเฉพาะมาตรฐานไอเสียในเครื่องยนต์ หากกฎหมายไทยและประเทศอื่นใน ASEAN ที่โรงงานรถยุโรปในประเทศไทยผลิตขายมันกำหนดมาตรฐานไอเสียไว้ที่ Euro IV ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่โรงงานในไทยจะต้องใช้เครื่องยนต์มาตรฐาน Euro VI เหมือนในยุโรปให้ต้นทุนมันสูงขึ้น
อย่าว่าแต่รถยุโรปที่ต้นทุนสูงๆเลยครับแม้แต่รถญี่ปุ่นที่ผลิตในประเทศไทยก็ทำแบบเดียวกัน ยกตัวอย่าง CR-V รุ่นดีเซลที่ขายในประเทศไทยกับฟิลิปปินส์ก็ใช้เครื่องยนต์คนละตัวจากคนละประเทศกันเพราะทั้งสองประเทศกำหนดกฎหมายมาตรฐานไอเสียไม่เหมือนกัน (ของไทยดีกว่า) ซึ่งส่วนต่างของต้นทุนจากมาตรฐานไอเสียที่ไม่เท่ากันมันมากเพียงพอที่โรงงานรถยนต์คุ้มที่จะเปิดห่วงโซ่อุปทานสำหรับเครื่องยนต์อีกตัวหนึ่ง และรถยนต์ที่ครองตลาดในประเทศไทยขณะนี้คือรถญี่ปุ่นซึ่งรับประกันได้ว่าจะผลิตเพียงมาตรฐานไอเสียขั้นต่ำที่กฎหมายไทยกำหนดไว้เท่านั้นไม่มีทางที่จะกระโดดข้ามไปใช้มาตรฐานฉบับล่าสุดอย่างแน่นอน
รถยนต์ที่ผลิตทั่วโลกแม้จะรุ่นเดียวกันแต่มันมีรุ่นย่อยที่ต่างกันมากมายด้วย spec. ต่างๆที่ถูกกำหนดมาจากกฎหมายและความต้องการของตลาดในพื้นที่นั้นๆ รวมทั้งมันยังถูกกระจายไปผลิตตามโรงงานต่างๆหลายภูมิภาคทั่วโลก มันไม่เหมือนโทรศัพท์มือถือหรือกล้องดิจิตอลที่มีโรงงานเดียว มี spec เดียวหรือ 2 spec ก็ผลิตส่งออกขายทั่วโลกได้แล้ว คุณจะอ้างมาตรฐานอะไรก็ต้องดูด้วยว่ามาตรฐานนั้นมันถูกบังคับใช้ในประเทศไทยหรือไม่ ไม่ใช่เอามาตรฐานที่บังคับใช้ในยุโรปมาเหมารวมว่าที่ไทยก็ต้องบังคับใช้ในเวลาเดียวกัน
และที่ผมเอามาตรฐานไอเสียของประเทศต่างๆที่โรงงานรถยนต์ในประเทศไทยผลิตและส่งออกไปขายมากกว่า 90% ของยอดผลิตรวมทั้งหมดมาให้ดูก็เพื่อให้เห็นว่ายังอีกนานกว่าประเทศที่เป็นลูกค้าจะเปลี่ยนไปใช้ Euro VII เพราะปัจจุบันนี้แค่ Euro VI ยังไม่มีประเทศไหนใช้เลย เมื่อยอดผลิตทั้งหมดมันยังใช้เครื่องสันดาปที่ต้นทุนไม่ได้ต่างไปจากปัจจุบันได้โรงงานรถในไทยมันก็ยังไม่เปลี่ยนครับ และเมื่อยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่รถยนต์ที่คนไทยจะได้ซื้อมาใช้ในช่วง 10-15 ปีข้างหน้ามันก็คือรถสันดาปหรือไม่ก็ไฮบริดนั่นแหละ
-
หลายท่านในนี้ ผมว่าไม่เข้าใจว่าตลาดรถเมืองไทยมันเล็กมากๆเลยนะครับ แม้แต่สำหรับToyota เอง ตลาดไทยก็ถือว่าเล็กมากๆ
วันใด ภาพ macro เป็นรถไฟฟ้า มันไม่เหลือรถน้ำมันให้ประเทศเราใช้หรอกครับ เพราะเขาไม่คุ้มผลิต (รวมไปถึงประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆด้วย)
-
เรื่องเทคโนโลยีแบต ณ ตอนนี้ เอาตัวเลขกลมๆนะครับ ผิดพลาดไปมาก+-10%
รถอย่างเทสล่า โมเดล 3 ใช้พลังงานในการวิ่ง 150วัตต์/กิโลเมตร (ถ้าเป็นรถ suv จะกินกว่านั้น อยู่ที่ปามาน 200w/กิโลเมตร)
แต่เอาเป็นรถเก๋งปกติละกัน แมสกว่า
กินพลังงาน 150วัตต์ต่อกิโลเมตร ถ้าจะให้รถวิ่งได้ 100กิโลเมตร ต้องใช้พลังงาน 15000วัตต์ (15กิโลวัตต์ 15kw)
และแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบัน มีค่าประสิทธิภาพ enegy density อยู่ที่ 150wh ต่อ 1กิโลกรัม
