Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: a601970 ที่ สิงหาคม 03, 2022, 02:13:03
-
ตัวอย่างเช่นรถไฟฟ้ายี่ห้อหนึ่งแทนที่จะเน้นอัตราเร่ง 0-100 ต่ำกว่า 5 วิ วิ่งได้ 600 กม.
แต่เอาพลังนั้นไปเพิ่มระยะทางแทน อย่างเช่น 0-100 ใช้เวลา 10-12 วิ (เหมือนรถบ้านๆทั่วไป) แต่วิ่งได้ 800 กม. เป็นต้น
ไม่ทราบว่าในความเป็นจริงทำได้มั๊ยครับ
เพราะในชีวิตจริง 0-100 เวลา 10-12 วิ ก็เพียงพอแล้ว เอาพลังนั้นเก็บไว้เป็นระยะทางที่เพิ่มขึ้นดีกว่า
ถ้า 0-100 เวลา 12วิ แต่วิ่งกรุงเทพ-เชียงใหม่ได้ในชาร์จเดียวก็จะดีมาก
รบกวนขอความเห็นเพื่อนสมาชิกด้วยครับ
ขอบคุณครับ :D
-
ความคิดผมนะ ไม่ได้จบวิศวะมานะครับ เดาๆเอา
ระยะทางคือความจุแบตเตอรี่
อัตราเร่งคือมอเตอร์ครับ
มอเตอร์แรงมาวิ่งช้าก็ทำงานน้อยกินแบตน้อยวิ่งได้ไกล(มี1000 ใช้200ก็แรง)
มอเตอร์ไม่แรงมาวิ่งก็กินพลังงานมากกว่ามอเตอร์แรงๆ(มี100 ใช้100ก็ยังไม่ได้200)
-
ผมว่ามันควรจะทำได้เหมือนโหมดการขับขี่ในรถสันดาบนั่นหละครับ เน้นแรงก็กินน้ำมันสุด เน้นประหยัดก็ปรับให้กินน้อยลงพร้อมกับปิดการทำงานบางอุปกรณ์และฟังก์ชันลง และแบบทั่วไปที่ปรับให้สมดุลทั้งความเร็วและการกินน้ำมัน
รถไฟฟ้าก็น่าจะมีแบบนี้มาด้วยเหมือนกัน ต่างแค่ปรับการใช้พลังงานแบตเตอรี่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแทน พร้อมกับปิดหรือลดการใช้ไฟอุปกรณ์ตามโหมดการขับ เน้นประหยัดก็เหลือแบตเยอะ ขับได้ไกลขึ้น เน้นแรงก็กินแบตเร็ว ขับไกลได้น้อยลง แค่นั้นเลย
-
คิดว่าทำได้เหมือนความเห็นข้างบนนะครับ มอเตอร์แรงก็กินไฟเยอะ ลองคิดดูถ้าเอาแบตรถไฟฟ้าที่วิ่งได้ไกล เช่น Tesla long range มาใส่มอเตอร์แบบรถไฟฟ้าธรรมดาที่ไม่ได้กินไฟมากนัก น่าจะวิ่งได้ไกลกว่าเดิมเยอะเลยนะครับ หรือจะใช้มอเตอร์เดิมแล้วจำกัดประสิทธิภาพเอา
ผมว่า key หลักคือใช้พลังงานยังไงให้น้อยที่สุดในความจุเท่าเดิม ก็น่าจะเป็นที่ตัวมอเตอร์แล้วล่ะครับ
-
ผมว่า Neta V เป็นแบบนั้นนะครับ
-
ผมมองว่าเรื่อง range คงต้องไปพัฒนากันในเรื่อง battery, energy management ในตัวรถล่ะครับ
