Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: solo ที่ พฤษภาคม 31, 2023, 11:10:23
-
https://www.autofun.co.th/news/average-age-of-bev-is-67-years-68355?utm_source=facebook&utm_medium=organic&utm_campaign=68355-th-none&fbclid=IwAR1O1Hm-vmcdYn0wPYMXsnnfgwuseddQuNN3_XG93YA9hW6TMvKzB0TbZ4g
-
คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ เลยยังไม่คิดที่จะซื้อรถไฟฟ้า EV ในตอนนี้
แต่ในอนาคต ถ้าแบตถูกลง ชาร์ตได้เร็ว ไม่เสียเวลาชีวิต รถเก่าสามารถเปลี่ยนแค่แบตใหม่แล้วใช้ต่อได้นานขึ้ร (เพราะไม่ซับซ่อน และไม่สึกหรอเท่าเครื่องสันดาบภายใน) หาวิธีการกำจัดแบตเตอรี่แบบมลพิษต่ำ และไม่กระทบราคาไฟฟ้าที่ใช้ในครัวเรือน มันจะน่าใช้มาก
กลัวอีกอย่างคือ กลัวไทยจะกลายเป็นที่ทิ้งแบตเก่า คือผลักดันขยะมาประเทศที่ด้อยกว่า แบบนี้ไม่ดี
-
ผมก็ว่าปัญหาใหญ่ของความนิยมรถไฟฟ้าอยู่ที่ตัวผู้ผลิตเองนั่นแหละที่มีแนวโน้มว่าจะทำรถไฟฟ้าขายในลักษณะที่ตัวเองได้ประโยชน์สูงสุดฝ่ายเดียว ถ้าพูดเรื่องความคงทนก็เหมือนกับรถน้ำมันอ่ะครับที่ยิ่งมีรุ่นใหม่ออกมายิ่งทนทานน้อยลงเรื่อยๆ รถไฟฟ้าก็เช่นกันที่ผมเชื่อว่าทำใ้ห้ทนทำได้นะแต่ไม่ทำเพราะค่ายรถหวังให้มีอายุใช้งานสั้นตัวเองขายรุ่นใหม่ได้ตลอด เรื่องของแบตเตอรี่ด้วยที่เป็นปัญหาใหญ่ที่ค่าแบตเตอรี่แพง ค่ายรถจะอ้างว่าต้นทุนที่แพงที่สุดของรถไฟฟ้าคือแบตเตอรี่ที่ผลิตได้ยาก แต่เนื้อแท้แล้วอัตราสัดส่วนกำไรต่อต้นทุนในแบตเตอรี่ชุดนึงอยู่ที่เท่าไหร่? ที่ว่าแบตเตอรี่แพงเพราะสัดส่วนกำไรต่อต้นทุนของแบตเตอรี่นั้นทำกำไรสูงรึเปล่า? อิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองที่เจอมาในรถน้ำมันนะครับ ยกตัวอย่างเช่นโคมไฟหน้ารีเฟล็กเตอร์ของยาริสโคมใหม่ขายราคาโคมละ 4000 บาทแต่พอมาเป็นโคมโปรเจ็กเตอร์ในเล็กซัส LS โขกไปราคาข้างละ 35000 บาท คำถามของผมคือทำไมราคาสูงไปไกลแทบจะx2ของยาริส? ลักษณะของเนื้องานคือโคมพลาสติกทั้งชิ้น เป็นพลาสติกแม้กระทั่งลูกแก้วโปรเจ็กเตอร์ด้วย จะต่างกับยาริสก็ตรงที่มีมอเตอร์สำหรับระบบ AFS ซึ่งต้นทุนผลิตไม่น่าเกิน 1000 บาท ค่ายรถเอาอะไรมาแพงนอกจากอ้างว่าเป็นอะไหล่รถหรูเลยโขกกำไรหนัก? :-\
-