ถ้าอยากได้ประสิทธิภาพ 15kw(15000w) ต้องใช้แบตหนัก 100กิโลกรัม
รถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันวิ่งได้ราวๆ 400 กิโลเมตร แบตจะหนักราวๆ 400กิโลกรัม ความจุ 60kw
อนาคต เทคโลโลยีแบตปัจจุบัน(ยังไม่ใช่ เซมิโซลิด) สามารถสร้าง enegy density ได้ถึง 300wh/kg (อนาคตไม่ไกล ปี23-23นี้เอง)
ดังนั้น ถ้าจะทำให้รถวิ่งได้เท่าเดิม 400กิโลเมตร แบตจะหนักน้อยลงไปครึ่งนึง เหลือ 200กิโลกรัม
หรือกลับกัน แบตหนักเท่าเดิม 400กิโลกรัม รถจะวิ่งได้มากขึ้นเท่านึง เป็น 800กิโลเมตร
และอนาคต แบตโซลิด ทำenegy density ได้ถึง 500-600wh/kg
น้ำหนักแบตก็จะลดลงอีกเท่านึง
รถวิ่ง 100 กิโลเมตร ใช้น้ำหนักแบตแค่ 25 กิโลกรัม
อนาคตปี25 แบตโซลิดเริ่มมยอยออกมา ค่อยซื้อก็ได้คนับ ถ้ารอได้ แห่ะๆ
-
เดี่ยวอีกไม่นานก็ค่อยๆพัฒนาแบตเตอรี่ที่มีน้ำหนักเบาลงเรื่อยๆระยะวิ่งมากขึ้นเรื่อยๆขนาดเล็กลงเรื่อยๆ รอลุ้นว่าค่ายรถแบรนด์ไหนจะพัฒนาแบตที่มีน้ำหนักเบาลง ขนาดเล็กลง และวิ่งได้ไกลขึ้น รอลุ้นครับ
-
อีก4-5ปีค่อยซื้อใช้ครับ ถึงตอนนั้นน่าจะเบามากแล้ว อีกอย่างเมื่อมีสถานีชาร์จ มากๆแล้ว ก็เลือกใช้แบบ แบตก้อนเล็กหน่อยได้
-
หลายท่านในนี้ ผมว่าไม่เข้าใจว่าตลาดรถเมืองไทยมันเล็กมากๆเลยนะครับ แม้แต่สำหรับToyota เอง ตลาดไทยก็ถือว่าเล็กมากๆ
วันใด ภาพ macro เป็นรถไฟฟ้า มันไม่เหลือรถน้ำมันให้ประเทศเราใช้หรอกครับ เพราะเขาไม่คุ้มผลิต (รวมไปถึงประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆด้วย)
ตลาดไทยไม่เล็กครับแต่ก็ไม่ใหญ่ แต่กำลังการผลิตของประเทศไทยไม่เล็กครับไม่งั้นคงไม่สามารถอยู่ใน Top 10 ของประเทศที่ผลิตรถยนต์มากที่สุดในโลกในแต่ละปีได้ และกำลังการผลิตเกือบทั้งหมดของไทยมันก็ส่งขายในกลุ่มโอเชียเนีย, ตะวันออกกลาง, อเมริกากลาง และ ASEAN ซึ่งไม่ได้มีประเทศไหนมีนโยบายเชิงรุกในการเปลี่ยนไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเลย แล้วทำไมคุณถึงคิดว่ามันจะเปลี่ยนได้เร็วๆนี้ครับ
ในอนาคตรถยนต์ย่อมเปลี่ยนไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดแน่ เพียงแต่ในประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายมันไม่เร็วอย่างที่ฝันกันหรอก เพราะตราบใดที่มันยังมีความต้องการใช้รถยนต์สันดาปและรถไฮบริดอยู่ บริษัทรถยนต์ก็จะยังผลิตขายต่อไป และเมื่อรวมยอดผลิตของฐานผลิตในประเทศกำลังพัฒนา (ไทย+อินโดนีเซีย+มาเลเซีย+บราซิล+เม็กซิโก) ที่มักจะได้ใช้ Regional Model ร่วมกันแล้วก็ตกรวม 10-12 ล้านคันต่อปีซึ่งถือว่าเป็น Volume ที่ยังดึงดูดใจบริษัทรถยนต์อยู่
-
รถยุโรปมันก็ถูกออกแบบที่ยุโรป ถึงแม้จะผลิตที่ไทยหรือที่อื่นๆก็ตาม
และถ้าผู้ออกแบบไม่สามารถทำตามมาตรฐานได้ เค้าก็จะเปลี่ยนไปในทางที่โดนกำหนด แล้วเราจะเอาแบบเดิมๆที่ไหนมาผลิตครับ หรือผมเข้าใจอะไรผิด
รุ่นใหม่ๆที่ออกมาอาจจะยังไม่เป็นไฟฟ้าล้วน แต่น่าจะโดนบีบให้เป็นไฮบริดเป็นอย่างน้อย เริ่มจาก C class เจนที่จะถึงนี่เลย ตัว 6 สูบ 8 สูบ หายไปหมดแล้ว และเจนถัดไปอีกน่าจะโดนทั้งหมด
