Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: รักเธอเสมอ ที่ สิงหาคม 23, 2022, 22:25:40
-
จะโดนจีนใช้ราคาทุบตลาด จนรถญี่ปุ่นสู้ไม่ได้ไหม ? คือไม่กล้าใช้รถไฟฟ้าจีนจริงๆ รอรถ EV ญี่ปุ่นอย่างเดียว รอดูว่าภายใน 5 ปีนี้จะมีตัวเด็ดๆจากค่ายญี่่ปุ่นออกมาบ้างไหม ขอราคาไม่เวอร์และสมเหตุสมผล
-
อีกห้าปีรถอีวีจีนก็คุณภาพไม่แพ้ญี่ปุ่นหรอกครับ แถมทำราคาได้ดีกว่าด้วย มารอดูกันว่าวันนั้นจะเป็นตามที่ผมว่าไหม
-
สู้ไม่ได้ครับ อีกนานกว่าจะตามทัน 5ปี++
-
สู้ได้ครับ
ญี่ปุ่นเขานำ ev มาก่อนจีนนะครับ
-
ดูจากการพัฒนา ความเร็วทางองค์ความรู้ สู้จีนไม่ได้
แม้แต่แบตฯ ตอนนี้ จีนก็นำไปไกลโข อย่างใบมีด แม้ไม่สมบูรณ์นัก แต่ถือว่าแนวทางดีครับ
-
ทุกวันนี้รถแต่ละเซ็กเมนต์ของญี่ปุ่นก็แพงกว่ารถจีนอยู่แล้วครับ ดังนั้นเมื่อมีรถ EV แม้จะแพงกว่ารถจีนคนไทยก็ยอมจ่ายครับ
-
ผมกลับเฉยๆ นะครับ
ไม่ใช่รถ BEV รถจีนถูกนะ น่าจะไม่ถูกต้องนัก
แต่เรียกว่า รถยนต์จากจีน ถูกกว่า รถญี่ปุ่น ทุก segment ก็ว่าได้
ส่วนเรื่องการสู้ได้ หรือ ไม่ได้ ผมว่ามันอยู่คุณภาพ และ การบริการ ด้วย ไม่ใช่ราคาเพียงอย่างเดียว
ด้านเทคโนโลยี ทางญี่ปุ่น เขาทำรถ BEV มานานแล้ว ตัวอย่างง่ายๆ เลย คือ Nissan Leaf และ Honda Fit EV ที่ขายกันมานานแล้ว แต่ที่เป็นปัญหา คือ โครงสร้างทางภาษี ที่นำเข้าจากญี่ปุ่น แล้ว ราคามันแพงมาก จนเกินจะรับไหว จนตอนนี้ Toyota พยายามจะผลิตและทำราคา BZ4x ให้มันจับต้องได้
ความได้เปรียบของ BEV จีน คือ ราคา ใช่ครับ และ อีกอย่างคือ ค่าแรง และ ต้นทุน ด้วย
-
ถ้าหมายถึงเรื่องราคา ญี่ปุ่นอาจแพ้จีนครับ
แต่เรื่องคุณภาพ และความคงทน ผมมั่นใจญี่ปุ่น
-
สู้ไม่ได้ อนาคตจีนไปไกลกว่านี้อีก ทั้ง ต้นทุนการผลิต และ เทคโนโลยีจากหลายๆชาติ ที่จีนซื้อ (คิดเองทั้งคันทำไม่เป็นหรอก ซื้อมารวมรถอย่างเดียว)
ญี่ปุ่น มาเป็น ผู้ขายเทคโนโลยีให้รถจีน จะดีกว่าผลิตเอง
ที่สู้ได้ ความเชื่อถือ ที่สะสมมานาน
ขนาดทำคันแรก ยังล้อหลุดเลย
-
ตามไม่ทันหรอกคับ
ญ๊่ปุ่นก็ใช่ว่าจะเก่งทุกเรื่อง สาย Software นี่ตามใครไม่ค่อยทันซะด้วยซ้ำ อย่างสายมือถือ แม้ยุคแรก ๆ sony จะเด่น เพราะเป็น hardware technology แต่พอเทคโนโลยีเปลี่ยนเป็น smart phone ที่เน้น software มากขึ้น ก็โดนเกาหลีแซงละหายไปเลย พวกยานยนต์ technology เดิมมันเป็น hardware ซะเยอะ ญี่ปุ่นก็เลยสร้างชื่อเสียงได้นาน แต่พอมา EV ที่เน้น แบต + software ที่จีนนำไปแล้ว ผมยังไม่เห็นวี่แววว่า ญี่ปุ่นจะไปตามทันได้ยังไงเลยคับ
