Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: champ_3230 ที่ เมษายน 21, 2023, 15:48:49
-
แอร์รถ ที่เราขับๆกันทุกวันนี่ มันมีเวลาล้างหรืออะไรยังไงไมครับ เห็นมีคนบ่นเรื่องแอร์สู้ความร้อนไม่ไหวเยอะ เลยไปคิดว่ามันต้องล้างเหมือนแอร์บ้านไม เป็นประเด็นในออฟฟิศผมอยู่ครับ หลายคนสงสัย
-
ที่เห็นเขาทำกันจะล้างแบบไม่ถอดตู้กันครับ
แต่เรื่องแอร์ไม่สู้แดด มีหลากหลายสาเหตุกันอยู่ครับ
-
จริงก็ควรล้างละครับ
ที่บอกแอร์ระบบปิด มันก็ยังคงรับอากาศในห้องโดยสาร (หรือนอกรถแล้วแต่รุ่น) เข้ามาปรับอากาศอยู่ดี ซึ่งอากาศก็มาพร้อมฝุ่น
ถ้าไม่ล้างเลยก็มีสิทธิ์ตันได้
-
ถ้าเจอฝุ่นบ่อยปีละครั้ง ถ้าไม่บ่อยก็ 2 ปีครั้ง
ล้างแบบไม่ต้องถอดตู้
-
ผม 7 กว่าปียังไม่เคยล้างเลย กะว่าจะล้างแบบไม่ถอดตู้ดูครับ ผมหมั่นดูดฝุ่นภายในบ่อยๆ ช่วยยืดให้แอร์ไม่สกปรกได้ครับ
แต่แอร์ไม่สู้แดดนี่ อาจจะอยู่ที่ฟิล์มด้วยครับ
-
ถ้าเปลี่ยนกรองแอร์สม่ำเสมอก็ไม่จำเป็นต้องล้างนะ (ทุก 6-12 เดือน) ฝุ่นเกาะที่คอยเย็นน้อยมากๆๆๆ เพราะกรองแอร์ในรถเป็นแบบกรองละเอียด ไม่เหมือนแอร์บ้านที่เป็นกรองหยาบ รถเราทุกคันก็เปลี่ยนแค่กรองแอร์อย่างเดียว ไม่มีปัญหาอะไร สู้แดดได้สบาย แต่พอใช้งานไป 10+ ปี แอร์จะเริ่มเย็นน้อยลง เช็คน้ำยาแอร์มันก็ลดลงมาบ้างนะ เติมกลับเข้าไปใหม่ก็เย็นเหมือนเดิม ใช้ยาวๆ ต่อได้อีกหลายปี เคยคุยกับช่างแอร์อยู่เหมือนกันว่าระบบแอร์เป็นระบบปิดอยู่แล้ว มันมีโอกาสน้ำยาลดได้ด้วยเหรอ ช่างก็ตอบกลับมาว่ามันมีโอกาสซึมออกมาตามซีลได้อยู่แล้ว แต่จะใช้เวลาหลายปี ถ้าน้ำยาแอร์มันลดลงจนแอร์เริ่มไม่ค่อยเย็นก็ลองเติมน้ำยาแอร์ไปก่อน แล้วสังเกตซัก 3 เดือน ถ้าความเย็นมันไม่ลดลงก็โอเค ถ้าความเย็นมันลดลงก็แสดงว่าบางจุดมันเริ่มรั่วเยอะ ควรตรวจหาจุดรั่วและเปลี่ยนเท่าที่จำเป็น
fun fact: เคยดูใน youtube ช่องนึง ถ้าจะตรวจหาจุดรั่วในระบบแอร์ ให้เติมน้ำยาแอร์แบบมีส่วนผสม uv dye ถ้าระบบมันรั่วตรงไหน ใช้ไฟฉาย uv ส่องก็จะเห็นจุดที่รั่วเรืองแสงขึ้นมาชัดเจนเลย
กลับเข้าประเด็นเรื่องล้างแอร์ ถ้าอยากล้างก็ล้างได้ ฉีดน้ำล้างที่คอยร้อนที่หน้าห้องเครื่องบ้าง ส่วนคอยเย็นก็นานๆ ซักครั้งก็ได้ และควรเป็นน้ำเปล่าเท่านั้น ไม่งั้นคอยเย็นมันจะผุพังง่าย (ช่างเขาว่างั้นนะ)
-
