Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: REX ที่ ตุลาคม 08, 2021, 05:27:20
-
การกำเนิดสิ่งต่างๆ ต้องมีปัจจัย พลังงาน +วัตถุดิบ
และในสังคมมนุษย์
จะเป็น พลังงาน + วัตถุดิบ(ทรัพยากรธรรมชาติ) + เงิน + เทคโนโลยี่
2ปัจจัยหลัง มันคือตัวเร่ง ให้มนุษย์สามารถสร้างต่างๆออกมามากมายและรวดเร็ว โลกมีเงินเพิ่มขึ้น (แต่คุณค่าลดลง) และเทคโนโลยี่มากขึ้น และเมื่อสร้างนวตกรรมมากขึ้น 2ปัจจัยแรกจะยิ่งลดลงเรื่อยๆ
ที่หมดก่อนใคร คือ ทรัพยากร ทางอากาศที่ทำให้โลกร้อน จึงทำให้ต้องเลือกไปใช้พื้นฐานพลังงานด้านอื่นทดแทน คือ ไฟฟ้า แม้แต่รถยนต์ ก็ถูกบีบบังคับให้เป็นไฟฟ้า
10 ปีจากนี้ คือยุตเปลี่ยนผ่าน
แต่ละท่านคิดว่า ปี 2574 บนท้องถนน การเดินทาง บริษัทรถยนต์
บริษัทน้ำมัน เชียงกง ประเทศไทย ลักษณะรถยนต์ ฯลฯ จะเปลี่ยนแปลง เป็นอย่างไร ณ วันนั้นครับ ?
-
สถานีชาร์จ กระจายครอบคลุม เดินทางทั่วไทยหายห่วง เทคโนโลยีชาร์จเร็ว 10-15 นาที พอดีกับเวลาเข้าห้องน้ำ แวะ 7-11 บทถนนมีรถ BEV ซัก 20 % ในกทม (รวมกะบะ รถบรรทุก และรถเมล์โบราณที่ยังคงวิ่งอยู่) ราคา BEV ลงมาอยู่แถว Civic ปัจจุบัน คนส่วนใหญ่เอื้อมถึงแล้ว range 500+ km มีการเปลี่ยนผู้เล่นในตลาด ล้มหายตายจาก และน้องใหม่ไฟแรง คนจะไปโฟกัสที่รถกะบะเก่าๆที่ยังพ่นควันเยอะๆอยู่
-
คนไทยและประเทศไทยยังต้องใช้หนี้อยู่เลยครับ คงไม่ได้แตกต่างจากวันนี้ที่เป็นอยู่เท่าไหร่หรอก
-
2547 ถนนจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่ รถเมล์ รฟท ต้องอนุรักษ์
(https://i.ibb.co/qNwDjRc/5c40a7e406c8221de8f9d1b7-800x0xcover-31-PWua-Ic.jpg)
(https://i.ibb.co/Xt768fJ/Body-696x464.jpg)
-
อาจจะต่างแค่หน้าตารถ รุ่นรถ
แต่ถนนหนทางเหมือนเดิม น้ำท่วมเหมือนเดิม
-
2547 ถนนจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่ รถเมล์ รฟท ต้องอนุรักษ์
(https://i.ibb.co/qNwDjRc/5c40a7e406c8221de8f9d1b7-800x0xcover-31-PWua-Ic.jpg)
(https://i.ibb.co/Xt768fJ/Body-696x464.jpg)
ไม่เอาไม่พูดเดี๋ยวติ่งเข้ามาด่านะ
-
ไม่พิมพ์ดีกว่า เดี๋ยวจะหาว่าการเมือง เอาเป็นว่ารู้ๆกันอยู่
-
เดานะ
ระบบขนส่งสินค้าจากคลังสินค้ากลางไปยังคลังสินค้าภูมิภาคเป็นทางรางมากกว่า ทางรถยนต์
ส่วนรถ ICE ล้วนยังมีอยู่ แต่จะมีในปริมาณที่ไม่เยอะมาก และเป็นลูกผสม HEV, PHEV
ส่วนรถ BEV จะเป็นที่นิยมเพราะวิ่งได้ 1,xxx km/ชาร์จ ที่ความเร็วคงที่ 110km/h
-
เลนซ้ายพัง และรถใหญ่วิ่งแช่ขวาเหมือนเดิม
-
ถ้าบ้านเราเป็นแบบนี้อยู่ ก็คงไม่ได้ต่างอะไรจากวันนี้เท่าไหร่ครับ
