Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Slow But Sure ที่ กรกฎาคม 20, 2022, 10:51:22
-
ส่วนตัวไม่เคยใช่มือถือที่มี Wireless Charger เลย ก็เลยคิดว่าไม่จำเป็น
แต่ถ้ามีก็ควรรองรับ Android auto กับ CarPlay แบบ Wireless ด้วย
-
รถผมมีแต่ไม่เคยใช้เลยครับ เพราะมันชาร์จช้ามากและเครื่องก็ร้อนสุดๆ
ทุกวันนี้ผมจะใช้ชาร์จแบบไร้สายเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้นครับ
-
ไม่มีผลเลยครับ
เพราะมีเหมือนไม่มี ใข้ไม่ถึง 5 ครั้งครับ
พก powerbank แทน fast charge ไวกว่าเยอะ
แต่ถ้ากำลังไฟแบบ tesla อันนี้เวิร์คครับวางแล้วขึ้น wireless fast charging ใน samsung
-
ไม่มีผลเพราะไม่จำเป็นต้องมีWCชาร์ตรถเลย สิ่งที่ต้องแถมมาให้กับรถตอนซื้อคือWallBox
ชาร์ตเร็ว+รวมค่าช่างติดตั้งแล้ว จะกี่วัตก็ว่าไป
-
ไม่มีผลเลยครับ
-
ส่วนตัวมองว่าจำเป็นในบางกรณี เช่นรถที่มี Wireless Apple CarPlay หรือ Wireless Android Auto ที่ไม่ต้องเสียบสายในการเชื่อมต่อแล้ว ควรมี Wireless Charger มาให้ เพราะมันสะดวกดี ขึ้นรถปุ๊บ Wireless CarPlay เชื่อมต่อ เอาโทรศัพท์ไปวางบน Wireless Charger ได้เลย
แต่ขอ Wireless Charger ที่มันชาร์จใช้งานได้จริงๆจังหน่อยก็จะดีมาก ถ้าแถมมาแบบ 330e ที่ชาร์จไฟไม่ค่อยเข้า แถมทำโทรศัพท์เครื่องร้อนจน Heat แบบนี้ไม่ต้องมีมาให้จะดีกว่า ทุกวันนี้เอาไว้วางของอย่างอื่นไปแล้ว เพราะชาร์จโทรศัพท์ยังไงก็ไม่เคยเต็มแท่นชาร์จตัดไฟก่อนเพราะเครื่องร้อนเกินไป
-
โคดจะไม่จำเป็น ตอนนี้ผมมีรถอยู่2 คันในบ้านที่มีออปชั่นนี้ ปิดไว้ตลอดครับ เคยวางแล้วโอ้โห เครื่องร้อน
เปล่าๆ ชาจ30 นาที ขึ้นมาไม่กี่% เสียบสายดีกว่าครับ แค่นี้ชีวิตก้ง่ายมากละครับ ไม่ต้องง่ายไปซะทุกอย่างก้
ได้ 5555
-
ใจจริงก็อยากให้มี แต่ไม่มีผลถึงกลับต้องไม่ซื้อรถรุ่นนั้นครับ
-
ไม่มีผลเลยครับ เอาไปทำที่วางแก้ว ที่เก็บของ ผมให้คะแนนนำเลย
wireless chargeที่บ้านผมยังวางกองทิ้งอยู่หลายตัวเลยครับ เลิกใช้ไปหลายปีแล้ว ชาจน์ช้า หยิบมือถือมาเล่นก็เลิกชาจน์
น่าจะเปลี่ยนเป็น touch charge มากกว่า 555 ความหมายจะได้ตรงๆไปเลย
-
ถ้าไม่มีช่องลมเป่ามายังแท่นวาง Wireless Charger
และรถรุ่นนั้น Apple CarPlay ยังต้องเสียบสาย
สำหรับผมไม่จำเป็นครับ
เพราะการชาร์จไร้สายปกติ มันมีพลังงานสูญเสียเยอะมากครับ
ร้อน ไฟเข้าน้อย ต้องใช้เวลาในการชาร์จนาน
ขนาดวางทิ้งไว้ในห้องแอร์แบบลมแอร์ตกมาใส่โต้งๆ ตัวมือถือยังอุ่นและรอมากกว่าเสียบสายเป็น ชม.