ผมก็ว่าปัญหาใหญ่ของความนิยมรถไฟฟ้าอยู่ที่ตัวผู้ผลิตเองนั่นแหละที่มีแนวโน้มว่าจะทำรถไฟฟ้าขายในลักษณะที่ตัวเองได้ประโยชน์สูงสุดฝ่ายเดียว ถ้าพูดเรื่องความคงทนก็เหมือนกับรถน้ำมันอ่ะครับที่ยิ่งมีรุ่นใหม่ออกมายิ่งทนทานน้อยลงเรื่อยๆ รถไฟฟ้าก็เช่นกันที่ผมเชื่อว่าทำใ้ห้ทนทำได้นะแต่ไม่ทำเพราะค่ายรถหวังให้มีอายุใช้งานสั้นตัวเองขายรุ่นใหม่ได้ตลอด เรื่องของแบตเตอรี่ด้วยที่เป็นปัญหาใหญ่ที่ค่าแบตเตอรี่แพง ค่ายรถจะอ้างว่าต้นทุนที่แพงที่สุดของรถไฟฟ้าคือแบตเตอรี่ที่ผลิตได้ยาก แต่เนื้อแท้แล้วอัตราสัดส่วนกำไรต่อต้นทุนในแบตเตอรี่ชุดนึงอยู่ที่เท่าไหร่? ที่ว่าแบตเตอรี่แพงเพราะสัดส่วนกำไรต่อต้นทุนของแบตเตอรี่นั้นทำกำไรสูงรึเปล่า? อิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองที่เจอมาในรถน้ำมันนะครับ ยกตัวอย่างเช่นโคมไฟหน้ารีเฟล็กเตอร์ของยาริสโคมใหม่ขายราคาโคมละ 4000 บาทแต่พอมาเป็นโคมโปรเจ็กเตอร์ในเล็กซัส LS โขกไปราคาข้างละ 35000 บาท คำถามของผมคือทำไมราคาสูงไปไกลแทบจะx2ของยาริส? ลักษณะของเนื้องานคือโคมพลาสติกทั้งชิ้น เป็นพลาสติกแม้กระทั่งลูกแก้วโปรเจ็กเตอร์ด้วย จะต่างกับยาริสก็ตรงที่มีมอเตอร์สำหรับระบบ AFS ซึ่งต้นทุนผลิตไม่น่าเกิน 1000 บาท ค่ายรถเอาอะไรมาแพงนอกจากอ้างว่าเป็นอะไหล่รถหรูเลยโขกกำไรหนัก? :-\
โคมไฟนี้ ของ LS น่าจะต้องโดนภาษีนำเข้านะครับ แล้วvolumnการผลิตของLS กับ Yaris น่าจะต่างกัน 100 เท่าได้นะครับ
แต่ยังไงอะไหล่รถหรูแล้วแพงขึ้นมีส่วนแน่ๆ
ถ้าให้รู้สึกดีขึ้นหน่อย... ไฟหน้า toyota wish คันละล้านนิดๆ ก็ข้างละ 2xxxx นะครับ
หรืออย่าง Fortuner ตัวปัจจุบัน ที่เป็น led แต่เสียหลอดนึงก็ต้องเปลี่ยนยกโคม แถมราคาก็ หลักหมื่นเหมอืนกัน..
-
ผมว่าเทรนการใช้รถมันมาแบบนี้อะครับ ไม่ใช่แค่รถไฟฟ้าแต่รวมถึงรถน้ำมันด้วย
คือคนเปลี่ยนรถกันไวขึ้น ส่วนนึงเพราะเทคโนโลยีมันไปไวด้วยครับ
ผู้ผลิตก็เน้นไปที่การอัดออพชั่นหรือลูกเล่นใหม่ๆเข้าไปในรถให้มากขึ้น เพื่อดึงดูดให้คนซื้อ product ใหม่เรื่อยๆ
และรถไฟฟ้านี่เทคโนโลยียิ่งไปไวเข้าไปอีก นอกจากพวกลูกเล่นแล้ว ยังมีพวกแบตที่ใหญ่ขึ้น ชาร์จได้เร็วขึ้นอีก
มันก็ไม่แปลกที่คนอยากจะเปลี่ยนไปใช้รุ่นใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมแบบก้าวกระโดด
ไหนจะอายุการใช้งานและการรับประกันแบตอีก ถ้าแบตหมดประกันแล้ว คงไม่มีใครอยากควักเงินตัวเองจ่ายค่าเปลี่ยนแบต เปลี่ยนรถใหม่ไปเลยดูคุ้มกว่า (รึป่าวหว่า?)
