Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: ซวEจsิJลิJเปulnw ที่ กันยายน 01, 2022, 00:51:18
-
โดยปกติแล้ว เราจะชินกับคำที่บอกว่า
เวลาขับรถลงเขาอย่าเลียเบรค ให้ ปล่อยไหล แล้วเบรคลึกๆ
ซึ่งผมเองก้ทำแบบนั้นมาตลอด
สิ่งที่จะมาชวนคุยวันนี้คือ ในแง่วิทยาศาสตร์ การกดเลียเบรค กับ ปล่อยไหลแล้วเบรคลึก ให้ความเร็วเท่ากัน พลังงานความร้อนที่เกิดขึ้นจากเสียดสีมันต่างกันหรอครับ
ในเมื่อถ้าเราเลียเบรค สมมติให้รถไหลลงด้วยความเร็ว 40km/h พลังงานความร้อนจะค่อยๆเพื่มทีละนิดๆ
แต่ถ้าเราปล่อยไหลจาก 40---100 km/h แล้วเบรคให้ลงมา 40 km/h เหมือนเดิมพลังงานความร้อนจะเพื่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ซึ่งพลังงานทั้งสองอย่างนี้ควรจะเท่ากัน แล้วมันก็จะไปสะสมที่เบรคเหมือนกัน
ถ้ามวลของรถ และระยะทางเท่ากัน ความชันเดียวกัน
อย่างเดียวที่คิดได้คือ การปล่อยเบรค แล้วกดลึกทีเดียว อาจจะทำให้มี ลม ช่วยลดความร้อนที่จานเบรค
หรือจริงๆ แล้ว slope ในช่วงก่อนโค้ง มันจะน้อยกว่าเสมอๆ เลยทำให้มาเบรคช่วงใกล้ๆโค้งเกิดความร้อนสะสมน้อยกว่าครับ ?
-
มันไม่ใช่แค่การเหยียบเบรคแล้วปล่อยอย่างเดียวครับ การทำแบบนี้มันต้องใช้ engine break ช่วยด้วย ซึ่งมันช่วยแบ่งเบาพลังงานจลน์ไปลงกับเครื่องด้วยแล้ว (ถ้าไม่เอาเครื่องมาช่วยไหลตกเขาตายแน่ๆ) ดังนั้นเบรคไม่ได้รับภาระเท่าเลียเบรคแน่ๆ เพราะนิสัยเลียเบรคมักจะมาพร้อมกับการไม่ใช้ engine break เค้าถึงได้เลียเพื่อหน่วงความเร็วตลอดไงครับ มวล ความเร็วอาจจะเท่ากัน แต่การรับภาระของเบรคไม่เท่ากันครับ การสะสมความร้อนมันถึงไม่เท่ากันด้วย อีกอย่างคือของจริงไม่ได้เบรค100-40แบบที่ว่ามาหรอกครับ มันแค่60-40 ประมาณนี้เองป้วนเปี้ยนอยู่แค่นี้ ความร้อนที่เกิดมันเลยไม่สูงมากแถมมีจังหวะให้เย็นลงอีก แต่ถ้าเลียเบรคยาวๆความร้อนมันสะสมไม่ได้ระบายออกเลยด้วย
-
คลิปนี้น่าจะให้คำตอบได้นะครับ ถ้าลงเขาเลียเบรคตลอดน้ำมันเบรคน่าจะเดือดไวกว่าเดิมนะครับ ลูกสูบเบรคมันต่อกับจานอยู่ตลอดเวลา น้ำมันเบรคอย่างดีๆ 260 องศาก็ไม่รอดแล้ว ส่วนผ้าเบรคมักจะเคลม 300-600 องศา
https://youtu.be/nfZNdzi3J10
-
คำว่า เลียเบรค ที่เขาห้ามทำกัน คงน่าจะหมายถึง เอาเท้าแตะที่แป้นเบรคคลอไว้ตลอดเวลามากกว่าละครับ เพราะ ผ้าเบรคกับจานเบรคมันอยู่ชิดกันมาก แตะคลอไว้ผ้าเบรคมันก็ยื่นออกมานิดสีกับจานเบรคอยู่ตลอดเวลา ความร้อนสะสมเลยเยอะ
แต่ผมก็ไม่ได้ทำทั้งแบบ เลียเบรค หรือ แบบเบรคลึกๆใกล้ๆปลายเนินเอานะครับ เบรคลึก ใกล้ปลายเนิน ผมว่าความเร็วมันก็เริ่มเยอะแล้ว ยิ่งถ้าทางลงเนินยาว มันจะยิ่งเร็วกันไปใหญ่ คนในรถจะพาหวาดเสียวกันหมด
ของผม ผมจะใช้วิธี ถ้ารถลงเกียร์ต่ำได้ก็ลง บางคันเขาลงเกียร์เองได้ก็ให้ระบบเขาทำไป แล้วก็คอยเบรคให้ความเร็วรถดูไม่สูงมาก แต่ไม่ได้เบรคแช่ใช้วิธีแตะนิดๆพอความเร็วลงมาแล้ว ก็ปล่อยเท้าจากแป้นเบรคไปเลย
แต่อยากให้ดูเรื่อง ผ้าเบรค มากกว่าครับ
ไม่นับคนที่เขาชอบแต่งรถที่เขามักจะใช้ของดีๆกันอยู่นะครับ หลายๆคนมักจะไม่นิยมการตกแต่งรถ เวลาทำเบรคก็ไม่ได้มาดูว่า ช่าง เขาเอาผ้าเบรคอะไรมาใส่ให้ คิดว่ารถเดิมๆอะไรก็ได้ ถ้าเจอช่างที่ดีหน่อย หาผ้าเบรคที่คุณภาพเทียบเท่าของติดรถมาให้ก็ดีไป
แต่ก็มีที่ช่างที่เน้นเอากำไรเยอะๆ เอาผ้าเบรคแบบไม่เคยเห็นในตลาดที่ไหนมาเลยใส่ให้ หรือ เอายี่ห้อคุ้นหูแต่ตัวสเป็คต่ำๆมาให้ อันนี้ก็อันตรายเหมือนกัน อยากให้เวลาเปลี่ยนผ้าเบรค สังเกตุหรือถามช่างกันนิดว่า ของเดิมติดรถเขาเป็นแบบไหน ที่เอามาให้ใช้เป็นเกรดไหน หรือถ้าเป็นไปได้ เรื่องผ้าเบรค ถ้าไม่อยากยุ่งยากเอามาตราฐานเขาเบิกห้างให้ตรงรุ่นเขามาเลยก็ดีครับ
ส่วนมากของเดิมติดรถ ถ้าเป็นของแท้ๆเขามักจะไม่ค่อยเจอปัญหาอะไรครับ
-
ความร้อนต่างกันแน่นอน ที่เบรคเฟดเพราะว่ามันร้อนเกินไป
