Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: REX ที่ มีนาคม 14, 2023, 12:52:11
-
เพราะอะไร ครับ?
-
ยังไม่ตัดสินครับ
ราคาแบตยังไม่รู้จะถูกลงขนาดไหน ราคาปัจจุบันผมใช้รถน้ำมันดีกว่าครับ ขับ 10 ปีค่าน้ำมันผมยังไม่ถึง 5 แสนบาทเลย
ส่วนรื่องเครื่องยนต์ ตอนนี้เค้าวงในกำลังพัฒนาระบบไฮโดรเจนครับ
อนาคตยังอีกไกล ไม่อยากคาดเดา
-
คันหลัก ผมไป BEV แน่นอน เพราะวิ่งในเมือง เสียบไฟบ้านชาร์ตวีคละครั้งไม่ใช่ปัญหา
คันรอง ๆ อันนี้ อาจยังต้อง ICE เพราะกระบะ กะรถตู้ไฟฟ้า ยังไม่ค่อยมีตัวเลือกอะคับ อีกอย่างเดินทางไกล ๆ ผมยังไม่อยากไปรอ Fast charge ระหว่างทาง
-
รถน้ำมันตลอดไปครับ ถ้าเขายังผลิตอยู่ รถไฟฟ้าผมมองมันไม่ใช่รถอ่ะครับ ความรู้สึกเหมือนแค่สิ่งที่พาเราเดินทาง ใช้สักพักก็ทิ้ง แต่รถยนต์เครื่องสันดาป เราแต่งนั้นนี่ได้เรื่อยๆครับ และผมก็หลงใหลในเสียงของเครื่องยนต์แรงๆด้วยครับ
-
ผมคงไปไฟฟ้าครับ แต่รอรุ่นท้าย ๆ..
-
ถ้าคันที่ใช้งานประจำ วิ่งเยอะ อาจเป็นไฟฟ้า / Hybrid ครับ
ไฟฟ้า ค่าเชื้อเพลิงถูกจริง แต่ประกันแพง ระยะยาวยังไม่ชัวว่าจะเป็นยังไง
ส่วนอีกคันที่เอาไว้ยิ่งยาวๆ ยังไงก็คง ICE/Hybrid
-
ยังไงก็ ICE ครับ
เพราะอะไรน่ะหรอ ... เพราะการใช้รถของผมเฉลี่ย 5-7 ปี จะเปลี่ยนคันใหม่ครับหมุนวนไป ทีนี้ ถ้าเป็นไฟฟ้า หรือไฮบริจเนี่ย ราคาขายต่อมันจมดินมาก โดยเฉพาะ BEV เนี่ย อนาคตมันเป็นขยะที่ไม่มีใครซื้อไปใช้ต่อแน่นอน
ส่วนความประหยัด การใช้งานเราอาจเสียค่าน้ำมัน หรืออื่นๆ แต่เวลาขาย อย่างน้อยมันยังมีราคาแบบต่ำๆเลย 30% ของราคาป้ายแดง ซึ่งก็ยังถือว่ายังไม่เสื่อมค่ามาก แต่ถ้าเป็นไฟฟ้า อายุสัก 7 ปีไม่รู้จะมีราคาหรือเปล่าเลย
และก็ สดวกเติมน้ำมัน 5 นาที มากกว่ามานั่งชาร์จไฟ 30 นาทีครับ
-
Hybrid แบบ E-HEV ครับ เพราะอยากได้ อัตราเร่งและประหยัด ด้วย
อีกอย่างเดินทางที 500 km+ บ่อยๆครับ แถม แบต E-HEV ยกลูกก็ราคาต่ำกว่า 100 K เยอะอยู่
-
8) 8) 8).....EV รอ 1,000 KM/charge ออกมาขายในบ้านเราก่อนครับ :-X
-
ไปไฮบริดครับ ขับสัก 5-8 ปี ค่อยไป EV ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันหน้างานอีกทีว่ายังไงครับ
-