-
อันนี้เอาเฉพาะรถที่ขายในไทยหรือเปล่าอะ
ถ้าขายในไทย รถญี่ปุ่นมันก็น่าเชื่อถือกว่า สำหรับลูกค้าคนไทยแต่ที่ไปออกรถจีนกัน ก็เพราะญี่ปุ่นมันไม่มี ถึงมีก็แพงกว่าเค้ามาก คนไทยจึงยอมเปิดใจ แต่ถ้ามีขายในราคาเท่ากัน option เท่ากัน ยังไงก็จิ้มญี่ปุ่นไม่ต้องคิดเลย
แต่ถ้าเอาตลาดจีน ญี่ปุ่นสู้ไม่ได้ ยุโรปเองยังยากเลย
-
ถ้าหมายถึง BEV ที่ความสำคัญของแบตเตอรี่เกินครึ่งของตัวรถ
จีนได้เปรียบกว่ามากๆ เพราะจีนมีวัตถุดิบแร่ธาตุที่ทำแบตเอง
และพัฒนาแบตได้เอง เรื่องเทคโนโลยีต่อให้ญี่ปุ่นจะเก่งกว่าแค่ไหน
แต่ไม่มี material ก็ผลิตขายไม่ได้ ยิ่งสภาวะสงครมคุกรุ่น
ไปตั้งตัวเป็นศัตรูกับจีนยิ่งลำบาก
ตอนนี้หลายๆ เจ้าจึงพยายามเบนเข็มไปที่เทคโนโลยีที่ไม่ใช่
พึ่งพาตัวแบตซัครึ่งคันรถอยู่ ไฮโดรเจนก็เป็นหนึ่งในแนวทางครับ
หรือไม่งั้นก็ต้องวิจัยสร้างแบตที่ไม่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบแร่หายาก
ที่ต้องอาศัยจีน
มุมมองเรื่องสู้ได้หรือไม่ได้ จึงไม่ใช่ภาพเดิมที่เคยมองกับรถสันดาปครับ
-
ถ้าไม่มองแบบเหมาทุกแบรนด์ที่สันชาติ ญป นะ
บางแบรนด์ น่าจะพอสูสี อย่าพี่โต น่าจะพอได้ มีจุดแข็งที่เอามากลบ ข้อเสียเปรียบได้
แต่บางแบรนด์ญป ก็อาจจะไปไม่ได้เลย เพราะองค์กรณ์ขนาดและตลาดเล็กเกินไป ที่จะไปสู้จีน
บ ญี่ปุ่น ไม่ได้ถนัด ทำอะไรที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือ อินโนเวทีฟ อยู่แล้ว
จะเห็นได้ว่า สุดท้าย วัฒนธรรม และหลักนิสัย ของการกลัวความเสี่ยง การปกป้องพวกพ้อง การไม่เปลี่ยนแปลง
ยึดติดกับ ความสำเร็จเก่า ทำให้ ไม่สามารถสร้างอะไรที่ใหม่ได้
อย่างรถสันดาป เดิม ญป ไม่ใช่คนสร้างนวัตกรรมในเชิงนำเสนอสิ่งใหม่แต่เป็นคนก้อปปี้ จากอเมกา มาทำให้ถูกลงเสถียรขึ้น คุมคอสคุมราคา คือทำดีในแนวลึก เอาของที่มีอยู่แล้วมาพัฒนา แข่งขันที่การควบคุม ไม่ได้แข่งที่ความทันสมัยหรือเทคโนโลยี ที่ใส่เข้ามา
พอมาเป็นเรื่องเทคโนโลยีใหม่ จึงเป็นเรื่องยาก ที่องค์กร ที่ไม่เคยปลูกฝังให้ทีทงานมีแนวคิดออกนอกแถว คิดนอกกรอบ ผลักดันอะไรที่อาจจะเปลี่ยนแปลงของเก่าไปได้