ที่เพิ่มเติม ก็คงตามยุคตามสมัย รูปร่าง หน้าตา ออฟชั่น ของรถ ก็อาจจะเปลี่ยนไปบ้าง
2547 ถนนจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่ รถเมล์ รฟท ต้องอนุรักษ์
(https://i.ibb.co/qNwDjRc/5c40a7e406c8221de8f9d1b7-800x0xcover-31-PWua-Ic.jpg)
(https://i.ibb.co/Xt768fJ/Body-696x464.jpg)
เห็นภาพชัดเจนครับ ::) ::) ::) ::) ::)
-
คิดว่ารถ full EV คงมีมากขึ้นตามเมืองแต่ส่วนมากก็ยังคงน่าจะเป็น ICE, hybrid ครับ
-
2574 ก็คือปี 2031
ค่ายรถที่มีโรงงานในประเทศไทยหลายๆยี่ห้อไม่มีแผนจะผลิต BEV จนกะทั่งปี 2030 ส่วนรถจีนที่หลายๆคนอวยกันนั้นทุกวันนี้ก็ยังมีแต่ผนผลิตรถ ICE และ HEV (แต่คงเริ่มผลิต BEV ก่อนปี 2030 แน่ๆ) คิดว่าบนท้องถนนมันจะมีอะไรเปลี่ยนล่ะครับ
-
1. คิดว่าคงมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกี่ยวกับการก่อสร้างถนนเข้ามามากขึ้น จะทำให้สร้างถนนได้เร็วและได้มาตรฐานทางดีขึ้น
2. ทางสี่เลนบาททั้งทางหลวงและทางหลวงชนบทบางสาย คลอบคลุมพื้นที่ประเทศมากขึ้น
3. ถนนตัดใหม่มากขึ้น รองรับโลจิสติก การท่องเที่ยวและเดินทาง
4. มอเตอร์เวย์มากสายขึ้น เป็นโครงข่ายมากขึ้น เหนือ อิสาน กลาง ใต้ คงมีหมด
5. ทางลูกรังไม่มีวันหมดไปจากประเทศ
-
อีก 10 ปีข้างหน้า
ผมคิว่ารถนั่งพวก เก๋ง, SUV, Mini van น่าจะเป็น HEV กันหมดแล้วนะครับ
น่าจะเหลือ ICE ล้วนๆ แค่รถรุ่นถูกมากๆ เท่านั้น
ส่วนรถเพื่อการพาณิชย์ส่วนใหญ่คงเป็น ICE ล้วนๆ อยู่ เช่น กระบะส่งของ รถตู้โดยสาร
รถบรรทุก สองแถว แต่น่าจะมี HEV เป็นรุ่นท็อปๆ แต่ยอดขายคงไม่เยอะนัก
EV น่าจะเข้ามามากขึ้นครับ EV ถูกๆ ราคาจับต้องได้จะเป็นรุ่นที่พิสัยการเดินทางไม่ไกลนัก
การชาร์จจะยังช้าอยู่ ส่วน EV แบบที่ชาร์จเร็ว วิ่งได้ไกล ก็จะมีเข้ามาแต่น่าจะอยู่ใน Segment
ที่ราคายังสูง ระดับ premium car
อีกรูปแบบของการเดินทาง น่าจะเป็นการใช้ระบบรางมากขึ้นทั้งในเมืองและระหว่างเมือง
และรูปแบบ Business model ของการเช่ารถ หรือบริการขนส่ง รถรับจ้าง (MaaS)
น่าจะหลากหลาย สะดวก และน่าจะเข้ากันกับ lifestyle คนรุ่นใหม่มากขึ้น ครับ
-
ปี 2574 คืออีก 10 ปีข้างหน้า คิดว่ารถยนต์ส่วนตัวคงเป็น PHEV หรือ EV กันมากขึ้น สัก 30-50% ส่วนรถบรรทุก/โดยสาร คงใช้ ICE เป็นหลักเหมือนเดิม
-
ยาพาหนะส่วนบุคคลไม่รู้ แต่ถนนสาธารณะและการขนส่งสาธารณะ ใกล้เคียงปัจจุบันแน่นอน
-
คิดว่า คนจะทำงานที่บ้านมากขึ้น การเดินทางเข้าเมืองใหญ่ อาจจะน้อยลง
ทุกอย่างสั่งทางออนไลน์ สิ่งหนึ่งที่ดีมากๆ คือระบบ Logistic
-