มีแผนจะเปลี่ยนรถราว 5 ปี เล็ง EV ก็ยังไม่มีรุ่นไหนถูกใจแบบใช้งานไร้กังวลในราคาที่จ่ายได้ แต่วันนั้นคงสอย EV มาสักรุ่นแน่นอน
ถ้าถามจากใจลึกๆ ผมอยากได้รถยนต์ Fuel Cell พลังงานไฮโดรเจน มันลบความวุ่นวายเรื่องระยะ กม. ของแบตเตอรี่ ยิ่ง กม. เยอะก็แบกน้ำหนักแบตเตอรี่เพิ่มอีก ไหนจะเรื่องชาร์จอีก รถยนต์ Fuel Cell มาแนว Plug-in แบตไม่ต้องใหญ่เวอร์แล้วใช้ไฮโดรเจนขับมอเตอร์ไฟฟ้า ถ้าผมจะอวย Toyota สุดฤทธิ์ขออวยให้ดัน Fuel Cell เปิดในไทยช่วง 5 ปีนี้
-
คันต่อไป ตั้งใจจะไป Hybrid ค่ะ
ชีวิตเราอยู่ในเมืองเป็นหลัก ตอนนี้นั่งดูอัตราบริโภคน้ำมัน ก็นั่งเสียดายเหมือนกัน ที่ไม่ได้เลือกรถ Hybrid ตอนซื้อคันล่าสุด แต่ให้ไปรถไฟฟ้าก็ไม่ไหว เพราะเราอยู่คอนโด มันยังไม่สะดวกเท่าไหร่ค่ะ
-
ICE ถ้ามีค่ายไหนเอารถดีๆ แรงๆ ราคาไม่เกิน 2 ล้านมา รอดู Hilux กับ Triton ว่าจะแรงต่ำกว่า 9.5 วิไหม
ถ้าไม่มีก็จะออก MG Cyberster ใจก็ไม่อยากได้รถไฟฟ้าเพราะอยู่คอนโดแล้วการชาร์จมันยุ่งยาก แต่ใจก็ยอมรับว่าไม่มีค่ายไหนยอมทำรถเปิดประทุนราคาไม่เกิน 2.5 ล้าน ถ้า MG ตั้งราคามาไม่เกิน 1.9ล้านก็จัดแน่นอน
-
ผมมี 2 แบบครับ
อย่างแรกคือเดินทางไปกลับตจวอาทิตย์ละครั้ง > โจทย์นี้ขอเป็นสันดาปล้วนเพื่อความง่ายในการดูแลรักษา
อีกอันคือรับส่งลูกไป รร. เจอรถติดและบางทีถ้าต้องติดเครื่องไว้ก็> ขอเป็นไฮบริดครับ.
ขับรถติดๆเจออัตราบริโภค 5-7 โลลิตร แล้วไปเจอไฮบริดที่ได้เกินเท่านึงแล้วกระอักเลยครับ
-
ตอนแรกเล็งBEVอย่างEQSไว้แต่ราคาแรงเกิน Taycanก็รอนานและไม่เหมาะกับการใช้งาน ตอนนี้เลยเปลี่ยนแผนมาที่BMW 750Eแล้วเพราะออปชั่นโดนใจ คุ้มราคากว่าคู่แข่งแถมวิ่งไฟฟ้าได้ไกลพอกับการใช้งานประจำวันละ ตั้งใจจะไปจองเร็วๆนี้ครับ วันนึงเฉลี่ยผมวิ่งไม่เกิน65กม.ซึ่งอยู่ในระยะทางของE Mode และนานๆครั้งจะวิ่งไกลๆก็เติมน้ำมันเอา เหตุผลที่เลือกเพราะคู่แข่งแพงกว่าเกือบล้านและภายใน7ใหม่ถือว่าล้ำมากๆ
-
ตอนนี้ใช้รถไฟฟ้าอยู่ ขับเดือนละ 6-7000km
ไม่กลับไปใช้รถน้ำมันแล้วครับผม
แต่ยังมีรถน้ำมัน สำรองไว้ 1 คันครับผม
-
ผมเลือก Hybrid หรือ PHEV ครับ เหตุผลคือ