องค์กรณ ของญป อยู่ด้วยหลักการการผูกกันไว้ให้เหนียวแน่น แต่ตอนนี้มันต้องการการเปลี่ยนแปลง เลยเป็นองคาพยพ ที่ยากที่จะกลับตัว
-
เมื่อไหร่ที่เปลี่ยน ตลาดพื้นฐานเทคโนโลยี่ใหม่
เช่น จอภาพทีวีจาก CTL ไปเป็น LCD และเป็น LED
ขนาด sony tri-nitron เมื่อเป็น OLED ปัจจุบันยังแพ้ sumsung แล้ว
รถไฟฟ้า มันคือการเริ่มต้นแข่งขันใหม่ ใครไวกว่าจะครองครองสิทธิบัตรก่อน
จะครองตลาดก่อน
ผมว่า ญี่ปุ่นเพลี่ยงพล้ำหลายขุม
ทั้งเทคโนโลยี่ผลิตแบตเตอรี่ CATL คือ ที่ 1 แล้ว
แร่หายากที่ผลิต จีนก็ไปทำสัมปทาน หรือมีเตรียมการแล้ว
นี่ยังไม่รวมต้นทุนการผลิตที่ ทั้งโลกได้ใช้สินค้าราคาถูกก็เพราะจีน
คิดแล้วกันคู่แข่ง teslar คือค่ายรถจีน แต่ไม่ไช่ค่ายรถญี่ปุ่น
อนาคต BEV จีน ค่อนข้างสดใสที่เดียว คุณภาพเดี๋ยวก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
-
สู้ไม่ได้ จีนพัฒนารถ BEV มาก่อน แถม BEV ในญี่ปุ่นเองก็ไม่โตเพราะมีปัญหาเรื่อง infrastructure
เมื่อก่อนมี pana ทำแบต เดี๋ยวนี้โดน catl , BYD แซงไปไกลแล้ว
อีก 5 ปี ญป. ทำ BEV ได้ดีขึ้น แต่จีนก็ดีกว่าเก่าอยู่ดี ตามจีนไม่ทันแล้วครับ ไหนจะเรื่องแร่อีก
ถ้า ญป.จะแซงจีนได้ก็ต้อง FEV ล่ะครับ
เมื่อไหร่ที่เปลี่ยน ตลาดพื้นฐานเทคโนโลยี่ใหม่
เช่น จอภาพทีวีจาก CTL ไปเป็น LCD และเป็น LED
ขนาด sony tri-nitron เมื่อเป็น OLED ปัจจุบันยังแพ้ sumsung แล้ว
รถไฟฟ้า มันคือการเริ่มต้นแข่งขันใหม่ ใครไวกว่าจะครองครองสิทธิบัตรก่อน
จะครองตลาดก่อน
ผมว่า ญี่ปุ่นเพลี่ยงพล้ำหลายขุม
ทั้งเทคโนโลยี่ผลิตแบตเตอรี่ CATL คือ ที่ 1 แล้ว
แร่หายากที่ผลิต จีนก็ไปทำสัมปทาน หรือมีเตรียมการแล้ว
นี่ยังไม่รวมต้นทุนการผลิตที่ ทั้งโลกได้ใช้สินค้าราคาถูกก็เพราะจีน
คิดแล้วกันคู่แข่ง teslar คือค่ายรถจีน แต่ไม่ไช่ค่ายรถญี่ปุ่น
อนาคต BEV จีน ค่อนข้างสดใสที่เดียว คุณภาพเดี๋ยวก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
ขออนุญาตแก้ไขนะครับ
CRT = Cathod Ray Tube ครับ
-
รถยนต์มันไม่ใช่แค่ระบบขับเคลื่อนอย่างเดียว
แต่งานวิศวกรรมอื่นๆ จีนก็พยายามไล่ตาม
คิดว่า คงต้องให้เวลาพอควรครับ
สิ่งสำคัญคือ ความเอาใจใส่ในการออกแบบ
และแนวคิดที่เป็นสากล
-
เรื่องตามทันไม่ทันผมไม่รู้นะ
อย่าง oled ทีวี พึ่งจัด lg มา แต่ถ้างบถึงคงจัด sony ครับ
