Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: DiKiBoyZ ที่ ธันวาคม 10, 2022, 19:20:46
-
ถ้าเกิดย้อนเวลาได้ หรือ เหตุการณ์เปลี่ยนเป็นว่า
Tesla เปิดตัวก่อน BZ4x คิดกันไหมว่า ยอดจอง BZ4x ณ วันนั้น อาจจะเงียบไปเลย
และถ้าสมมุติ BZ4x ประกอบไทย มันจะราคา 1 ล้านได้ไหม(ซึ่งจะทับกับ CH-R หรือ Cross อีก) หรือ กลัวว่า จะตัดยอดขาย Camry , Fortuner ยังจะคงราคาไว้แถวๆ 1.5 ล้าน เพื่อให้มันอยู่ใน Position ที่ควรจะอยู่ เพื่อแข่งกับ CR-V ด้วย
เท่าที่ผมได้ไปลอง BZ4x ผมรู้สึกว่า มันคือ โตโยต้า ใน DNA โตโยต้ายุคใหม่ ไม่ได้มีความหวือหวา คอนโซลหน้าบางบางจุดยังเป็นผ้าอยู่เลย(อันนี้ผมไม่ค่อยชอบเป็นการส่วนตัว)
ภายใน พยายามพลักให้รู้สึกว่าไปทาง Camry หรือ Harrier มากกว่าลงมาหา Position ของ Altis คือ มีเน้นดำเงา เน้นให้ดูหรูขึ้น มากกว่า จะเป็น C-SUV หรือ พี่น้องร่วมค่ายอย่าง CH-R
-
ผมว่ามีผลแน่ๆครับ เผลอๆคนที่จอง BZ4x จะทิ้งจองมาเอา tesla แทนด้วยมั๊งครับนี่
-
ตอน bz4x เปิดตัว โดยส่วนตัวผมยังมองว่าแพงมาก สำหรับรถไฟฟ้าค่ายญี่ปุ่น ถึงแม้จะนำเข้า แต่ก็นำเข้าภายใต้เงื่อนไข BOI ซึ่งจริงๆควรถูกกว่านี้
และเมื่อ tesla เปิดตัว ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า TOYOTA ขายแพงจริง ถ้าเทียบกับ Model 3 ตัวเริ่มต้น ที่มีตัวเลขสมรรถนะต่างๆสูงกว่าแต่เปิดมาแค่ 1.7 ล้านเท่านั้น
หลายคนอาจจะบอกว่า ก็เค้าได้ FTA เลยได้ต้นทุนต่ำ แต่อย่าลืมว่า tesla ก็สามารถตั้งราคาแพงกว่านี้ได้ ถ้าเค้าจะเปิดตัวราคาเริ่มต้นมาที่ 2.1 ล้าน และตัว perfermance จบที่2.8 ล้าน ก็ยังเชื่อว่า มีคนบอกว่าถูกอยู่ดี
ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ความจริงใจ การตั้งราคาที่สมเหตุสมผล มากกว่า ตรงนี้ที่ได้ใจหลายๆคน
ค่ายญี่ปุ่นที่ ขนาดได้ลดภาษี ไฮบริจ แต่ทำราคาขายแพงกว่ารุ่นน้ำมันล้วนหลายแสน และก็อ้างว่าแพงเพราะเทคโนโลยี ตอนนี้คงต้องหุบปากได้แล้ว เพราะรถที่มีเทคโนโลยี เหนือกว่ามากๆ เค้าขายถูกกว่าได้นี่แหละ
-
ผมล่ะกลับมองว่า bZ4X ที่ว่ามันแพง มันแพงเพราะ ความ Toyota ด้วยครับ
ความ Toyota ในที่นี้คือ
- ต้นทุนการผลิต / ประกอบ ที่เค้าให้ความสำคัญกับ ทุกส่วน และ ทุกขั้นตอน
- ความงานประกอบที่จะมีโอกาสความผิดพลาดน้อย
- ต้นทุนการวิจัยและพัฒนาที่จะไม่ได้เน้นไปทางความ Hi Technology จ๋า แต่เน้นไปถึงความทนทาน ความไว้ใจได้ระยะยาว ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์ที่เค้าเอามาเดิมพันในการทำรถครั่งนี้
- ต้นทุนบริการหลังการขาย ศูนย์บริการ อะไหล่ การซ่อมสีและตัวถัง
ซึ่งความทั้งหมดนี้ ผมยินดีจ่ายครับ ถ้าผมคาดหวังความต่างๆ เหล่านี้ที่ Tesla ให้ผมไม่ได้หรือให้ได้ไม่ดีเท่า
และในขณะที่ Tesla ผมก็ยินดีจ่ายเช่นกัน ขึ้นกับว่า ณ วันที่ผมซื้อ ผมต้องการความ Toyota หรือความ Tesla เท่านั้น
ปล. หลังจากลูบคลำ Model 3 กับ bZ4X มา ผมก็ว่ามันก็มีดีพอที่จะทำให้น่าซื้อทั้งคู่นั่นแหละ ขึ้นกับลูกค้าต้องการอะไร ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนอยากได้ 0-100 ต่ำ 7 sec หรือ Self Driving ทุกคนเสมอไป
เพียงแต่ Model 3 มันก็ดูคุ้มค่าในด้านความ Tesla และ Hi Technology กับราคาที่ขายจริงๆ
-
Tesla อัตราเร่งดีกว่า bev ญี่ปุ่นและจีน
แต่ยังทำใจไม่ได้กับการที่ต้องควบคุมทุกอย่างผ่านจอกลาง
ปุ่มต่างๆไม่มีมาให้ อาจจะควบคุมตอนขับรถลำบาก
และการ service และสต็อคอะไหล่พี่โตคงชำนาญกว่ามาก
ทำให้ผมยังสนใจใน BZ4X อยู่