1. อยู่ในเมืองรถติดมากๆ แอบเพลียกับอัตราสิ้นเปลือง ของรถ ICE ธรรมดา ทุกวันนี้ผมขับ HR-V 1.8 อยู่ที่ 8-10 โลลิตร แล้วแต่ว่าจะติดโหดขนาดไหน ส่วนพี่ที่นั่งข้างๆกันที่ออฟฟิศ ขับ city ehev ได้ 24 โลลิตรแบบง่ายๆเลย
2. ค่าน้ำมันที่ต้องจ่ายในรถ Hybrid มันดูสบายกระเป๋ามากๆ เทียบกับพี่คนเดิม HRV ผมเติมน้ำมันเฉลี่ย 1,000 บาท ขับได้ 350 โลก็เก่งมากแล้ว ในขณะที่คุณพี่ city ehev เติมพอๆกันเท่ากัน เขาได้ 850 โล Up วันก่อนไปขับรถพี่แก เห็นน้ำมันเหลือครึ่งถัง กับระยะทางวิ่งไปแล้ว 560 โล แม่เจ้า ถ้าเป็น HRV เรานะ เติมเต็มน้ำมันแล้วขับระยะทางเท่านี้ ถ้าทางไกลคงไฟเตือนโชว์พอดี แล้ว แต่ถ้าในเมืองนะ จอดน้ำมันหมดตั้งแต่ 400กว่าๆ แล้ว
3. ผมไม่เหมาะกับ BEV เพราะทุกวันนี้ สัปดาห์นึง อยู่คอนโด 5 วัน อยู่บ้าน 2 วัน แล้วคอนโดไม่มีช่องจอดประจำแถมยังต้องจอดซ้อนคันแทบทุกวัน ตัดเรื่องชาร์จไฟที่คอนโดไปได้เลย ขับไปตามที่สาธารณะ แถวๆที่พักก็ไม่ค่อยมี จะรอกลับไปชาร์จบ้านทีเดียวก็หวั่นใจว่าจะพอมั้ย หรือถ้ากลับระหว่างสัปดาห์ก็ไม่สะดวก ถ้าเป็น PHEV อันนี้โอเค ไฟหมดยังก็ใช้น้ำมันได้
4. ผมต้องการรถ 1 คัน ที่ขับไปทุกที่ทีมีทางและไปได้ BEV ไม่น่าตอบโจทย์ แล้วถ้าจะมี BEV คันนึงกับ รถแบบอื่นอีกคัน ก็ไม่ไหวและดูไม่คุ้มค่ากับการใช้งานของเราสักเท่าไหร่
ทั้งหมดทั้งมวลก็ด้วยเหตุผลประมาณนี้ครับ
-
EV แน่นอนครับ รอดู EV รถตู้
-
ผมหลายใจครับ ณ ตอนนี้เล็ง
1. City RS 5 dr เครื่องเทอร์โบ แต่อยากรอดู MC ก่อน
2. Collora Cross 1.8 sport แต่อยากรอ MC ก่อน อยากลอง 2.0 Dynamic กับตัว HB ถ้าได้หลังคาแก้วบานใหญ่อาจเปลี่ยนใจ
3. Toyota B-SUV คาดหวังสิ่งที่ได้กับสิ่งที่จ่ายคุ้มค่าที่สุด
4. Fortuner 2.4G อยากได้
ถ้าเอาแค่การใช้งาน ตอนนี้ใช้ Vios 1.5G'13 ก็ใช้ได้นะ
-
แผนการซื้อรถต่อไปตามลำดับน่าจะประมาณนี้
รถคันใหญ่ในบ้าน เล็ง hybrid มือสอง เจ้าตลาด เพราะราคาดี option เต็มคัน / ดีเซลยุโรปมือสอง
รถคันกลาง hybrid / ติดแก๊ส LPG ไม่เกิน 900K
รถ week end car หวังไว้เป็น ICE 6 สูบ
-
ใช้ ICE แล้วก็โอเค เสียงเร้าใจ
พอเปลี่ยนมาใช้ Hybrid ตอนแรกก็ทำใจลำบาก แต่เพราะมลพิษอากาศเยอะ (PM2.5) เลยอยากช่วยลด ผลคือชอบ ประหยัดน้ำมันดีด้วย ตอนรถติดไม่เผาน้ำมันทิ้งเท่าไร
