Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Oldcaroldguys ที่ เมษายน 25, 2022, 08:05:59
-
ผมเคยง่วงระหว่างทางจนต้องจอดงีบที่ปัม รอบนี้โชคดีไป
รอบล่าสุด ได้เรื่อง ขับๆมาๆ รถข้างหลังทิ้งระยะห่าง สักพักหลับในเลยครับ ได้แผลใต้กันชนมา โชคดีมากก ไม่ข้ามฝั่งหรือลงคู ยอมรับผิดแค่โดยดี มีใครเคยหลับในบ้างครับ
-
เคยเคลิ้มๆครับ
รีบจอดรถล้างหน้าโดยด่วน
ส่วนตัวเลิกขับกลางคืนแล้วครับ ไม่ชอบขับตอนง่วงทรมาน พลาดขึ้นมาไม่คุ้มเลย เปลี่ยนเวลาสบายชีวิตเลยครับ
-
ต้องรู้ตัวเองครับ
เคยหลับในนะ แบบเคลิ้มๆ แล้วสะดุ้งขึ้นมา รถยังไม่ออกนอกเส้นทาง แต่หลังจากครั้งนั้น คือกฎเหล็กเลย ถ้ามีอาการปุ๊บ จอดนอนทันทีครับ
.............
ปกติ ง่วง สำหรับผม จะมี 2 แบบ
1. ง่วงแบบ น่าเบื่อ หาวไปเรื่อย อันนี้ไม่มีอะไร เปิดเพลงมันส์ๆ อมลูกอม เดี๋ยวก็หาย
2. ง่วงแบบเพลีย จะหลับใน อันนี้สังเกต จะขับรถส่าย รู้สึกว่า รถศูนย์ล้อไม่ดี เดี๋ยวแว้บ ซึ่งจริงๆรถน่ะปกติ แต่คนน่ะ มีอาการวูบๆละ อันนี้ ต้องจอดสถานเดียว กินอะไรก็ไม่ช่วย นอนสัก 30 นาที ก็ไปต่อได้ยาวๆละ
-
การขับรถตอนง่วง ยิ่งฝิน(คิดว่าตัวเองไหว) ยิ่งอันตราย มันเป็นการฆ่าตัวตาย และ อาจจะเป็นการฆ่าคนอื่นโดยเจตนา ด้วยซ้ำ
เพราะการง่วง ตาจะเคลิ้มๆ สติเริ่มหายไปหมด ตัดสินใจก็ช้าลงมาก สมาธิก็แทบไม่เหลือแล้ว แล้ว ถ้าหลับ เท่ากับ ผี autopilot ทำงานแล้ว ที่เหลือก็โช้คชะตาล้วนๆ
ผมว่า ง่วงก็หยุดพัก พักงีบหลับ ล้างหน้าล้างตา กินกาแฟ และ ลงมาเดินๆ ให้มันกระปี้กระเป่าสักหน่อยดีกว่า ดีกว่าฝิน แค่เผลอหลับ 5-10 วิ นาที มันอาจจะทำให้เวลาชีวิตหมดไป แทนที่จะจอดหยุดพัก 20-30 นาที
ผมขับรถออกต่างจังหวัด กลางคืนตลอด 4-5 ปี หลัง เดือนละ 2 ครั้ง (รถ 2 ปี ก็วิ่ง 1 แสนโลแล้ว) สายกรุงเทพ-อยุธยา-สระบุรี-เพชรบูรณ์ เส้นทางรถบรรทุกเยอะมาก เรียกว่า พลาดไม่ได้ เสี่ยงไม่ได้ เลยสักวินาทีจริงๆ คนที่เคยไปเที่ยวทับเบิก น่าจะพอเคยเจอ
ผมมี 3 ทางเลือก
1. ออกค่ำๆ ถึงปลายทางช่วงเที่ยงคืน ช่วงนี้จะง่วงน้อย เพราะปกติก็นอนเกือบเที่ยงคืนอยู่แล้ว
2. ออกดึกๆ 4-5 ทุ่ม ถึงปลายทางเช้าๆ ช่วงนี้จะรู้สึกว่าง่วง ตอนตี 3-4 ตัวดีเลย จะต้องจอดล้างหน้า ล้างตา หากาแฟกิน แล้วค่อยขับต่อ
3. ออกตี 2-3 (หลับสักตื่นที่คอนโด ค่อยออก) พอได้หลับตื่นมา จะยังมีอาการง่วงๆ ตอนแรกๆ พอขับออกมาสัก 100km ก็หายแล้ว เพราะไกล้เช้าแล้ว ทางแก้ คือ ตื่นมา ก็อาบน้ำก่อนออก ช่วยให้อาการง่วงหายไปได้