แอร์รถปกติแทบไม่ตันเลยนะ เพราะกรองมันละเอียดกว่าแอร์บ้านมาก จะตันก็เพราะใช้นํ้าหอมระเหยหรือกินอะไรในรถจนมันเหม็น ส่วนเรี่องล้าง ไม่ควรไปล้างแบบไม่ถอดตู้อะไรนั้นเด็ดขาด ตู้แอร์เยินไปหมด แทนที่แอร์จะเย็นกลับทําให้ครีบล้ม กลิ่นอับมากกว่าเดิม ยอมเปลี่ยนกรองแอร์เกรดดีๆดีกว่าเยอะ
-
แอร์รถสมัยนี้ดูแลง่ายครับ
เปลี่ยนกรองแอร์แท้ หรือ ของคุณภาพสูง ตามกำหนด แค่นั้นจบ ครับ
กรองแอร์ดีๆ เปลี่ยนตามกำหนด มันจะกรองฝุ่นไม่ให้เกาะตู้แอร์ จากนั้น ใช้ยาวๆไป จนตู้รั่ว แล้วก็เปลี่ยน
ไม่ต้องล้างใดๆ เพราะพวกล้างแบบไม่ถอดตู้ ถ้าล้างน้ำยาออกไม่หมด ตู้จะรั่วเร็ว อีกอย่าง ตู้ไม่สกปรกหรอก ตราบใด ที่เปลี่ยนกรองตามกำหนด ใช้กรองเกรดดีครับ
-
ผมก็เป็นคนนึงที่คิดว่า ถ้ามันไม่เป็นอะไรก็อย่าไปยุ่งกับมัน รักษาความสะอาดในรถให้ดี เปลี่ยนกรองแอร์ตามกำหนด ใช้hepaไปเลยกรองได้ละเอียดยิ่งมากยิ่งดี เลยไม่เคยทำอะไรกับมันแล้วก็ไม่เคยมีอาการอะไรกลิ่นอับก็ไม่มี
ใช้รถมา10ปีมีอันต้องไปรื้อตู้เพราะโอริงซึมทำให้กักน้ำยาไม่อยู่ก็เลยจำใจต้องถอดตู้มาล้างไปพร้อมกัน ก่อนถอดช่างบอกคอยล์เย็นผุแน่นอนถอดออกมาก็ตามนั้นเลยครับครีบทั้งผุและมีเมือกเกาะ เพราะความจริงถึงแม้เราจะรักษาความสะอาดแค่ไหนยังไงมันก็มีฝุ่นวิ่งเข้าไปรวมตัวกับความชื้นในตู้อยู่ดีแล้วเราก็นั่งดมเข้าไป ตัวเมือกเองก็ดูดความชื้นและเป็นต้นเหตุให้แผงรั่วในที่สุด
ถ้าถามว่าต้องล้างมั๊ย ก็ควรต้องล้างครับเพราะไม่ล้างก็นั่งดมเมือกนั่นไปตลอดเวลา แอร์ก็ทำงานได้ไม่เต็มที่สุดท้ายก็ตันเลยสุดทางก็น้ำแข็งเกาะ และควรต้องถอดตู้มาล้างด้วยครับเพราะล้างแบบไม่ถอดยังไงก็ไม่สะอาดและอาจมีปัญหาเรื่องล้างน้ำยาไม่หมดจนตู้รั่วตามมาด้วย
ปัญหาจริงๆที่ควรคิดคือถี่แค่ไหนถึงจะเหมาะสมสำหรับรถแต่ละคัน อย่างรถผมดูแล้วรื้อไม่เยอะไม่ต้องยกคอนโซลผมตัดสินใจแล้วว่าต่อไปก็จะล้างบ้างทุกๆ3-4ปีถือโอกาสเติมน้ำมันคอมไปด้วยเลย ส่วนรถผมอีกคันอายุ28ปีวิ่งปีละไม่เกินพันโลไว้ขับเล่นกินกาแฟแถวบ้านเวลาจะทำต้องยกคอนโซลแบบนี้ผมตัดสินใจไม่ล้างครับ รอรั่วที่เดียวเลย
-
เปลี่ยนกรองแอร์อย่างเดียวครับ ไม่เคยล้างครับ
-
ล้างด้วยน้ำผสมน้ำยาล้างจาน
ปีละครั้ง สอดสายยางเข้าไปฉีดครับ
พอดีทำได้ไม่ยากมาก ถือโอกาสล้าง Blower ด้วยเลย
-
ช่วงวิ่งทางฝุ่นมากๆ ผมเปลี่ยนกรองแอร์ทุก 30,000 กม แต่ทางปกติก็รอจนกว่าศูนย์จะแจ้งให้เปลี่ยน
ส่วนตู้แอร์ใช้ยาวๆ คันนึงมาเปลี่ยนตอน 300,0000 กว่า กม. อีกคันเปลี่ยนตอน 170,000 กม.
