Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: หมับเข้าให้ ที่ กรกฎาคม 12, 2022, 13:30:17
-
ตอนนี้รู้สึกพลาดที่ไม่ได้จองพวก ORA EP ZS เพราะค่าน้ำมันเดือนละหมื่น+
จนตอนนี้ปิดจองไปกันหมดแล้ว
กระแสต้นทุนแบตเตอรี่ราคาขึ้นก็มาแรงมาก
ตัวต่อไปที่พอมีหวังคือ BYD ที่กำลังจะเปิดตัว
อยากทราบว่าพี่ ๆ คิดว่าควรสนใจ BYD จริงจังไปเลย
หรือว่ารอดูไปก่อนครับ ทั้งในแง่เทคโนโลยีกับตัวเลือกที่มากขึ้นในอนาคต
-
ตัวรถผมไม่มีปัญหา
แต่ตอนนี้ผมระแวงการไฟฟ้านี้แหละว่าจะขึ้นไปขนาดไหน
ถ้าขึ้นจนแพงกว่าน้ำมันขึ้นมา ทะอะไรไม่ได้เลย จอดยาวๆ ขายก็ไม่มีราคา
ยังจำสมัยเจ็บปวดกับ NGV ได้ด้วยสิ
-
รถถ้าใช้แล้วชัวร์ ตอนนี้ผมคงมอง tesla/bz4x ครับ
byd / ora / zs ev ยังกล้าๆกลัวๆ คงต้องรอ Feedback สักพัก
คงจะหา Hybrid มาใช้ก่อน
ค่าไฟ คิดว่าคงขึ้นอีก แต่ไม่น่าจะแพงขนาด เกินค่าน้ำมัน
-
หลายคนจะไม่เห็นด้วยกับผมแต่ว่าในอนาคตเราจะได้เห็นกฎหมายห้ามเปลี่ยนรถบ่อยกว่า 10 ปีต่อ 1 ครั้ง สำหรับบางประเทศ
เหตุผลนั้นก็คือตอนนี้รถ EV จริงจังยังอายุไม่ถึง 15 ปีเลยครับ การ recycle และทิ้ง battery เก่าจะเป็นอย่างไรเรายังไม่รู้เลยครับ
ที่แน่ๆคือถ้าคุณซื้อรถ EV มาอย่าหวังจะใช้ได้ยาวๆเหมือนรถน้ำมันสมัยนี้ครับ และการทิ้งแบตเก่าสุ่มส้ามเพราะซื้อรถใหม่มันไม่ได้ดีต่อสิ่งแวดล้อมเลยครับ
ดู report ของ Volvo ที่ทำกับ XC40 ได้ครับ ต้องขับรถ EV เกิน 7 ปีถึงจะเรียกได้ว่าคุณ pollute น้อยกว่ารถน้ำมัน
คำตอบของผมคือถ้าคุณอยากได้ EV เพราะคิดว่ามันดีต่อสิ่งแวดล้อม มันไม่จริงเท่าใช้รถเก่าไปเรื่อยๆครับ และถ้าคุณอยากได้รถ EV เพราะคุณอยากได้เฉยๆ ก็ต้องเตรียมซื้อรถใหม่ภายใน 5 ปีครับ ้เพราะรถ EV ใหม่ในวันข้างหน้า ราคาถูกและดีกว่ารถ EV ในวันนี้หลายเท่าครับ
-
เมื่อมันวิ่งได้ 500 กิโลแบบใช้งานจริงได้ครับ
-
เมื่อจองทัน และมีรถส่งมอบได้ครับ
-
55555 สำหรับผมตอนที่จะเข้าคือตอนที่ไม่มีน้ำมันขายตามปั้มครับ
-
ผมรอTesla Model3 Model Y Long Range อย่างเดียวเลย
-
สำหรับในไทย ผมว่ายังจะเป็นไฮบริดไปอีกหลายปีอ่ะ
-
ตอนนี้ผมรอ TESLA MODEL Y LONG / PERFORMANCE ที่เข้าไทย อย่างเป็นทางการ อยู่ครับ
-
ผมจะสนใจเมื่อ รถวิ่งได้ระยะมากกว่า 500 ก.ม. และระยะเวลาในการชาร์จไม่เกิน 20 นาที
และตัวรถต้องมีความเสถียรพอสมควรครับ
-