เลียเบรคคือเรากดเบรคแช่ไว้เป็นเวลานานๆ เบรคจะร้อนจัดเพราะถูกใช้ตลอดและระบายควมร้อนไม่ทัน เบรคเลยร้อนจัดจนเฟด
แตถ้ากดเบรคลึกๆหนักๆแล้วปล่อย มันใช้เวลาเบรคแปบเดียวเบรคก็มีเวลาระบายความร้อน ทำให้อุณหภูมิเบรคไม่สูงเกินไป
-
ไม่แน่ใจในวิทยาศาสตร์ลึกๆนะครับ แต่เท่าที่ทดลอง ขับตามคันหน้าขาลงเขาแล้วเบรคแบบชะลอเบรคแช่สัก 5 วิ จะค่อยๆรู้สึกว่า เบรคค่อยๆจะเฟดทีละนิด คือต้องค่อยๆเพิ่มแรงเบรคเพื่อให้รถหยุดดีเท่าเดิม และถ้ายังต้องเบรคต่อยาวไปอีกก็จะเริ่มเสียวละครับ
แต่ถ้าใช้วิธีเบรคแรงกลางๆ 2 วิ สลับกับยก 2 วิ แล้วกลับไปเบรคแรงกลางๆใหม่ 2 วิ วนไปแบบบนี้ ผมแทบไม่เจออาการเฟดเลยครับ ยังเบรคดีเท่าๆเดิม หรืออาจจะมีดรอบบ้างถ้าต้องเบรคต่อเนื่องยาวๆ ก็ใช้วิธีหาจังหวะหยุดรถนานขึ้นนิด หรือเว้นระยะจากคันหน้าเพิ่มอีกหน่อยครับ แปปเดียวมันก็กลับมาเบรคดีละครับ
-
ค่อยๆเลียเบรค กับกดจึกเดียว ลดความเร็วจาก 100>>40 ระยะทางไม่เท่ากันแน่นอนครับ
น่าจะตัวแปรนี้ และระหว่างกดเบรค รถมีอัตราเร่งในตัวอยู่แล้ว
-
ช่วงไม่เลีย ผ้าเบรค มันจะได้คลายความร้อนครับ
ผ้าเบรคดีๆ พอเบรคจนเฟดแล้ว (จม และ มีกลิ่น) คุณยกเท้าจากเบรค แล้วขับต่อ ไม่เกิน 5 นาที มันกลับมาทำงานได้ 70 - 80% นะครับ อันนี้ลองมากับตัว หลายๆยี่ห้อ ทั้ง EBC ทั้ง Dixcel ก็แบบนี้ครับ
แต่ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเบรคแบบไหน ก็ต้องคุมความเร็วให้เหมาะสม รวมถึง ใช้เกียร์ต่ำช่วยครับ
เคยเอา Civic FD ใส่ EBC Yellow น้ำมันเบรค ATE Super Blue 285 องศา ลงทับเบิก แบบไม่ใช้เกียร์ ลงเร็วระดับ 70 - 80 กม./ช.ม. ถึงหัวโค้งแล้วกดหนักๆ จากนั้นยก แล้วส่งออกจากโค้ง ไม่เกิน 2 โค้ง ผ้าเบรคระดับ 900 องศา จมมิดติดพื้นเลยครับ
แต่ไม่จอดนะ สับเกียร์ลง 1 กับ 2 ช่วย ผ่านไปไม่เกิน 5 นาที มันกลับมาทำงานได้ครับ
-
ถ้าตามตัวอย่างที่ยกมา
สำหรับผมนะ จะปล่อยไหลไปสัก 60km/h แล้วเบรคให้ลองมาแถวๆ 20-30km/h แล้วคุมจังหวะประมาณนี้ ไม่ปล่อยให้ถึง 100km/h หรอก
เพราะการจะลงเขาด้วยความเร็ว 100km/h มันคงไม่เรียกว่าเขาแล้วครับ มันเรียกว่าลงเนินละกัน เพราะลงเขาด้วยความระดับ 100km/h จะไปนอนข้างทางเอาง่ายๆ
ถ้าเอาตามหลังการ การที่เบรคแตก จะใช้คำว่าเบรคเฟด หรือ อะไร ก็แล้วแต่ เรียกว่าเบรคแตก ละกัน ง่ายดี มันมีหลายเงื่อนไขครับ
อย่างแรก ที่เจอกันบ่อยๆ คือ ผ้าเบรคใหม้ เกิดจากเกิดความร้อนสูงเป็นเวลานาน คลายความร้อนไม่ทัน อีกฝั่งก็จานเบรค สิ่งที่ไหม้ได้ คือ ผ้าเบรคนั้นละ เลยต้องอัพเกรดผ้าเบรคที่จนความสูงขึ้นได้
อย่างที่สอง น้ำมันเบรคร้อน มันจะทำให้สูญเสียแรงดัน หรือ การขับดันเบรค จะให้รู้สึกว่าเบรควืด เบรคว่าว หรือ เบรคหาย
อย่างสุดท้าย อาจจะไม่เกี่ยวโดยตรง แต่อาการคือ จานเบรคคด จนมากคือความสะสม ยิ่งถ้าเจอน้ำ ตอนร้อนๆ ยิ่งโอกาศคดไวมาก
ปล.แถวบ้านผม อยู่บนเขา ภูหลวง ภูเรือ จ.เลย การขับขึ้น ลงเขา มันเป็นเรื่องปกติของชีวิตไปแล้ว
หลักการง่ายๆ ลดความเร็ว ใช้เกียร์ต่ำ (เกียร์ AT ก็ดึงลง L ได้) เลียเบรคได้เรื่อยๆ เป็นจังหวะ แต่ไม่ใช่เรียกว่า จุ่มเบรคค้างรอตลอดเวลา หรือ ไม่เบรคแช่ยาวๆ แค่นี้ก็ขึ้นลงเขา เช้าเย็นๆ สบายแล้วครับ
-
จริงๆการลงเขา เราต้องคุมความเร็วด้วยนะครับ
ไม่ใช่ ปล่อยจาก 40 ไหลไปถึง 100 แล้วเบรคให้เหลือ 40 นะ แบบนี้ถ้ามันเฟดคือร้อน มันก็ตกเขาแหกโค้งสิครับ
วิธีเบรคแรงๆ แต่ไม่เลียน่ะถูกต้องแล้ว แต่การเบรคให้เป็นการ เบรค-ปล่อย-เบรค-ปล่อย แบบนี้สลับกันโดยเป็นควบคุมความเร็วไม่ให้เกินด้วย
เช่น รถไหลจากโค้ง เริ่มต้นที่ 40 ปล่อยไหลไป มันก็ขึ้นไป 80 เราก็เบรคลงมาให้เหลือ 60 แล้วปล่อยเบรค ความเร็วก็จะค่อยๆ เพิ่มไป 80 อีก เราก็เบรคลงมาให้เหลือ 60 อีกวนไป แบบนี้จะดีกว่า