รถน้ำมันยังคงอยู่เหมือนเดิมครับ เพิ่มเติมด้วยรถไฮบริดและรถ EV ที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นนิดหน่อย ปั๊มน้ำมันอาจมีที่ชาร์จไฟฟ้าตามหัวเมืองใหญ่ประปราย
ราคารถ EV ที่มีวิ่งได้ไกลคิดว่ายังคงแพงอยู่ประมาณ D-Seg ตัวท็อป ส่วนรถน้ำมันราคาอาจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (Civic อาจราคาเท่า Accord 5555+)
ถนนอาจจะมีการตัดใหม่เพิ่มขึ้น แต่การจราจรกับความแออัดยังคงเหมือนเดิม
รถสาธารณะยังเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือเปลี่ยนรุ่นใหม่
ปล.ถ้าบวกเพิ่มอีก 50 ปี รถไฟฟ้า EV & Hybrid คงจะมาแทนที่รถน้ำมันเป็นส่วนใหญ่แล้ว ส่วนรถน้ำมันล้วนอาจจะอยู่ในแค่วงการ Motorsport แล้วครับ
-
ขนส่งสาธารณะไทย เหมือนเดิมยาวๆแค่มีรถไฟฟ้ารถไฟใต้ดินเพิ่ม แต่ก็ไม่ครอบคลุม
รถขนส่งคนยังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือติดแอร์และทาสีใหม่ให้ดูน่ารักขึ้น
รถยนตร์ส่วนบุคคล รถevล้วนเจอเยอะขึ้นเจอบ่อยขี้นประมาณเจอคนขับเบนส์บีเอ็ม
รถเครื่องสันดาบยังเป็นทางเลือกหลักของปชช แรงม้าcsegรถหยุ่น ขั้นต่ำอยู่ที่180hp
บิ๊กไบค์สามารถวิ่งขึ้นทางด่วนทางพิเศษได้อย่างถูกกฎหมาย
ถนนทางเรียบในกรุงเทพฯยังคงซ่อมๆสร้างๆ ถนนตจว.ก็เช่นกัน
อย่างที่เด็กๆเขาว่ากันแหละครับ.... " ประเทศไทยเป็นประเทศหยุดพัฒนา! " 8) 8) 8)
-
BEV นำเข้าจากจีนมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆทั้งใน mass และ premium segment รองมาคือรถ BEV เกาหลีนำเข้าจากอาเซียน ผู้นำตลาดเช่น Tesla, Volvo, Bimmer, Hyundai
Xpeng, Nio, Xiaomi, Huawei มากันครบ ใช้วิธีจับมือร่วมทุนกับกลุ่มธุรกิจไทยใหญ่ๆที่เข้ามาทำธุรกิจรถยนต์เป็นครั้งแรก (สัดส่วนทุนจีน 60-70% ทุนไทย 30-40%) ไม่มีการลงทุนผลิตในไทย เพราะนำเข้าโดยตรงจากจีนมาขายคุ้มกว่า ถูกกว่า
คล้ายๆกับที่เกิดขึ้นที่ US ในยุค 80s จะมีการรณรงค์ "ซื้อรถภายในประเทศ ช่วยชาติ" "ซื้อรถนำเข้า ไม่รักประเทศ" ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
-
ถนนก็คงเยอะขึ้น มอเตอร์เวย์ก็เยอะขึ้น ถนนลาดยางทุกหมู่บ้าน แต่การใช้รถของคนไทยยังขาดวินัยเหมือนเดิม
-
2547 ถนนจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่ รถเมล์ รฟท ต้องอนุรักษ์
(https://i.ibb.co/qNwDjRc/5c40a7e406c8221de8f9d1b7-800x0xcover-31-PWua-Ic.jpg)
(https://i.ibb.co/Xt768fJ/Body-696x464.jpg)
;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D
-
เห็นมีคนพูดถึงรถ BEV เกาหลีจาก ASEAN