อีกเรื่องที่แปลกใจก็คือประเทศที่เค้าพัฒนาแล้ว อย่างน้อยก็ฝั่งยุโรป เค้าสนับสนุนรถไฟฟ้ากันหมด ดันแบบสุดๆ แต่คนไทยหลายคนมาแอนตี้คิดว่าทำลายสิ่งแวดล้อม แล้วประเทศที่สนับสนุนเค้าคิดมาไม่ดีหรือยังไง
อันที่จริงผมว่าปัจจัยที่คนไทยจะใช้มาตัดสินว่าควรซื้อหรือไม่ควรน่าจะเป็นเรื่องของการชาร์จมากกว่า เพราะถ้าไม่สามารถชาร์จที่บ้านได้ก็ยังไม่ควรจะซื้อจริงๆ อีกปัจจัยก็คือเรื่องการเดินทาง ถ้าเดินทางไกลบ่อยมากๆก็ยังไม่ควรซื้อเช่นกัน ไม่ใช่ว่าตอนนี้คนไทยควรจะหันไปซื้อกันหมด แค่ปัจจัยที่ใช้ตัดสินมันควรเป็นคนละเรื่อง
คุณเข้าใจผิดหมดครับ รถยุโรปออกแบบที่ยุโรปก็จริง แต่รถยุโรปที่ผลิตและขายในประเทศไทยมันไม่ได้ใช้ spec เดียวกันกับที่ขายยุโรปโดยเฉพาะมาตรฐานไอเสียในเครื่องยนต์ หากกฎหมายไทยและประเทศอื่นใน ASEAN ที่โรงงานรถยุโรปในประเทศไทยผลิตขายมันกำหนดมาตรฐานไอเสียไว้ที่ Euro IV ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่โรงงานในไทยจะต้องใช้เครื่องยนต์มาตรฐาน Euro VI เหมือนในยุโรปให้ต้นทุนมันสูงขึ้น
อย่าว่าแต่รถยุโรปที่ต้นทุนสูงๆเลยครับแม้แต่รถญี่ปุ่นที่ผลิตในประเทศไทยก็ทำแบบเดียวกัน ยกตัวอย่าง CR-V รุ่นดีเซลที่ขายในประเทศไทยกับฟิลิปปินส์ก็ใช้เครื่องยนต์คนละตัวจากคนละประเทศกันเพราะทั้งสองประเทศกำหนดกฎหมายมาตรฐานไอเสียไม่เหมือนกัน (ของไทยดีกว่า) ซึ่งส่วนต่างของต้นทุนจากมาตรฐานไอเสียที่ไม่เท่ากันมันมากเพียงพอที่โรงงานรถยนต์คุ้มที่จะเปิดห่วงโซ่อุปทานสำหรับเครื่องยนต์อีกตัวหนึ่ง และรถยนต์ที่ครองตลาดในประเทศไทยขณะนี้คือรถญี่ปุ่นซึ่งรับประกันได้ว่าจะผลิตเพียงมาตรฐานไอเสียขั้นต่ำที่กฎหมายไทยกำหนดไว้เท่านั้นไม่มีทางที่จะกระโดดข้ามไปใช้มาตรฐานฉบับล่าสุดอย่างแน่นอน
รถยนต์ที่ผลิตทั่วโลกแม้จะรุ่นเดียวกันแต่มันมีรุ่นย่อยที่ต่างกันมากมายด้วย spec. ต่างๆที่ถูกกำหนดมาจากกฎหมายและความต้องการของตลาดในพื้นที่นั้นๆ รวมทั้งมันยังถูกกระจายไปผลิตตามโรงงานต่างๆหลายภูมิภาคทั่วโลก มันไม่เหมือนโทรศัพท์มือถือหรือกล้องดิจิตอลที่มีโรงงานเดียว มี spec เดียวหรือ 2 spec ก็ผลิตส่งออกขายทั่วโลกได้แล้ว คุณจะอ้างมาตรฐานอะไรก็ต้องดูด้วยว่ามาตรฐานนั้นมันถูกบังคับใช้ในประเทศไทยหรือไม่ ไม่ใช่เอามาตรฐานที่บังคับใช้ในยุโรปมาเหมารวมว่าที่ไทยก็ต้องบังคับใช้ในเวลาเดียวกัน
และที่ผมเอามาตรฐานไอเสียของประเทศต่างๆที่โรงงานรถยนต์ในประเทศไทยผลิตและส่งออกไปขายมากกว่า 90% ของยอดผลิตรวมทั้งหมดมาให้ดูก็เพื่อให้เห็นว่ายังอีกนานกว่าประเทศที่เป็นลูกค้าจะเปลี่ยนไปใช้ Euro VII เพราะปัจจุบันนี้แค่ Euro VI ยังไม่มีประเทศไหนใช้เลย เมื่อยอดผลิตทั้งหมดมันยังใช้เครื่องสันดาปที่ต้นทุนไม่ได้ต่างไปจากปัจจุบันได้โรงงานรถในไทยมันก็ยังไม่เปลี่ยนครับ และเมื่อยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่รถยนต์ที่คนไทยจะได้ซื้อมาใช้ในช่วง 10-15 ปีข้างหน้ามันก็คือรถสันดาปหรือไม่ก็ไฮบริดนั่นแหละ
คุยกันคนละ point ครับ แต่ที่คุณพิมพ์มาผมเข้าใจ