ผมจะรอสัก 10 ปี น่าจะยังไม่สายไป ระหว่างนี้อาจใช้แค่รถ hybird หรือขยับไปแค่ Plug-in hybrid แค่นั้นพอ
จุดที่ทำให้ไม่กล้าใช้รถไฟฟ้าคือ
1.ความสเถียร ความทนทาน
2.กลัวการลัดวรจรต่างๆ ทั้งระหว่างการใช้งาน ระหว่างการชาร์จไฟ
3.ความปลอดภัย เมื่อเกิดอุบัติเหตุ เพราะประเทศไทยเรื่องอุบัติเหตุเป็นอันดับต้นๆ เสี่ยงมาดกว่าประเทศอิ่นๆ ถ้าชนแล้วกลัวการระเบิดซ้ำจากแบต
4.ค่าบำรุงรักษา คิดว่ายังไงก็ไม่ถูก และอาจจะหาช่างที่ซ่อมเป็นยากไปกว่ารถสันดาบภายในปกติอีก
5.จุดชาร์จ+ระยะเวลาในการชาร์จไฟ ปัจจุบันเทียบกับการเติมน้ำมันแล้วเราใช้เวลาน้อยกว่าเยอะ เอาไว้ให้มีที่ชาร์จทุกหน้าร้านค้า หรือริมถนนค่อยใช้ครับ
-
วงการรถไฟฟ้าสำหรับผมตอนนี้
ก็เหมือนวงการเบเบ้อ่ะครับ
ขอดูอย่างเดียวไปก่อนล่ะกัน
-
ซื้อรถไฟฟ้า .. คันล่ะ 1ล้าน
ดาวน์ 3แสน ผ่อนเดือนละ 11000บาท (ประมาณ) 60 เดือน (5ปี)
= คุณต้องผ่อนรถเดือนละ 1หมื่น ไปตลอด 5 ปี (เสียเงินเดือนละหมื่นอยู่ดี แถมเสียเงินก้อนไปดาวน์ด้วย)
-----
ขับรถน้ำมันคันเดิม เติมน้ำมันเดือนละหมื่นในเดือนนี้ ...
=แต่ราคาน้ำมันไม่มีทางแพงไปตลอด 5 ปี มันมีทั้งแพงและถูกมีขึ้นมีลง (ไม่ต้องเสียเงินก้อนไปดาวน์ใหม่และมีแนวโน้มน้ำมันจะถูกลงในอนาคต)
-
ผมว่าไม่ควรเร็วๆนี้อะครับ เทคโนโลยีแบตมันไปเร็วเกินไป ดูสเป็ครถev ที่ออกข่วงปี18-19 ซิครับ ผ่านมาแค่สามสี่ปีเองสเป็คแบตพวกนั้นเทียบกับตอนนี้คือ่อนด๋อยมาก และรุ่นปัจจุบันอีกสามสี่ปีก็จะด๋อยอีกเช่นกัน เทคโนโลยีแบตมันยังไม่นิ่งเลย ไม่เหมือนสันดาปที่เวลาแค่สามสี่ปีมันนังไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่
แต่! ถ้าคุณรับได้กับอีกสามสี่ปี ตอนคุณขับev วิ่งช้าๆเพื่อเค้นระยะทางให้ถึงตู้ชาร์จ แล้วมีevรุ่นใหม่อีกคันวิ่งฉิวแซงคุณไปแบบชิลๆบนเส้นทางเดียวกัน ฟิลเหมือนวันนี้ของลดราคา แต่อาทิตย์หน้ามี 7.7 แล้วลดถูกกว่า รับได้ก็ซื้อได้
ส่วนตัวผมยังไม่ซื้ออะครับ ผมยังทำใจไม่ได้ ::)
-
เมื่อ bz3x มาขายครับ รถจีนไม่ไว้ใจจริงๆ
-
การเงินพร้อมขนาดไหน งบซื้อรถ 1 ล้านผ่านไป 10 ปี ทำใจทิ้งรถกับราคาขายต่อในราคานี้เลยหรือไม่
พร้อมในการชาร์จไฟบ้านขนาดไหน โดยไม่หวังไปพึ่งที่ชาร์จข้างนอก
มีรถอีกคันที่ไม่ใช่ EV ใช้สำรองอยู่แล้ว
พร้อม 3 ข้อนี้ผมว่าซื้อได้นะ รุ่นไหนก็น่าสนใจทั้งนั้น
-
ถ้ามีทางเลือกที่ชอบ เป็นผม เข้าเลยครับ
ประหยัดก่อน ทั้งน้ำมันและซ่อมบำรุง แบตกว่าจะหมดประกันราคาก็ลง เทคโนโลยีเปลี่ยนแล้วล่ะ :-X