แต่ที่ผมสงสัยที่สุดคือเมื่อรถ bev อายุ 10 จะขายต่อได้เงินเท่าไหร่ เพราะคงต้องขายคันเก่าก่อนซื้อคันใหม่
-
ตอน bz4x เปิดตัว โดยส่วนตัวผมยังมองว่าแพงมาก สำหรับรถไฟฟ้าค่ายญี่ปุ่น ถึงแม้จะนำเข้า แต่ก็นำเข้าภายใต้เงื่อนไข BOI ซึ่งจริงๆควรถูกกว่านี้
และเมื่อ tesla เปิดตัว ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า TOYOTA ขายแพงจริง ถ้าเทียบกับ Model 3 ตัวเริ่มต้น ที่มีตัวเลขสมรรถนะต่างๆสูงกว่าแต่เปิดมาแค่ 1.7 ล้านเท่านั้น
หลายคนอาจจะบอกว่า ก็เค้าได้ FTA เลยได้ต้นทุนต่ำ แต่อย่าลืมว่า tesla ก็สามารถตั้งราคาแพงกว่านี้ได้ ถ้าเค้าจะเปิดตัวราคาเริ่มต้นมาที่ 2.1 ล้าน และตัว perfermance จบที่2.8 ล้าน ก็ยังเชื่อว่า มีคนบอกว่าถูกอยู่ดี
ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ความจริงใจ การตั้งราคาที่สมเหตุสมผล มากกว่า ตรงนี้ที่ได้ใจหลายๆคน
ค่ายญี่ปุ่นที่ ขนาดได้ลดภาษี ไฮบริจ แต่ทำราคาขายแพงกว่ารุ่นน้ำมันล้วนหลายแสน และก็อ้างว่าแพงเพราะเทคโนโลยี ตอนนี้คงต้องหุบปากได้แล้ว เพราะรถที่มีเทคโนโลยี เหนือกว่ามากๆ เค้าขายถูกกว่าได้นี่แหละ
เห็นด้วยครับ
-
bz4x ไม่ต้องโอนเงินจอง
BEVจีน เงินจอง 5พัน แต่ยกเลิกคืนเงินได้ตลอด
Tesla เงินจอง 4พัน ไม่คืนเงินทุกกรณี
ควรจะให้ค่ากับจำนวนไหนครับ
-
bz4x รวมเงินสนับสนุนรัฐแล้วเหลือ 1.8x ลบ ผมว่าไม่แพง เพียงแต่ตอนนี้กระแส Tesla มาแรงมาก แล้วราคาลดลงจากที่เกรย์ขายร่วมๆ 2 ลบ. ตอนนี้ยังเป็นช่วงฝุ่นตลบคนรีบแย่งซื้อส่วนนึงเพราะราคา คล้ายๆ กับกรณีที่ เชฟโรเลตเลหลังแคปติว่า และคนก็อยากลอง tesla มากกกก มันเหมือนอัดอั้นที่ได้แต่ดูรีวิวเมืองแล้วเมืองไทยไม่มีขาย หรือมีขายก็ราคาเกินเอื้อมมากๆ
ถ้า เทสล่ามาก่อนยอดจอง bz4x คงไม่เยอะเท่าที่ผ่านมา เพราะคนรอบตัวผมต่ำๆ 4 คน (รวมทั้งผมด้วย) ที่จอง bz4x ไป ก็มาจอง model y กันหมด
-
ผมว่าเรื่องเทสล่านี่ พี่จิมตอบชัดเจนในรายการแกแล้วไม่ใช่หรอครับวันนี้
ส่วนตัวผมเห็นตรงกับความเห็นนี้นะ
ผมล่ะกลับมองว่า bZ4X ที่ว่ามันแพง มันแพงเพราะ ความ Toyota ด้วยครับ
ความ Toyota ในที่นี้คือ
- ต้นทุนการผลิต / ประกอบ ที่เค้าให้ความสำคัญกับ ทุกส่วน และ ทุกขั้นตอน
- ความงานประกอบที่จะมีโอกาสความผิดพลาดน้อย
- ต้นทุนการวิจัยและพัฒนาที่จะไม่ได้เน้นไปทางความ Hi Technology จ๋า แต่เน้นไปถึงความทนทาน ความไว้ใจได้ระยะยาว ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์ที่เค้าเอามาเดิมพันในการทำรถครั่งนี้
- ต้นทุนบริการหลังการขาย ศูนย์บริการ อะไหล่ การซ่อมสีและตัวถัง
ซึ่งความทั้งหมดนี้ ผมยินดีจ่ายครับ ถ้าผมคาดหวังความต่างๆ เหล่านี้ที่ Tesla ให้ผมไม่ได้หรือให้ได้ไม่ดีเท่า
และในขณะที่ Tesla ผมก็ยินดีจ่ายเช่นกัน ขึ้นกับว่า ณ วันที่ผมซื้อ ผมต้องการความ Toyota หรือความ Tesla เท่านั้น
ปล. หลังจากลูบคลำ Model 3 กับ bZ4X มา ผมก็ว่ามันก็มีดีพอที่จะทำให้น่าซื้อทั้งคู่นั่นแหละ ขึ้นกับลูกค้าต้องการอะไร ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนอยากได้ 0-100 ต่ำ 7 sec หรือ Self Driving ทุกคนเสมอไป
เพียงแต่ Model 3 มันก็ดูคุ้มค่าในด้านความ Tesla และ Hi Technology กับราคาที่ขายจริงๆ
ส่วนตัวผมคือ พูดตรงๆนะ Tesla ที่กระแสมาแรงๆตอนนี้ อารมณ์เหมือนตอนคนไทยรู้ว่ามี Camry Esport นำเข้าจากออสแล้วไปเห่อกันอะครับ ไม่ต่างกันเลย
ปล. คนที่คิดว่า bZ4x แพงเกินไป เพราะมันโลโก้โตโยต้าเฉยๆรึเปล่าครับ? เพราะวัสดุภายในมันเหนือกว่าแคมรี่จะไปแตะ Lexus อยู่แล้ว..