-
ยังไม่พอใจก็ยังไม่ต้องรีบซื้อครับ รถสันดาปยังจะมีขายในประเทศไทยไปอีกราว 20 ปี กว่าจะถึงตอนนั้นเทคโนโลยีของแบตเตอรี่มันก็อาาจะเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิมเลยก็ได้
บางคนอ้างไปถึงมาตรฐาน Euro VII ที่จะทำให้รถน้ำมันตายเร็วขึ้นแต่ขอโทษทีนั่นมันในยุโรปครับ เพราะในประเทศไทยและประเทศที่โรงงานรถยนต์ในไทยส่งรถ CBU เกือบทั้งหมดไปขายยังอีกนานกว่าจะใช้ Euro VII เอาแค่ตอนนี้ Euro VI ยังไม่มีประเทศไหนใช้เลย
ออสเตรเลีย Euro V
นิวซีเแลนด์ Euro IV/V
ASEAN Euro IV
ตะวันออกกลาง Euro IV
ปากีสถาน Euro II
และก็ยังไม่มีรัฐบาลประเทศไหนบนรายชื่อข้างต้นประกาศเป้าหมายกรอบเวลาการแบนการขายรถยนต์สันดาปเช่นกัน
ทีนี้บางคนอาจจะเถียงอีกว่า อ้าว ก็ในเมื่อพวกยุโรป อเมริกา จีน เค้าเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันหมดแล้วไทยก็ต้องเปลี่ยนตามหรือเปล่า แต่เมื่อลงไปดูรายละเอียดจะพบว่ารถยนต์ที่ขายดีและครองตลาดส่วนใหญ่ในประเทศไทยคือรถเก๋งเล็ก Eco car และรถกระบะ ซึ่งมันเป็น Regional Model สำหรับตลาดประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่ได้มีความเร่งรีบในการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั้งนั้น
ใช่ครับ แต่ติ่งรถ EV เค้าก็คิดแค่ว่า Toyota จะเจ็ง มา 10 ปีแระ
-
ทุกวันนี้ ผมยังไม่แน่ใจเลยว่า บ้านเราจัดการของเสียพวกนี้อย่างไร และมีประสิทธิภาพแค่ไหน
-
ขออภัยทุกท่านนะครับ
ผมสงสัยว่าทำไมถึงมีอารมณ์ประมาณ ต่อต้านรถไฟฟ้า แบ่งข้างรถนํ้ามัน ให้รู้สึกได้เสมอ
ทั้งๆที่ใครจะชอบแบบไหนก็เป็นสิทธิ์ ในความชอบ และเงิน ของแต่ละคน
ต่างคนต่างชอบต่างสนใจไปในทางของตน ก็ไม่น่าจะมีประเด็นอะไรนี่นา
หรือผมคงคิดไปเองคนเดียวหว่า
ขออภัยทุกท่าน เพ้อมากไปหน่อย
-
ครับ แบตหนักแน่นอนแต่ส่วนตัวผมว่าจัดการเรื่องของเสียง่ายกว่ารถสันดาปภายในนะครับเพราะเครื่องยนต์ต้องใช้ทั้งน้ำมันเครื่องและไส้กรองอากาศ ไส้กรองน้ำมันเครื่องและอุปกรณ์ดักจับไอเสีย พวกนี้ทำลายหรือจัดการยากกว่าการคัดแยกแบตครับ
เท่าที่รู้มาประเทศไทย ยังไม่มีโรงงานจัดการแบตเตอรี่ที่มีกำลังมากพอ ไม่งั้นก็วกกลับไปว่าการกำจัดไม่มีประสิทธิภาพมากพอส่งผลต่อมลพิษอยู่ดีนะครับ
ที่จริงรัฐอาจจะต้องรีบตั้งฉรงงานกำจัดให้มีประสิทธิภาพก่อนที่แบตจะล้นประเทศ ไม่งั้นความหวังว่ามันจะสะอาดต่อโลกอาจจะไม่สะอาดจริงๆ
ครับ รัฐควรที่จะจัดตั้งโรงคัดแยกแบตและนำแบตรถยนต์EVที่ไม่ใช้แล้วไปปรับเป็นStorage Batteryต่อไป ซึ่งการควบคุมและนำแบตที่เป็นแพ็คๆไปดำเนินการจะง่ายกว่าที่ปัจจุบันไม่สามารถควบคุมการทิ้งหรือกำจัดของเสียปนเปื้อนจากอู่ซ่อมรถต่างๆที่ไปดูได้เลยว่าไม่ได้ปฎิบัติตามข้อกฎหมายสิ่งแวดล้อมแน่นอน
-
ครับ แบตหนักแน่นอนแต่ส่วนตัวผมว่าจัดการเรื่องของเสียง่ายกว่ารถสันดาปภายในนะครับเพราะเครื่องยนต์ต้องใช้ทั้งน้ำมันเครื่องและไส้กรองอากาศ ไส้กรองน้ำมันเครื่องและอุปกรณ์ดักจับไอเสีย พวกนี้ทำลายหรือจัดการยากกว่าการคัดแยกแบตครับ