-
Bydเปิดจองเมื่อไหร่ถ้าราคารับได้จองทันทีเลยครับ...byd. เป็นรถที่น่าเชื่อถือมากครับ
-
ผมจะใช้รถน้ำมันจนกว่าเขาจะเลิกผลิตครับ แล้วถึงจะเข้าไฟฟ้า
-
ความจุแบต และปั๊มเพียงพอเมื่อไหร่สำหรับการเดินทางระดับ 3-400กม ต่อเนื่องได้ กับรอคิวชาร์ทใช้เวลาพอๆกับน้ำมัน ณ ปัจจุบัน ก้อจะใช้ครับ
-
แบต1000โลเป็นอย่างน้อยครับ
-
เบื้องต้น ต้องมีที่จอดรถพร้อมหัวชาร์จส่วนตัวก่อน
-
แบต1000โลเป็นอย่างน้อยครับ
เห็นด้วยเพราะผมขับรถเชียงใหม่-พัทยารวดเดียวบ่อยๆ
-
แบต1000โลเป็นอย่างน้อยครับ
รออีก 10 ปี น่าจะได้ครับ
-
ถ้ารู้สึกว่าพลาด ก็คงเข้าได้แล้วล่ะครับ
ความพร้อมของแต่ละคนไม่เหมือนกันด้วย ถ้าสะดวกเรื่องการชาตไฟ ก็เข้าได้เลย
-
ที่ช่วงนี้รถไฟฟ้ากระแสมาแรงเพราะราคาน้ำมันโลกล้วนๆ ครับ ดู mg zs กับ mg ep ขายมาสักพักแล้วไม่ค่อยมีใครพูดถึงเท่าไหร่ จนน้ำมันลิตรละ 45 บาท นี่ละครับ สมมติถ้าอนาคตราคาน้ำมันเบนซิน gas95 ลงมาเหลือสัก 35 ขับรถไฮบริดก็ตกแค่กิโลละ 1.5 บาท ส่วนต่างแค่นี้ไม่จำเป็นต้องใช้รถไฟฟ้าเลยครับ แต่สำหรับรถ ice ก็ยังถือว่ากินอยู่ คนส่วนใหญ่คงหันมาซื้อรถไฮบริดกันมากขึ้น เพราะสะดวกต่อการใช้งาน ไม่ต้องมาเสียเวลาหาที่เสียบปลั๊กเวลาแบตเหลือน้อย ส่วนราคาแบตเตอรี่ตอนนี้ตลาดโลกมันทยอยลงมาหมดทุกอย่างแล้วนะครับ ทั้งโลหะ แร่ น้ำมัน ที่ Gwm บวกราคา goodcat Gt ขึ้นไปสูงขนาดนั้นอาจจะเพราะนำเข้ามาขายแค่ 500 คันแล้วไม่นำเข้ามาอีกเลย ประมาณว่ารุ่นลิมิเต็ดสำหรับคนอยากสะสม มากกว่าจะเป็นเหตุผลที่ต้องขึ้นราคาเพราะวัตถุดิบราคาแพงขึ้น ถ้าวัตถุดิบแพงขึ้นจริง นิสสัน คิ๊ก คงไม่ทำราคาได้ต่ำลง หรือ วอลโว่คงไม่สามารถเพิ่มขนาดแบตเตอรี่ให้รุ่น phev ใหญ่ขึ้นในราคาเท่าเดิมครับ อันนี้วิเคราะห์จากหลายๆ มุมนะครับ ยกตัวอย่างเศษเหล็กเดือนเมษา อยู่โลละ 18 บาท ตอนนี้เหลือ โลละ 9 บาท ลงมา 50% แล้ว มองไปข้างหน้า ถ้ายังคงขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อในอนาคต แปลว่าราคาน้ำมันยังลงได้อีก กระแสรถไฟฟ้าจะค่อยๆ จางลงไปเองครับ รถไฟฟ้าเหมาะสำหรับคนวิ่ง 3พันกิโลต่อเดือนขึ้นไป ถึงจะเอาไปถัวกับค่าผ่อนรถมันถึงจะดูคุ้มค่า แต่ถ้าเปลี่ยนเพราะตามกระแส ยังไงเราก็ต้องมีภาระผ่อนรถต่อเดือนมากกว่าค่าน้ำมันแน่นอนครับ
-
จะซื้อเมื่อ EV สะดวกกว่าน้ำมันครับ 8)
-
คิดง่ายๆ..