แก้ไขเพิ่ม :
bZ4x ลองกดเครื่องคิดเลขเล่นๆเองจากราคาขายญปตัวท็อป (6.5 ล้านเยน) เจอภาษีสรรพสามิตร 2% กับมหาดไทย (10% ของสรรพสามิตร) แล้วก็จบที่ VAT 7%
ราคามันจบที่ 1.806 ล้านนะครับ
ส่วนของเทสล่ามัน 0% ทั้งสรรพสามิตรกับมหาดไทย (FTA ไทยจีน) ส่วน VAT 7% อันนั้นก็ปกติ
ราคาที่จีนตัวเริ่มต้น Model 3 RWD มันตีหยาบๆ 280k หยวนนะครับ (เงินไทยก็ 1.3 ล้าน) เข้าไทยฟาดไป 1.759 ล้านบาท ทำไมเลข 7% ของเทสล่ามันเยอะเหลือเกิน
แหล่งที่มาราคาจีน : https://insideevs.com/news/618161/china-tesla-cut-model3-modely-prices/ *ดูราคาก่อน Subsidize นะครับ
-
Tesla อัตราเร่งดีกว่า bev ญี่ปุ่นและจีน
แต่ยังทำใจไม่ได้กับการที่ต้องควบคุมทุกอย่างผ่านจอกลาง
ปุ่มต่างๆไม่มีมาให้ อาจจะควบคุมตอนขับรถลำบาก
และการ service และสต็อคอะไหล่พี่โตคงชำนาญกว่ามาก
ทำให้ผมยังสนใจใน BZ4X อยู่
แต่ที่ผมสงสัยที่สุดคือเมื่อรถ bev อายุ 10 จะขายต่อได้เงินเท่าไหร่ เพราะคงต้องขายคันเก่าก่อนซื้อคันใหม่
ผมก็คิดเหมือนกันครับ
ส่วนตัวชอบ Tesla แค่ด้านอัตราเร่งกับระยะทางที่วิ่งได้ไกล
แต่รับไม่ได้กับการใช้งานพื้นฐานหลายๆอย่างที่ต้องกดผ่านจอกลางจนยุ่งยากเกินโดยไม่จำเป็น
ปุ่มกดที่ควรจะเป็น shortcut ก็ไม่มีเลย เอาแค่เรื่องง่ายๆอย่างการเปิดที่เก็บของในห้องโดยสารยังต้องกดจากจอกลางเลย
Head up display ก็ไม่มี ขนาดหน้าปัดธรรมดาๆยังไม่มี (นี่รถราคา 1.8ล นะเฮ้ย! จะงกไปไหน)
พยายามจะขายแต่จุดที่เป็น wow factor หรือ gimmick แต่ในเรื่องพื้นฐานๆที่ควรจะมีดันสอบตกในการเป็นรถด้วยซ้ำ
-
ส่วนของเทสล่ามัน 0% ทั้งสรรพสามิตรกับมหาดไทย (FTA ไทยจีน) ส่วน VAT 7% อันนั้นก็ปกติ
ราคาที่จีนตัวเริ่มต้น Model 3 RWD มันตีหยาบๆ 280k หยวนนะครับ (เงินไทยก็ 1.3 ล้าน) เข้าไทยฟาดไป 1.759 ล้านบาท ทำไมเลข 7% ของเทสล่ามันเยอะเหลือเกิน
แหล่งที่มาราคาจีน : https://insideevs.com/news/618161/china-tesla-cut-model3-modely-prices/ *ดูราคาก่อน Subsidize นะครับ
Tesla ภาษีสรรพสามิต 8% ครับ (+มหาดไทยอีก 10% ของสรรพสามิต) (https://car.go.th/landing-page/detail/f02a4e30-4b1e-4bb2-a120-f13a6e14fa31) (ถ้าเซ็น MOU จะได้ลดสรรพสามิตจาก 8% เป็น 2%)
ราคารถ 280,000 CNY ถ้าเผื่อ exchange ไว้หน่อย สัก 5.2 CNY/THB = 280000*5.2 = 1,456,000
บวกค่าขนส่ง (ผมไม่แน่ใจว่าเท่าไร สมมุติตีซะ 50,000)
รวมราคารถบวกภาษี
= (1,456,000 + 50,000) * (สรรพสามิต,มหาดไทย 1.088) * (VAT 1.07)
= 1,753,225
-
Tesla อัตราเร่งดีกว่า bev ญี่ปุ่นและจีน
แต่ยังทำใจไม่ได้กับการที่ต้องควบคุมทุกอย่างผ่านจอกลาง
ปุ่มต่างๆไม่มีมาให้ อาจจะควบคุมตอนขับรถลำบาก
และการ service และสต็อคอะไหล่พี่โตคงชำนาญกว่ามาก
ทำให้ผมยังสนใจใน BZ4X อยู่
แต่ที่ผมสงสัยที่สุดคือเมื่อรถ bev อายุ 10 จะขายต่อได้เงินเท่าไหร่ เพราะคงต้องขายคันเก่าก่อนซื้อคันใหม่
เรื่องราคาขายต่อ BEV ผมคิดว่ามันคงเป็น 0 บาท
ทุกยี่ห้อ ทุกสัญชาติ แหละครับ
ทุกวันนี้คนเจอค่าซ่อมบำรุงรถหลักหมื่นก็ร้อง และคิด
จะขายทิ้งเปลี่ยนคันใหม่กันทั้งนั้น แล้วไปเจอหลัก
แสน หลายๆ แสนใน BEV จะมีคนรับไหวเหรอครับ
แรกๆ ก็อาจเอนจอยกับค่าเช็คระยะกับค่าพลังงานต่ำๆ
อยู่ แต่ท้ายที่สุดที่หนีไม่พ้นคือต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ชิ้นใหญ่
กับประสิทธิภาพแบตที่ต่ำลงเรื่อยๆ
เราคงใช้ scenario ในการใช้งานเดียวกันกับรถสันดาป
มาคิดไม่ได้ละครับ
-
Tesla อัตราเร่งดีกว่า bev ญี่ปุ่นและจีน
แต่ยังทำใจไม่ได้กับการที่ต้องควบคุมทุกอย่างผ่านจอกลาง
ปุ่มต่างๆไม่มีมาให้ อาจจะควบคุมตอนขับรถลำบาก
และการ service และสต็อคอะไหล่พี่โตคงชำนาญกว่ามาก
ทำให้ผมยังสนใจใน BZ4X อยู่
แต่ที่ผมสงสัยที่สุดคือเมื่อรถ bev อายุ 10 จะขายต่อได้เงินเท่าไหร่ เพราะคงต้องขายคันเก่าก่อนซื้อคันใหม่