เท่าที่รู้มาประเทศไทย ยังไม่มีโรงงานจัดการแบตเตอรี่ที่มีกำลังมากพอ ไม่งั้นก็วกกลับไปว่าการกำจัดไม่มีประสิทธิภาพมากพอส่งผลต่อมลพิษอยู่ดีนะครับ
ที่จริงรัฐอาจจะต้องรีบตั้งฉรงงานกำจัดให้มีประสิทธิภาพก่อนที่แบตจะล้นประเทศ ไม่งั้นความหวังว่ามันจะสะอาดต่อโลกอาจจะไม่สะอาดจริงๆ
ครับ รัฐควรที่จะจัดตั้งโรงคัดแยกแบตและนำแบตรถยนต์EVที่ไม่ใช้แล้วไปปรับเป็นStorage Batteryต่อไป ซึ่งการควบคุมและนำแบตที่เป็นแพ็คๆไปดำเนินการจะง่ายกว่าที่ปัจจุบันไม่สามารถควบคุมการทิ้งหรือกำจัดของเสียปนเปื้อนจากอู่ซ่อมรถต่างๆที่ไปดูได้เลยว่าไม่ได้ปฎิบัติตามข้อกฎหมายสิ่งแวดล้อมแน่นอน
ถูกต้องครับ แบตรถที่หมดอายุแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้วจำเป็นต้องกำจัดสถานเดียว แบตพวกนี้มันแค่ประจุไฟได้น้อยลง เก็บไฟได้ไม่นานเท่าเดิมจนถึงจุดนึงก็ไม่เหมาะที่จะให้อยู่ในรถต่อไป พวกนี้แหละครับมันยังมีประโยชน์ในแง่การเอามาทำ energy storage ได้อีก มันจะถูกเอามาทำเป็นแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานให้กับสถานี Solar cell และจะถูกใช้ประโยชน์อย่างนี้อีกหลายปีถึงจะต้องเอาไปกำจัดจริงๆครับ และเมื่อนั้นถึงจะมีโรงงานกำจัดกากแบตเตอรี่เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับ
-
ขออภัยทุกท่านนะครับ
ผมสงสัยว่าทำไมถึงมีอารมณ์ประมาณ ต่อต้านรถไฟฟ้า แบ่งข้างรถนํ้ามัน ให้รู้สึกได้เสมอ
ทั้งๆที่ใครจะชอบแบบไหนก็เป็นสิทธิ์ ในความชอบ และเงิน ของแต่ละคน
ต่างคนต่างชอบต่างสนใจไปในทางของตน ก็ไม่น่าจะมีประเด็นอะไรนี่นา
หรือผมคงคิดไปเองคนเดียวหว่า
ขออภัยทุกท่าน เพ้อมากไปหน่อย
ต่อต้านรถไฟฟ้า อวยรถน้ำมัน (ที่ไทยได้แต่เป็นลูกจ้างทำงานประกอบของบอสัดต่างชาติ) ส่วนใหญ่จะเป็นพวกทำงานในอุตภายในประเทศ มีส่วนได้ส่วนเสียกับความเป็นไปของอุตภายใน
-
รถ EV กับรถน้ำมันยังไงก็ต้องอยู่ร่วมกันไปอีกนานครับ บริษัทรถประกาศนโยบายจะเป็นแบรนด์ EV ส่วนใหญ่คือเอาใจประเทศในยุโรปตะวันตกทั้งนั้น
แต่ลับหลังก็ใช่ว่าจะไม่มีฐานผลิตอื่นไว้รองรับประเทศที่ยังไม่พร้อมนี่นา
-
เทียบแรงม้า / แรงบิด ต่อ น้ำหนัก ดูครับ
-
ไม่ใช่เเค่รถ EV , ทั้งวงการพลังงานเลยเเหละ เรื่อง Battery นี่ติดเรื่องนี้เรื่องเดียว เป็นเรื่องที่หนักที่สุดเลย (literally) (พยายามเล่น pun)
เรื่อง Energy Density
- 1 kg ของ Li-ion Battery เก็บพลังงานได้ 265 Wh (แบบแพงๆดีๆเลยนะ)
- 1 kg ของถ่านหินเก็บพลังงานได้ 9,000 Wh
- 1 kg ของน้ำมันเบนซิน เก็บพลังงานได้ 12,000 Wh
- 1 kg ของ LPG เก็บพลังงานได้ 13,500 Wh
- 1 kg ของแก๊สธรรมชาติ (โรงไฟฟ้าไทยส่วนใหญ่ใช้อันนี้) เก็บพลังงานได้ 14,800 Wh
- 1 kg ของ CNG (NGV) เก็บพลังงานได้ 14,800 Wh (แต่หนักถัง)
- 1 kg ของ Hydrogen เก็บพลังงานได้ 39,000 Wh (แต่โคตรหนักถัง)
- 1 kg ของ Uranium เก็บพลังงานได้ 22,394,000,000 Wh
แถม Battery ในรถ EV มีท่อหล่อเย็นระบายความร้อนขดไปขดมาอีก หนักขึ้นอีก (+pump, strainer, valves, manifolds, control instruments, etc.)