-
เปลี่ยนแค่กรองแอร์ บ่อยๆ ครับ ทุกๆ 6 เดือน หรือ 1 หมื่นโล ก็ดีครับ
ส่วนล้างแอร์ ถ้ามันยังเย็นอยู่ ไม่มีกลิ่นแปลกๆ ก็ใช้งานได้ปกติครับ
-
ถ้าจะล้าง ล้างแบบถอดตู้แอร์นะครับ ล้างแบบส่องกล้องแล้วใช้น้ำยาฉีดล้าง ถ้าล้างไม่สะอาด มีน้ำยาเหลืออยู่ จะกัดจนตู้ผุกร่อนเลยครับ
ของผมไปล้างแบบส่องกล้องแค่ครั้งเดียว แล้วเขาใช้นำฉีดล้างน้ำยาไม่หมด ถอดตู้มา ตู้ผุเลยครับ
-
2 คันล่าสุดในระยะเวลา 15 ปี เคยล้างแอร์ civic FD ไปครั้งเดียวเองครับ แบบไม่ถอดตู้ คันที่ขับอยุ่ปัจจุบัน mz3 ไม่เคยล้างแอร์เลยครับ แต่เปลี่ยนกรองแอร์ทุก 15k เคยมีปัญหาเรื่องแอร์ไม่เย็นเพราะแผงแอร์ด้านนอกรั่วแค่นั้น นอกนั้นเย็นจนหนาวครับ
-
ไม่ล้างครับ ซิตี้คันเก่าใช้มา 7 ปี ก็ไม่ล้าง วิคคันปัจจุบันใช้มา 7 ปี ก็ไม่ล้าง รอไม่เย็นค่อยรื้อ
ใช้วิธีตาม คห. บนๆ ผมใช้กรองแอร์ HEPA เปลี่ยนตามสภาพกรอง
ปล. รถสมัยนี้ พลาสติกเยอะ ถ้าไม่จำเป้นผมไม่รื้อ เพราะประกอบกลับไม่เหมือนเดิม
ที่สำคัญไม่อยากได้ยินเสียงกร๊อบแกร๊บ เวลาขับใช้งาน
-
สามคัน ก็ไม่เคยล้างครับ เน้นเปลี่ยนกรองแอร์ คุณภาพดีตามระยะที่ควรเปลี่ยน และ ไม่ใช้น้ำหอมในรถเลยสักคันเดียว
ความถื่ขึ้นสังเกตจากครั้งที่เปลี่ยนก่อนหน้าว่าสกปรกมากไหม ถ้ามากก็ควรเปลี่ยนถี่ขึ้น ถ้าดูแล้วไม่สกปรกมาก รับได้ก็เปลี่ยนระยะตามครั้งก่อน
อายุ 6-8-9 ปี เปลี่ยนตามนั้น แอร์เย็นเฉียบเป็นปกติ แอร์มี heater ด้วยนะครับ เย็นจนหนาวววว
-
ผมเป็นอีกคนที่เคยล้างแอร์แล้วแอร์รั่วครับ
-
ถ้าที่ศูนย์ฮอนด้า เขาแนะนำให้ล้างแบบไม่ถอดตู้ ทุกๆ 3หมื่นโล ผมก็ล้างมาตลอดนะ ครั้งละ 2000
คือถ้าใช้อย่างเดียว ฝุ่นมันจะไปเกาะที่ตู้ ทำให้เหม็นอับและแรงลมน้อยลงครับ
อย่าง vellfire ที่ใช้ เคยทู่ซี้ใช้ถึง 80000โล แอร์หลังเหม็นมาก สุดท้ายก็ต้องล้างตู้หลัง ถอดแบบ fortuner เลยครับ