ผมก็ว่าปัญหาใหญ่ของความนิยมรถไฟฟ้าอยู่ที่ตัวผู้ผลิตเองนั่นแหละที่มีแนวโน้มว่าจะทำรถไฟฟ้าขายในลักษณะที่ตัวเองได้ประโยชน์สูงสุดฝ่ายเดียว ถ้าพูดเรื่องความคงทนก็เหมือนกับรถน้ำมันอ่ะครับที่ยิ่งมีรุ่นใหม่ออกมายิ่งทนทานน้อยลงเรื่อยๆ รถไฟฟ้าก็เช่นกันที่ผมเชื่อว่าทำใ้ห้ทนทำได้นะแต่ไม่ทำเพราะค่ายรถหวังให้มีอายุใช้งานสั้นตัวเองขายรุ่นใหม่ได้ตลอด เรื่องของแบตเตอรี่ด้วยที่เป็นปัญหาใหญ่ที่ค่าแบตเตอรี่แพง ค่ายรถจะอ้างว่าต้นทุนที่แพงที่สุดของรถไฟฟ้าคือแบตเตอรี่ที่ผลิตได้ยาก แต่เนื้อแท้แล้วอัตราสัดส่วนกำไรต่อต้นทุนในแบตเตอรี่ชุดนึงอยู่ที่เท่าไหร่? ที่ว่าแบตเตอรี่แพงเพราะสัดส่วนกำไรต่อต้นทุนของแบตเตอรี่นั้นทำกำไรสูงรึเปล่า? อิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองที่เจอมาในรถน้ำมันนะครับ ยกตัวอย่างเช่นโคมไฟหน้ารีเฟล็กเตอร์ของยาริสโคมใหม่ขายราคาโคมละ 4000 บาทแต่พอมาเป็นโคมโปรเจ็กเตอร์ในเล็กซัส LS โขกไปราคาข้างละ 35000 บาท คำถามของผมคือทำไมราคาสูงไปไกลแทบจะx2ของยาริส? ลักษณะของเนื้องานคือโคมพลาสติกทั้งชิ้น เป็นพลาสติกแม้กระทั่งลูกแก้วโปรเจ็กเตอร์ด้วย จะต่างกับยาริสก็ตรงที่มีมอเตอร์สำหรับระบบ AFS ซึ่งต้นทุนผลิตไม่น่าเกิน 1000 บาท ค่ายรถเอาอะไรมาแพงนอกจากอ้างว่าเป็นอะไหล่รถหรูเลยโขกกำไรหนัก? :-\
มันคนละระบบกันเลยครับ จะเทียบราคากันตรงๆไม่ได้
พวกไฟหน้า LED projector ราคา 2หมื่น+ นี่เรื่องปกติเลยครับ ของ Altis ก็ราคาประมาณนี้
อย่าง Subaru Forester ที่ไฟหน้าเลี้ยวตามพวงมาลัยได้ ข้างละเกือบ 5หมื่น ครับ ซึ่งมันก็แพงจริงๆ
ทั้งที่ไม่ใช่รถหรู แต่เป็นเพราะความซับซ้อนของระบบที่เยอะกว่าครับ