- โรงงานรถเกาหลีในอินโดนีเซียยังไม่มีแผนจะผลิต BEV เพราะถ้ามีแผนจะผลิต BEV ที่อินโดก็ไม่จำเป็นที่รถเกาหลีจะต้องเสียเงินเสียทองไปสร้างโรงงาน BEV ขนาดจิ๋วที่สิงคโปร์อีก เนื่องจาก Cap 2.5 แสนคันต่อปีของโรงงานในอินโดนั้นเพียงพอต่อการส่งออกภายใน ASEAN สบายๆ รัฐบาลสิงคโปร์เองก้ไม่ต้องหน้ามืดให้สิทธิพิเศษกับรถเกาหลีมากมายขนาดนั้นเพื่อดึงให้มาตั้งโรงงานผลิต BEV ในประเทศที่ไม่มีอะไรเหมาะสมกับการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์เลยอย่างสิงคโปร์ แค่นั่งรอเฉยๆให้ผลิตในอินโดแล้วนำเข้ามาขายในสิงคโปร์สบายๆไม่ดีกว่าเหรอ
- โรงงาน BEV เกาหลีที่สิงคโปร์นั้นไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพราะความเหมาะสมทางภูมิศาสตร์ ต้นทุน หรือ Supply Chain อะไรเลย โรงงาน BEV เกาหลีที่นั่นสนับสนุนโดยรัฐบาลสิงคโปร์แบบสุดลิ่มทิ่มประตู โดยให้สิทธิพิเศษหลายอย่างมากๆเพื่อให้รถเกาหลีมาตั้งโรงงาน BEV ในสิงคโปร์ที่ไม่มีอะไรเหมาะสมต่อการตั้งโรงงานผลิตรถเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งหมดเพื่อต้องการเปลี่ยนให้สิงคโปร์มีรถยนต์ไฟฟ้าใช้โดยเร็วที่สุด เพราะฉะนั้นด้วย Cap เพียง 3 หมื่นคันต่อปีโรงงาน BEV เกาหลีนั้นจะขายในสิงคโปร์หรือส่งออกเป็นหลัก รัฐบาลสิงคโปร์ทุ่มทุนให้ขนาดนั้นเพื่อให้รถเกาหลีผลิต BEV ขายที่ใดเป็นหลักขอให้ไปคิดกันเอาเอง
- ในยุคที่ยังแทบจะไม่มีรถยี่ห้อหลักของโลกมาผลิต BEV ใน ASEAN แต่จู่ๆรถเกาหลีจะเริ่มผลิต BEV พร้อมๆกันจากโรงงานใหม่ใน 2 ประเทศ มันไม่ดูเป็นนโยบายที่ประหลาดเหรอครับ แทนที่จะรวมศูนย์กรผลิตไว้ที่เดียวเพื่อสร้าง Volume ของสายการผลิต กลับกระจายการผลิตออกไปให้แย่งงานกันเองซะงั้นทั้งๆที่โรงงานใหม่ในอีกประเทศนึงนั้นไม่มีโรงงานผลิตรถยนต์ยี่ห้ออื่นด้วยซ้ำไปแถมยอดขายต่อปีก็น้อยนิด
-
เห็นมีคนพูดถึงรถ BEV เกาหลีจาก ASEAN
- โรงงานรถเกาหลีในอินโดนีเซียยังไม่มีแผนจะผลิต BEV เพราะถ้ามีแผนจะผลิต BEV ที่อินโดก็ไม่จำเป็นที่รถเกาหลีจะต้องเสียเงินเสียทองไปสร้างโรงงาน BEV ขนาดจิ๋วที่สิงคโปร์อีก เนื่องจาก Cap 2.5 แสนคันต่อปีของโรงงานในอินโดนั้นเพียงพอต่อการส่งออกภายใน ASEAN สบายๆ รัฐบาลสิงคโปร์เองก้ไม่ต้องหน้ามืดให้สิทธิพิเศษกับรถเกาหลีมากมายขนาดนั้นเพื่อดึงให้มาตั้งโรงงานผลิต BEV ในประเทศที่ไม่มีอะไรเหมาะสมกับการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์เลยอย่างสิงคโปร์ แค่นั่งรอเฉยๆให้ผลิตในอินโดแล้วนำเข้ามาขายในสิงคโปร์สบายๆไม่ดีกว่าเหรอ