ปล.ผมไม่เข้าใจกลุ่มคนที่บอกว่า "ขับช้า ขับตามกฏหมายกำหนด = ง่วง!! จึงขับเร็ว จะได้ไม่ง่วง..." ไม่รู้ไปเอาความคิดนี้มาจากไหน เพราะ ถ้าง่วง ทางแก้คือหยุดพัก ไม่ใช่เพิ่มความเร็ว อันตรายเข้าไปใหญ่ ไม่เข้าใจจริงๆ
-
ผมเคยมีอาการเหยื่อน อ่อนเพลีย ง่วงในระหว่างขับรถ ทั้งที่นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ แต่ขับรถนาน(รอบนั้นกลับจากเหนือ แวะตลอดทาง แวะเยี่ยมเพื่อด้วย 6โมงเย็น ยังถึงแค่พิดโลกอยู่เลย) ตอนแรกก็เข้าใจว่าเพราะขับรถนาน เลยล้า
แต่จริงๆแล้ว พบปัญหาสุขภาพ อะไรตามมาเพียบ ถึงขั้นต้องผ่าตัดใหญ่ ขอไม่ลงรายละเอียด
ตอนนี้รักษาอาการดังกล่าวมาได้ 2 ปี ขับรถกลับเหนือสงกรานต์ที่ผ่านมา ขาไป 8 ชม. ขากลับใช้เวลา14ชม. แต่ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่ ไม่ง่วงด้วย กาแฟก็ไม่ได้กิน(แฟนขอร้อง)
ท่านที่ไม่เคยตรวจเชคสุขภาพอย่าชะล่าใจแบบผม ถ้าตรวจเจอแต่เนื่นๆ อาการที่เราคิดว่าร่างกายเราเพลีย ง่วง แบบผม อาจจะไม่ใช่เรื่องอาการเหนื่่อยล้าทั่วไปก็ได้
-
เคยครับ 20 กว่าปีก่อน หลับในจนลงไปชนกับต้นไม้ข้างทาง ดีที่ยังรอด แต่รถไม่ได้ซ่อมเลยนะครับ ขายซากไป
ปล. ก่อนขายซาก ไปเก็บของออกจากรถ พบว่าพระหน้ารถมันหายไปหมดเลย...
-
ถ้าง่วงจนอยากจะหลับก็จะหยุดพักนอนข้างทางไม่เกินชั่วโมงก็จะตื่นขึ้นมาขับต่อได้ แต่อาการที่เหมือนลอยๆตาเบลอๆโดยเฉพาะตอนขับกลางคืนเวลาร่างกายไม่สดชื่นอันนี้ไม่รู้จะแก้ยังงัย จอดพักแล้วขับต่อก็ยังไม่ดีขึ้นครับ...
-
อาทิตย์ที่แล้ว ออกจากกทมเช้ามืด ขับรถไปทำธุระคนเดียวที่นครสวรรค์ ทำธุระเสร็จแล้วมุ่งหน้ากลับกทมเลย
เท่าที่เปิดดูจากกล้องหน้ารถ เป็นถนนเลนสวน เราแซงรถคันนึงขึ้นมา แล้วกลับเข้าเลนตัวเองตามปกติ
แต่ที่ไม่ปกติคือ กลับเข้าเลนมาแล้ว พวงมาลัยยังหักซ้ายอยู่เลย เท้าก็ยังเหยียบคันเร่งอยู่ (70-80 กม/ชม)
มารู้ตัวอีกทีคือ ตอนรถร้องเตือนว่าเหยียบเส้นไหล่ทาง
วินาทีที่รู้สึกตัว หน้ารถก็เฉียดกับพุ่มไม้ข้างทาง เกือบตกถนนไปแล้วเหมือนกันค่ะ
โชคดีว่ารถร้อง ถึงรู้สึกตัวแล้วหักกลับเข้ามาในเลนได้ ถ้ายังขับคันเก่าอยู่ น่าจะตกถนนไปแล้ว
เป็นการเฉียดอุบัติเหตุที่หนักสุด เป็นบทเรียนให้ตัวเองไม่ประมาทเลยค่ะ ^^"
-
บ่อยครับเมื่อก่อน สาเหตุน้ำตาลในเลือดสูงทำให้ง่วงตลอดเวลาขับรถไกล ตอนนี้หายแล้วไม่เคยหลับในอีกเลย
-
เคยครับ
นานมาแล้วเคยทำงานอาชีพ พนักงานขาย ขับรถไปวันละหลายจุดหมาย อากาศร้อน ขึ้นรถลงรถหลายๆรอบ เพลียครับ เริ่มรู้สึกว่าเหนื่อยหนังตาหนัก เห็นไฟแดงละจะเบรค แต่แวบสุดท้ายคงเพราะง่วง [หรือหลับ] กะระยะเบรคผิดไปกระแทบกับรถที่จอดติดไปแดงครับ หตุเกิดกลางวันเลยครับ ขับออกมาจากจุดสุดท้ายไม่เกิน 1ชม.