ถ้าเปลี่ยนรูปแบบการเก็บพลังงานได้ ผมว่าจะเปลี่ยนโลกมมากๆ เปลี่ยนโลกยิ่งกว่าพยายามเพิ่ม % โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนอีก
พวก Solar Cell, Hydro, etc. ที่มีปัญหาเก็บพลังงานไม่ได้, เข้า grid ยาก, power factor กะ voltage swing ในระบบ บลาๆๆ , ถ้าเราได้ technology Battery โหดๆมา อาจทำให้โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 100% ทั้งประเทศ มีความหวังมากขึ้น
-
ขออภัยทุกท่านนะครับ
ผมสงสัยว่าทำไมถึงมีอารมณ์ประมาณ ต่อต้านรถไฟฟ้า แบ่งข้างรถนํ้ามัน ให้รู้สึกได้เสมอ
ทั้งๆที่ใครจะชอบแบบไหนก็เป็นสิทธิ์ ในความชอบ และเงิน ของแต่ละคน
ต่างคนต่างชอบต่างสนใจไปในทางของตน ก็ไม่น่าจะมีประเด็นอะไรนี่นา
หรือผมคงคิดไปเองคนเดียวหว่า
ขออภัยทุกท่าน เพ้อมากไปหน่อย
ต่อต้านรถไฟฟ้า อวยรถน้ำมัน (ที่ไทยได้แต่เป็นลูกจ้างทำงานประกอบของบอสัดต่างชาติ) ส่วนใหญ่จะเป็นพวกทำงานในอุตภายในประเทศ มีส่วนได้ส่วนเสียกับความเป็นไปของอุตภายใน
ตอนนี้ประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วส่งเสริมรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแทบทั้งนั้น ประเทศพวกนี้คงไม่โง่หรอกนะ ;D
-
ปัจจุบันรถ EV ในไทยคือของเล่นสำหรับคนรวยครับ ซึ่งถ้าเทียบสัดส่วนต่อประชากรมันมีน้อยมากๆ ส่วนใหญ่มักจะใช้ในกรุงเทพฯ
แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วการที่จะรอซื้อรถ EV ในราคาหลักแสนมาใช้เป็นรถหลักคงจะต้องรอกันอีกยาวครับ จะอีกกี่ปีก็ไม่รู้เหมือนกัน
บางคนอาจจะคิดว่าถ้าตลาดในประเทศอื่นเริ่มเปลี่ยนมาใช้รถ EV ตามมาตรฐาน Euro 7 ประเทศเราก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย
แต่ผมมองว่าไม่แน่เสมอไปครับ สเปครถที่ผลิตในประเทศเราแล้วส่งขายไปยังประเทศอื่นยังมีสเปคไม่เหมือนกับที่ขายในประเทศเราเลยครับ
เพราะปัจจุบันประเทศเราพึ่งกำลังจะเริ่มต้นเข้าสู่ Euro 5 เองครับ และกว่าจะรอให้ Euro 5 เป็นที่ครอบคลุมก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปี
-
ถ้ารถหนักมากๆขึ้นแบบนี้ ถ้าทุกคนพร้อมใจกันเปลี่ยนทันที พวกถนน สะพาน จะพังเร็วกว่าปกติมั้ยครับ
หรืออาจจะมีเทคโนโลยีปรับปรุงถนนในอนาคต
ส่วนตัวมองว่า รถ EV มันดีนะ มันมีประโยชน์และข้อดีมากมาย มากกว่าเรื่องน้ำหนักและการจัดการแบตเตอรี่หรือการชาร์จที่นาน
แต่ก็ไม่อยากให้รถสันดาปหายไป รถสันดาปมันยังมีเสน่ห์ในตัวมัน เทคโนโลยีต่างๆมันถูกพัฒนามาแบบ ถ้าจะให้มาทิ้งตอนนี้ก็รู้สึกเสียดาย 5555
อยากให้มันไปคู่กันครับ
-
ไม่ใช่เเค่รถ EV , ทั้งวงการพลังงานเลยเเหละ เรื่อง Battery นี่ติดเรื่องนี้เรื่องเดียว เป็นเรื่องที่หนักที่สุดเลย (literally) (พยายามเล่น pun)
เรื่อง Energy Density
- 1 kg ของ Li-ion Battery เก็บพลังงานได้ 265 Wh (แบบแพงๆดีๆเลยนะ)
- 1 kg ของถ่านหินเก็บพลังงานได้ 9,000 Wh
- 1 kg ของน้ำมันเบนซิน เก็บพลังงานได้ 12,000 Wh
- 1 kg ของ LPG เก็บพลังงานได้ 13,500 Wh
- 1 kg ของแก๊สธรรมชาติ (โรงไฟฟ้าไทยส่วนใหญ่ใช้อันนี้) เก็บพลังงานได้ 14,800 Wh
- 1 kg ของ CNG (NGV) เก็บพลังงานได้ 14,800 Wh (แต่หนักถัง)
- 1 kg ของ Hydrogen เก็บพลังงานได้ 39,000 Wh (แต่โคตรหนักถัง)
- 1 kg ของ Uranium เก็บพลังงานได้ 22,394,000,000 Wh
แถม Battery ในรถ EV มีท่อหล่อเย็นระบายความร้อนขดไปขดมาอีก หนักขึ้นอีก (+pump, strainer, valves, manifolds, control instruments, etc.)