ตอนนี้อยากได้ bev แต่เป็นจีนคงไม่เอา
Bz4x เป็นไปได้ แต่คงไม่ทันล็อตแรก
ผมเป็นคนนำเข้าสินค้าผลิตจีนและผลิตญี่ปุ่นมาขาย
ถ้าให้พูดเรื่องคุณภาพ ความเนี้ยบ อย่างไรก็ต้องญี่ปุ่น
แต่ตลาดส่วนใหญ่ มองเรื่องราคาเป็นสำคัญ ทำให้จีนได้เปรียบกว่า
ถ้าสินค้าญี่ปุ่น แพงกว่าจีนไม่เกิน 20% เค้าก็ไปได้ละครับ
-
เอาให้แน่ๆก่อนดีกว่าครับ จะไปทางไหน จะ EV จะ ไฮโดรเจน หรือยังไง เพราะ EV จุดด้อยยังมีมากมายมหาศาล
ส่วนญี่ปุ่นสู้จีนได้มั้ย อันนี้ก็ตอบยาก เพราะรถ EV จีน ก็ไม่ได้เทพขนาดนั้น ที่ยังต้องพัฒนาอีกมากคือ Software จริงไม่ใช่เฉพาะยานยนต์ แต่หลายๆอุตสาหกรรม ขายแต่สเปก Hardware แต่ใช้จริงอย่างห่วย เพราะ Software ยังไม่ตกผลึก เท่าที่อื่น แล้วไหนจะนิสัยแย่ๆที่ชอบไปแอบลดต้นทุนที่มองไม่เห็นอยู่ตลอด
-
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่มันอยู่ที่แหล่งทรัพยากร
จีนมันได้เปรียบเพราะประเทศมันเหมืองนิกเกิลทั้งนั้น ไม่พอแอฟริกาตรงไหนมีแร่มันไปดิลสร้างเหมืองก่อนเพื่อนเลย สรุปเหมืองนิกเกิลเหมืองแร่เกือบเครึ่งแทบจะเป็นของจีนคนเดียวมันเลยกำหนดโควต้าสำหรับผู้ผลิตในประเทศมันได้ ฝ่ายเข้าตลาดมันเลยหาซัพพลายเออร์ยากกว่ามันเลยแพง
-
ev จีน ก็เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้า นั่นแหละ
ออฟชั่นเยอะ แต่ไม่ทนทาน เสถียร
ญี่ปุ่นเขาขึ้นชื่อในทุกสินค้า ออฟชั่นไม่ต้องเยอะ แต่ทนทาน เสถียรกว่า
วัยรุ่น เน้นออฟชั่น
วัยกลางคนเน้นเสถียร
-
สู้ไม่ได้ จีนพัฒนารถ BEV มาก่อน แถม BEV ในญี่ปุ่นเองก็ไม่โตเพราะมีปัญหาเรื่อง infrastructure
เมื่อก่อนมี pana ทำแบต เดี๋ยวนี้โดน catl , BYD แซงไปไกลแล้ว
อีก 5 ปี ญป. ทำ BEV ได้ดีขึ้น แต่จีนก็ดีกว่าเก่าอยู่ดี ตามจีนไม่ทันแล้วครับ ไหนจะเรื่องแร่อีก
ถ้า ญป.จะแซงจีนได้ก็ต้อง FEV ล่ะครับ
เมื่อไหร่ที่เปลี่ยน ตลาดพื้นฐานเทคโนโลยี่ใหม่
เช่น จอภาพทีวีจาก CTL ไปเป็น LCD และเป็น LED
ขนาด sony tri-nitron เมื่อเป็น OLED ปัจจุบันยังแพ้ sumsung แล้ว
รถไฟฟ้า มันคือการเริ่มต้นแข่งขันใหม่ ใครไวกว่าจะครองครองสิทธิบัตรก่อน
จะครองตลาดก่อน
ผมว่า ญี่ปุ่นเพลี่ยงพล้ำหลายขุม
ทั้งเทคโนโลยี่ผลิตแบตเตอรี่ CATL คือ ที่ 1 แล้ว
แร่หายากที่ผลิต จีนก็ไปทำสัมปทาน หรือมีเตรียมการแล้ว