ตอนแรกผมก็กลัวราคาขายต่อนะ แต่พอไปศึกษาหาข้อมูลดีๆแล้วต่างเคส ตปท ต่อให้แบต NMC มันก็เสื่อมแค่ปีล่ะ 1-2% ถ้าเป็น LFP ก็เสื่อมช้าอีก Cycle 5000 รอบ คูณรอบล่ะ 400 โล มันล่อไป 2ล้านกิโลแล้ว ขับยังไงก็ไม่ถึงหรอกครับ มีเคสที่เปลี่ยนแบตเทสล่านั่นก็วิ่งไป 6แสนโล แน่นอนว่ามันเก็บไฟได้ไม่เท่าเดิม แต่มันก็ยังวิ่งได้เยอะอยู่ดี โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเลย รวมๆถ้าวิ่งถึง 5-6 แสนโล ค่าซ่อม ค่าน้ำมัน มันก็คุ้มแล้วอ่ะครับ ถ้าวิ่ง 1-2 แสนแล้วขาย ราคาขายมันไม่ใช่ 0 แน่นอนครับ ยังใช้ได้อีกเยอะ
-
Tesla อัตราเร่งดีกว่า bev ญี่ปุ่นและจีน
แต่ยังทำใจไม่ได้กับการที่ต้องควบคุมทุกอย่างผ่านจอกลาง
ปุ่มต่างๆไม่มีมาให้ อาจจะควบคุมตอนขับรถลำบาก
และการ service และสต็อคอะไหล่พี่โตคงชำนาญกว่ามาก
ทำให้ผมยังสนใจใน BZ4X อยู่
แต่ที่ผมสงสัยที่สุดคือเมื่อรถ bev อายุ 10 จะขายต่อได้เงินเท่าไหร่ เพราะคงต้องขายคันเก่าก่อนซื้อคันใหม่
ผมก็คิดเหมือนกันครับ
ส่วนตัวชอบ Tesla แค่ด้านอัตราเร่งกับระยะทางที่วิ่งได้ไกล
แต่รับไม่ได้กับการใช้งานพื้นฐานหลายๆอย่างที่ต้องกดผ่านจอกลางจนยุ่งยากเกินโดยไม่จำเป็น
ปุ่มกดที่ควรจะเป็น shortcut ก็ไม่มีเลย เอาแค่เรื่องง่ายๆอย่างการเปิดที่เก็บของในห้องโดยสารยังต้องกดจากจอกลางเลย
Head up display ก็ไม่มี ขนาดหน้าปัดธรรมดาๆยังไม่มี (นี่รถราคา 1.8ล นะเฮ้ย! จะงกไปไหน)
พยายามจะขายแต่จุดที่เป็น wow factor หรือ gimmick แต่ในเรื่องพื้นฐานๆที่ควรจะมีดันสอบตกในการเป็นรถด้วยซ้ำ
ถ้าอยากได้HUD มีขายหลายที่ครับ ตัวอย่าง https://store.hudway.co/drive_tesla ก็มี รถขายเยอะขนาดนี้ไม่ต้องห่วง รับรองมีคนนำของเล่นหรือของแต่งมาเพียบในอนาคตแน่นอน
-
กลุ่มคนที่เลือก บางส่วนเป็นลักษณะเฉพาะอยู่แล้ว
อย่างเป็นผมคงเลือก Toyota อยู่ดีใช้รถคันนึงนาน ให้เอาเงินสองล้าน
ไปเสี่ยงกับยี่ห้อที่พึ่งมา พื้นฐานการลองรับยังไม่แน่ชัดว่าจะดีไหม อยู่นานไหมคงไม่เหมาะ
ส่วนความหรูหรา มองว่า เท่าๆ พอๆกัน ยี่ห้อมาใหม่ก็ฟังจากหลายสื่อ เขาว่างั้น แถมงานประกอบ
ก็อาจจะไม่ดีเท่า
แล้วถ้าจะให้เลือก ส่นตัวมองว่าคงต้องกดให้ราคา เหนือกว่าจีน แต่ไม่เท่ากับโต จึงน่าสน
-
ผมกำลังตัด bz4x ออกจากลิส..
คลิปที่จีน ไม่มีผลกับผม...
-
Tesla ก็ไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคนนะที่อยากได้รถไฟฟ้า ส่วนใหญ่ที่ซื้อยี่ห้ออื่นเค้าไม่ได้คิดหรอกว่าซื้อรถไฟฟ้ามาแล้วต้องใช้กด 3 วิเอาไว้แข่งกับใคร Tesla บางอย่างก็ให้ความรู้สึกแบบที่ยี่ห้ออื่นให้ไม่ได้ คนที่เค้าชอบความเป็น โตโยต้าก็มีเยอะ ความคุ้นเคย หรือชอบที่รูปลักษณ์ องค์ประกอบอื่นๆมันเยอะ
-
ติ bz4 เรื่อง เบาะคู่หน้าเนี่ยหละ ข้างคนนั่งปรับมือซะงั้น หงุดหงิด
-
ผมใช้งานอยู่ ตจว. เลือก Toyota มากกว่าจะเลือก Tesla ครับ ยกเว้นถ้าโจทย์เป็นรถคันที่ 3-4 ในบ้าน ก็ไปเทสล่าได้ เอาความล้ำ เอากระแสกับเค้าหน่อย แต่ถ้าใช้ในชีวิตจริง ดูจากตัวรถแล้ว คิดว่าไม่ใช่ทางผมแน่ๆ ยังอยากขับ "รถ" มากกว่าขับ "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดล้อ"
และในราคาเริ่มต้นที่เท่าๆกัน ไม่ต่างกันมากนัก BZ4X เองก็ยังมีการตกแต่งที่แม้จะไม่ดีสุด แต่ก็ยังดูดี และดู practical ดู ergonomics มากกว่า Tesla Model Y ที่พอเข้าไปนั่งแล้วขัดใจมากกว่า ทุกอย่างอยู่ในจอกลางหมด จะใช้อะไรต้องละสายตามากด มาดู อย่างผมเอง อัตราเร่งของ BZ4X คือดีถมถืดแล้ว ก็เลยไม่ได้มองเรื่องอัตราเร่งมาเป็นประเด็นสำคัญครับ