คันต่อไปคง EV แต่มีเงื่อนไขว่าชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ต้องวิ่งได้อย่างต่ำ 800+ km นะ เรื่องแบตคงไม่เท่าไร ปกติใช้รถครบ 10 ปี เปลี่ยน และทำประกันชั้น 1 ไว้ตลอด
-
ใช้ ICE แน่นอนครับ เพราะผมเป็นคนที่ใช้รถน้อย ดังนั้นค่าเสื่อม BEV กับ Hybrid ไม่คุ้มค่าสำหรับผมแน่นอน
อีกอย่างนึงคือรถ ICE ดูแลง่ายกว่าในระยะยาว แค่ถ่ายของเหลวตามระยะก็ใช้ได้หลายสิบปีสบายๆ
-
คันหลัก EV แน่นอน ขับไปทำงานแค่วันล่ะ 20 กิโล Neta V ยังได้ ส่วนคันรองขับเล่นวันหยุดก็เอาแบบลั่นๆเฟียสๆเรียกตรีนไปเลย ::)
-
ถ้าตัดสินใจจากอคติช่วงนี้ก็คงไป BEV ครับ
ยิ่งขัดใจยิ่งศึกษากลับยิ่งชอบแฮะ
แฟนน้องที่ทำงานซื้อรถ neta v
แต่พอเห็นราคาแบตเตอรี่ที่ neta v ใช้ของ catl
ก็คือเหมือนซื้อแบตแล้วแถมรถ ก็รู้สึกคุ้มขึ้นมาทันที 555
ใช้ลอจิคนี้กับเทสล่าได้เหมือนกัน powerwall 13kW 300,000บาท
รถ 82kW เหมือนใช้ power wall 6 ลูกนิดๆ 1.8 ล้าน เป็นค่ารถ 400,000 บาท (eco car)
ส่วนตัวไม่ได้ซื้อรถมาขาย คือซื้อมาใช้งานก็ขอเป็นรถตลาดก็พอ
จึงไม่ได้สนเรื่องราคาที่หายไปมากสักเท่าไหร่
ไม่ต้องหรูแต่ได้สมราคาที่จ่ายแบบไม่โดนฟันหัวแบะ
ไม่ได้แคร์เรื่องสายตาคนอื่นอยู่แล้ว ฮา
เพราะเป็นคนขับรถข้ามจังหวัดเองบ่อยๆ เลยชอบใหญ่ๆ เมื่อก่อน fortuner ก็นั่งแค่ 2 คนประจำ
และขออย่างน้อยๆชาร์จ 1 ครั้งขับได้ประมาณ 500 กิโลเมตรบวกลบ
ก็จะอยู่ในช่วงที่พอดีสำหรับขับรถแล้วต้องพัก
แล้ว model y ตอนนี้ก็ตอบโจทย์เพียงพอแล้วครับ ::)
-
ยังคงใช้ Hybrid ต่อไปครับ ถึงแม้ในใจจะอยากจะได้รถไฟฟ้าก็ตาม
เหตุผลคือรถ hybrid ขับในเมืองก็ประหยัดน้ำมัน ขับไปตจว.ก็ไม่ต้องวุ่นวายวางแผนเดินทางมากเท่ารถไฟฟ้า เพราะเป็นคนไม่ชอบเสียเวลากับการแวะพักที่ไหนนานๆ ซึ่งการจะชาร์จไฟแต่ละทีมีครึ่งชม.ขั้นต่ำแน่นอน ยังไม่รวมกับจำนวนรถไฟฟ้าที่มากขึ้นทุกวัน และจุดชาร์ตยังมีไม่มากพอ ถ้าช่วงวันหยุดมีปัญหาเรื่องแย่งที่ชาร์ตกันแน่ๆ
แต่ตอนนี้ก็แอบเล็งๆ CR-V 1.5T อยู่เหมือนกัน อยากใช้รถ ice อีกครั้งก่อนที่ค่ายรถจะเปลี่ยนเป็น hybrid / ไฟฟ้ากันถาวรแล้ว
-
วันๆขี่แต่จักรยาน
ก็เอา ICE สิครับ สัปดาห์นึงวิ่งหนนึงเนี่ย
-
ICE โลด ครับ