นี่ยังไม่รวมต้นทุนการผลิตที่ ทั้งโลกได้ใช้สินค้าราคาถูกก็เพราะจีน
คิดแล้วกันคู่แข่ง teslar คือค่ายรถจีน แต่ไม่ไช่ค่ายรถญี่ปุ่น
อนาคต BEV จีน ค่อนข้างสดใสที่เดียว คุณภาพเดี๋ยวก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
ขออนุญาตแก้ไขนะครับ
CRT = Cathod Ray Tube ครับ
จริงๆแล้วญี่ปุ่นพัฒนา BEV มาก่อนจีนนานอยู่เหมือนกันครับ แต่ไม่ได้เอาจริงเอาจังเท่าไหร่ เพราะราคายังแพงและไม่สะดวกเหมือนรถน้ำมัน แถมรถน้ำมันยังขายได้ดีอยู่ แต่จีนรถน้ำมันเค้าห่วยเลยเน้น BEV จริงจังจนนำไปไกลพอสมควรแล้ว ดูแล้วญี่ปุ่นคงรอที่จะผลิตแบตเองได้ค่อยทำตลาดจริงจัง หรือไม่ก็ไปเน้นด้านอื่นเลย
-
อนาคตมันก็จะแบ่งตลาดแบบตอนนี้นั่นแล่ะ
ของถูก จีน
ของแพง ญี่ปุ่น ฝรั่ง
เพียงแต่ตอนนี้ของถูกในไทยมันขายได้น้อยกว่าซะงั้น (หมายถึงรถ ICE จีน)
เพราะคนซื้อเขาไม่มั่นใจว่า มันจะไม่สร้างปัญหาให้
สินค้า Durable Goods ลักษณะการตัดสินใจซื้อ มันจะไม่เหมือนสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปครับ
-
จะโดนจีนใช้ราคาทุบตลาด จนรถญี่ปุ่นสู้ไม่ได้ไหม ? คือไม่กล้าใช้รถไฟฟ้าจีนจริงๆ รอรถ EV ญี่ปุ่นอย่างเดียว รอดูว่าภายใน 5 ปีนี้จะมีตัวเด็ดๆจากค่ายญี่่ปุ่นออกมาบ้างไหม ขอราคาไม่เวอร์และสมเหตุสมผล
คือถ้า จขกท มีเงื่อนไขแบบนี้ภายใน 5 ปี ผมฟันธงเลยว่าไม่ต้องรอครับ ที่รถจีนมาตีตลาดตอนนี้ได้เพราะราคาและอ๊อพชั่น แต่ค่ายญี่ปุ่นแทบทุกค่ายไม่สู้เรื่องนี้ ทุกค่ายยังไม่พร้อมและยังไม่อยากเปิดตัวรถไฟฟ้าในตอนนี้ และที่สำคัญเลย ประธานบริษัทหลายบริษัทพูดชัดมาตลอด ราคารถไฟฟ้าต้องแพงกว่ารถน้ำมัน 50% ในเงื่อนไขตอนนี้ทุกค่ายของรถญี่ปุ่น สมมุติคือราคา อัลติส หรือ ครอส ประมาณ 1 ล้าน แต่รถ EV ราคาขายต้องประมาณ 1.5 ล้าน นี่คือสิ่งที่บริษัททุกค่ายรถญี่ปุ่นเผชิญอยู่รถไฟฟ้ายังไม่พร้อมทำตลาด mass ให้กับคนทุกระดับ ที่จริง YARIS ATIV หรือ Fortuner ของเจ้าใหญ่อย่าง TOYOTA น่าจะได้คำตอบแล้วว่ายอดขายรถสันดาปถล่มทลายขนาดไหน
-
ผมว่าในระยะยาวญี่ปุ่นไม่มาแข่ง EV กับจีนนานหรอก
น่าจะไปหาพวก FCEV ซะมากกว่า เทคโนโลยีรถมันมีแล้ว เหลือเทคโนโลยีผลิตไฮโดรเจนที่ต้องพัฒนาจนถึงที่จะสร้างโรงผลิต+บรรจุไฮโดรเจนขนาดเล็กๆ แต่กระจายไปได้หลายๆ ที่ มากกว่าสร้างใหญ่ๆ แล้วมาขนส่ง หรืออาจจะเอาพวกพลังงานจากพวกโซลาร์ฟาร์มมาผลิต แล้วขายไฮโดรเจนให้รถด้วยแทนที่จะขายไฟฟ้าอย่างเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับนโยบายระดับประเทศด้วยว่าจะไปทางไหนอีกทีด้วย