ถ้าซื้อแล้วเป็นภาระกับชีวิตมากกว่ารถน้ำมัน = ไม่ซื้อครับ
อย่ามองแค่ประหยัดค่าน้ำมันอย่างเดียว
-
เป็นผมรอไปก่อนครับ ถ้าซื้อก็รอของ Toyota ผลิตในไทย ไม่ก็ Tesla Model Y
-
ถ้าคุณพร้อมก็ไม่ต้องรอครับ
แค่ไม่ควรเป็นรถคันเดียวของที่บ้านเท่านั้นเองครับ
มัวแต่คิด เดี๋ยวพอเทคโนโลยีมันไปเรื่อยๆ พวกคุณก็คิดกันต่อไปเรื่อยๆ
หาจุดติกันไปเรื่อยๆ รอมันได้เท่านั้นเท่านี้ก่อน จะเอาแบตเยอะๆชาร์จไวๆ
การชา่ร์จ DC มันไม่ได้ดีเสมอไป แบตใหญ่ๆชาร์จ AC ที่บ้านก็อ้วกอยู่นะครับ
ขนาดแมวแบตราวๆ 60kwh ใช้เครื่องชาร์จที่ปล่อย 7kwh ตาม max
ของตัวออนบอร์ด ยังกินเวลากันเกือบ 9 ชม.เลย
มองปัจจัยตัวเองดีๆก็พอครับ ส่วนตัวยิ่งถ้าขับในเมืองนะมันจะประหยัดมาก
แต่อย่างกรณีบ้านผม ขับทางไกล ระยะแบตมันหายเยอะเป็นปรกติเพราะมัน
ขาดรีเจน
ตอนแรกผมก็กังวล ใช้ไปแป้ปๆเออ มันก็ไม่ได้วุ่นวายอะไรขนาดนั้นนี่หว่า ขอเพียง
ศึกษาจุดชาร์จไว้บ้างเผื่อฉุกเฉิน
ถ้าคุณไม่ได้ออก ตจว.เป็นประจำ ตัดปัจจัยเรื่องวิ่งเยอะวิ่งน้อยไปเลย แต่ระยะ
แบตก็ต้องพอประมาณนะ อย่างมินิ SE ก็น้อยไปหน่อย
มันมีความดีงามของมันอยู่ครับ แต่คุณต้องลบอคติแล้วเปิดใจนิดนึง
ตอนแรกผมเองก็ต่อต้านรถไฟฟ้าพอประมาณ เพราะลองใช้ phev แล้วก็ไม่ค่อยตอบโจทย์
มากนักแต่จับพลัดจับผลูอีท่าไหร่ไม่รู้ ภรรยาอยากได้แมวดีก็เลยลองกันสักตั้ง จนตอนนี้แทบ
อยากจะขาย xc60 ไปออก model y อีกสักคัน
คนทีได้ลองใช้จริงส่วนใหญ่จะชอบนะครับ สำหรับรถไฟฟ้า
แต่ส่วนตัวผมยังชอบเสียงคำรามของเครื่องยนต์อยู่เลยยังขับ mini เป็นคันหลักต่อไป
-
ถ้าขับเยอะ เดือนนึงเกิน 3000 โล ออกได้เลยครับ แต่ให้ทำใจไว้ว่าราคาน่าจะตกเยอะ เพราะว่า ให้ตีสภาพเหมือน สินค้าเทคน่ะครับ มาไวไปไว เทคโนโลยี 4-5 ปีที่แล้วเป็นไง วันนี้เป็นไง ทุกวันนี้ วิ่งกัน 300-500 สำหรับรถต่ำ 1.5 ล้าน อีก 4-5 ปี ผมว่าระยะวิ่ง 300-500 จะอยู่ใน range ราคาไม่เกิน 1.2M ในส่วนของเจ้าตลาด และระยะวิ่ง 600-800 จะอยู่ในช่วง ต่ำกว่า 1.8-2.5M เพราะอัตราการบริโภคพลังงานของมอเตอร์จะดีขึ้น ประกอบกับ เทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่จะพัฒนาขึ้น