ถ้าเปลี่ยนรูปแบบการเก็บพลังงานได้ ผมว่าจะเปลี่ยนโลกมมากๆ เปลี่ยนโลกยิ่งกว่าพยายามเพิ่ม % โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนอีก
พวก Solar Cell, Hydro, etc. ที่มีปัญหาเก็บพลังงานไม่ได้, เข้า grid ยาก, power factor กะ voltage swing ในระบบ บลาๆๆ , ถ้าเราได้ technology Battery โหดๆมา อาจทำให้โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 100% ทั้งประเทศ มีความหวังมากขึ้น
แต่แบตเตอรี่ใช้ซ้ำได้หรือเปล่าครับ ส่วนตัวอื่นๆคือใช้แล้วหมดไป
เว้นแต่ตัวล่างสุด ยูเลเนี่ยม เห็นชื่อแล้วขนลุกซู่
-
ไม่ใช่เเค่รถ EV , ทั้งวงการพลังงานเลยเเหละ เรื่อง Battery นี่ติดเรื่องนี้เรื่องเดียว เป็นเรื่องที่หนักที่สุดเลย (literally) (พยายามเล่น pun)
เรื่อง Energy Density
- 1 kg ของ Li-ion Battery เก็บพลังงานได้ 265 Wh (แบบแพงๆดีๆเลยนะ)
- 1 kg ของถ่านหินเก็บพลังงานได้ 9,000 Wh
- 1 kg ของน้ำมันเบนซิน เก็บพลังงานได้ 12,000 Wh
- 1 kg ของ LPG เก็บพลังงานได้ 13,500 Wh
- 1 kg ของแก๊สธรรมชาติ (โรงไฟฟ้าไทยส่วนใหญ่ใช้อันนี้) เก็บพลังงานได้ 14,800 Wh
- 1 kg ของ CNG (NGV) เก็บพลังงานได้ 14,800 Wh (แต่หนักถัง)
- 1 kg ของ Hydrogen เก็บพลังงานได้ 39,000 Wh (แต่โคตรหนักถัง)
- 1 kg ของ Uranium เก็บพลังงานได้ 22,394,000,000 Wh
แถม Battery ในรถ EV มีท่อหล่อเย็นระบายความร้อนขดไปขดมาอีก หนักขึ้นอีก (+pump, strainer, valves, manifolds, control instruments, etc.)
ถ้าเปลี่ยนรูปแบบการเก็บพลังงานได้ ผมว่าจะเปลี่ยนโลกมมากๆ เปลี่ยนโลกยิ่งกว่าพยายามเพิ่ม % โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนอีก
พวก Solar Cell, Hydro, etc. ที่มีปัญหาเก็บพลังงานไม่ได้, เข้า grid ยาก, power factor กะ voltage swing ในระบบ บลาๆๆ , ถ้าเราได้ technology Battery โหดๆมา อาจทำให้โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 100% ทั้งประเทศ มีความหวังมากขึ้น
ให้คนรู้จริงมาเล่าให้ฟังน่าชื่นใจครับ ผมว่าต้องให้แบตเตอรี่ที่ว่งได้600+700 กม. ขนาดเท่าแบตเตอรี่สตาร์ทรถยนต์ และราคาถูกจนราคาตัวรถไฟฟ้าราคาเท่ารถน้ำมันก่อนแหละครับ ถึงจะน่าใช้ตอนนี้เป็นราคาที่เศรษฐีไว้ไปตลาดมากกว่าครับ กับอีกอย่างต้องพึ่งงพาเกียร์อัตราทดเยอะร่วมด้วยถึงจะทำให้มีประสิทธิภาพที่ดีครับ
-
เห็นรถหนักๆวิ่งน้ำมันอย่างวอลโว่/พอร์ชคันใหญ่ๆ ทำตลาดมาตั้งนานก็เห็นคนรีวิวบอกขับดีครับ 8)
ซึ่งความเร็วสูงรถหนัก วิ่งสบายเลยครับ นิ่งมั่นใจ ลมพัดข้างยังซัดโค้งได้หน้าตาเฉย
เวลาจั้มคอสะพาน รถหนักขึ้นและลงเกาะเป็นตุ๊กแกมากกว่าพวกรถเบาๆ
ที่ซึ่งจะลอยทั้งคัน แถมลงมาถ้าคุมพวงมาลัยไม่ดีก็เรียบร้อย
ถ้าเทียบกันแล้วได้ฟิลลิ่งการขับแบบมั่นใจ น้องๆรถเก๋งขับสี่ครับ
รอแบตเตอรี่ยุคหน้าSolidstatebatteryก็ได้ถ้ายังไม่มั่นใจ
เพราะถ้าได้ลองขับแล้วจะติดใจ ถอนตัวยาก 8)
ปล. แตกประเด็นไปอย่างไกลจัดๆเลย แหม
-
จริงรถหนักๆ เราจะรู้สึกว่ารถมั่นคงนะครับ
-
ไม่ใช่เเค่รถ EV , ทั้งวงการพลังงานเลยเเหละ เรื่อง Battery นี่ติดเรื่องนี้เรื่องเดียว เป็นเรื่องที่หนักที่สุดเลย (literally) (พยายามเล่น pun)
เรื่อง Energy Density
- 1 kg ของ Li-ion Battery เก็บพลังงานได้ 265 Wh (แบบแพงๆดีๆเลยนะ)
- 1 kg ของถ่านหินเก็บพลังงานได้ 9,000 Wh
- 1 kg ของน้ำมันเบนซิน เก็บพลังงานได้ 12,000 Wh
- 1 kg ของ LPG เก็บพลังงานได้ 13,500 Wh
- 1 kg ของแก๊สธรรมชาติ (โรงไฟฟ้าไทยส่วนใหญ่ใช้อันนี้) เก็บพลังงานได้ 14,800 Wh
- 1 kg ของ CNG (NGV) เก็บพลังงานได้ 14,800 Wh (แต่หนักถัง)
- 1 kg ของ Hydrogen เก็บพลังงานได้ 39,000 Wh (แต่โคตรหนักถัง)
- 1 kg ของ Uranium เก็บพลังงานได้ 22,394,000,000 Wh
แถม Battery ในรถ EV มีท่อหล่อเย็นระบายความร้อนขดไปขดมาอีก หนักขึ้นอีก (+pump, strainer, valves, manifolds, control instruments, etc.)