ส่วนไฟหน้า reflector ธรรมดาๆ ราคาข้างละ 4000 นี่ผมก็มองว่าแพงครับ
-
พูดกันแต่ต้นทุนการผลิต ถ้าเรานับแค่นำชิ้นส่วนมาประกอบกันก็เมื่อเทียบกับราคาขายก็แพงครับ
เหมือยบอร์ดเกมแหละ มีแต่กระดาษกับพลาสติค แต่ขายทีเป็นพัน หรือหลายพันบาท
ก็เพราะมีค่า r&d เข้าไปด้วยไงครับ ที่เราคิดว่ามันแพง เพราะเราไม่ได้ให้ค่า r&d เลยไงครับ
-
ผมกลับคิดว่า ชิ้นส่วนมันถอดเปลี่ยนไม่ได้เหมือนรถสันดาปครับ
โดยเพราะการชิ้นโครงของเทสล่า
มันล้ำก็จริง แต่พังแล้วเปลี่ยนคันเลย เพราะโครงสร้างมันคืออันเดียวกันทั้งหมด
-
ผมว่ามันอยู่ที่รุ่นรถด้วย เมืองนอกค่าแรงค่าภาษีแพงมากการจัดซื้อรถใหม่ก็อาจจะถูกกว่า
ประเทศไทยค่าแรงไม่แพงเท่า บวกกับอะไหล่
แต่มันอยู่ที่ประสิทธิภาพรถ ที่ผมมองไว้คือมันเป็นยุคของมันถ้าคุณมองขาดเรื่องยุคต่อไป
เมื่อคุณซื้อรถที่มาตรฐานของยุคต่อไปรถคุณก็อมตะ แค่เปลี่ยนแบตก็ใช้งานต่อได้ทันที
แต่ถ้าคุณซื้อรถที่พร้อมตกรุ่น การทิ้งแบบขยะอิเล็กทรอนิกส์ก็เป็นเรื่องธรรมดา
-
ผมว่าเทรนการใช้รถมันมาแบบนี้อะครับ ไม่ใช่แค่รถไฟฟ้าแต่รวมถึงรถน้ำมันด้วย
คือคนเปลี่ยนรถกันไวขึ้น ส่วนนึงเพราะเทคโนโลยีมันไปไวด้วยครับ
ผู้ผลิตก็เน้นไปที่การอัดออพชั่นหรือลูกเล่นใหม่ๆเข้าไปในรถให้มากขึ้น เพื่อดึงดูดให้คนซื้อ product ใหม่เรื่อยๆ
และรถไฟฟ้านี่เทคโนโลยียิ่งไปไวเข้าไปอีก นอกจากพวกลูกเล่นแล้ว ยังมีพวกแบตที่ใหญ่ขึ้น ชาร์จได้เร็วขึ้นอีก
มันก็ไม่แปลกที่คนอยากจะเปลี่ยนไปใช้รุ่นใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมแบบก้าวกระโดด
ไหนจะอายุการใช้งานและการรับประกันแบตอีก ถ้าแบตหมดประกันแล้ว คงไม่มีใครอยากควักเงินตัวเองจ่ายค่าเปลี่ยนแบต เปลี่ยนรถใหม่ไปเลยดูคุ้มกว่า (รึป่าวหว่า?)