แต่ทั้งสองคันคือ ผมไม่เลือก ณ วันนี้ครับ ถ้าต้องจ่ายเงิน 1.8-2.0 ล้าน ผมยังเลือก Camry HEV หรือไม่ก็ PPV ตัวท๊อปๆมากกว่าครับ ตอบโจทย์เรื่องความสบายและการใช้งานกว่ามากๆ ไม่ต้องกังวลว่าอีก 10 ปีราคาขายต่อจะเป็นไง อย่างไฮบริดมันก็ตกของมันอยู่แล้วในเรทที่รับได้กับการใช้งานครับ แต่ไฟฟ้านี่ ไม่รู้เลยว่าจะติดมือไหม จะขายออกหรือเปล่า หรือใช้จนหมดอายุการใช้งานแล้วต้องทิ้ง เพราะเปลี่ยนแบตไม่คุ้มเท่าซื้อใหม่? อนาคตแบตลิเทียมมีแต่จะแพงขึ้นๆครับ
-
ส่วนตัวผมมองว่าราคาขนานี้ ถ้าไม่มองรถไฟฟ้ามีตัวเลือกอีกมากมายทั้ง D Segment หรูค่ายญี่ปุ่น และ Entry ค่ายยุโรป ผมเป็น 1 คนทีจอง BZ4X แต่เมื่อมองรถไฟฟ้าชม.นี้เวลานี้ผมมองว่า Tesla ตอบโจทย์เพราะรถไฟฟ้าไม่ใช่มีแค่แบตฯ มันมีเรื่องบริหารจัดการทรัพกรความสิ้นเปลือง และสมรรถนะที่เหนือคู่แข่งในตลาดเป็นอย่างมากกับราคานี้ ยังไม่ต้องมองว่าเป็น Tech ซึ่งเป็นจุดขายของ Tesla ถูกผิดลองคิดกันดูครับ แบตฯใกล้เคียงวิ่งได้ไกลกว่ามาก
-
หลักคิดของผมคือ ถ้าราคาพอๆกันคันไหนต่างจากคันอื่นๆในบ้านผมมากกว่า ผมก็เอาคันนั้นแหละครับ ;D
-
ผมใช้งานอยู่ ตจว. เลือก Toyota มากกว่าจะเลือก Tesla ครับ ยกเว้นถ้าโจทย์เป็นรถคันที่ 3-4 ในบ้าน ก็ไปเทสล่าได้ เอาความล้ำ เอากระแสกับเค้าหน่อย แต่ถ้าใช้ในชีวิตจริง ดูจากตัวรถแล้ว คิดว่าไม่ใช่ทางผมแน่ๆ ยังอยากขับ "รถ" มากกว่าขับ "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดล้อ"
และในราคาเริ่มต้นที่เท่าๆกัน ไม่ต่างกันมากนัก BZ4X เองก็ยังมีการตกแต่งที่แม้จะไม่ดีสุด แต่ก็ยังดูดี และดู practical ดู ergonomics มากกว่า Tesla Model Y ที่พอเข้าไปนั่งแล้วขัดใจมากกว่า ทุกอย่างอยู่ในจอกลางหมด จะใช้อะไรต้องละสายตามากด มาดู อย่างผมเอง อัตราเร่งของ BZ4X คือดีถมถืดแล้ว ก็เลยไม่ได้มองเรื่องอัตราเร่งมาเป็นประเด็นสำคัญครับ
แต่ทั้งสองคันคือ ผมไม่เลือก ณ วันนี้ครับ ถ้าต้องจ่ายเงิน 1.8-2.0 ล้าน ผมยังเลือก Camry HEV หรือไม่ก็ PPV ตัวท๊อปๆมากกว่าครับ ตอบโจทย์เรื่องความสบายและการใช้งานกว่ามากๆ ไม่ต้องกังวลว่าอีก 10 ปีราคาขายต่อจะเป็นไง อย่างไฮบริดมันก็ตกของมันอยู่แล้วในเรทที่รับได้กับการใช้งานครับ แต่ไฟฟ้านี่ ไม่รู้เลยว่าจะติดมือไหม จะขายออกหรือเปล่า หรือใช้จนหมดอายุการใช้งานแล้วต้องทิ้ง เพราะเปลี่ยนแบตไม่คุ้มเท่าซื้อใหม่? อนาคตแบตลิเทียมมีแต่จะแพงขึ้นๆครับ
เห็นด้วยเลยครับ
-
สำหรับผมไม่ต้องคิดเยอะเลยครับ ของที่พิสูจน์เทคโนโลยีทั่วโลกแบบเริ่มต้นจาก 0 มาร่วมสิบปี กับรถที่ยังเพิ่งเริ่มต้นติดๆขัดๆ
-
ผมมองว่ายอด BZ4X จะหายไปเยอะเลยครับ แต่ก็ยังเยอะกว่าโควต้าอยู่ดี
BZ4X มันเหมือน Harrier ของเกรย์ครับ เปิดตัวมาอยู่ท่ามกลาง SUV ยุโรปราคาใกล้ๆกันที่ทั้งหรูกว่า แรงกว่า แต่มันก็ยังขายของมันได้เรื่อยๆ เพราะจำนวนที่มีไม่เยอะเลยไม่ได้เดือดร้อนอะไร
-
ผมใช้งานอยู่ ตจว. เลือก Toyota มากกว่าจะเลือก Tesla ครับ ยกเว้นถ้าโจทย์เป็นรถคันที่ 3-4 ในบ้าน ก็ไปเทสล่าได้ เอาความล้ำ เอากระแสกับเค้าหน่อย แต่ถ้าใช้ในชีวิตจริง ดูจากตัวรถแล้ว คิดว่าไม่ใช่ทางผมแน่ๆ ยังอยากขับ "รถ" มากกว่าขับ "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดล้อ"
และในราคาเริ่มต้นที่เท่าๆกัน ไม่ต่างกันมากนัก BZ4X เองก็ยังมีการตกแต่งที่แม้จะไม่ดีสุด แต่ก็ยังดูดี และดู practical ดู ergonomics มากกว่า Tesla Model Y ที่พอเข้าไปนั่งแล้วขัดใจมากกว่า ทุกอย่างอยู่ในจอกลางหมด จะใช้อะไรต้องละสายตามากด มาดู อย่างผมเอง อัตราเร่งของ BZ4X คือดีถมถืดแล้ว ก็เลยไม่ได้มองเรื่องอัตราเร่งมาเป็นประเด็นสำคัญครับ
แต่ทั้งสองคันคือ ผมไม่เลือก ณ วันนี้ครับ ถ้าต้องจ่ายเงิน 1.8-2.0 ล้าน ผมยังเลือก Camry HEV หรือไม่ก็ PPV ตัวท๊อปๆมากกว่าครับ ตอบโจทย์เรื่องความสบายและการใช้งานกว่ามากๆ ไม่ต้องกังวลว่าอีก 10 ปีราคาขายต่อจะเป็นไง อย่างไฮบริดมันก็ตกของมันอยู่แล้วในเรทที่รับได้กับการใช้งานครับ แต่ไฟฟ้านี่ ไม่รู้เลยว่าจะติดมือไหม จะขายออกหรือเปล่า หรือใช้จนหมดอายุการใช้งานแล้วต้องทิ้ง เพราะเปลี่ยนแบตไม่คุ้มเท่าซื้อใหม่? อนาคตแบตลิเทียมมีแต่จะแพงขึ้นๆครับ