ยิ่งตำแหน่งแท่นวางรถแต่ละรุ่นแล้ว อุปสรรคในการทำความเย็นและระบายความร้อนทั้งนั้นครับ
ถ้าใช้ในรถนี่ต้องเดินทางไกลหรืออยู่ในรถนานประมาณนึงเลยถึงจะได้ไฟพอให้ใช้ต่อได้
ขับสั้นๆ เผลอๆ เปิดแอปมือถือค้างไว้ เครื่องร้อนแบตลดอีก เอามาใช้ต่อเครื่องช้าลงเพราะร้อนอีก
เบื้องต้นขอเป็น Wireless CarPlay มาให้ทุกหน้าจอเครื่องเสียงก่อนครับ
แล้วถ้าทำให้มีข่องลมมาเป่าแท่นชาร์จได้ หรือออกแบบให้ระบายความร้อนได้ ถึงจะดีครับ
-
ไม่มีผลใด ๆ ต่อการตัดสินใจซื้อรถเลยครับ
-
มันเคยเป็น option ที่ผมเคยใส่ไว้ใน list ว่าอยากได้ อารมณ์เดียวกับ sunroof paddleshift
แต่พอมีแล้ว ผมกลับไม่ได้ค่อยได้ใช้ 55
-
ไม่สนใจ function นี้เลย
-
มีผลครับ
ถ้ามีมาให้ จะทำให้ความอยากซื้อรุ่นนั้นลดลงไปเลย
-
ตอนซื้อ Cross ผมขอให้เซลล์แถมมาให้เพราะคิดว่ามีแล้วน่าจะใช้งานสะดวก แต่พอเอาเข้าจริง ใช้ครั้งเดียวเลิก
ชาร์ตช้า + เครื่องร้อนมากกกก และตอนนี้เหรียญหล่นเข้าไปในซอกหลายสิบบาทแล้วครับ
ทุกวันนี้ใช้ชาร์ตจากช่องเสียบ usb เอาครับ เร็วกว่าเยอะมากกกกกกกกกกก
-
ไม่เลย คิดว่าไม่ต้องดีกว่าเสียด้วยซ้ำ ขอช่องจุดบุหรี่พอ เพราะเราชอบแบบมีสายมากกว่า
ได้เลือกสายที่สวยถูกใจ ชาร์จดีๆ ความยาวตามต้องการ แล้วก็หัวชาร์จสยๆ แบรนด์ดีๆ ถูกใจกว่าเย๊อะ
-
คนซื้อส่วนใหญ่รู้หรือยังว่าโทรศัพท์เขาใช้ wireless charger ได้5555
แต่คันที่ควรจะมีนั่นคือรถที่ต่อ wireless carplay ได้ก็ควรจะทำให้เค้าใช้มันจะได้ wireless จริงๆไม่ไร้สายแล้วมาต่อสายชาร์จ
-
ควรจะต้องมีครับ เพราะเราก้าวเข้าสู่ยุคไร้สายอย่างเต็มตัวแล้ว เทคโนโลยีก็ไม่ได้นับว่าของใหม่อะไร ของมันต้องมีครับ
-
เวลารถติดหนักๆ หยิบขึ้นมาไถเฟสบุ๊ค อ่าน hlm
พอรถเคลื่อนตัว ก็เอากลับไปวาง
อย่าง s22 ulta ที่ผมใช้อยู่ มันไม่ทำให้ %แบตเตอรี่เพิ่มเลยครับ
พวกมือถือ 5000mAh ใช้ type c to type c จะช่วยได้เยอะกว่าครับ
-
ไม่มีผลเลยครับ ชาร์จช้ามาก ยิ่งถ้าไอโฟน รุ่นพวกpro maxนี่ ชั่วโมงนึงขึ้นไม่กี่เปอร์เซ็นต์เอง
-
ใน camry ตัวใหม่ ไม่ work อย่างแรง iphone ชาร์ทไม่เข้าเลย ช่างบอกว่าเพราะกล้องหลังมันนูน มันเลยไม่แนนสนิทกับแท่นชาร์ท ตอนแรงผมก็ไม่เชื่อ แต่พอลองเอา samsung note 8 ที่ด้านหลังเรียบว่างไว้กลับชาร์ทได้จริงๆ