โชคดีไม่มีใครเป็นอะไร รถเราไฟแตก รถเขากันชนครูด เป็นบทเรียนว่าไปไม่ไกล วิ่งไม่เร็ว ก็หลับในได้ ร่างกายหมดแรงเมื่อไรก็วูบได้
-
เคยง่วงแบบลืมตาไม่ขึ้น สติยังมีนะคุมรถได้ แต่หนังตามันหนักแบบโคตรรรหนัก ถึงกับต้องเอามือขยี้กับแหกตาตลอดอะ
แล้วก็รีบหาปั้มแวะกินน้ำล้างหน้า
-
ผมเคยทีนึง วันนั้นไปภูทับเบิกแล้วนอนดึกเพราะดูบอล Champion league จบตี 4 นอนถึง 7 โมงเช้าแล้วแล้วตื่นเพื่อขับรถต่อไป จ.ตากผ่านถนนสาย 12
ช่วงบ่ายๆหลังจากแวะกินข้าวกลางวันที่สุโขทัย ช่วงก่อนเข้า จ.ตากเป็นทางตรงยาวแล้วแดดค่อนข้างร้อนด้วยก็เลยง่วงๆเพลียๆ กะว่าจะฝืนขับไปให้ถึงที่พัก แต่ก็มีอาการเคลิ้มๆจะหลับหลายรอบมาก มีช่วงนึงเผลอปิดตาไปด้วย โชคดีว่าถนนช่วงนั้นมันไม่ค่อยมีรถวิ่งเป็นทางโล่งๆ และไม่ได้ขับเร็วมาก
กะว่าคราวหน้าถ้ามีอาการแบบนี้อีกคงไม่ฝืนล่ะคับ ขับเข้าปั้มจอดนอนกลางวันแสกๆไปเลยดีกว่า
-
ผมหลับใน เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย มาทำงานใหม่ๆครับ ไฟแรงโหมงานหนักไป นอนดึก
รู้ว่าง่วง แต่พยายามดึงขนจมูก ร้องเพลง ตบหน้าตัวเอง
จะหาปั้มล้างหน้า แต่มันไม่ถึงครับ
ตื่นมาอีกที ล้อซ้ายลงกรวดข้างถนน พอประครองขึ้นมาขวา
ล้อมันปัดเสียการทรงตัว ส่ายไปมาบนถนน เห็นพื้นถนน เอียงๆๆๆ แล้วรถก็คว่ำไม่รู้สึกตัว หลับต่อ
มาตื่นอีกที รถพลิกตีลังกา กลับมาตั้งเหมือนเดิม
เปิดประตูออกมาแบบงงๆ โคตรเฮง รถสมัยนั้น ไม่มี seatbelt. ให้คาด
ดีที่ไม่บาดเจ็บรุนแรง หรือเสียชีวิต ทั้งที่ความเร็วตอนนั้นคือ 110km/hr
บทเรียนครั้งนั้น บอกผมว่า
1. เมื่อเลยจุดนึงของความง่วง คุณจะไม่รู้เลยว่าขับไปได้ยังไง และฝืนไม่ได้
2. อย่ารอให้ถึงจุดนั้น อย่ารอปั้มเพื่อพัก ควรมีกาแฟกระป๋อง หรือ M150 อย่างน้อย 2 ขวดเสมอ
เพื่อประครองอาการให้ไปถึงปั้มแล้วนอน
3. อย่ากินกาแฟ ประจำ เพราะเมื่อจะใช้แก้ง่วง มันจะไม่ได้ผล
-
ผมหลับใน เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย มาทำงานใหม่ๆครับ ไฟแรงโหมงานหนักไป นอนดึก
รู้ว่าง่วง แต่พยายามดึงขนจมูก ร้องเพลง ตบหน้าตัวเอง