ส่วนใครที่มี engine break ช่วย มันก็จะช่วยในเรื่องที่เวลาไหลลง engine break มันจะช่วยให้ความเร็วมันไม่ขึ้นสูงไวเกินไป ทำให้เราควบคุมความเร็วได้ดีกว่า และลดภาระเบรคด้วย
ถ้าทางลงเขายาว เราปล่อยไหลไปด้วยความเร็วเต็มที่โดยไม่ควบคุมความเร็ว พอถึงจุดต้องเบรค แล้วกดแรงเลย บางทีมันก็เสี่ยงนะ มันเฟดเอาง่ายๆเลย
ดังนั้นระหว่างที่ไหลลงยาว เบรคๆ ปล่อยๆ ควบคุมความเร็วที่ปลอดภัยไว้ จะถูกต้องที่สุด
-
มีโอกาส ไปทดลองขับลงเขา แล้วเบรคตามลักษณะต่างไป ดูครับ
จะเข้าใจได้ชัดเจนกว่า
หาช่วงที่รถไม่เยอะมากลองดูครับ
ดูแลระบบเบรค เปลี่ยนถ่ายน้ำมันตามอายุ
ตรวจสอบความหนาของผ้าเบรค และอุปกรณ์ประกอบ
แค่นี้ก็รับใช้เราได้ในช่วง 10 ปี สบายๆ
-
ต้องลองเองดูครับ รถแต่ละคัน สถานการณ์ ไม่ค่อยเหมือนกัน แต่ใช้เกียร์ช่วยเยอะๆ อย่าเบรคแช่ก็พอจะช่วยได้ครับ เบรคจาก 100>40 เสี่ยงสูงถ้าหน้าผ้าเบรคเกิดไหม้ค้างอยุ่ เฟดแน่ๆ ครับ
-
คิดว่าหลักๆคือ พยายามให้เบรคมีโอกาศระบายความร้อนครับ
อย่างเช่น
1. เบรคลึกๆ4วิ จนร้อน แล้วปล่อยให้คลายความร้อนสัก 6 วิ
2. กับเบรคยาวๆ เลียไปเรื่อยๆ 7 วิ แล้วความความร้อนสัก 3 วิ
แบบที่ 2 อาจทำให้เบรคร้อนกว่า เพราะระบายความร้อนไม่ทัน
แบบที่ 1 ช่วงที่ปล่อยเบรค เราสามารถใช้เกียร์ช่วย ลดความเร็ว หรือชะลออัตราเร่งของรถได้อีกแรงครับ
สุดท้าย คิดว่ามันไม่มีอะไรตายตัวครับ ถ้าระบบเบรคทำมาดี ใช้งานที่ความร้อนสูงๆได้ เลียตลอด อาจไมไ่ด้เป็นปัญหาอะไรก็ได้ครับ
ถ้าเนินไม่ได้ชันมากๆ และรถไม่ใช้เกียร์ cvt คิดว่าใส่เกียร์ต่ำช่วยได้มากๆ เลยครับ
-
อันตรายถึงชีวิตทั้ง 2 กรณี..... ที่ตกเขาตายกันบ่อยๆเพราะแบบนี้แหละครับ....
ถ้าลงสั้นๆไม่กี่โค้งอาจไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าลงยาวๆหลายๆโค้ง มีปัญหาแน่ครับ ยิ่งถ้ารถแบกน้ำหนักมากอยู่ด้วยยิ่งมีปัญหา
เบรกจะร้อนจนเฟด จนเบรกต่อไม่ได้ หรือภาษาชาวบ้านบนหน้าหนังสือพิมพ์เรียกว่า "เบรกแตก"...
เวลาลงเขา วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือใช้ engine brake เป็นหลัก แล้วใช้เบรกหลัก(เบรกเท้า)เป็นตัวเสริมในกรณีที่จำเป็น
จะใช้เกียร์ไหนลงเขา ก็ขึ้นอยู่กับความชันของถนน ณ ขณะนั้น ถ้ายิ่งชันมาก ก็ให้ใช้เกียร์ต่ำมากขึ้นตามลำดับ
แต่แนะนำว่ารอบเครื่องที่ใช้อยู่ ณ จังหวะที่ลงเขาต่อเนื่องยาวๆ ถ้าจังหวะดีนี่แทบไม่ได้ใช้เบรกเท้าเลยตลอดทางลงเขา หรือใช้ก็น้อยมากๆ
น้ำมันไม่กินเลยสักหยด
สำหรับคนที่ไม่ทราบ จังหวะใช้ engine brake หัวฉีดจะไม่ฉีดน้ำมันเลยสักหยดเดียว คือ ECU จะสั่งตัดการจ่ายน้ำมันของหัวฉีดเลย เป็น 0
เครื่องก็จะไม่มีการจุดระเบิด ความร้อนจากการจุดระเบิดจะไม่มี ความร้อนที่เกิดจะมีเฉพาะความร้อนจากการเสียดสีของชิ้นส่วนภายในเท่านั้น ซึ่งจะน้อยมาก
(ถ้ารถใครมีเกจวัดอุณหภมูหม้อน้ำ จะเห็นเลยว่าจังหวะ engine brake ลงเขามานี่อุณหภูมิหม้อน้ำมันจะค่อยๆลดลงเรื่อยๆ)
แล้วต่อให้มีความร้อน ทั้งเครื่องและเกียร์ มันก็มีของเหลวทั้งน้ำและน้ำมันหล่อลื่น หม้อน้ำ ออยล์เกียร์ คอยระบายและควบคุมความร้อนอยู่
เพราะฉะนั้นมันสามารถทำงานได้ในสภาพนั้น 24ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นต่อเนื่องกันเลยก็ได้ โดยที่ไม่เป็นอะไรเลย
ต่างกับเบรกลิบลับน่ะครับ ที่มันไม่สามารถทำงานได้ต่อเนื่องนานๆ....แล้วก็อีกอย่างน่ะครับ จังหวะที่ใช้ engine brake ลงเขา
ทั้งเครื่องทั้งเกียร์จะมีความร้อนน้อยกว่า รับภาระน้อยกว่าเวลาเราขับในเมือง เร่งออกไฟแดง เร่งออกหน้าปากซอย หรือเร่งแซงทั่วๆไปอีกน่ะครับ
เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปกลัวว่ามันจะสึกหรอกว่าปกติหรืออะไรแบบที่หลายคนเข้าใจนะครับ
tip; ถ้าลงเขาอากาศไม่หนาวมาก ให้เร่งแอร์จนสุด ให้คอมทำงานเยอะๆหรือทำตลอด จะช่วยให้ engine brake ดึงหนักมมากขึ้นครับ.