เพราะเรื่องอัตราเร่ง มันเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งต่อให้เร่งแรงๆ จะเปลืองไฟ แต่รถมันก็ recharge ได้อยู่แล้ว
-
จริงๆมันก็หลักการเดียวกับ rc นะครับ
แรงขึ้นอยู่กับมอเตอร์ วิ่งไกล ขึ้นอยู่กับแบต
มอเตอร์แรงจะกำลังเท่าใด ถ้าวิ่งด้วยความเร็วเท่ากัน
กินแบตไม่ต่างกันครับ
แบตลิโพผมมี 4 ก้อนความจุต่างกัน ถ้าวิ่งกับมอเตอร์เดียวกันความเร็วที่ได้ไม่แตกต่างกัน
ถ้าคนละมอเตอร์แบตความจุเท่ากัน วิ่งในสนามก็ได้รอบพอๆกัน เพราะกินไฟแทบไม่ต่างกัน
-
ผมว่า แบตเตอรี่จ่ายไฟฟ้า ให้ มอเตอร์ ทำงาน ยังไงซะ มันก็ใช้ไฟฟ้าไม่มากก็น้อย
ทำต้องอย่างไรให้มันใช้ไฟฟ้า ต่อระยะทางที่วิ่งได้มากที่สุด
สังเกตุได้ว่า รถ BEV บางคัน มอเตอร์หรือแรงม้า ก็ไม่ได้เยอะ แต่วิ่งได้ระยะเท่ากับรถที่แรงม้าเยอะกว่าเท่าตัวเลย
และสังเกตุว่า รถ BEV คันเดียวกัน มอเตอร์เดี่ยว กับ มอเตอร์คู่ ระยะทางวิ่งต่างกันแค่ 10-15% ทั้งที่ความเป็นจริง มันควรจะระยวิ่งลดลง 50% ด้วยซ้ำ เพราะมอเตอร์เพิ่มเป็น 2 ตัว มันต้องกินไฟ 2 เท่า ด้วยซ้ำ
-
ส่วนตัวผมว่าไม่เกี่ยว ผมมองว่าบริษัทรถควรทำ แบตมาเต็มที่ที่รถบรรทุกได้ และใส่มอเตอร์มาให้แรงที่สุดที่ใส่ได้ แล้วไปเพิ่มโหมดการขับขี่ Super ECO / ECO / Normal / Sport แล้วแต่ใครจะขับแบบไหนแทน
เพราะผมยังมองว่าตามหลัก กดเยอะกินไฟ วิ่งเร็วกินไฟ ถ้างั้นก็ไปตั้งให้ผู้ขับหรี่ไฟ หรือปรับความไวคันเร่งเองดีกว่า
-
ทำได้ครับ แต่จุดขายทำให้ไม่ทำกัน
มอเตอร์ แต่ละตัวกินไฟไม่เท่ากัน ถ้าทำให้ต้องเค้นพลังมาก ก็กินไฟเยอะกว่า
แต่ต้องคิดน้ำหนักแบตฯที่ต้องบรรทุกเพิ่มด้วย
-
คิดว่าทำได้แน่นอนครับ ลิมิตกระแสที่จ่าย มอเตอร์ทำงานเบาลง กินพลังงานน้อยลง
แต่อาจประหยัดไม่ได้มากเท่าไร เพราะอัตราเร่งมันใช้เวลาแค่ 10 วิ โดยรวมๆ อาจเพิ่มระยะได้สัก 10-20 โล (คาดเดานะ)
-
มอเตอร์มันมีอยู่จุดๆหนึงที่ไม่สามารถทำได้คือ
วิ่งเลียๆอยู่ 2 พันรอบแล้วจะประหยัดไฟเมื่อเจอแรงฉุด
ทดสอบง่ายๆครับ ลองเอามือไปขวางใบพัดลมก่อนเปิดเบอร์ 1 หลังจากเปิดแล้ว จะได้ยินเสียงกระแสไฟเข้าพัดลมดังครืดๆ คือแอมป์ไหลเข้ามอเตอร์เต็มแล้ว