- โรงงาน BEV เกาหลีที่สิงคโปร์นั้นไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพราะความเหมาะสมทางภูมิศาสตร์ ต้นทุน หรือ Supply Chain อะไรเลย โรงงาน BEV เกาหลีที่นั่นสนับสนุนโดยรัฐบาลสิงคโปร์แบบสุดลิ่มทิ่มประตู โดยให้สิทธิพิเศษหลายอย่างมากๆเพื่อให้รถเกาหลีมาตั้งโรงงาน BEV ในสิงคโปร์ที่ไม่มีอะไรเหมาะสมต่อการตั้งโรงงานผลิตรถเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งหมดเพื่อต้องการเปลี่ยนให้สิงคโปร์มีรถยนต์ไฟฟ้าใช้โดยเร็วที่สุด เพราะฉะนั้นด้วย Cap เพียง 3 หมื่นคันต่อปีโรงงาน BEV เกาหลีนั้นจะขายในสิงคโปร์หรือส่งออกเป็นหลัก รัฐบาลสิงคโปร์ทุ่มทุนให้ขนาดนั้นเพื่อให้รถเกาหลีผลิต BEV ขายที่ใดเป็นหลักขอให้ไปคิดกันเอาเอง
- ในยุคที่ยังแทบจะไม่มีรถยี่ห้อหลักของโลกมาผลิต BEV ใน ASEAN แต่จู่ๆรถเกาหลีจะเริ่มผลิต BEV พร้อมๆกันจากโรงงานใหม่ใน 2 ประเทศ มันไม่ดูเป็นนโยบายที่ประหลาดเหรอครับ แทนที่จะรวมศูนย์กรผลิตไว้ที่เดียวเพื่อสร้าง Volume ของสายการผลิต กลับกระจายการผลิตออกไปให้แย่งงานกันเองซะงั้นทั้งๆที่โรงงานใหม่ในอีกประเทศนึงนั้นไม่มีโรงงานผลิตรถยนต์ยี่ห้ออื่นด้วยซ้ำไปแถมยอดขายต่อปีก็น้อยนิด
มีข่าวแล้วว่า Ioniq 5 และ Ioniq 6 ส่งมาไทย ส่วนจะโรงงานที่ไหนในอาเซียนที่ไม่ใช่ไทย ก็เหมือนๆกันหมด เพราะจะได้มาแข่งราคาสมน้ำสมเนื้อกับรถ BEV mass ที่นำเข้าจากจีนสักหน่อย ด้านเทคโนโลยีไม่ต้องพูดถึงเพราะนำหน้าแบรนด์จีนในหลายๆด้านอยู่แล้ว ว่าไปแล้วไทยแลนด์มีสกิลอะไรบ้างคับ แค่เล่นแร่แปรธาตุทำ batt cell เองยังทำไม่เป็นเลย ริอาจจะอ้างตัวเป็นฮับๆ ไอ้โรงงานแบต pilot อะไรที่ออกข่าว รายละเอียดหนักๆไม่เห็นมีออกมา วันๆได้แค่รับจ้างร้อยน๊อตประกอบทุกชาติไปนั่นละ
ไอ้โรงงานที่สิงค์โปร์ก็เค้าส่งออกเป็นหลักไงคับ ส่งแถวไหน ก็ไม่ต้องเดา ขายในประเทศ 5000-6000 คัน ที่เหลือ 24,000-25,000 คันส่งออก Hyundai Motor Group Singapore Global Innovation Center (HMGICS) นอกจากผลิตก็ยังเป็น R&D center สำหรับ EV
สิงก้าเค้ามีที่เราไม่มีคือ incentive ให้กระจายมากกก (ไม่เรื่องมาก ไม่สำคัญตัวเองผิดเป็นฮับๆเหมือนแถวนี้) และ human capital ที่เหนือกว่า ไม่แปลกที่ธุรกิจ high value added ใช้เทคโนสูงๆอื่นๆอย่าง MRO, Aerospace ก็ไปลงที่นั่นกันหมด อย่างเช่น โรงงานเครื่องเจ็ตของ RR, ศูนย์ซ่อมใหญ่ของ Airbus และ Bombardier, GE Aviation, P&W รวมไปถึง ground handling ของ Dnata
มุมมองผู้บริโภค ถ้าต้องนำเข้าจากเมืองนอกเป็นหลักก็เฉยๆ โอเคดี
คนไทยโชคดีที่มีภาษี FTA 0%
-
ปี 69 ภาษีรถในเมืองไทยจะเปลี่ยนผ่าน รถหลายๆ รุ่นจะต้องมีมอเตอร์ห้อยท้าย เพื่อให้ได้สิทธิทางภาษี HEV ขึ้นไปครับ
ดังนั้นปี 74 เราคงได้เห็นรถ HEV PHEV BEV วิ่งในเมืองไทยมากกว่าเดิมแน่นอนครับ