ไฟฟ้าไม่รู้อีกเมื่อไหร่จะใช้งานสะดวกเหมือน ICE
ถ้ามันเติมเร็ว ไม่ต้องรอ อู่ระหว่างเดินทางพอแก้ไขไม่กินข้าวลิงได้
ก้อว่ากันอีกที
-
ขอเลือก ยังไม่ตัดสินใจก่อนครับ แต่อย่างน้อยๆก็ต้องไฮบริด ขยับไปไฟฟ้าล้วนเลยอาจยังไม่ใช่ทางเลือกสำหรับส่วนตัวนะครับ
-
Hybrid ครับ
ปกติที่บ้านซื้อแต่ ICE ด้วยโจทย์ในการซื้อแต่ละครั้งเป็นหลัก
3 คันล่าสุดทำให้ค้นพบสัจธรรมว่า
ถ้าเทคโนโลยีเยอะ หรือรถต้องพึ่งพาชิ้นส่วนนำเข้าเป็นสำคัญ ค่าบำรุงรักษามันก็ไม่ได้ถูกไปกว่าค่าแบตที่นานๆ เปลี่ยนทีเหมือนกันเลย
สู้ไปเอารถประหยัดค่าน้ำมันได้หลายๆ ช่วงแล้วค่อยมาเครียดค่าบำรุงใหญ่ทีเดียวดีกว่า
และขอให้คนทำช่วยแก้ปัญหาเก่งๆ มีความกะตือรือร้นจะช่วยลูกค้าด้วยก็จะขอบคุณมากครับ
ส่วน EV ขอผ่านไปก่อน ส่วนตัวไม่สะดวกเรื่องการเติมพลังงานจริงๆ
ขอให้มีทางเลือกการเติมพลังงานที่มากกว่านี้ และประหยัดในภาพรวมการใช้ได้จริง
หรือจนกว่าจะมีแบรนด์ที่ทำออกมาดีและไว้ใจได้
3 แบรนด์จีนที่ผ่านมาผมไม่สะดวกใจจะใช้แล้วในช่วงระยะสั้นนี้ ระยะยาวให้เวลาพิสูจน์
-
อยากได้ ICE Boxer 6 สูบ na ใน Porsche เสียงแผดๆครับ ของมันจะไม่มีแล้ว
-
ICE ครับ
ผมใช้รถน้อย สัปดาห์ละ 300 โลเอง
-
ICE ครับ เพราะว่าวิ่งน้อย 5 ปี 6 หมื่น กม. เองครับ
-
ICE ครับ เพราะมี 530e แล้วไม่ชอบการติดๆดับๆของเครื่อง
แถมไม่ได้ประหยัดน้ำมันอะไรเลย
คันต่อไปถ้ามีวาสนาอยากได้ 992 เปิดประทุนซักคัน
-
ev ครับ ใช้แล้วสะดวกดี เติมไฟไม่นานอย่างที่คิด แค่เรื่องขยะสังคมในมุมต่างๆ จอดแช่ จอดไม่ชาร์จ กับเรื่องคิว demand ยังเยอะกว่า supply
อนาคตคิดว่ามันลงตัวกว่าแน่ๆ ของผมวันไหนจะหมดจริงๆก็ชาร์จแพงหน่อยที่คอนโด หรือจำเป็นจริงๆก็ตื่นเช้าหน่อยไปชาร์จครับ
ไม่อยากให้มี offpeak onpeak เลย คนไปแช่กันหลัง 4 ทุ่มเอาคุ้ม ซึ่งคนทำงานแบบผมต้องไปดึกอ่ะ เซง
-
ถ้าคันถัดไปต้องซื้อภายในตอนนี้จนถึงอีก 1-2 ปีข้าวหน้าก็ยังขอเป็นรถน้ำมันหรือ hybrid ครับ
แต่ถ้าอีกสัก 5 ปีข้างหน้าก็ต้องดูอีกทีว่ารถไฟฟ้า ณ ตอนนั้นมีจุดชาร์จเยอะทั่วถึงและราคาแบตถูกลงแค่ไหน
-
ผมหลายใจครับ ณ ตอนนี้เล็ง
1. City RS 5 dr เครื่องเทอร์โบ แต่อยากรอดู MC ก่อน