ดังนั้นถ้าใช้ iphone รุ่นที่กล้องหลังนูนๆนี่ถือจบ ชาร์ทไม่ได้
-
ไม่จำเป็นเลยครับ ชาร์จช้ามากกกกครับ
Power Bank ยี่ห้อดีๆ ดีกว่าเยอะครับ
-
ไม่มีผลเลย เพราะ
1. Wireless Charging ก็ต้องวางๆ ไว้ เวลาชาร์จ(คนข้างๆ) ก็เล่นโทรศัพท์ไปพร้อมกับการชาร์จไม่ได้
2. Wireless Charging ชาร์จค่อนข้างช้า เดี๋ยวนี้ มัน Fast Charge, Quick Charge, Super Tornado Charge หมดแล้ว
3. Wireless Charging น้อยรุ่นที่จะรองรับ Apple CarPlay , Android Auto เพราะส่วนมาก คนก็ใช้งาน Apple CarPlay , Android Auto กันเกือบทั้งนั้นแล้วตอนนี้
4. Wireless Charging ซื้อเพิ่มเติมได้ภายหลัง แบบ build-in จากโรงงาน หรือ ติดแยก แบบเป็นที่วางโทรศัพท์ก็ยังได้ ราคาถูกกว่า เอาออฟชั่น แปลงเป็นลดราคา หรือ เอาไปใส่ออฟชั่นอื่น ดีกว่าเยอะ
-
ส่วนตัวเป็น option ที่ optional ครับ ไม่มีผลใด ๆ (ตัดออกมาเป็นส่วนลดยังดีเสียกว่า ;D)
painpoint wireless charger คือ เครื่องร้อนเกิดการสูญเสียพลังงานเยอะส่งผลให้ชาร์จช้ากว่าจะกระดิกขึ้นแต่ละ%ต่อให้fast chargeก็ยังนาน
-
เฉยๆ กับ Wireless Charge มีเครื่องชาร์จที่บ้านก็ไม่ชอบใช้ ต้องวางให้ตรง วางเยื้องๆก็ชาร์จช้าอีก
และเหมือนหลายๆ คหบอก ชอบเสียบสายมากกว่า สะดวกกว่าเวลาหยิบมาทำนู้นทำนี้(ทั้งๆที่ไม่ควรทำตอนขับรถ)
-
ไม่ต้องมีเลยก็ได้ function นี้ ยิ่งถนนบ้านเรา ไม่ได้เรียบอะไร วิ่งทีกระเด้งกระดอน ก็ชาตๆหลุดๆ แบตเสื่อมซะอีก
-
ไม่มีผลใดๆในการตัดสินใจเลือกรถคันนั้นเลยครับ
-
ตอนที่ยังไม่เคยใช้ก็คิดว่าถ้ามีก็น่าจะดี
แต่พอมีให้ใช้ก็กลับไม่ค่อยได้ใช้ครับ
-
ถึงมี ก็ไม่ได้ใช้งาน และไม่จำเป็นขนาดนั้น
ใช้Power Bank ยี่ห้อดีๆดีกว่าเยอะครับ
https://youtu.be/6vcIxoAaqSA
-
ซื้อมาแล้วแทบจะโยนทิ้งครับ loss มันเยอะ ช้าก็ช้า
-
ไม่จำเป็นครับ รถผมมี ก็ปิดตลอดตั้งแต่วันที่รับรถออกมาจากโชว์รูม
ถ้าจะให้ดี ขอ USB-C Fast Charge ดีกว่าครับ ทุกวันนี้รถผมมี Wireless Apple CarPlay แต่เวลาชาร์จก็เสียบสายเอาครับ ซึ่งตอนนี้ที่ใช้ก็คือไปหาที่ชาร์จ USB-C แบบ PD มาเสียบช่อง Power Outlet เอา เพราะตัวรถมีแค่ USB-A ที่จ่ายไฟแค่ 2.1 A เองครับ