อีกอย่าง ผมคิดว่า จากแนวโน้มประชากรที่จะลดลงไปเรื่อยๆ นับจากนี้ ผมเดาว่า อีก 10 ปีข้างหน้าคงเหลือราว 50 ล้าน
ผมว่าตลาดรถบ้านเราคงตัวเลขทรงๆ หรือลดลงบ้างแน่ๆ ครับ
และคิดว่าบางค่าย (ญี่ปุ่น จีน และเมกา) ที่ไม่แข็งแรงก็อาจจะต้องออกไปบ้าง หรือไม่ก็ควบรวมกันครับ
-
เห็นมีคนพูดถึงรถ BEV เกาหลีจาก ASEAN
- โรงงานรถเกาหลีในอินโดนีเซียยังไม่มีแผนจะผลิต BEV เพราะถ้ามีแผนจะผลิต BEV ที่อินโดก็ไม่จำเป็นที่รถเกาหลีจะต้องเสียเงินเสียทองไปสร้างโรงงาน BEV ขนาดจิ๋วที่สิงคโปร์อีก เนื่องจาก Cap 2.5 แสนคันต่อปีของโรงงานในอินโดนั้นเพียงพอต่อการส่งออกภายใน ASEAN สบายๆ รัฐบาลสิงคโปร์เองก้ไม่ต้องหน้ามืดให้สิทธิพิเศษกับรถเกาหลีมากมายขนาดนั้นเพื่อดึงให้มาตั้งโรงงานผลิต BEV ในประเทศที่ไม่มีอะไรเหมาะสมกับการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์เลยอย่างสิงคโปร์ แค่นั่งรอเฉยๆให้ผลิตในอินโดแล้วนำเข้ามาขายในสิงคโปร์สบายๆไม่ดีกว่าเหรอ
- โรงงาน BEV เกาหลีที่สิงคโปร์นั้นไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพราะความเหมาะสมทางภูมิศาสตร์ ต้นทุน หรือ Supply Chain อะไรเลย โรงงาน BEV เกาหลีที่นั่นสนับสนุนโดยรัฐบาลสิงคโปร์แบบสุดลิ่มทิ่มประตู โดยให้สิทธิพิเศษหลายอย่างมากๆเพื่อให้รถเกาหลีมาตั้งโรงงาน BEV ในสิงคโปร์ที่ไม่มีอะไรเหมาะสมต่อการตั้งโรงงานผลิตรถเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งหมดเพื่อต้องการเปลี่ยนให้สิงคโปร์มีรถยนต์ไฟฟ้าใช้โดยเร็วที่สุด เพราะฉะนั้นด้วย Cap เพียง 3 หมื่นคันต่อปีโรงงาน BEV เกาหลีนั้นจะขายในสิงคโปร์หรือส่งออกเป็นหลัก รัฐบาลสิงคโปร์ทุ่มทุนให้ขนาดนั้นเพื่อให้รถเกาหลีผลิต BEV ขายที่ใดเป็นหลักขอให้ไปคิดกันเอาเอง
- ในยุคที่ยังแทบจะไม่มีรถยี่ห้อหลักของโลกมาผลิต BEV ใน ASEAN แต่จู่ๆรถเกาหลีจะเริ่มผลิต BEV พร้อมๆกันจากโรงงานใหม่ใน 2 ประเทศ มันไม่ดูเป็นนโยบายที่ประหลาดเหรอครับ แทนที่จะรวมศูนย์กรผลิตไว้ที่เดียวเพื่อสร้าง Volume ของสายการผลิต กลับกระจายการผลิตออกไปให้แย่งงานกันเองซะงั้นทั้งๆที่โรงงานใหม่ในอีกประเทศนึงนั้นไม่มีโรงงานผลิตรถยนต์ยี่ห้ออื่นด้วยซ้ำไปแถมยอดขายต่อปีก็น้อยนิด
มีข่าวแล้วว่า Ioniq 5 และ Ioniq 6 ส่งมาไทย ส่วนจะโรงงานที่ไหนในอาเซียนที่ไม่ใช่ไทย ก็เหมือนๆกันหมด เพราะจะได้มาแข่งราคาสมน้ำสมเนื้อกับรถ BEV mass ที่นำเข้าจากจีนสักหน่อย ด้านเทคโนโลยีไม่ต้องพูดถึงเพราะนำหน้าแบรนด์จีนในหลายๆด้านอยู่แล้ว ว่าไปแล้วไทยแลนด์มีสกิลอะไรบ้างคับ แค่เล่นแร่แปรธาตุทำ batt cell เองยังทำไม่เป็นเลย ริอาจจะอ้างตัวเป็นฮับๆ ไอ้โรงงานแบต pilot อะไรที่ออกข่าว รายละเอียดหนักๆไม่เห็นมีออกมา วันๆได้แค่รับจ้างร้อยน๊อตประกอบทุกชาติไปนั่นละ