-
คำว่าเลียเบรค คือพวกเร่งลงเขา แล้วเบรคตลอดเวลา รถไหลๆไปเรื่อย มันเกิดการเสียดสี เกิดความร้อนสะสม
แต่ถ้าเรา เบรคลึกให้รถหยุด หรือชละ เบรคปลาอยๆ เบรคจะไม่ร้อนจัด การที่เบรคลึกๆแล้วรถหยุด แปลว่า คุณใช้ความเร็วเหมาะสม
สรุป มันไม่มีอะไรมาก
ขับยังไงก็ให้เบรคคุณไม่ร้อนจนเฟด เบรคไม่อยู่ จะไหล จะลึก จะยังก็ตาม ขอแค่ให้เบรคอยู่แล้วไม่ร้อน
-
ผมมองว่า เหมือนเติมน้ำในตุ่ม จะเติมทีละขันเล็กๆ หรือเททั้งถังลงไป เมื่อมันเต็มก็คือเต็มเหมือนกัน จะเต็มเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับว่าเติมได้เร็วแค่ไหน ในกรณีเบรกนั้น เราคงตอบได้ยากกว่าหน่อยว่ามันจะ overheat เร็วแค่ไหน เพราะไม่ได้มีตัววัดอุณหภูมิติดเพื่อดู ณ ขณะนั้นๆเลย จะรู้ตัวก็ต่อเมื่อ มันเริ่มเอาไม่อยู่แล้ว
ส่วนตัวก็ใช่เกียร์ต่ำเพื่อช่วยด้วยอยู่แล้ว แต่เบรกก็ใช้แบบกลางๆ ไม่กดหนักทีเดียว หรือ กดเป็นจังหวะ หรือแช่ยาวๆ เน้นพอเหมาะพอควร พยามใช้ความเร็วให้เพมาะสมครับ
-
ง่ายๆ ถ้าเกียร์ MT เหยียบเบรคลึกๆแรงๆ ให้ชะลอตัวแล้วปล่อย เหยียบคลัช ลดเกียร์ พอรอบขึ้นมากเกินทนก็ ขยับเกียร์ขึ้น พอความเร็วเพิ่มสุดทนก็เหยียบเบรคลึกๆแรงๆ แล้วไล่เสต็ปเดิมใหม่
ถ้าเกียร์ AT ลดเกียร์มาที่ 3 หรือ 2 หรือ L ถ้ามี O/D ก็ไล่สเต็ป จาก O/D>ความเร็วเพิ่มสุดทนก็เหยียบเบรคแรงๆ>ลดเกียร์
ถ้าเกียร์ AT มีแมนนวลชิฟท์ ยิ่งง่ายไล่เสต็ปแบบ MT ไม่ต้องเหยียบคลัชเพราะไม่มีให้เหยียบ555
ทางลงตรงๆ อย่าใช้เบรคเลี้ยงความเร็วให้ใช้เกียร์แทน มันไม่พังหรอกครับ จากประสพการณ์ขับรถใช้รถมาเป็นสิบคันจนเกษียณ ไม่เคยเจอเกียร์พังเจอแต่คันเกียร์หลุดอยู่หลายครั้งเลย555
ทุกวันนี้ขับในเมืองเกียร์ AT ก็ยังใช้วิธีเบรคลึกๆให้เกียร์ลดลงแล้วปล่อยเพราะไม่ชอบเลีย(เบรค)
-
สำหรับผม ใช้เกียร์ต่ำและรักษาความเร็วไม่ให้สูงจนเกินไป
-
ไม่เท่ากันครับ ถ้าเลียเบรค ความร้อนสะสมเยอะกว่าเบรคทำงานหนักกว่า แม้จะความเร็วต่ำก็ตาม ถ้าเทียบปล่อยไหลลงมาแล้วเบรคแรงๆทีเดียว แล้วปล่อยเบรคเลย แบบที่ 2 ไม่มีทางไหม้ หรือเบรคเฟดเลยครับ และปลอดภัยกว่าเยอะ แล้วที่ว่าปล่อยไหล รถติดๆบนเขา ความเร็วมันไม่ถึง 40Km/h ด้วยซ้ำครับ ไม่ได้อันตรายอะไรเลย
ปล. แอบ งง นิดนึง หลายท่านยังอ้างอิงถึง Engine Brake อยู่ คือถ้ารถมันติดอ่ะครับ ติดแบบกระดึ๋บๆ Engine Break มันทำงานไม่ได้ เพราะรอบมันยังต่ำอยู่เลยครับ ยังไงๆ ก็ต้องเบรคไปเรื่อยๆอยู่ดี แต่ถามว่า เข้าเกียร์ 1 ค้างไว้ช่วยได้มั้ย ช่วยได้ครับ แต่มันก็ต้องทิ้งระยะ ปล่อยให้ไหลเร็วๆ Engine Break ช่วยนิดๆ แล้วกระแทกเบรคทีเดียวแล้ว ปล่อยครับ
ที่โหดๆอย่าง ห้วยน้ำดัง-เชียงใหม่ ลงเขามา เกียร์ 1 ยังเอาไม่อยู่เลยครับ ความเร็วมันเร็วเกินแน่ ช่วงพับผ้าไปมา ปล่อยมาเร็วๆแล้วกดเบรคทีเดียวก่อนโค้ง แล้วปล่อยเบรคเข้าโค้ง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆครับ ไม่มีไหม้ ไม่มีเฟดแน่ แต่
อ้วกครับ 555
ถ้าผมเข้าใจอะไรผิดบอกกันนะครับ
-
ไม่เท่ากันครับ ถ้าเลียเบรค ความร้อนสะสมเยอะกว่าเบรคทำงานหนักกว่า แม้จะความเร็วต่ำก็ตาม ถ้าเทียบปล่อยไหลลงมาแล้วเบรคแรงๆทีเดียว แล้วปล่อยเบรคเลย แบบที่ 2 ไม่มีทางไหม้ หรือเบรคเฟดเลยครับ และปลอดภัยกว่าเยอะ แล้วที่ว่าปล่อยไหล รถติดๆบนเขา ความเร็วมันไม่ถึง 40Km/h ด้วยซ้ำครับ ไม่ได้อันตรายอะไรเลย
ปล. แอบ งง นิดนึง หลายท่านยังอ้างอิงถึง Engine Brake อยู่ คือถ้ารถมันติดอ่ะครับ ติดแบบกระดึ๋บๆ Engine Break มันทำงานไม่ได้ เพราะรอบมันยังต่ำอยู่เลยครับ ยังไงๆ ก็ต้องเบรคไปเรื่อยๆอยู่ดี แต่ถามว่า เข้าเกียร์ 1 ค้างไว้ช่วยได้มั้ย ช่วยได้ครับ แต่มันก็ต้องทิ้งระยะ ปล่อยให้ไหลเร็วๆ Engine Break ช่วยนิดๆ แล้วกระแทกเบรคทีเดียวแล้ว ปล่อยครับ