จะหาปั้มล้างหน้า แต่มันไม่ถึงครับ
ตื่นมาอีกที ล้อซ้ายลงกรวดข้างถนน พอประครองขึ้นมาขวา
ล้อมันปัดเสียการทรงตัว ส่ายไปมาบนถนน เห็นพื้นถนน เอียงๆๆๆ แล้วรถก็คว่ำไม่รู้สึกตัว หลับต่อ
มาตื่นอีกที รถพลิกตีลังกา กลับมาตั้งเหมือนเดิม
เปิดประตูออกมาแบบงงๆ โคตรเฮง รถสมัยนั้น ไม่มี seatbelt. ให้คาด
ดีที่ไม่บาดเจ็บรุนแรง หรือเสียชีวิต ทั้งที่ความเร็วตอนนั้นคือ 110km/hr
บทเรียนครั้งนั้น บอกผมว่า
1. เมื่อเลยจุดนึงของความง่วง คุณจะไม่รู้เลยว่าขับไปได้ยังไง และฝืนไม่ได้
2. อย่ารอให้ถึงจุดนั้น อย่ารอปั้มเพื่อพัก ควรมีกาแฟกระป๋อง หรือ M150 อย่างน้อย 2 ขวดเสมอ
เพื่อประครองอาการให้ไปถึงปั้มแล้วนอน
3. อย่ากินกาแฟ ประจำ เพราะเมื่อจะใช้แก้ง่วง มันจะไม่ได้ผล
เติมอีกนิด
1. วันก่อนเดินทาง ผมจะนอนเร็วเป็นพิเศษ ปกติผม นอนมี ตี 1 กว่าตลอด เพราะตื่น 7 โมงเช้า ถ้าจะเดินทาง คืนก่อนหน้า สัก 5 ทุ่มผมก็นอนละ
2. ปกติ ผมจะดื่มกาแฟ เช้า กลางวัน บางวันก็แถมเย็น แต่วันเดินทาง (ถ้าเดินทางกลางคืน) ผมไม่ดื่มกาแฟเลย กลางวันถ้าง่วงก็งีบที่ทำงาน มาดื่ม คือ ตอนเดินทาง(เดินทาง 4 - 5 ทุ่ม)
3. ก่อนเดินทางจริงๆ ทานมื้อเย็น แล้วก็งีบสัก 1 - 2 ช.ม. ตื่นมา อาบน้ำ แล้วล้อหมุนได้เลย
4. ผมจะง่วงสัก ตี 4 - 5 ซึ่งก็จะหาปั๊มจอดนอน ชอบนอนช่วงนี้ เพราะพอสายหน่อย แสงมา ก็จะตื่น และยังไม่ร้อน จอดไหนก็ได้ แต่ถ้า ไปนอนปั๊มกลางวัน ต้องมานั่งหาร่มเงานอน
5. จอดนอน จะลดกระจกไม่ให้พ้นกันสาด (ยุงจะไม่เข้า) ดับเครื่อง ล็อครถ
-
อย่าฝืนครับ
ง่วงก็จอดครับ พัก หรือ เปลี่ยนขับ
-
ยังจำติดตาได้ตอนที่ต้องเข้ากทม.จากบ้านนอก มาเรียนพิเศษ
นั่งรถป.1 เที่ยวแรก (ประมาณตี5) พอมาถึงแถวพุทธมณฑล-ปิ่นเกล้า เป็นทางตรงยาว
นอนอยู่ตื่นมาเห็นคนขับสัปหงกไปขับไป ตอนนั้นกลัวมากภาวนาให้อย่าลงข้างทาง และมองหาที่ทุบกระจกกับทางหนีไว้ก่อนเลย
ยังจำจนถึงวันนี้
:-X :-X :-X
-
เคยหลับในอยู่ครั้งนึง ตอนขับอยู่แถวรอยต่อ เชียงใหม่ - แม่ฮ่องสอน มั๊ง
ด้วยเดินทางยาวจากศรีราชาตอนช่วงกลางคืน แม้จะได้นอนพักแป๊บนึงแถวกำแพงเพชร(ราวๆ 1 ช.ม.)