ผมก็ว่าปัญหาใหญ่ของความนิยมรถไฟฟ้าอยู่ที่ตัวผู้ผลิตเองนั่นแหละที่มีแนวโน้มว่าจะทำรถไฟฟ้าขายในลักษณะที่ตัวเองได้ประโยชน์สูงสุดฝ่ายเดียว ถ้าพูดเรื่องความคงทนก็เหมือนกับรถน้ำมันอ่ะครับที่ยิ่งมีรุ่นใหม่ออกมายิ่งทนทานน้อยลงเรื่อยๆ รถไฟฟ้าก็เช่นกันที่ผมเชื่อว่าทำใ้ห้ทนทำได้นะแต่ไม่ทำเพราะค่ายรถหวังให้มีอายุใช้งานสั้นตัวเองขายรุ่นใหม่ได้ตลอด เรื่องของแบตเตอรี่ด้วยที่เป็นปัญหาใหญ่ที่ค่าแบตเตอรี่แพง ค่ายรถจะอ้างว่าต้นทุนที่แพงที่สุดของรถไฟฟ้าคือแบตเตอรี่ที่ผลิตได้ยาก แต่เนื้อแท้แล้วอัตราสัดส่วนกำไรต่อต้นทุนในแบตเตอรี่ชุดนึงอยู่ที่เท่าไหร่? ที่ว่าแบตเตอรี่แพงเพราะสัดส่วนกำไรต่อต้นทุนของแบตเตอรี่นั้นทำกำไรสูงรึเปล่า? อิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองที่เจอมาในรถน้ำมันนะครับ ยกตัวอย่างเช่นโคมไฟหน้ารีเฟล็กเตอร์ของยาริสโคมใหม่ขายราคาโคมละ 4000 บาทแต่พอมาเป็นโคมโปรเจ็กเตอร์ในเล็กซัส LS โขกไปราคาข้างละ 35000 บาท คำถามของผมคือทำไมราคาสูงไปไกลแทบจะx2ของยาริส? ลักษณะของเนื้องานคือโคมพลาสติกทั้งชิ้น เป็นพลาสติกแม้กระทั่งลูกแก้วโปรเจ็กเตอร์ด้วย จะต่างกับยาริสก็ตรงที่มีมอเตอร์สำหรับระบบ AFS ซึ่งต้นทุนผลิตไม่น่าเกิน 1000 บาท ค่ายรถเอาอะไรมาแพงนอกจากอ้างว่าเป็นอะไหล่รถหรูเลยโขกกำไรหนัก? :-\
มันคนละระบบกันเลยครับ จะเทียบราคากันตรงๆไม่ได้
พวกไฟหน้า LED projector ราคา 2หมื่น+ นี่เรื่องปกติเลยครับ ของ Altis ก็ราคาประมาณนี้
อย่าง Subaru Forester ที่ไฟหน้าเลี้ยวตามพวงมาลัยได้ ข้างละเกือบ 5หมื่น ครับ ซึ่งมันก็แพงจริงๆ
ทั้งที่ไม่ใช่รถหรู แต่เป็นเพราะความซับซ้อนของระบบที่เยอะกว่าครับ
ส่วนไฟหน้า reflector ธรรมดาๆ ราคาข้างละ 4000 นี่ผมก็มองว่าแพงครับ
เจอ adaptive led ไปข้างละ 120000 ไม่มีประกันนี่เซงเลยครับ
-
ใน 20 ปี ข้างหน้ารถไฟฟ้าที่คุณเริ่มเห็นวิ่งกันจากค่าย Tesla, BYD, NETA และอื่นๆ มันจะไม่มีให้เห็นหรอกครับ จะมีแต่รุ่นใหม่ที่เค้าออกมา
ส่วนรถกระบะและPPVที่เพิ่งออกป้ายแดงกันในวันนี้ ในอีก 20 ปีมันก็ยังวิ่งกันครับ ผมว่าจุดนี้มัน obvious สำหรับทุกคนนะ
-
ตัวเลขจากในข่าว รถที่หายไปจากถนน ช่วงระยะเวลา รถ EV หายไป 6.6% เทียบกับรถ ICE หายไป 5.1%
ผมมองว่ายังไม่สามารถสรุปได้โดยตรงว่า มันหายไปมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนหนึ่งเพราะ กลุ่มลูกค้า/ลักษณะการใช้รถ/ความเสี่ยง ของคนใช้ EV มันไม่ได้ตรงกับกลุ่มลูกค้าของรถ ICE 158 ล้านคันนั้นเป๊ะๆครับ ควรเอากลุ่ม Passenger Car ด้วยกันมาเทียบครับ
ส่วนเรื่อง อายุเฉลี่ยสั้นลง เชื่อว่า ถ้าเป็น EV ในประเทศที่เทคโนโลยีการซ่อมพร้อม และค่าแรงไม่แพง อายุจะใช้ได้อย่างยืนยาวขึ้นครับ
(เมืองนอกอาจจะชนแล้วทิ้งเลย)