-
มือถือยุคใหม่ๆความจุแบตเตอรี่ค่อนข้างสูง แทบไม่ได้ชาร์จในรถเลยครับ นอกจากท่องเที่ยวต่างจังหวัด ต้องใช้มือถือแชร์ไวไฟ เสียบสายชาร์จไว้
-
ซื้อมาไม่ได้ใช้ซักคันเลยครับ
เครื่องร้อน map เอ๋อ ชาร์จช้า สุดท้ายเสียบสายเหมือนเดิม
ถ้าเลือกได้ว่าไม่เอาแล้วลดราคาก็จะเลือกครับ
-
ผมว่าไม่จำเป็นครับ ปกติจะเดินทางต้องชาร์ตโทรศัพท์ให้เต็มอยู่แล้ว ปกติก็ชาร์ตกลางคืน
ถ้าเดินทางมีตัวสำรองไฟไปก็สะดวกดี แต่มี Wireless Charger ก็ดีกว่าไม่มี
ส่วนตัวไม่มีผลต่อการตัดสินใจครับ ผมสนใจเรื่องตัวช่วยความปลอดภัยมากกว่า
-
มือถือ ตอนนี้ ยังไม่รองรับ wireless charge ก็เลยไม่สนใจ
อีกอย่าง ปัจจุบัน อย่างน้อยๆ ผมเสียบเครื่องมือสื่อสาร 3 เครื่อง
- Ipad
- มือถือส่วนตัว
- มือถือดู GPS
ดังนั้น ยังไง ก็ต้องใช้สายอยู่ละ ยิ่งเครื่องดู GPS วิ่งทางไกล ยาวๆ ใช้ wireless ไม่ได้อยู่แล้ว
-
wireless ทำเครื่องร้อนเร็วมากสรุปคือไม่มีผล
-
ถ้าใช้ไอโฟน xiaomi wireless charger ดีมาก มากถึงมากที่สุด
-
ไร้มากๆครับ
-
ชอบปลั๊กไฟ 220 โวลต์แบบในรถ everest มากกว่าครับ ใช้ xiaomi 11T เอาอแดปเตอร์บ้านที่มาในกล่องขนาด 67w มาชาร์จแป๊บเดียวแบตเต็ม 100%
-
มี ไม่เคยใช้เลย ไม่จำเป็น
ช้าไม่มีประโยชน์ ไม่รู้มันไม่ลงร่องหรือชารจเข้าแต่ได้น้อย มีแต่ความร้อน
ขอช่องusbC Pd มายังจะดีซะกว่า ขอแรงๆ เสียบห้านาทีขึ้นมาเป็นบั้งๆ แบบfast charge
-
ใช้ประจำในบ้านครับ ชอบเพราะก่อนนอนขี้เกียจเสียบสาย แค่วางเลย ข้อเสียหลักๆ เลยคือชาร์จช้ามาก แล้วเครื่องร้อนมาก (ต้องชาร์จในห้องแอร์ แบตถึงจะขึ้น) แล้วชาร์จทีต้องวางก่อนนอน ตื่นมาเต็มพอดี แต่ถ้าในรถผมไม่สนใจครับ ไม่ได้ขับรถนานพอที่แบตจะขึ้นแบบพอใช้งานได้ เสียบสายเอาง่ายกว่า เร็ว ไม่ร้อน
สำหรับผมมีก็ดี ไม่มีก็ไม่มีปัญหาครับ ไม่มายด์เลยสำหรับ Wireless Charger ในรถ
-
มีก็ดี ขอแบบมีฟังก์ชั่นเปิด-ปิดด้วย
-
เมื่อก่อนไม่เคยสนใจ พอเปลี่ยนมาใช้ iphone ก็คือใช้บ่อยมากกกกกกก เพราะไม่ต้องเสียบสาย ไม่เกะกะ สายชาร์จบางทีลืมหยิบมา คนที่บ้านดึงไปใช้ บางทีสายขาด บางยี่ห้อซื้อมาชาร์จช้า หรือ ไม่ทน ต้องซื้อใหม่อยู่เรื่อย