จำได้ว่า รู้สึกง่วงมาก แถวจุดจัดการไฟป่าห้วยน้ำดัง ก็แวะไปซื้อกาแฟ ล้างหน้าล้างตา สดชื่นขึ้นมาหน่อย
แล้วก็เดินทางต่อ แต่ไปได้อีกไม่น่าจะเกิน 30 นาที หลับครับ แม้จะแว้บเดียว รถยังอยู่ในเลน แต่ก็ทำให้ผมตกใจพอสมควร รู้เลยต้องหาที่จอดนอนละ โชคดีไม่ไกลมีจุดชมวิวอะไรสักอย่าง ก็แวะที่นั่นแหละ ให้แฟนไปทำความรู้จักกับเด็กน้อยชาวเขา ส่วนผมงีบหลับในรถ ราวๆครึ่งชั่วโมง ตื่นมาก็สดชื่นละ เดินทางต่อได้
หลังจากนั้น ถ้ารู้สึกง่วง แล้วทนไม่ไหว ผมจะหาที่จอดนอนครัจบ ได้หลับสักพัก ก็จะสดชื่นขึ้นแล้ว
ส่วนเรื่องของกินแก้ง่วงนั้น ลองมาหมดละ ทั้ง กาแฟ ทาโร่ มะม่วงดอง ลูกอม หมากฝรั่ง มันก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่สำคัญสุดคือร่างกายของเราครับ ถ้าได้พักผ่อนเพียงพอ อาการหลับในก็จะไม่เกิดครับ
-
ช่วงบ่ายๆ ง่วงๆ เพลียๆ อากาศร้อนๆ แสงจ้าๆแยงๆตา
รถติดด้วย หลับไม่ได้ จอดไม่ได้ วูบแล้ววูบอีก (นานมาแล้ว)
-
ผมขับทางไกลบ่อยๆ ถ้ารู้สึกดวงตาล้านั่นแหละอันตรายละ
ผมมักจะซื้อบิ๊กกัฟ น้ำแข็งเต็มๆ + น้ำอัดลม หายง่วงดีกว่ากาแฟเยอะ
-
เคยขับจากน่าน-กทม หลังจากเที่ยวมาทั้งวันออกจากน่านตอน 6โมงเย็น ถึง กทม ตอนตี3 กว่า
นึกว่าไหวสุดท้ายมาง่วงมากตรง อยุธยา ง่วงจนหลับระหว่างขับได้เลย
เลยวิ่งเข้าปั้มจอดนอนไป 20 นาทีแล้วค่อยขับต่อจนถึงบ้านที่ กทม
จริงๆถ้ารู้ว่าง่วงมากจอดนอนซักแปปเลยจะดีสุดครับเกิดอุบัติเหตุไปยังไงก็ไม่คุ้ม
-
เคยครับ สมัยก่อน ทำงานหนัก เที่ยวหนัก เป็นเรื่องอยู่หลายครั้ง :'( :'(
โชคดียังมีชีวิตอยู่ได้จนถึงวันนี้
-
ผมโชคดีที่ไม่เคยเผลอหลับในเลยถ้าได้นออ 7+ ชม และขับแบบที่ตัวเองถนัด มันจะมีสติตลอดทาง แต่ถ้าเริ่มง่วงมันจะเริ่มขับช้าลง และเว้นระยะห่างจากคันอื่นมากขึ้น ก็เป็นที่รู้ว่าต้องหาอะไรกินหรือแวะข้างทางละคับ
เคยมีแบบนอนน้อยแต่จำเป็นต้องขับรถ จะตอบสนองช้าคล้ายๆคนเมา และสติจะหลุดไปวูบนึง 2-3 วิ อันตรายจริงๆครับ คือรู้ตัวว่ามีอาการแต่มันก็จำเป็นต้องขับ จะพยายามระวังเป็นพิเศษแต่ก็หลุดอยู่ดี
-
ปล.ผมไม่เข้าใจกลุ่มคนที่บอกว่า "ขับช้า ขับตามกฏหมายกำหนด = ง่วง!! จึงขับเร็ว จะได้ไม่ง่วง..." ไม่รู้ไปเอาความคิดนี้มาจากไหน เพราะ ถ้าง่วง ทางแก้คือหยุดพัก ไม่ใช่เพิ่มความเร็ว อันตรายเข้าไปใหญ่ ไม่เข้าใจจริงๆ
มีเยอะครับคนที่มีชุดความคิดแบบนี้ อ้างว่าความตื่นเต้นจะช่วยให้มีสติมากขึ้น ไปต่อได้
มันถึงมีคนเล่นม้า กินน้ำท่อม เพิ่มความคึก
แต่ลืมไปว่า สิ่งที่หายไปคือ ความพร้อมในการตัดสินใจแบบมีสติ เฮ้อ เป็นอะไรไปเองก้อว่าไปอย่าง ไปพาคนไม่รู้อิโหน่ อิเหน่ซวยไปด้วยนี่สิ น่ารังเกียจครับ