ที่โหดๆอย่าง ห้วยน้ำดัง-เชียงใหม่ ลงเขามา เกียร์ 1 ยังเอาไม่อยู่เลยครับ ความเร็วมันเร็วเกินแน่ ช่วงพับผ้าไปมา ปล่อยมาเร็วๆแล้วกดเบรคทีเดียวก่อนโค้ง แล้วปล่อยเบรคเข้าโค้ง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆครับ ไม่มีไหม้ ไม่มีเฟดแน่ แต่
อ้วกครับ 555
ถ้าผมเข้าใจอะไรผิดบอกกันนะครับ
ส่วนตัวที่เคยใช้เกียร์ต่ำเวลาลงเนิน อ้างอิงจากการลงลาดจอดในห้างละกัน รถหยุดใส่ D ปล่อยเบรค จะไหลเร็วกว่า ใส่เกียร์ 1 หรือ 2 แล้วปล่อยไหลนะครับ
ทั้งนี้ เท่าที่เคยลอง เครื่องดีเซล engine brake แรงกว่าเบนซิลที่เกียร์เดียวกัน(ไม่รู้ว่าเบนซิลทำมาให้ใช้รอบสูงกว่าหรือเปล่า) อย่างดีเซลลงเขา ใส่ 4 ก็เริ่มหนึดละๆ ใส่สาม ความเร็วลดเลย ในขนะที่เบนซิลอาจต้องลงถึงเกียร์สองเลย
ปล. เขาชันๆยังไม่เคยลองนะครับ อันนี้เน้นยัดเกียร์ต่ำแล้วปล่อยไหลลงลานจอด ikea
-
ไม่เท่ากันครับ ถ้าเลียเบรค ความร้อนสะสมเยอะกว่าเบรคทำงานหนักกว่า แม้จะความเร็วต่ำก็ตาม ถ้าเทียบปล่อยไหลลงมาแล้วเบรคแรงๆทีเดียว แล้วปล่อยเบรคเลย แบบที่ 2 ไม่มีทางไหม้ หรือเบรคเฟดเลยครับ และปลอดภัยกว่าเยอะ แล้วที่ว่าปล่อยไหล รถติดๆบนเขา ความเร็วมันไม่ถึง 40Km/h ด้วยซ้ำครับ ไม่ได้อันตรายอะไรเลย
ปล. แอบ งง นิดนึง หลายท่านยังอ้างอิงถึง Engine Brake อยู่ คือถ้ารถมันติดอ่ะครับ ติดแบบกระดึ๋บๆ Engine Break มันทำงานไม่ได้ เพราะรอบมันยังต่ำอยู่เลยครับ ยังไงๆ ก็ต้องเบรคไปเรื่อยๆอยู่ดี แต่ถามว่า เข้าเกียร์ 1 ค้างไว้ช่วยได้มั้ย ช่วยได้ครับ แต่มันก็ต้องทิ้งระยะ ปล่อยให้ไหลเร็วๆ Engine Break ช่วยนิดๆ แล้วกระแทกเบรคทีเดียวแล้ว ปล่อยครับ
ที่โหดๆอย่าง ห้วยน้ำดัง-เชียงใหม่ ลงเขามา เกียร์ 1 ยังเอาไม่อยู่เลยครับ ความเร็วมันเร็วเกินแน่ ช่วงพับผ้าไปมา ปล่อยมาเร็วๆแล้วกดเบรคทีเดียวก่อนโค้ง แล้วปล่อยเบรคเข้าโค้ง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆครับ ไม่มีไหม้ ไม่มีเฟดแน่ แต่
อ้วกครับ 555
ถ้าผมเข้าใจอะไรผิดบอกกันนะครับ
ส่วนตัวที่เคยใช้เกียร์ต่ำเวลาลงเนิน อ้างอิงจากการลงลาดจอดในห้างละกัน รถหยุดใส่ D ปล่อยเบรค จะไหลเร็วกว่า ใส่เกียร์ 1 หรือ 2 แล้วปล่อยไหลนะครับ
ทั้งนี้ เท่าที่เคยลอง เครื่องดีเซล engine brake แรงกว่าเบนซิลที่เกียร์เดียวกัน(ไม่รู้ว่าเบนซิลทำมาให้ใช้รอบสูงกว่าหรือเปล่า) อย่างดีเซลลงเขา ใส่ 4 ก็เริ่มหนึดละๆ ใส่สาม ความเร็วลดเลย ในขนะที่เบนซิลอาจต้องลงถึงเกียร์สองเลย
ปล. เขาชันๆยังไม่เคยลองนะครับ อันนี้เน้นยัดเกียร์ต่ำแล้วปล่อยไหลลงลานจอด ikea
เกียร์ D ทางเขาใช้ไม่ได้อยู่แล้วครับ ความเร็วมันเกินไปเยอะเลยครับ แล้วต้องเบรคเยอะ อย่าใช้นะครับ
ส่วนเรื่อง Engine Break เอาแบบที่ผมขับประจำ เชียงใหม่ ปาย ขากลับจาก ปายลงมาเชียงใหม่ เกียร์ 1 ของ New Pajero เครื่องดีเซล 8 เกียร์ เอาไม่อยู่ครับ ต้องกดเบรคช่วยทุกโค้งพับผัา รอบก็ค้าง 4000 รอบ แล้ว ความเร็วยังไม่ลงเลยครับ
-
ไม่เท่ากันครับ ถ้าเลียเบรค ความร้อนสะสมเยอะกว่าเบรคทำงานหนักกว่า แม้จะความเร็วต่ำก็ตาม ถ้าเทียบปล่อยไหลลงมาแล้วเบรคแรงๆทีเดียว แล้วปล่อยเบรคเลย แบบที่ 2 ไม่มีทางไหม้ หรือเบรคเฟดเลยครับ และปลอดภัยกว่าเยอะ แล้วที่ว่าปล่อยไหล รถติดๆบนเขา ความเร็วมันไม่ถึง 40Km/h ด้วยซ้ำครับ ไม่ได้อันตรายอะไรเลย
ปล. แอบ งง นิดนึง หลายท่านยังอ้างอิงถึง Engine Brake อยู่ คือถ้ารถมันติดอ่ะครับ ติดแบบกระดึ๋บๆ Engine Break มันทำงานไม่ได้ เพราะรอบมันยังต่ำอยู่เลยครับ ยังไงๆ ก็ต้องเบรคไปเรื่อยๆอยู่ดี แต่ถามว่า เข้าเกียร์ 1 ค้างไว้ช่วยได้มั้ย ช่วยได้ครับ แต่มันก็ต้องทิ้งระยะ ปล่อยให้ไหลเร็วๆ Engine Break ช่วยนิดๆ แล้วกระแทกเบรคทีเดียวแล้ว ปล่อยครับ