ผมคงเป็นส่วนน้อยใช่มั๊ยนะ 555 เพราะผมขับรถวันนึง 2-3 ชม อย่างน้อย แบตก็ชาร์จไวพอรับได้สำหรับ wireless charger
ทั้งนี้ไม่ค่อยมีผลต่อการเลือกรถนะครับ ฟิลแบบมีก็ดีนะ
-
แอนดรอยออโต้ ไม่ก็ แอปเปิ้ลคาร์เพลย์ สำคัญกว่าเยอะครับอันนี้ที่ต้องมีมากกว่า
-
ผมเอาไว้ชาร์จกุญแจรถอย่างเดียว โทรศัพท์เสียบสายเอาครับ ทั้งช้าทั้งร้อนทั้งลำบากตอนหยิบจากช่อง
อย่าว่าแต่ชาร์จโทรศัพท์เลยครับ ขนาดวางกุญแจรถให้มันชาร์จ หลายๆครั้งยังชาร์จไม่เข้าเลยครับ
-
ตัวผมตอนยังไม่เคยใช้ มีผลครับ
แต่พอใช้เแล้ว กลับมองว่าไม่มีผล
ผมว่าน่าจะติดหนึ่งในสิบ ออฟชั่นที่ใช้แล้วเฟล
เพราะชาร์จช้า ร้อน หลุดบ่อย กลัวมือถือพัง
คงต้องรอที่ชาร์จเจนใหม่ๆ
-
ไม่มีผลเลยครับ
จริงๆ ผมชอบนะ แต่เทคปัจจุบันยังช้าเกิน ไม่สัมพันธ์กับขนาดแบตที่เราใช้ๆ กันครับ
-
ส่วนตัวมือถือยังไม่รองรับชาร์จไร้สาย เลยเฉยๆ
แต่ถึงรองรับ ผมก็คงใช้สายเสียบนี่แหละ นรถขนาดใช้สายกว่าจะขึ้น 1% ยังนานเลย
และผมจะชาร์จในรถส่วนมากก็ทริปยาวๆเท่านั้น ปกติชาร์จไฟบ้านนี่แหละไวสุดละ 555
-
รถผมมีไม่ได้ใช้เลยครับ แถมช่องมันก็เล็ก โทรศัพท์ยาวๆ นี่วางแล้วล้นชาร์ตไม่ได้แน่นอน
ออปชั่นนี้ตอนแรกผมไม่ต้องการเลย ตอนจองรถ E300 Coupe มันมีให้เลือกออปชั่นนี้ ซึ่งก็ต้องเสียเงินเพิ่ม ผมไม่ได้เลือก
แต่ตอนรถมาเซลแจ้งว่ามันมีติดมาด้วย ถ้าไม่เอาก็ต้องรอรถไปอีก ผมไม่อยากรอรถแล้วเลยต้องเอา ออปชั่นนี้ราคา 15,000 บาท
-
ทำมาให้แค่ 5 W เก่งจริงทำมาให้อย่างต่ำ 25 w นั้นแหละจะคุ้มค่า จุดขายคือ ต้องชาร์ตเร็ว และเครื่องไม่ร้อน แต่ก็ยังไม่มีค่ายไหนทำ
-
ก่อนได้รถที่มีระบบนี้ คอดว่า "ของมันต้องมี"
พอซื้อมาใช้แล้ว "ไม่มีก็ได้"
แทบไม่เคยใช้ครับ มันช้ามาก แบบมากๆๆๆ ชาร์จปกติ 1.30 ชม. วางในรถ 4 ชม. แล้วเลื่อนไปมาหลุดตลอด เลิกครับ ตอนนี้เอาไว้วางลูกอม
แต่ถ้าอนาคตมันสามารถ Fast Charge ได้ ก็น่าสนครับ
-
เรื่องเล็กน้อยมาก เสียบสายชาร์จเอาก็ได้ ปกติหยิบมือถือมาดูช่วงรถติดบ่อยๆ ก็ไม่เหมาะกับ wireless charge อยู่แล้ว
-
ยิ่งมียิ่งไม่อยากได้
-
ไม่มีผล เพราะชาร์จช้า ปกติเอามาติดที่แท่นดู google map
และไม่ชอบใช้ apple carplay ไปออกจอ
ส่นจอกลางเก็บไว้ฟังเพลงดูหนังยามรถติดแทนครับ