ไอ้โรงงานที่สิงค์โปร์ก็เค้าส่งออกเป็นหลักไงคับ ส่งแถวไหน ก็ไม่ต้องเดา ขายในประเทศ 5000-6000 คัน ที่เหลือ 24,000-25,000 คันส่งออก Hyundai Motor Group Singapore Global Innovation Center (HMGICS) นอกจากผลิตก็ยังเป็น R&D center สำหรับ EV
สิงก้าเค้ามีที่เราไม่มีคือ incentive ให้กระจายมากกก (ไม่เรื่องมาก ไม่สำคัญตัวเองผิดเป็นฮับๆเหมือนแถวนี้) และ human capital ที่เหนือกว่า ไม่แปลกที่ธุรกิจ high value added ใช้เทคโนสูงๆอื่นๆอย่าง MRO, Aerospace ก็ไปลงที่นั่นกันหมด อย่างเช่น โรงงานเครื่องเจ็ตของ RR, ศูนย์ซ่อมใหญ่ของ Airbus และ Bombardier, GE Aviation, P&W รวมไปถึง ground handling ของ Dnata
มุมมองผู้บริโภค ถ้าต้องนำเข้าจากเมืองนอกเป็นหลักก็เฉยๆ โอเคดี
คนไทยโชคดีที่มีภาษี FTA 0%
ส่งออกน่ะมันมีแน่แต่ 2.5 หมื่นคันแน่ใจเหรอว่าถึง? รัฐบาลสิงคโปร์ลงทุนไปเยอะเพื่อให้รถเกาหลีมาผลิตส่งออกหาเงินกลับบ้าน เหรอ?
เดี๋ยวก็รู้ว่ากว่าจะ Ramp up จนถึง 3 หมื่นคันต่อปีน่ะใช้เวลากี่ปี และช่วงหลายปีแรกน่ะรถมันขายที่ไหนเป็นหลัก อีกไม่นานหรอก
-
ในมุมมองของผม คิดว่า ถนนประเทศไทยในปี 2574 หรือ 2031 อาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก แต่มีการขยายถนนเพื่อขยายความเจริญเติบโตขึ้น
รถเก๋งไฮบริด และรถเก๋งไฟฟ้า เริ่มหาซื้อกันง่ายขึ้น แพร่หลายขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน รถน้ำมัน ก็ยังไม่หายไป (เพราะคนอาจจะคิดถึงรถน้ำมัน ต่อให้เปลี่ยนไปใช้ Euro VI หรือ Euro VII ก็ไม่ทำให้รถน้ำมันหายไปจากโลก)
รถตู้, รถกระบะ และรถ 4x4 ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ก็ต้องมีรุ่นไฮบริด หรือมีรุ่นไฟฟ้าควบคู่ไปด้วย เพื่อลดค่าไอเสีย
ส่วนขนส่งสาธารณะ ผมว่า ก็ต้องปรับตัวเช่นกัน อย่างรถไฟรางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ, รถไฟรางเดียว สายสีขมพู (แคราย-มีนบุรี) และ รถไฟฟ้า สายสีแดง (ดอนเมือง) เป็นต้น
รถบัสไฟฟ้า (ไทยสมายล์บัสนำร่องแล้ว นั่งได้ 10 เส้นทาง) เริ่มแพร่หลาย จากเอกชนที่ปรับตัวได้เร็ว
ส่วนบริษัทขนส่งมวลชน (บขส) และการรถไฟ (รฟท) ประสบปัญหาปรับตัวช้า อย่างรถบัสครีมแดง ที่ใช้ตั้งแต่ 1991 แล้วยังไม่ปลดระวาง (ผมว่ามันไม่คุ้มทุนที่จะปลดระวางทั้งหมด ส่วนหนึ่งมาจากความเก่าของตัวรถ) แม้มีประกาศขายรถบัสสำรอง 3 คัน (มีรถครีมแดง ปรับอากาศ) เริ่มต้นที่ 270,000 บาท แต่หาคนซื้อไม่ได้ เพราะราคาแพงเกินไป (ผมว่าน่าจะเริ่มขายที่ 54,000 บาท ถึงจะมีคนซื้อ เพราะอายุมันก็ 30 ปีแล้ว) และการรถไฟ ก็ขาดทุนถึง 177,486 ล้านบาท (ผลประกอบการ 2019)