-
ด้านทรัพยากรในการทำ EV นั้น คงจะสู้พี่จีนไม่ไหวแน่
เรื่องวิศวกรรมต่างๆ ฝั่งญี่ปุ่นเองก็ Reverse Engineering เหมือนกัน
ซื้อของคนอื่นมาแกะๆดู แล้วทำแบบนี้มานานแล้วด้วย
แต่สิ่งที่มั่นใจได้มากกว่าคือ วัฒนธรรม ความใส่ใจในงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ปลูกฝังกันในเวลาสั้นๆ
ส่วนตัวเคยทำงานบริษัทจีน แล้วก็ญี่ปุ่น เคยร่วมงานกับฝั่งยุโรปสั้นๆด้วย ได้เห็นอะไรมากมายจริงๆ
ญี่ปุ่น ความใส่ใจด้านคุณภาพ สูงมาก ทดสอบเยอะจริงๆ ทดสอบต้องผ่านแล้วต้องผ่านอีก
จีน เน้นรวดเร็ว อะไรไม่ต้องทำได้ ก็จะไม่ทำ ไม่ทดสอบซ้ำ ผ่านคือจบ
ยุโรป เน้นสวยงาม เน้นเท่ เน้นหล่อ แต่ทดสอบผ่าน ก็คือจบ ไม่ทดสอบซ้ำๆ
ส่วนตัวเชื่อในวัฒนธรรมการทำงานของญี่ปุ่นมากกว่า ความใส่ใจมากๆ ทำให้โปรดักส์งานออกมาเนี๊ยบ
-
ค่ายรถ EV จีน พัฒนาไปเร็วมาก ตอนนี้รถ EV กลุ่ม premium ว่ากันระยะทางระดับ 700 - 1,000 km. กันแล้วครับ
อีกไม่นาน รถ EV รุ่นมาตรฐานระยะทางรถ EV ในจีนคือ 500 - 600 km.
-
ถ้า Batt Solid State ออกมาแล้วปังกว่า Blade battery
ก็มีลุ้นเหมือนกันว่าโตโยต้าจะพลิกมาได้
เอาจริงๆ ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบภายใน EV จีนเท่าไหร่
เกลียดมาก จอกลางแบบแทปเล็ตหมุนได้
ที่มีอยู่ตอนนี้ ของญป. มี Ariya
ของเกาหลีก็มี Ioniq 5 กับ EV6
สามคันนี้ชอบภายในมาก
แต่ตัวที่คิดว่าออกมาเมื่อไหร่น่าจะว้าว ก็น่าจะเป็นตัวที่ Sony จับมือกับ Honda
-
ถ้ารถยนต์คันนึง คุณวัดแค่มอเตอร์ไฟฟ้ากับแบต ญี่ปุ่นอาจจะสู้จีนไม่ได้มั้งครับ
แต่ถ้าวัดความเป็นรถยนต์ที่ดีคันนึง ตั้งแต่พื้นฐาน โครงสร้าง ความปลอดภัย ช่วงล่าง พวงมาลัย การขับขี่ การออกแบบ การจัดวางองค์ประกอบต่างๆ
ยังไงผมก็เชื่อว่า คำว่า "ยนตรกรรม" มันไม่ได้พัฒนามาแข่งขันกันได้ง่ายๆ
เว้นเสียแต่ว่า บางคนอาจจะชอบเครื่องใช้ไฟฟ้าติดล้อมากกว่ารถยนต์ไฟฟ้า
-
รถญี่ปุ่นดูไม่ได้อยากสู้ด้วยรึเปล่า
กระแสอาจมาแรงมาก แต่หากข้อจำกัดเรื่องระยะทางวิ่ง กับเวลาชาร์ทยังไม่สามารถทำได้เทียบเคียงรถน้ำมัน ผมว่ารถญี่ปุ่นทำ hybrid ก็ยังขายได้อีกนาน