2. Collora Cross 1.8 sport แต่อยากรอ MC ก่อน อยากลอง 2.0 Dynamic กับตัว HB ถ้าได้หลังคาแก้วบานใหญ่อาจเปลี่ยนใจ
3. Toyota B-SUV คาดหวังสิ่งที่ได้กับสิ่งที่จ่ายคุ้มค่าที่สุด
4. Fortuner 2.4G อยากได้
ถ้าเอาแค่การใช้งาน ตอนนี้ใช้ Vios 1.5G'13 ก็ใช้ได้นะ
ขออนุญาตเสริมครับ
2. หลังคาแก้ว โอกาสไม่มา 99.99%
4. อย่าพึ่งซื้อครับ รอตัวใหม่แบบ New Model ไปเลยครับ
โฉมนี้เปิดตัวตอน 2015 ครับ 2025 จะครบ 10 ปีพอดี
และะแว่วๆมาว่าตัวใหม่จะมาไวขึ้นครับ
-
คันต่อไปคงจะเอา BEV แล้วครับ
รอให้วิ่งได้สัก 600 กิโล อยากได้รถที่แรง แต่ไม่ต้องจ่ายราคาสูงครับ
-
Serial HB อย่าง e-power ครับ
- ใช้ในเมือง - รถไม่ติด วันละ 5-15 กม.
- หลักๆวิ่งทางไกล ตจว. ระยะ 100-300 กม.
- เวลาชาร์จ คือ ค่าเสียเวลา/อารมณ์ สำคัญสำหรับผม
- HB เดินทางไกลยืดหยุ่นกว่ามาก
- ค่าน้ำมัน 5000-7000 บาท/เดือน เป็นค่าใช้จ่ายส่วนน้อย
- มีความสุขกับรถ ICE ตอนนี้ จะไปคันต่อไปก็ขอแค่ serial HB(e-power)
- รวมๆ ค่าตัวรถ BEV ที่แพงกว่า ข้อจำกัดที่อาจทำให้ไม่สะดวก ระยะยาวๆ ถูกกว่าก็ไม่มากสำหรับผม
- จะเริ่มใช้ BEV คาดว่าอีก 4+ปีสำหรับผม เมื่อทุกอย่างนิ่งกว่านี้ และ ปัจจัย(ส่วนตัว)อื่นพร้อม
-
ยังรัก ICE อยู่ อีกอย่าง ด้วยไลฟ์สไตล์ คือ ขับรถท่องเที่ยว เดินทางไกล ครับ
รถไฟฟ้า ถ้าจะซื้อเหรอ ? รอเงินเหลือ ไว้ขับไปทำงาน ขับเข้า กทม. อันนั้นอาจจะได้
-
ผมเลือก Hybrid หรือ PHEV ครับ เหตุผลคือ
1. อยู่ในเมืองรถติดมากๆ แอบเพลียกับอัตราสิ้นเปลือง ของรถ ICE ธรรมดา ทุกวันนี้ผมขับ HR-V 1.8 อยู่ที่ 8-10 โลลิตร แล้วแต่ว่าจะติดโหดขนาดไหน ส่วนพี่ที่นั่งข้างๆกันที่ออฟฟิศ ขับ city ehev ได้ 24 โลลิตรแบบง่ายๆเลย
2. ค่าน้ำมันที่ต้องจ่ายในรถ Hybrid มันดูสบายกระเป๋ามากๆ เทียบกับพี่คนเดิม HRV ผมเติมน้ำมันเฉลี่ย 1,000 บาท ขับได้ 350 โลก็เก่งมากแล้ว ในขณะที่คุณพี่ city ehev เติมพอๆกันเท่ากัน เขาได้ 850 โล Up วันก่อนไปขับรถพี่แก เห็นน้ำมันเหลือครึ่งถัง กับระยะทางวิ่งไปแล้ว 560 โล แม่เจ้า ถ้าเป็น HRV เรานะ เติมเต็มน้ำมันแล้วขับระยะทางเท่านี้ ถ้าทางไกลคงไฟเตือนโชว์พอดี แล้ว แต่ถ้าในเมืองนะ จอดน้ำมันหมดตั้งแต่ 400กว่าๆ แล้ว