เห็นด้วยครับ ผมขอเลือกความเป็น'รถ' มากกว่า'เครื่องใช้ไฟฟ้าติดล้อ'
-
ถ้าจะซื้อตอนนี้ ผมยังชอบ BZ4X มากกว่าทั้งความสบายใจและเป็นรถ suv
ฝั่ง tesla คนจะมองอัตราเร่งและเสมือนมันคือของไฮเทคกว่า แต่ส่วนตัวผมรับไม่ได้กับการออกแบบและหน้าตาภายนอกภายใน ที่ส่วนตัวมองว่าขี้เหร่มากก
แต่รถไฟฟ้าตอนนี้คงไม่เหมาะ ถ้าจะซื้อหลายคันไว้เป็นรถคันที่ 2ก็รู้สึกเสียเปล่า
-
Tesla..เค้าขายรถไฟฟ้าและproductเค้ามีตนใช้ทั่วโลกและพัฒนานานแล้ว.อีกค่ายยังไม่เคยทำขายเพิ่งมี..จุดแข็งteslaคือไม่ต้องพะวงหลัง..แต่อีกค่ายห่วงหน้าพะวงหลัง..จุดนี้ค่ายยี่ปุ่นเสียโอกาศในการขายรถไฟฟ้าไปเยอะ
-
ส่วนตัวเป็นคนชอบดีไซน์ภายนอกและเทคโนโลยีของ Tesla มากกกกกก แต่เอาเข้าจริงถ้าซื้อรถไฟฟ้าคันนึงผมก็อาจจะจบกับ BZ4X มากกว่า เพราะถ้าซื้อรถไฟฟ้าผมคงซื้อไว้ใช้ขับแค่ในเมืองเท่านั้น ข้อได้เปรียบเรื่องระยะทางวิ่งของ Tesla จึงไม่จำเป็นสำหรับผม และหลังจากไปสัมผัสคันจริงมาผมกลับไม่ชอบในหลายๆจุด ทั้งมือจับเปิดประตูในแง่ของการใช้จริงค่อนข้างลำบาก เบาะโดยสารด้านหลังที่เตี้ยและสั้นมากกกกก และทุกอย่างต้องควบคุมผ่านจอกลางเท่านั้น
รถคันนึงสำหรับผมมันต้องพร้อมทั้งเรื่องการบริการหลังการขาย, 0 ซ่อมสีและตัวถัง ผมถึงจะไว้ใจซื้อมาใช้งาน ( เหมือนกรณีมาสด้าเมื่อหลายปีก่อน ทั้งๆที่ผมชอบตัวรถและการขับขี่มากกกก แต่สุดท้ายผมเลือกที่จะตัดออกเพราะเรื่อง 0 บริการ ที่แม้แต่ 0 ซ่อมสีและตัวถังของตัวเองยังไม่มี เพิ่งจะมาพัฒนาไม่กี่ปีหลังนี้เอง )
แต่สุดท้ายผมคงเลือกที่จะจบกับ HEV มากกว่าที่จะเลือกไฟฟ้าเพียวๆ เพราะสถานีชาร์ตในเมืองไทยยังไม่ได้แพร่หลายขนาดนั้น รวมถึงยังมีข้อจำกัดในเรื่องของการเดินทางไกลๆที่ขีดจำกัดของรถยังได้ที่ 6XX กม. ( วิ่งไปสัก 60% ของแบตผมก็คงต้องรีบหาสถานีชาร์ตแล้ว ซึ่งในขณะที่รถสันดาป / HEV ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ แถมในอนาคตที่จะมีปัญหาแน่ๆคือเรื่องการแย่งที่ชาร์ตไฟกัน และกว่าจะชาร์ตไฟให้ได้เพียงพอต่อการใช้งานก็ต้องมีขั้นต่ำครึ่งชม.ขึ้นไป ซึ่งส่วนตัวมองว่าค่อนข้างเสียเวลาในการเดินทางมากกกกก ( ยังไม่นับกรณีต้องต่อคิวชาร์ตไฟอีก )
-
Tesla อัตราเร่งดีกว่า bev ญี่ปุ่นและจีน
แต่ยังทำใจไม่ได้กับการที่ต้องควบคุมทุกอย่างผ่านจอกลาง
ปุ่มต่างๆไม่มีมาให้ อาจจะควบคุมตอนขับรถลำบาก
และการ service และสต็อคอะไหล่พี่โตคงชำนาญกว่ามาก
ทำให้ผมยังสนใจใน BZ4X อยู่
แต่ที่ผมสงสัยที่สุดคือเมื่อรถ bev อายุ 10 จะขายต่อได้เงินเท่าไหร่ เพราะคงต้องขายคันเก่าก่อนซื้อคันใหม่
+1
-
ผมว่ามีผลแน่ๆครับ เผลอๆคนที่จอง BZ4x จะทิ้งจองมาเอา tesla แทนด้วยมั๊งครับนี่
คิดเหมือนกันเลยครับ
ตอน bz4x เปิดตัว โดยส่วนตัวผมยังมองว่าแพงมาก สำหรับรถไฟฟ้าค่ายญี่ปุ่น ถึงแม้จะนำเข้า แต่ก็นำเข้าภายใต้เงื่อนไข BOI ซึ่งจริงๆควรถูกกว่านี้
และเมื่อ tesla เปิดตัว ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า TOYOTA ขายแพงจริง ถ้าเทียบกับ Model 3 ตัวเริ่มต้น ที่มีตัวเลขสมรรถนะต่างๆสูงกว่าแต่เปิดมาแค่ 1.7 ล้านเท่านั้น
หลายคนอาจจะบอกว่า ก็เค้าได้ FTA เลยได้ต้นทุนต่ำ แต่อย่าลืมว่า tesla ก็สามารถตั้งราคาแพงกว่านี้ได้ ถ้าเค้าจะเปิดตัวราคาเริ่มต้นมาที่ 2.1 ล้าน และตัว perfermance จบที่2.8 ล้าน ก็ยังเชื่อว่า มีคนบอกว่าถูกอยู่ดี
ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ความจริงใจ การตั้งราคาที่สมเหตุสมผล มากกว่า ตรงนี้ที่ได้ใจหลายๆคน
ค่ายญี่ปุ่นที่ ขนาดได้ลดภาษี ไฮบริจ แต่ทำราคาขายแพงกว่ารุ่นน้ำมันล้วนหลายแสน และก็อ้างว่าแพงเพราะเทคโนโลยี ตอนนี้คงต้องหุบปากได้แล้ว เพราะรถที่มีเทคโนโลยี เหนือกว่ามากๆ เค้าขายถูกกว่าได้นี่แหละ