ผมว่ารถจีนที่ระยะวิ่ง 300-500 NEDC จะราคาตกหนักมากเพราะเจอ เทคใหม่มาตีครับ ส่วนตัวผมกะว่าตอนนั้นค่อยออกครับ ตอนนี้ใช้ 330E เติม 95 ตกโลละ 1.8-2.0 บาทอยู่ ยังสบายๆอยู่ครับ ถ้าน้ำมันลงอีกคงเหลือ 1.5 ที่คิดว่ารอหน่อยเพราะผมวิ่งออกนอกเส้นทาง นอกแผนบ่อย มัน unpredictable ไม่รวมหัวชาร์จเสียในเส้นทางอีกที่เคยเจอยังวุ่นวายอยู่พอสมควรสำหรับเส้นทางที่ผมใช้
-
กระทู้รถไฟฟ้า ถามแบบเดิม ก็มีคนตอบแบบเดิม ไม่เบื่อหรอครับ
ปัจจัยการซื้อ อยู่ที่ตัวเองล้วนๆ ถ้าซื้อได้ก็มีบุญไป เพราะมันขับดีกว่ารถน้ำมัน
ถ้าซื้อไม่ได้ก็ใช้รถน้ำมันต่อ เพราะมันก็ไม่เหมาะกับคนเดินทางไกลบ่อยๆ คนมีรถคันเดียว คนที่ไม่มีที่ชาร์จที่บ้าน จริงๆ ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนเรื่องพวกนี้ได้เร็วๆนี้แน่นอน
-
จริงๆรถไฟฟ้าเหมาะกับคนที่ใช้รถที่ต้องวิ่งเยอะๆ ประมาณวันละ 100 - 200 กม. หรือวิ่งในเมืองเยอะๆ จึงจะคุ้มค่า ดังนั้นมันจึงเหมาะเอามาทำ TAXI มากๆ
แต่ถ้าวิ่งในเมืองแต่ระยะทางไม่มาก อันนี้ความคุ้มค่าก็น้อยลง
ส่วนตัวผมก็อยากมีรถไฟฟ้าใช้วิ่งไปกลับที่ทำงานเป็นประจำทุกวันเหมือนกัน (แต่ไปเที่ยวต่างจังหวัดไกลๆใช้ดีเซลดีกว่า) แต่ตอนนี้ใช้ PHEV ก็ OK ดีครับ วันๆใช้น้ำมันน้อยมาก กลับมาบ้านก็ชาร์จทุกวันอยู่แล้ว
อยากซื้อไฟฟ้าให้แม่บ้านใช้ก็วิ่งน้อยไม่คุ้มค่าเสื่อมแบตอีก ก็คงต้องไปรถน้ำมันเหมือนเดิม ยกเว้นว่ารถน้ำมันจะถูกแบนไม่ให้เข้าเมือง
สรุปก็รอดูหน่วยกล้าตายไปก่อน ไม่ใช่ไม่พร้อม แต่ผมเห็นว่ายังไม่คุ้มค่าสำหรับผมครับ
-
สำหรับผมถ้ามั่นใจได้ว่าไม่ได้มีปัญหา ถ้าไม่มีรถใช้ มีรถสำรอง รอเคลม รออะไหล่ ก็ซื้อได้เลย แต่ถ้านอกเหนือจากนั้น ก็คงรออีกพักนึงครับ
-
แล้วแต่ความพร้อมของแต่ละท่านครับ
อย่างผมที่บ้านมีรถน้ำมัน3คันแล้ว ค่าน้ำมันต่ออาทิตย์ก็หลายพันอยู่
กำลังสนใจNETA V ราคาไม่แรงมาก ไปลองขับมาก็แล้วก็โอเคครับ
-
เมื่อมีรุ่นที่อยากได้ครับ
ที่ขายๆ อยู่ในบ้านเรา ส่วนตัวยังไม่มีคันไหนโดนใจ
คันที่ชอบอย่าง ioniq 5, EV6, Ariya ก็ยังไม่เข้ามา เข้ามาก็ไม่รู้ราคาจะโดดไปขนาดไหน