3. ผมไม่เหมาะกับ BEV เพราะทุกวันนี้ สัปดาห์นึง อยู่คอนโด 5 วัน อยู่บ้าน 2 วัน แล้วคอนโดไม่มีช่องจอดประจำแถมยังต้องจอดซ้อนคันแทบทุกวัน ตัดเรื่องชาร์จไฟที่คอนโดไปได้เลย ขับไปตามที่สาธารณะ แถวๆที่พักก็ไม่ค่อยมี จะรอกลับไปชาร์จบ้านทีเดียวก็หวั่นใจว่าจะพอมั้ย หรือถ้ากลับระหว่างสัปดาห์ก็ไม่สะดวก ถ้าเป็น PHEV อันนี้โอเค ไฟหมดยังก็ใช้น้ำมันได้
4. ผมต้องการรถ 1 คัน ที่ขับไปทุกที่ทีมีทางและไปได้ BEV ไม่น่าตอบโจทย์ แล้วถ้าจะมี BEV คันนึงกับ รถแบบอื่นอีกคัน ก็ไม่ไหวและดูไม่คุ้มค่ากับการใช้งานของเราสักเท่าไหร่
ทั้งหมดทั้งมวลก็ด้วยเหตุผลประมาณนี้ครับ
ตามท่านนี้ พีเห็บเหมือนกันครับ
-
ผมคงมองพวกไฮบริดครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันด้วยแหละ ถ้าไม่ได้กระโดดแบบสองลิตรร้อย ก็คงใช้น้ำมันไปเรื่อยๆ
ส่วนตัวตอนนี้ยังไม่ไปรถไฟฟ้า เพราะไม่พร้อมจะจ่ายค่าแบตฯ (ผมใช้รถนาน คันละราวๆ 10 ปี) รวมถึงประเมินแล้วราคาขายต่อรถไฟฟ้า ลดฮวบแน่ๆถ้าเทียบกับรถน้ำมันครับ
-
ผมเลือก Hybrid เพราะว่า
ความประหยัดอยู่ตรงกลาง
ความสะดวกในการเติมพลังงานเท่า ICE
ประกันไม่แพงเหมือน BEV
ราคาขายต่ออยู่ตรงกลาง
สมรรถนะอยู่ตรงกลาง
ความสบายใจในการใช้งานใกล้เคียง ICE
และเทคโนโลยี BEV ยังวิ่งไม่หยุด ยังไม่(ค่อนข้าง)นิ่งครับ
ข้อเสียที่ ICE กับ Hybrid จะเสียเปรียบ BEV มากขึ้น (โดยเฉพาะ BEV ยุคปัจจุบัน) ก็คือถ้าน้ำมันแพงขึ้นๆเรื่อยๆนั่นแหละครับ
ในอนาคต เมื่อ BEV และระบบโดยรอบพัฒนาจนกลบข้อเสียไปได้ ตอนนั้นค่อยไป BEV ครับ
-
ice diesel ครับ
อัตราเร่งใช้ได้ ประหยัดน้ำมันในระดับนึง ทนทาน(ไม่รวมน้ำดัน) เติมน้ำมันได้ทั่วไทย ในราคาที่โดนอุ้มไว้
-
ตอนนี้วางแผนใว้แล้วครับ เริ่มจะเก็บรถ
ICE M/T sport เป็นรถสะสม
ICE A/T sport เป็นรถขับเล่นอีกคัน
ICE A/T D-sec กำลังคิดจะเปลี่ยนเป็น BEV model 3/ y or any new comers
Timeline ไม่น่าเกิน 1-2 ปีนี้
-
อยากได้เครื่องสันดาปปกติ แต่ความเป็นจริง คงต้องไปไฮบริด ด้วยราคา สิ่งที่ได้มาอะไรต่างๆ คุ้มค่ากว่า
-
ขอเลือก BEV ครับ
เพราะว่าให้ความสำคัญเรื่องความประหยัดและอัตราเร่งเป็นอันดับแรก ส่วนใหญ่ใช้ขับในเมืองช่วงพีคทั้งเช้าและเย็น อีกอย่างที่คอนโดมีที่ชาร์จรถไฟฟ้าแล้ว เลยไม่กังวลอะไร