อ้างอิง: https://www.matichon.co.th/social/news_2738506
https://www.dailynews.co.th/news/294128/
https://mgronline.com/daily/detail/9630000122258
-
ต่อไปคงหาน้ำมันล้วนยากหน่อยแหละ อย่างต่ำคง Hybrid ไปเลยยันกระบะ รถขนส่ง
-
มีจำนวนรถ BEV พอๆ กับรถ Hybrid ในวันนี้
-
10 ปีข้างหน้า (ปี 2574)
-รถยนต์ไฟฟ้า BEV เพิ่มขึ้น 30%
-รถยนต์ไฮบริดเสียบปลั๊ก PHEV เพิ่มขึ้น 40%
-รถยนต์ไฮบริด HEV เพิ่มขึ้น 50%
-รถยนต์น้ำมัน ICE ลดลง 40%
-สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 30%
-อู่ซ่อมหรือเปลี่ยนแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 40%
-รถโดยสารไฟฟ้า EV Bus เพิ่มขึ้น 50%
-มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า EV Bike เพิ่มขึ้น 40%
-รถสามล้อไฟฟ้า EV TukTuk เพิ่มขึ้น 30%
สรุปคือ 10 ปีข้างหน้า รถยนต์น้ำมันยังจำหน่ายอยู่แต่ยอดการผลิตรถยนต์น้ำมัน ICE จะลดลงถึง 40%
-
คิดว่ารถน้ำมันล้วนที่เป็นมือ 1 คงแทบจะไม่มี
รถคลาสสิค JDM, Porsche 993 996 997, Supra, 400z, Miata ND ฯลฯ จะราคาแข็งและเป็นรถหายาก
D-seg ญี่ปุ่นอาจจะหายไป
มีแต่รถ SUV มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็จะมีเก๋งยกสูงท้ายลาด
สถานีชาร์จจะคู่กับปั้มน้ำมันทุกที่ตามเส้นทางใหญ่ๆ
ภาษีเก็บมากขึ้นกับรถน้ำมัน
ค่าไฟเก็บมากขึ้นกับการชาร์จรถที่บ้าน
ถนนเน่าเหมือนเดิม หลุมบ่อ แม็กพัง
น้ำมันทุกยี่ห้อจะเป็น Euro5 และดีเซลจะเป็น B10 ทั้งหมด
-
สิบปีที่แล้วกับวันนี้ เปลี่ยนไปยังไงอีกสิบปีข้างหน้าก็เหมือนเดิมครับ
มีรถไฟฟ้าล้วนข้ามาประปราย ไฮบริดมากขึ้น
ภาคขนส่งยังน้ำมันเหมือนเดิม รถไฟไทยเหมือนเดิม รถไฟฟ้าเก็บค่าโดยสารแพงขึ้น
-
ช่วง 10 ปีต่อจากนี้ อาจได้เห็นรถถัง รถตะหาน และกลุ่มมวลชน มาวิ่งเพ่นพ่านบนถนนอีกครั้งครับ
-
ผมน่าจะยังขับ yaris บนถนนอยู่เหมือนเดิม (หวังว่ามันจะอยู่ถึง)
-
8) 8) 8)....2574 ( เฉพาะผมคิดนะครับ)
- บนถนนทั่วไทย EV 50 +/-
- เซียงกง ค้า/ขาย EVs battery + ช่วงล่าง + body parts
- เซอร์วิส น้ำมันฯ ร้านเบรค อยู่ได้ แต่จะเหลือร้านน้อยลง 50 %
- ร้านขายยาง ไปรอดและรุ่ง
- ร้านแอร์ ไปรอด
- ร้านหม้อน้ำ ปรับตัวเตรียมซ่อมรังผึ้งระบายควานร้อน ของมอเตอร์ไฟฟ้า EV :-X
-
ยังคงมีพวกมักง่าย แช่ขวา เหมือนเดิม
คนที่ด่าคนพวกนี้ ในวันข้างหน้าก็ทำกันเอง สอนลูกให้ทำด้วยเช่นกัน เพราะมันง่ายกว่าการขับรถแบบมีระเบียบ