ส่วนตัว การใช้เกียร์ หรือใช้มอเตอร์ 2 ขนาด ในรถ 1 คัน น่าจะช่วยให้รถวิ่งได้ไกลขึ้นครับ แต่เรื่องแรงระดับ 5 วิ มันติดตัวมากับมอเตอร์อยู่แล้ว
ของมันได้อะ
-
ผมไม่ได้มีความรู้ด้านมอเตอร์เท่าไหร่นัก
แต่เท่าที่เคยฟังเพื่อนที่เค้ารู้มา
เค้าบอกว่า อัตราเร่งไม่ได้กินกระแสไฟต่างกันมากขนาดจะช่วยได้ระยะทางเพิ่มขนาดนั้นครับ
เค้าบอกว่า แบตเตอรี่เห็นผลเรื่องระยะทางชัดเจนสุดครับ
-
ผมก็ไม่มีความรู้เรื่องมอเตอร์ เรื่องไฟฟ้า นะครับ
แต่ผมคิดว่า ข้อเสียของรถไฟฟ้าในปัจจุบันคือ ระยะทางวิ่ง/ชาร์จ
ดังนั้น ถ้าลดอัตราเร่งให้ต่ำลง แล้วมันมีผลให้ระยะทางวิ่งเพิ่มขึ้นได้ชัดเจน เขาทำไปแล้วล่ะครับ
-
ระยะทางขึ้นกับความจุแบตเตอรี่กับเท้าเราเป็นหลักครับ มอเตอร์พันม้ากับสองร้อยม้า วิ่งความเร็วเท่ากันมันก็น่าจะกินเท่าๆกัน ถ้ากดหนักๆระยะทางที่วิ่งได้ก็ลดลงเร็วกว่าขับปกติ
-
ตามความเข้าใจของผมคือ รถรุ่นเดียวกัน เทคโนโลยีใกล้เคียงกัน แต่ถูกปรับลดแรง จาก 0-100 5 วิ เหลือ 0-100 11 วิ อาจจะได้ระยะวิ่งสูงสุดเพิ่มขึ้นมาไม่เกิน 50 กม. ทั้งนี้ รถไฟฟ้าที่เครื่องแรง หากคนขับซี้ซั้วหวด 160+ ตลอดทาง ระยะวิ่งก็อาจจะหดจนเหลือไม่ถึง 50% ของที่เคลมไว้ก็เป็นได้
แต่ผมก็เข้าใจผู้ผลิตรถไฟฟ้านะ คือการจะโน้มน้าวให้คนมาใช้ มันก็ต้องโชว์ให้เห็นว่า รถไฟฟ้า มัน เหนือกว่า เจ๋งกว่า รถน้ำมัน และวิธีโชว์เหนือที่ดีที่สุด ก็คือการโชว์เรื่องสมรรถนะ
-
ตามความเข้าใจของผมคือ รถรุ่นเดียวกัน เทคโนโลยีใกล้เคียงกัน แต่ถูกปรับลดแรง จาก 0-100 5 วิ เหลือ 0-100 11 วิ อาจจะได้ระยะวิ่งสูงสุดเพิ่มขึ้นมาไม่เกิน 50 กม. ทั้งนี้ รถไฟฟ้าที่เครื่องแรง หากคนขับซี้ซั้วหวด 160+ ตลอดทาง ระยะวิ่งก็อาจจะหดจนเหลือไม่ถึง 50% ของที่เคลมไว้ก็เป็นได้
แต่ผมก็เข้าใจผู้ผลิตรถไฟฟ้านะ คือการจะโน้มน้าวให้คนมาใช้ มันก็ต้องโชว์ให้เห็นว่า รถไฟฟ้า มัน เหนือกว่า เจ๋งกว่า รถน้ำมัน และวิธีโชว์เหนือที่ดีที่สุด ก็คือการโชว์เรื่องสมรรถนะ
ถ้าโชว์เรื่องนั้นแต่ใช้วิ่งทางไกล กทม ไปเชียงใหม่รวดเดียวโดยไม่ต้องชาร์จไม่ได้ มันไม่มีประโยชน์สำหรับคนทั่วไปที่ต้องใช้งานแบบนั้นครับ จะตองมาเสียเวลาชาร์จหรือหาที่ชาร์จอีกไม่ดีแน่ครับ