-
ใช้ CRV G5 2017 คิดว่าจะเปลี่ยนรถช่วง 2025-2027 ตอนนั้นถ้าระบบชาร์จไฟได้ต่ำกว่า30นาที แล้ววิ่งได้เกิน 700km ผมคงไป EV ครับ
แต่ถ้ายังไม่หนีจากปัจจุบันมาก ผมขอ PHEV ญี่ปุ่น ที่ไปไฟฟ้าล้วนได้ระดับเดียวกับ Haval H6 เป็นอย่างน้อยครับ
-
ตอนนี้ หรือ พรุ่งนี้ ผมคงเลือก BEV แน่นอน 100% แล้ว
เพราะ ทำไมไม่เลือก ICE หรือ PHEV เพราะ คันเดิม ก็มีทั้ง ICE และ PHEV อยู๋แล้ว ไม่ได้ขาย ก็มีใช้อยู่
มันเหมือนว่า มี ICE หรือ PHEV อยู๋แล้ว อารมณ์คล้ายๆ มี SUV อยู่แล้ว ทำไมคันต่อไปต้องเลือก SUV ซ้ำอีก ยังไงยังงั้น
ใช้ก่อน คุ้มก่อน ประหยัดก่อน ไม่รู้ทำไมต้องรออีก 5 ปี 10 ปี ไม่มีเหตุผลที่ทำไมถึงจะไม่เลือก BEV ตอนนี้เหมือนกัน
-
ผมว่า ความเห็นมันหลากหลายตามเงื่อนไขนะ
เช่น
1.ถ้าปัจจุบันไม่มีรถใช้ แล้วถ้าจะซื้อไว้ใช้เอง 1 คัน
2.ถ้าปัจจุบันมีรถใช้อยู่ 1 คัน ถ้าต้องขายแล้วเปลี่ยนใหม่
3.ถ้าปัจจุบันมีรถหลายคัน มี ICE หรือ HEV อยู่ แต่ไม่มี BEV เลย แล้วจะซื้อเพิ่ม
4.ถ้าปัจจุบันมีรถหลายคัน มีทั้ง ICE / HEV และมี BEV ด้วย แล้วจะซื้อเพิ่ม
ผมเชื่อว่าในวันนี้ คำตอบจากกลุ่มต่างๆ ด้านบนยังต่างกัน
แต่ก็นั่นล่ะฮะ จริงๆ แล้ว ยอดขายทุกวันนี้มันก็บ่งบอกความนิยมละ
ยิ่งถ้าไม่ติดปัญหาฝั่ง supply ก็น่าจะเห็นยอดเติบโตเร็วกว่านี้
แต่
การเติบโตจะวิ่งขึ้นไปถึงแค่ไหน และที่สำคัญคือเมื่อ BEV
กลุ่มแรกขนาดใหญ่นี้เริ่มถึงวาระที่ต้องซ่อมบำรุงใหญ่ โดยเฉพาะ
กับแบตเตอรี่ ปฏิกิริยาตอบสนองต่อค่าใช้จ่ายก้อนนั้นจะส่งผล
ต่อความนิยมใช้ BEV ไปในทางด้านใด ยังน่าจับตามองอยู่ครับ
-
เลือก ICE เพราะผมใช้รถน้อยครับ คิดว่าน่าจะคุ้มที่สุดครับ
-
Hybrid ชุดเล็ก ที่ตัดพวก Starter Generator ออกไปครับ อาจจะเครื่องแค่ 1.2 1.3 เหมือนเดิม
หรือ Hybrid แบบ E-power ครับ
-
ถ้า bmw ยังมีเครื่อง ดีเซลขายอยู่ผมก็ยังใช้ต่อไปครับ เหตุผลคือชอบที่มันประหยัดสำหรับผมนะ ไม่เคยมีรถใช้ไฟฟ้าล้วนเลยไม่รู้ประหยัดมากกว่าเท่าไหร่
-
ตอนนี้ใช้ Hybrid คันหน้าไป EV ครับ
แต่ถ้ายังไม่มี EV ในราคาเหมาะสม ปัญหาน้อย ซ่อมไม่นาน ก็อาจจะซื้อ Hybrid ครับ