ที่โหดๆอย่าง ห้วยน้ำดัง-เชียงใหม่ ลงเขามา เกียร์ 1 ยังเอาไม่อยู่เลยครับ ความเร็วมันเร็วเกินแน่ ช่วงพับผ้าไปมา ปล่อยมาเร็วๆแล้วกดเบรคทีเดียวก่อนโค้ง แล้วปล่อยเบรคเข้าโค้ง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆครับ ไม่มีไหม้ ไม่มีเฟดแน่ แต่
อ้วกครับ 555
ถ้าผมเข้าใจอะไรผิดบอกกันนะครับ
ส่วนตัวที่เคยใช้เกียร์ต่ำเวลาลงเนิน อ้างอิงจากการลงลาดจอดในห้างละกัน รถหยุดใส่ D ปล่อยเบรค จะไหลเร็วกว่า ใส่เกียร์ 1 หรือ 2 แล้วปล่อยไหลนะครับ
ทั้งนี้ เท่าที่เคยลอง เครื่องดีเซล engine brake แรงกว่าเบนซิลที่เกียร์เดียวกัน(ไม่รู้ว่าเบนซิลทำมาให้ใช้รอบสูงกว่าหรือเปล่า) อย่างดีเซลลงเขา ใส่ 4 ก็เริ่มหนึดละๆ ใส่สาม ความเร็วลดเลย ในขนะที่เบนซิลอาจต้องลงถึงเกียร์สองเลย
ปล. เขาชันๆยังไม่เคยลองนะครับ อันนี้เน้นยัดเกียร์ต่ำแล้วปล่อยไหลลงลานจอด ikea
ตอนใช้งาน engine brake มากหรือน้อย มันเกี่ยวกับกำลังอัด
เพราะตอนปล่อยไหล ไม่แตะคันเริ่ง ปีกผีเสื้อแทบปิด(เป็น idle) อยู่แล้ว มันไม่มีอะไรในนั้นด้วยซ้ำ
แต่ด้วยความที่ไม่มีอากาศเข้า ตอนลูกสูบวิ่งลง มันก็เหมือนเข็มฉีดยา ที่ปิดทางปลายเข็ม แล้วดึงหรือชักก้านฉีดยาขึ้น มันจะหนืดๆ หน่วงๆ
แล้วตอนลูกสูบวิ่งขึ้น มันก็เกิดกำลังอัด แต่การจุดระเบิดแทบจะเป็น idle มันก็ไม่มีแรงถีบลูกสูบลง มันกลายเป็นแรงพลักจากทางลาด ทางชัด มาพลักรถ มาพลักเครื่องยนต์หมุนซะด้วยซ้ำ
พอกำลังอัดดีเซลเยอะกว่าเบนซิน มันเลยทำให้เกิด engine brake มากกว่า และการใช้เกียร์ต่ำ มันจะทำให้เกิด engine brake สูงขึ้นด้วย
ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเคยเข็นสตาร์ท หรือ เข็นกระตุกสตาร์ท รถเบนซิน กับ ดีเซล จะรู้ว่า เบนซินเข็นกระตุกติดง่ายกว่าดีเซลเยอะเลย ดีเซลนี่ล้อหลังลากยังกะเหยียบเบรคเลย
ปล.การปล่อยไหลลงเขา ยาวๆ ความเร็วสูงๆ แล้วกะจะไปแทรกเบรคหนักๆ หน้าโค้งลงเขา ลงเนิน แทนที่จะช่วยเบรค มันจะทำให้ท้ายออก รถหมุนเอาได้นะครับ ผมเห็นภาพ Takumi มาแต่ไกลเลย ตอนลงทับเบิกผมเห็นรถไปกองข้างทาง ก็เพราะแบบนี้ละ เลี้ยงความเร็ว เบรคเป็นจังหวะ ไม่ให้เร็วมาก โอกาศไหลยาว หรือ เสียหลัก มันน้อยกว่ากันเยอะครับ
-
ไม่เท่ากันครับ ถ้าเลียเบรค ความร้อนสะสมเยอะกว่าเบรคทำงานหนักกว่า แม้จะความเร็วต่ำก็ตาม ถ้าเทียบปล่อยไหลลงมาแล้วเบรคแรงๆทีเดียว แล้วปล่อยเบรคเลย แบบที่ 2 ไม่มีทางไหม้ หรือเบรคเฟดเลยครับ และปลอดภัยกว่าเยอะ แล้วที่ว่าปล่อยไหล รถติดๆบนเขา ความเร็วมันไม่ถึง 40Km/h ด้วยซ้ำครับ ไม่ได้อันตรายอะไรเลย
ปล. แอบ งง นิดนึง หลายท่านยังอ้างอิงถึง Engine Brake อยู่ คือถ้ารถมันติดอ่ะครับ ติดแบบกระดึ๋บๆ Engine Break มันทำงานไม่ได้ เพราะรอบมันยังต่ำอยู่เลยครับ ยังไงๆ ก็ต้องเบรคไปเรื่อยๆอยู่ดี แต่ถามว่า เข้าเกียร์ 1 ค้างไว้ช่วยได้มั้ย ช่วยได้ครับ แต่มันก็ต้องทิ้งระยะ ปล่อยให้ไหลเร็วๆ Engine Break ช่วยนิดๆ แล้วกระแทกเบรคทีเดียวแล้ว ปล่อยครับ
ที่โหดๆอย่าง ห้วยน้ำดัง-เชียงใหม่ ลงเขามา เกียร์ 1 ยังเอาไม่อยู่เลยครับ ความเร็วมันเร็วเกินแน่ ช่วงพับผ้าไปมา ปล่อยมาเร็วๆแล้วกดเบรคทีเดียวก่อนโค้ง แล้วปล่อยเบรคเข้าโค้ง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆครับ ไม่มีไหม้ ไม่มีเฟดแน่ แต่
อ้วกครับ 555
ถ้าผมเข้าใจอะไรผิดบอกกันนะครับ
เพราะโจทย์ตามที่ จขพ ตั้งมา เค้าว่าถึงการปล่อยไหลที่ช่วงความเร็ว 40-100 km/h คนอ่านก็เลยอนุมานได้ว่าไม่น่าพูดถึงกรณีรถติดครับ
ถ้าให้ตอบตามกรณีถ้ารถติด กรณีนี้ใช้ engine brake ไม่ได้อยู่แล้วเพราะช้าไป ใช่ครับ กรณีนี้ใช้แต่เบรกได้ครับ ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่
เพราะความเร็วน้อยมาก (คำว่า รถติด ผมอนุมานว่าความเร็วอยู่ในช่วง 0-20 km/h แล้วกันน่ะครับ) คือขยับสลับจอด เบรกไม่ค่อยร้อนครับ แค่อุ่นๆ