คิดคล้ายๆ กันครับ คือ Tesla สามารถตั้งราคาให้สูงกว่านี้
กับ BZ4x อย่างที่ผมถามว่า ถ้าประกอบไทย(สมมุติ) เขาจะกล้าตั้งราคาแค่ไหน
ผมกลับคิดว่า คู่แข่งของ BZ4x มันจะต้องมาแข่งกับ Good Cat, ZS EV+MG4, Atto3 กลุ่มนี้หรือป่าว
ผมคิดในแง่เดียวกัน พอไม่โดนภาษีมันก็ควรลดราคาลงมาพอสมควร (เขาจะทำหรือป่าวอีกเรื่องนะ)
ผมล่ะกลับมองว่า bZ4X ที่ว่ามันแพง มันแพงเพราะ ความ Toyota ด้วยครับ
ความ Toyota ในที่นี้คือ
- ต้นทุนการผลิต / ประกอบ ที่เค้าให้ความสำคัญกับ ทุกส่วน และ ทุกขั้นตอน
- ความงานประกอบที่จะมีโอกาสความผิดพลาดน้อย
- ต้นทุนการวิจัยและพัฒนาที่จะไม่ได้เน้นไปทางความ Hi Technology จ๋า แต่เน้นไปถึงความทนทาน ความไว้ใจได้ระยะยาว ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์ที่เค้าเอามาเดิมพันในการทำรถครั่งนี้
- ต้นทุนบริการหลังการขาย ศูนย์บริการ อะไหล่ การซ่อมสีและตัวถัง
ซึ่งความทั้งหมดนี้ ผมยินดีจ่ายครับ ถ้าผมคาดหวังความต่างๆ เหล่านี้ที่ Tesla ให้ผมไม่ได้หรือให้ได้ไม่ดีเท่า
และในขณะที่ Tesla ผมก็ยินดีจ่ายเช่นกัน ขึ้นกับว่า ณ วันที่ผมซื้อ ผมต้องการความ Toyota หรือความ Tesla เท่านั้น
ปล. หลังจากลูบคลำ Model 3 กับ bZ4X มา ผมก็ว่ามันก็มีดีพอที่จะทำให้น่าซื้อทั้งคู่นั่นแหละ ขึ้นกับลูกค้าต้องการอะไร ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนอยากได้ 0-100 ต่ำ 7 sec หรือ Self Driving ทุกคนเสมอไป
เพียงแต่ Model 3 มันก็ดูคุ้มค่าในด้านความ Tesla และ Hi Technology กับราคาที่ขายจริงๆ
อันนี้ผมเข้าใจเลยครับ ความเป็นโตโยต้า มันค่อนข้างฝั่งรากลึกสำหรับบ้านเรา กลุ่มคน หรือ ลักษณะการใช้งาน มากพอสมควร
แต่ผมเห็นหลักๆ มานี้ ถ้าไม่ใช่ Fortuner แทบไม่มีรุ่นไหน model line up ไหน ที่เป็นที่ 1 ของหัวตารางยอดขายไปแล้วนะ
มันทำให้ผมคิดว่า ความเป็นโตโยต้า มันยังขายได้อยู่จริงไหม ใช่กลุ่มใหญ่พอ เหมือนในอดีตหรือป่าว
ส่วนของเทสล่ามัน 0% ทั้งสรรพสามิตรกับมหาดไทย (FTA ไทยจีน) ส่วน VAT 7% อันนั้นก็ปกติ
ราคาที่จีนตัวเริ่มต้น Model 3 RWD มันตีหยาบๆ 280k หยวนนะครับ (เงินไทยก็ 1.3 ล้าน) เข้าไทยฟาดไป 1.759 ล้านบาท ทำไมเลข 7% ของเทสล่ามันเยอะเหลือเกิน
แหล่งที่มาราคาจีน : https://insideevs.com/news/618161/china-tesla-cut-model3-modely-prices/ *ดูราคาก่อน Subsidize นะครับ
Tesla ภาษีสรรพสามิต 8% ครับ (+มหาดไทยอีก 10% ของสรรพสามิต) (https://car.go.th/landing-page/detail/f02a4e30-4b1e-4bb2-a120-f13a6e14fa31) (ถ้าเซ็น MOU จะได้ลดสรรพสามิตจาก 8% เป็น 2%)
ราคารถ 280,000 CNY ถ้าเผื่อ exchange ไว้หน่อย สัก 5.2 CNY/THB = 280000*5.2 = 1,456,000
บวกค่าขนส่ง (ผมไม่แน่ใจว่าเท่าไร สมมุติตีซะ 50,000)
รวมราคารถบวกภาษี
= (1,456,000 + 50,000) * (สรรพสามิต,มหาดไทย 1.088) * (VAT 1.07)
= 1,753,225
เห็นภาพชัดเจนมากครับ
Tesla อัตราเร่งดีกว่า bev ญี่ปุ่นและจีน
แต่ยังทำใจไม่ได้กับการที่ต้องควบคุมทุกอย่างผ่านจอกลาง
ปุ่มต่างๆไม่มีมาให้ อาจจะควบคุมตอนขับรถลำบาก
และการ service และสต็อคอะไหล่พี่โตคงชำนาญกว่ามาก
ทำให้ผมยังสนใจใน BZ4X อยู่
แต่ที่ผมสงสัยที่สุดคือเมื่อรถ bev อายุ 10 จะขายต่อได้เงินเท่าไหร่ เพราะคงต้องขายคันเก่าก่อนซื้อคันใหม่
ตอนแรกผมก็กลัวราคาขายต่อนะ แต่พอไปศึกษาหาข้อมูลดีๆแล้วต่างเคส ตปท ต่อให้แบต NMC มันก็เสื่อมแค่ปีล่ะ 1-2% ถ้าเป็น LFP ก็เสื่อมช้าอีก Cycle 5000 รอบ คูณรอบล่ะ 400 โล มันล่อไป 2ล้านกิโลแล้ว ขับยังไงก็ไม่ถึงหรอกครับ มีเคสที่เปลี่ยนแบตเทสล่านั่นก็วิ่งไป 6แสนโล แน่นอนว่ามันเก็บไฟได้ไม่เท่าเดิม แต่มันก็ยังวิ่งได้เยอะอยู่ดี โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเลย รวมๆถ้าวิ่งถึง 5-6 แสนโล ค่าซ่อม ค่าน้ำมัน มันก็คุ้มแล้วอ่ะครับ ถ้าวิ่ง 1-2 แสนแล้วขาย ราคาขายมันไม่ใช่ 0 แน่นอนครับ ยังใช้ได้อีกเยอะ