ถ้าเปลี่ยนรูปแบบการเก็บพลังงานได้ ผมว่าจะเปลี่ยนโลกมมากๆ เปลี่ยนโลกยิ่งกว่าพยายามเพิ่ม % โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนอีก
พวก Solar Cell, Hydro, etc. ที่มีปัญหาเก็บพลังงานไม่ได้, เข้า grid ยาก, power factor กะ voltage swing ในระบบ บลาๆๆ , ถ้าเราได้ technology Battery โหดๆมา อาจทำให้โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 100% ทั้งประเทศ มีความหวังมากขึ้น
แต่แบตเตอรี่ใช้ซ้ำได้หรือเปล่าครับ ส่วนตัวอื่นๆคือใช้แล้วหมดไป
เว้นแต่ตัวล่างสุด ยูเลเนี่ยม เห็นชื่อแล้วขนลุกซู่
จริงรถหนักๆ เราจะรู้สึกว่ารถมั่นคงนะครับ
ไม่ได้พูดถึงเรื่องใช้ใหม่ได้/ใช้ใหม่ไม่ได้ครับ, พูดถึงเรื่อง Storage Space และ Weight ในการ เก็บพลังงาน ครับ
ที่จะสื่อคือ จะทำรถที่วิ่งได้ 500-600 km ต่อ 1 การชาร์จเนี่ย มันต้องใช้ Battery หนักสุดๆ ทำให้ Motor กำลังเยอะๆตามไปด้วย, เเค่รถเล็กๆ B-segment หนัก 2 กว่าตัน Motor ลูกใหญ่, โครงสร้าง, ช่วงล่าง, เบรค, พวงมาลัย, ล้อ, ฯลฯ ต้องราคาแพงหมด, (ไม่ใช่เเค่น้ำหนัก, ปริมาตรก็สูง ใช้เนื้อที่เยอะด้วย) นอกจากเรื่องนั้นก็ เรื่องกฎหมาย , รถบรรทุก รถกระบะ เป็น EV แล้วหนักเกิน จนไม่ผ่านกฎหมาย highway ด้วยครับ
นึกภาพ สมมติเราสามารถทำ Battery เบาๆได้ , พวก Solar Farm ที่เราเห็นๆ อาจจะมี Battery ลูกไม่ใหญ่มาก เก็บไฟฟ้าใช้ได้ทั้งเมือง แต่ถ้าเป็น technology ปัจจุบัน, มันจะทั้งใหญ่และหนัก จนมันทำไม่ได้ครับ
Uranium ใช้ใหม่ไม่ได้ครับ, พวก Nuclear Waste เอาไปทำระเบิดได้
เเต่ถ้าเป็น Thorium ยังใช้ต่อได้อีกนิดนึง เพราะ มัน fission เสร็จ มันก็กลายเป็น Uranium
**(รถหนักเเล้วเบรคต้องดีขึ้นด้วยหรอ? รถ EV หนิ??
เรื่องเบรค ต่อให้ Motor มันสร้างคลื่นเเม่เหล็กไฟฟ้า แล้วกลายเป็น Generator ทำให้ มี Engine Brake ที่หน่วงรถได้ดีสุดๆๆๆๆ ก็เถอะ แต่ผมว่าค่ายรถ เขาก็ต้องใส่เบรคใหญ่ๆ เเรงเยอะ ให้แยู่ดีครับ ไม่งั้นอันตราย หรือ ไม่ก็ไม่ผ่านมาตรฐานยานยนต์
Engine ในรถ EV ถ้ายังจำกฎมือขวาตอนเรียน physics กันได้นะครับ 55
=> Motor => คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า + กระเเสไฟฟ้า = แรงการหมุน
=> Generator => คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า + เเรงการหมุน = กระเเสไฟฟ้า
Engine Brake ในรถ EV คือ เอาแรงการหมุน เปลี่ยนไปเป็นกระเเสไฟฟ้า โดยสร้างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งสามารถหน่วงรถได้ ยิ่งกว่าเบรคเท้าเสียอีกครับ 55)