ส่วนเรื่อง engine brake เกียร์แต่ละระบบ รถแต่ละรุ่นก็ต่างกัน เซ็ตการทำงานมาต่างกัน มันจะมีผลกับประสิทธิภาพของ engine brake ด้วย
อย่างถ้าเป็นเกียร์ออโต้ของรถฝั่งญี่ปุ่นจะลำบากหน่อย เพราะสังเกตส่วนมากเลยเกียร์ออโต้ฝั่นญี่ปุ่น(แต่อาจไม่ใช่ทุกรุ่น) ต่อให้เข้าเกียร์ 1 2 หรือ L ก็แล้วแต่
เวลาเร่งไปแล้วลองยกคันเร่งหมดจังหวะ engine brake น้ำมันมันยังมีการฉีดอยู่เลย (ดูได้จากมาตรวัดการกินน้ำมันจะรู้ได้ว่าเครื่องยังมีการจ่ายน้ำมันอยู่หรือไม่)
ทำให้ engine brake มีประสิทธิภาพไม่เต็ม 100% อาจต้องใช้เบรกเท้าเติมมากหน่อยเวลาลงเขา ต่างจากเกียร์ MT ที่แค่เร่งให้รอบมากกว่ารอบเดินเบา
เช่นเกียร์ 1 เร่งไป 1,000rpm แล้วยกคันเร่ง หัวฉีดก็ตัดการทำงาน 100% เลย เครื่องไม่มีการจุดระเบิด เกิด engine brake หัวทิ่ม ก็จะมีแรงต้านขอเครื่องยนต์แบบ 100%
แล้ว ECU จะสั่งกลับมาฉีดน้ำมันตอนรอบหล่นมาถึงรอบเดินเบาโดยประมาณครับ......แต่รู้สึกว่าเกียร์ออโต้ของทางฝั่งยุโรปรุ่นใหม่ๆอย่าง ZF8 หรือ 9G
มันจะทำงานเลียนแบบเกียร์ธรรมดาเลยน่ะครับ รู้สึกว่าถ้าความเร็วเกิน 15 km/h แล้ว Lock up clutch จะล๊อค แล้วถ้ายกคันเร่งคือตัดการทำงานของหัวฉีด
เหมือนเกียร์ MT เลย (ถ้าข้อมูลคลาดเคลื่อน ขออภัยน่ะครับ)
แล้วเรื่องน้ำหนักรถ น้ำหนักล้อ ก็มีผลให้ชะลอความเร็วยากง่ายต่างกันด้วย น้ำหนักมาก ล้อใหญ่ ความยากก็จะมากขึ้น
เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่คนขับต้องทำความเข้าใจทำความคุ้นเคยกับรถที่ขับกันเอง ว่าต้องใช้ engine brake ร่วมกับเบรกเท้าลงเขา
มากน้อยขนาดไหน....ส่วนเรื่องเทคนิดที่ สมช มาบอกเล่ากัน หรือที่หาได้ตามคลิปตามเน็ตต่างๆ ก็ไว้ใช้เป็นพื้นฐานคร่าวๆครับ
ขับใช้งานจริงก็อาจจะมีความต่างไปบ้าง ตามสภาพการณ์ของรถและถนนครับ.
-
ไม่เท่ากันครับ ถ้าเลียเบรค ความร้อนสะสมเยอะกว่าเบรคทำงานหนักกว่า แม้จะความเร็วต่ำก็ตาม ถ้าเทียบปล่อยไหลลงมาแล้วเบรคแรงๆทีเดียว แล้วปล่อยเบรคเลย แบบที่ 2 ไม่มีทางไหม้ หรือเบรคเฟดเลยครับ และปลอดภัยกว่าเยอะ แล้วที่ว่าปล่อยไหล รถติดๆบนเขา ความเร็วมันไม่ถึง 40Km/h ด้วยซ้ำครับ ไม่ได้อันตรายอะไรเลย
ปล. แอบ งง นิดนึง หลายท่านยังอ้างอิงถึง Engine Brake อยู่ คือถ้ารถมันติดอ่ะครับ ติดแบบกระดึ๋บๆ Engine Break มันทำงานไม่ได้ เพราะรอบมันยังต่ำอยู่เลยครับ ยังไงๆ ก็ต้องเบรคไปเรื่อยๆอยู่ดี แต่ถามว่า เข้าเกียร์ 1 ค้างไว้ช่วยได้มั้ย ช่วยได้ครับ แต่มันก็ต้องทิ้งระยะ ปล่อยให้ไหลเร็วๆ Engine Break ช่วยนิดๆ แล้วกระแทกเบรคทีเดียวแล้ว ปล่อยครับ
ที่โหดๆอย่าง ห้วยน้ำดัง-เชียงใหม่ ลงเขามา เกียร์ 1 ยังเอาไม่อยู่เลยครับ ความเร็วมันเร็วเกินแน่ ช่วงพับผ้าไปมา ปล่อยมาเร็วๆแล้วกดเบรคทีเดียวก่อนโค้ง แล้วปล่อยเบรคเข้าโค้ง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆครับ ไม่มีไหม้ ไม่มีเฟดแน่ แต่
อ้วกครับ 555
ถ้าผมเข้าใจอะไรผิดบอกกันนะครับ
เพราะโจทย์ตามที่ จขพ ตั้งมา เค้าว่าถึงการปล่อยไหลที่ช่วงความเร็ว 40-100 km/h คนอ่านก็เลยอนุมานได้ว่าไม่น่าพูดถึงกรณีรถติดครับ
ถ้าให้ตอบตามกรณีถ้ารถติด กรณีนี้ใช้ engine brake ไม่ได้อยู่แล้วเพราะช้าไป ใช่ครับ กรณีนี้ใช้แต่เบรกได้ครับ ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่
เพราะความเร็วน้อยมาก (คำว่า รถติด ผมอนุมานว่าความเร็วอยู่ในช่วง 0-20 km/h แล้วกันน่ะครับ) คือขยับสลับจอด เบรกไม่ค่อยร้อนครับ แค่อุ่นๆ
ส่วนเรื่อง engine brake เกียร์แต่ละระบบ รถแต่ละรุ่นก็ต่างกัน เซ็ตการทำงานมาต่างกัน มันจะมีผลกับประสิทธิภาพของ engine brake ด้วย