ผมว่า คาขายต่อมือสอง มันคงไม่ใช่ราคา 0 บาท หรอกครับ
ขนาดขายซาก ยังมีราคากว่านี้
แต่ผมกลับมองว่า(ที่เคยใช้รถไฟฟ้า รถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้า กับ รถกอล์ฟ) มาก่อน
ทำไมผมรู้สึกว่า รถไฟฟ้า แบตเตอรี่มันค่อนข้างยาวนาน อายุการใช้งานค่อนข้างนานนะ
ถ้า ณ วันหนึ่ง ที่ต้องขาย ผมว่าความคุ้มค่า ต่อ ระยะวิ่ง(ต้องวิ่งเยอะๆ) อาจจะคุ้มกับการขายต่อมือสอง หรือป่าว
ยกเว้นว่ารถที่ซื้อกันแพงๆ ต่างหาก ที่ต่อให้ขายมือสอง อาจจะไม่คุ้มราคาเสื่อมที่มันลดลงอย่างรวดเร็วมาก
ขนาดรถน้ำมัน ICE ที่ราคาแพงๆ ทุกวันนี้ยังขาดทุนกันเป็นเรื่องปกติมาก
โดยส่วนตัวมองว่า Tesla จุดเด่นมีระบบ Autopilot ส่วนใหญ่ลูกค้าคงกดเลือกออปชั่นนี้แทบจะทุกคัน และมี software และ hardware ที่ปรับปรุงใหม่อยู่ตลอด
ส่วนอื่นๆ งานออกแบบ ทั้งภายนอก ภายใน รู้สึกเฉยๆครับ บางงานออกแบบก็ดูเก่าไปแล้ว บางอันก็ดูทันสมัยอยู่
็็
รถบางรุ่นเปิดตัวมาหลายปี บางรุ่นเกือบ 10 ปี งานออกแบบแทบไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไรไปมากนัก แต่เปิดตัวมานานปัญหาต่าง ๆ ก็ได้รับการแก้ไขไปแล้วหลายอย่างแล้ว
ส่วน BZ4x ก็เป็นรถ EV รุ่นแรกๆ จาก Toyota จะทำออกมาได้ดีขนาดไหน ต้องมารอเสียงตอบรับจากผู้ใช้งานจริงๆ
Toyota เองก็คงไม่ปล่อยให้รถ EV รุ่นนี้มาทำให้เสียชื่อ Toyota เห็นได้จากกรณีมีข่าวเรื่องล้อ BZ4x ที่ Toyota ตรวจพบอาจเกิดปัญหาขึ้นได้ ทั้งที่ไม่มีร้องเรียนจากผู้ใช้งาน
Toyota ก็ไม่ปล่อยไว้จนเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ สั่งหยุดการส่งมอบ ทำการทดสอบและทำการแก้ไข ไม่ปล่อยออกไปจนกว่าจะผ่านการทดสอบ
ผมเห็นด้วยนะครับ ว่า จุดเด่นจริงๆ ของ Tesla คือ Software เลย
ส่วน Hardware ผมว่า ค่ายอื่นทำกันได้ (ถ้าคิดจะทำ)
ส่วนสิ่งต่อมาที่เด่นชัดเจน คือ กำลังของรถ แรงม้า แรงบิด ที่ค่อนข้างชัดเจน แต่ด้วยความเป็น BEV ผมว่าค่ายจีนเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ได้แพ้เลยนะ มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่คนซื้อ ต้องการ หรือ ตะเกียกตะกายไขว้ขว้า รถ BEV แรงม้า 200+ แรงบิด 300-400+ ขนาดนั้น แต่มีให้ ดีกว่าไม่มี
ส่วนต่อมา คือ ความ Minimal สำหรับางคนอาจจะชอบ (เหมือนคนชอบ iPhone) แต่สำหรับบางคนก็อาจจะไม่ชอบ มันอาจจะใช้งานยุ่งยากกว่าเดิมหน่อย
สิ่งที่ Tesla อาจจะสู้ไม่ได้ ในแง่ของความปรานีต หรือ วัสดุ
แต่โดยรวมผมว่า มันพิสูจน์ตัวเองมาเยอะกว่า Toyota นะ เพราะเมืองนอกเขาขายกันมานานมากแล้ว ที่ต่างชาติ ต่างประเทศ เขาก็ขายดี ผมว่าฝรั่งเขามองต่างจากเรา ทั้งในแง่ความคุ้มทุน และ การใช้งาน เขาก็ยังเทไปในทาง Tesla เยอะมากนะครับ
-
วันนี้โตต้าออกมาให้ข่าวว่า ต้องปรับลดต้นทุนลง เพื่อสู้ตลาดรถไฟฟ้า
แปลว่า demand supplied เริ่มมีมากขึ้นแล้วครับ
และการแข่งขัน การแย่งชิงตลาดแบบนี้ แน่นอนครับ ดีต่อผู้บริโภค
-
อดใจดูกันสักพัก ... ใจเย็นๆๆ ..อีกสัก 2ปี คำตอบนี้จะเฉลยให้ทราบครับ^^
-
tesla เองก็กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนารถไฟฟ้าราคาต่ำกว่าล้านบาท
ถ้ารถญี่ปุ่นไม่รีบวิจัยและพัฒนาสินค้าที่จะแข่งขันได้ญี่ปุ่นเองก็คงต้องเสียยอดขายไปเรื่อยๆแน่ๆ
แต่หลักของรถไฟฟ้าคือลีเที่ยมที่มีไม่พอและราคาสูงยังดูเป็นคอขวดกับรถไฟฟ้าอยู่ คงต้องรอดดูอีกสักปีสองปีว่าทิศทางจะไปทางใหน
รถไฟฟ้าจีนเองก็หวดตามขึ้นมาดีขึ้นเรื่อยๆ แข่งกันสนุกแน่นอน
-
มีผลเรื่องยอดจองแน่นอนอยู่แล้ว ถ้า tesla เปิดราคามาก่อน bz4x แต่ผมว่ามันก็ต้องมีคนที่จองมันทั้งคู่ ได้คันไหนก่อนเอาคันนั้นนะ