เมื่อถึงวันนึง ใครทำแบตที่วิ่งได้เท่าน้ำมัน 1 ถัง
แล้ววิ่งเข้าไปชาร์ทเร็วเท่าเติมน้ำมัน 1ถัง
วันนั้นเกมเปลี่ยน
กว่าจะถึงวันนั้น ev จะยังเป็นรถของเล่นคนรวย
ซึ่งได้ margin แต่ volume คงไม่พอจะทุบยอดขายรถญี่ปุ่นในบ้านเราได้มั้งครับ
-
ถ้าดูจากตอนนี้ยังไม่ได้ รถญี่ปุ่นเมื่อก่อนก็ก้อปยุโรปมาเหมือนกันทำในราคา budget แล้วค่อยปรับเรื่อง ดีไซน์ -> คุณภาพ ตามๆกันไป ซึ่งตอนนี้รถจีนอยู่ในช่วงปรับดีไซน์
แต่เอาจริงๆ รถไฟฟ้าญีปุ่นแทบยังไม่มีให้เทียบเลยอะ มีแค่ leaf ที่จริงๆก็เป็นการจับมือกับ renault ส่วน toyota/honda เองก็เป็นรถ ev ที่ถูกข่มขืน เพราะจีนบังคับให้ทุกค่ายต้องมีรถ ev ขาย
ก็ยัดๆใส่ chr/ux/hrv ไป สภาพเลยออกมาเน่าสนิท ต้องรอลุ้นกับ bz4x นิแหละจะรอดไม่รอด
-
know how ผมว่าสู้ได้
use case ที่จีนแอบเยอะกว่า ทางนั้นก็อาจจะปรับตัวตามเร็ว
แอบห่วงแบรนด์ฝั่งตะวันตกมากกว่า (ไม่นับ Tesla) เพราะปรับตัวช้ากว่ามาก โดนญี่ปุ่นเล่นไปรอบ คราวนี้พี่จีนด้วย สนุกเราผู้บริโภค
-
คิดว่าสุดท้ายแล้วญี่ปุ่นทำได้ แต่ตามหลังจีนสัก 1-2 Gen ครับ และราคาก็คงสูงกว่า แนวๆ MG กับ เจ้าตลาดในตอนนี้
สุดท้ายอยู๋คนที่ซื้อว่าจะเอาแบรนจีนที่ราคาและเทคโนโลยีแบต/มอเตอร์ดีกว่า หรือเอาแบรนญี่ปุ่นที่ดูน่าเชื่อถือกว่าแต่ระบบขับเคลื่อนกับแบตเตอรี่เป็นรอง
ผมว่าที่น่าสนใจคือเกาหลี ดูเป็นช่วงจังหวะที่ดี ที่จะรุกคลาดไทย จีนมาแล้ว เกาหลีมาตาม สุดท้ายญี่ปุ่นมาเก็บ
-
จีนตลาดใหญ่ ทรัพยากรเยอะ ทั่วโลกวิ่งหาเพื่อแลกเปลี่ยน/ถ่ายทอดเทคฯ ญี่ปุ่นขาลง วัฒนธรรมเด่นแต่ก็อย่างที่เห็นไม่เคยเอาใคร...
-
ผมว่าอนาคตเป็นแบบมือถือ ปัจจุบันนะครับ
sony xperia 1 iv ราคา เกือบ 5 หมื่น แต่ spec นี้ไม่ได้แย่
Samsung S22 spec เทพ มีโปรเพียบ ช่วยทำราคาให้จับต้องง่ายขึ้น
OPPO, xiaomi, etc. จับต้องง่าย ราคาไม่แพง spec ดี
คืออาจจะมาสู้ในระดับล่างไม่ได้ ราคา BEV ของญี่ปุ่นน่าจะแพงกว่าจีน แล้ว spec ก็ไม่ได้โดดเด่น สุดท้ายแล้ว คนที่จะคลองตลาดไปก็คือ จีน
ถ้าพัฒนาแบตที่เทพๆ ใช้ได้ในเฉพาะรถญี่ปุ่นแล้ว ค่อยมาดูกันอีกที่
-
ผมว่ายากอยู่ครับ จีน เข้ามามีอิทธิพลในหลายๆเรื่องแล้วบนโลกนี้ รถ EV ก็เป็นอีกเรื่องนึง ถ้าเค้าเอาจริง ใครก็ต้านยาก ทรัพยากรเค้าพร้อมทุกอย่าง