อย่างถ้าเป็นเกียร์ออโต้ของรถฝั่งญี่ปุ่นจะลำบากหน่อย เพราะสังเกตส่วนมากเลยเกียร์ออโต้ฝั่นญี่ปุ่น(แต่อาจไม่ใช่ทุกรุ่น) ต่อให้เข้าเกียร์ 1 2 หรือ L ก็แล้วแต่
เวลาเร่งไปแล้วลองยกคันเร่งหมดจังหวะ engine brake น้ำมันมันยังมีการฉีดอยู่เลย (ดูได้จากมาตรวัดการกินน้ำมันจะรู้ได้ว่าเครื่องยังมีการจ่ายน้ำมันอยู่หรือไม่)
ทำให้ engine brake มีประสิทธิภาพไม่เต็ม 100% อาจต้องใช้เบรกเท้าเติมมากหน่อยเวลาลงเขา ต่างจากเกียร์ MT ที่แค่เร่งให้รอบมากกว่ารอบเดินเบา
เช่นเกียร์ 1 เร่งไป 1,000rpm แล้วยกคันเร่ง หัวฉีดก็ตัดการทำงาน 100% เลย เครื่องไม่มีการจุดระเบิด เกิด engine brake หัวทิ่ม ก็จะมีแรงต้านขอเครื่องยนต์แบบ 100%
แล้ว ECU จะสั่งกลับมาฉีดน้ำมันตอนรอบหล่นมาถึงรอบเดินเบาโดยประมาณครับ......แต่รู้สึกว่าเกียร์ออโต้ของทางฝั่งยุโรปรุ่นใหม่ๆอย่าง ZF8 หรือ 9G
มันจะทำงานเลียนแบบเกียร์ธรรมดาเลยน่ะครับ รู้สึกว่าถ้าความเร็วเกิน 15 km/h แล้ว Lock up clutch จะล๊อค แล้วถ้ายกคันเร่งคือตัดการทำงานของหัวฉีด
เหมือนเกียร์ MT เลย (ถ้าข้อมูลคลาดเคลื่อน ขออภัยน่ะครับ)
แล้วเรื่องน้ำหนักรถ น้ำหนักล้อ ก็มีผลให้ชะลอความเร็วยากง่ายต่างกันด้วย น้ำหนักมาก ล้อใหญ่ ความยากก็จะมากขึ้น
เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่คนขับต้องทำความเข้าใจทำความคุ้นเคยกับรถที่ขับกันเอง ว่าต้องใช้ engine brake ร่วมกับเบรกเท้าลงเขา
มากน้อยขนาดไหน....ส่วนเรื่องเทคนิดที่ สมช มาบอกเล่ากัน หรือที่หาได้ตามคลิปตามเน็ตต่างๆ ก็ไว้ใช้เป็นพื้นฐานคร่าวๆครับ
ขับใช้งานจริงก็อาจจะมีความต่างไปบ้าง ตามสภาพการณ์ของรถและถนนครับ.
ขอบคุณครับ ผมคงมึน ถ้า 40-100 km/h คือลงปกติแล้วล่ะครับ ใช้ engine ช่วยไปเลยครับ ตบไปตบมา 1-2-3 แทบไม่ต้องเบรคเลยครับ
-
คลิปนี้น่าจะให้คำตอบได้นะครับ ถ้าลงเขาเลียเบรคตลอดน้ำมันเบรคน่าจะเดือดไวกว่าเดิมนะครับ ลูกสูบเบรคมันต่อกับจานอยู่ตลอดเวลา น้ำมันเบรคอย่างดีๆ 260 องศาก็ไม่รอดแล้ว ส่วนผ้าเบรคมักจะเคลม 300-600 องศา
https://youtu.be/nfZNdzi3J10
เจ้าของกระกู้พูดถูกทุกอย่างเลยครับ
ถ้าดูคลิบแบบ Slow จะเห็นว่าเบรคจะได้สีแดง เมื่อมีการกดเบรคหนักๆ
แล้วในคลิบเป็น mph นะครับคูณไปอีกราวๆ 1.6 ถ้าเทียบเป็น kmh
การเลียเบรคที่ความเร็วต่ำ ตามหลักวิทยาศาตร์ จะเกิดความร้อนน้อยกว่า
เบรคลึกที่ความเร็วสูงลงมาต่ำ
-
ประสบการณ์ตรง ลงอินทนนท์เลียเบรกจนเบรกเฟดจากนั้นเหยียบสุดก็หยุดไม่ได้ ;D ;D ;D แต่ดีที่ใช้ความเร็วได้เลยปล่อยเบรกเย็น
จากนั้นใช้วิธีเบรกลึกจนเกือบหยุดแล้วปล่อยไม่เคยเฟดอีกเลย
-
คลิปนี้น่าจะให้คำตอบได้นะครับ ถ้าลงเขาเลียเบรคตลอดน้ำมันเบรคน่าจะเดือดไวกว่าเดิมนะครับ ลูกสูบเบรคมันต่อกับจานอยู่ตลอดเวลา น้ำมันเบรคอย่างดีๆ 260 องศาก็ไม่รอดแล้ว ส่วนผ้าเบรคมักจะเคลม 300-600 องศา
https://youtu.be/nfZNdzi3J10
เจ้าของกระกู้พูดถูกทุกอย่างเลยครับ
ถ้าดูคลิบแบบ Slow จะเห็นว่าเบรคจะได้สีแดง เมื่อมีการกดเบรคหนักๆ
แล้วในคลิบเป็น mph นะครับคูณไปอีกราวๆ 1.6 ถ้าเทียบเป็น kmh
การเลียเบรคที่ความเร็วต่ำ ตามหลักวิทยาศาตร์ จะเกิดความร้อนน้อยกว่า
เบรคลึกที่ความเร็วสูงลงมาต่ำ
ต้องแยกประเด็นนะครับ อันนี้ ซัดเต็มแรง แล้วเบรค ยังไงก็ร้อนครับ ร้อนจัดด้วย
แต่ หัวข้อคือ ลงเขา รถมันมันแบกน้ำหนัก ลงมา ถ้าคุณเลียเบรค มันไม่อยู่อยูหรอก มันคือการเบรคหนักๆ แบบนี้นั่นละครับ ตลอดเวลา
ขับ รถลงเขา เลียเบรคตลอดเวลา มันกเหมือนคุณขับรถแบบในคลิปแล้วเบรคนั่นละ
-
ว่ากันตามทฤษฎี มันก็ควรจะเป็นแบบ จขกท พูดนั่นแหละครับ
แต่อย่าลืมปัจจัยต่างๆ อย่าฃระยะเวลาในการเกิดอุณหภูมิ น้ำหนัก ฯลฯ สุดท้ายปฏิบัติจริงเลยเป็นแบบที่เราใช้ๆ กันครีบ
ว่าแต่ขอนอกเรื่องครับ
ชื่อ จขกท อ่านว่าอะไรหรอครับ ;D
-
ความรู้