Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: volvo80 ที่ มิถุนายน 17, 2023, 11:15:39
-
จากข่าวที่วอลโว่ประเทศไทยเคยประกาศว่า จะมุ่งจำหน่ายเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบภายในปี 2025 ซึ่งนั่นหมายถึงอีกเพียงสองปีนับจากนี้
โดยวอลโว่ก็ตอกย้ำคำประกาศโดยการเปิดตัว XC40 C40 Single Motor และมีแผนที่จะเปิดตัว EX30 อย่างรวดเร็วในเดือนกันยายนี้
และคงอีกไม่นานที่รถยนต์รุ่นเรือธงอย่าง EX90จะเข้ามา
ดูทรงแล้ว วอลโว่ประเทศไทยดูจะเอาจริงเอาจังกับการมุ่งสู่ยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดยทิ้งเครื่องยนต์ที่ reliable อย่างตระกูล Recharge เอาไว้เบื้องหลัง
ผมเองในฐานะแฟนคลับวอลโว่ และเป็นเจ้าของ XC60 Recharge รู้สึก "หวั่นใจ" กับแนวทางที่วอลโว่ประกาศมากๆเลยครับ
โดยทัศนะส่วนตัว ผมว่าประเทศไทยยังไม่พร้อมที่จะรองรับปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าล้วน ทั้งในแง่ของสถานีชาร์จ และวัฒนธรรมของผู้ใช้รถ
การมีออพชั่น ให้เลือกระหว่าง ไฟฟ้าล้วน และ plug-in hybrid ให้เลือกดูทรงว่าจะเป็นทางออกที่ วิน-วิน กับทุกฝ่าย
ตัวผมเองมีแพลนจะเปลี่ยนเจ้า XC60 คันปัจจุบัน เมื่ออายุครบ 5 ปี ก็ยังลังเลหากจะต้องซื้อรถยนต์ไฟฟ้าล้วนมาใช้
อยากถามความเห็นเพื่อนสมาชิกว่า คิดว่าการเลือก "หัว-ก้อย" ของวอลโว่ประเทศไทยจะเกิดผลอย่างไรต่อแบรนด์ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
-
ตักตวงผลประโยชน์ FTA โคตรสบาย
-
หลังปี25 hev มือสองยี่ห้อนี้คง floor แน่ๆ :-\
-
เดี๋ยว volvo ก็ได้เจ้งอีก รอบหรอก
คอยดู ตอนเวลาใกล้ๆ เดี๋ยวจะเปลี่ยนนโยบาย มั้ย
รักษ์โลก แต่ รักเงินมากกว่า
-
อยากเห็นรถแบบ V60/V90 แต่เป็นเวอร์ชั่นไฟฟ้า
-
ในฐานเป็นคนใช้ XC60 T8 2020
มองว่า Volvo เค้าวางแผนมาดีและน่าจะมีแผนสำรอง
เพราะอย่าง XC40 / C40 มอเตอร์เดี่ยว กว่าจะรับรถจริงก็ปลายนี้ถึงต้นปีหน้า
EX30 กว่าจะรับรถจริงก็ต้นปี 67 .... ถึงช่วงเวลาอีก 1-2 ปี สถานีชาร์จและวัฒนธรรมการชาร์จไฟนอกบ้านจะลงตัวขึ้นกว่านี้
ถ้าขายไฟฟ้ายังไม่พุ่ง เดาว่าอาจจะชะลอการเลิกกขาย PHEV ไปอีกหน่อยก็เป็นไปได้
แต่ถ้าพุ่งก็กินตลาดในอนาคตได้เลย
-
เค้าวางแผนมานานแล้วครับ และเดินตามแผนเป๊ะๆ เสียด้วย
ประกาศว่า หลังปี 2020 เค้าจะไม่ผลิตรถ ice ตอนประกาศผมยังคิดเลยว่าจะเป็นไปได้ยังงัย สรุปเค้าทำจริงแฮะ
concept Volvo เค้าคือรักโลก ยอมตาย ไม่ยอมทิ้ง concept
ว่าแล้วก็เพิ่งไปจอง S90 มา 1 คัน
-
ตอนนี้ค่ายเยอรมันในไทย ยังมีรถไฟฟ้าให้เลือกน้อย รุ่นที่มีก็แพงเพราะมาจากยุโรป (ยกเว้น iX3) วอลโว่รีบเปิดหลายๆ รุ่น แถมมาจากจีนราคาถูกกว่ารถน้ำมันหรือไฮบริดคู่แข่งอีก ผมมองว่าได้ head start คนรับรู้ในวงกว้างว่าวอลโว่ขายรถไฟฟ้า น่าจะเป็นผลดีในอนาคตเสียอีกครับ อาจจะเสียกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่กล้าไป ev ล้วนบ้างแต่บริษัทคงคำนวณมาแล้วว่าคุ้มค่าในระยะยาวครับ
-
ดูจากการที่ปรับเป็น Hybrid T8 ล้วน รอบก่อน ผมว่าผลตอบรับถือว่าโอเคนะครับ แล้วเหมือนระบบ Hybrid ตัวรถก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรน่ากลัว
ราคา Volvo ก็ตั้งได้ สมเหตุสมผลและดูคุ้มค่าครับ
มายุค XC40 BEV ก็ทำราคาได้ดี แถมยังเปิดราคา Single Motor ที่ดีมาได้อีก
แต่ถ้าปรับเป็น BEV หมด อาจเสียลูกค้ากลุ่มวิ่งยาวๆ แต่อาจแย่งลูกค้า ค่ายยุโรปมาได้เพิ่ม
เรื่องราคาขายต่อ คนซื้อ volvo อาจไม่สนใจเท่าไร่ (เพราะถ้าสนคงไม่ซื้อตั้งแต่แรก) พอมาเป็น BEV ที่ราคาร่วง ก็คงไม่ได้กระทบมากเท่าไร่
-
หลังปี25 hev มือสองยี่ห้อนี้คง floor แน่ๆ :-\
อาจจะไม่ขนาดนั้นนะครับ ทุกวันนี้ในกลุ่มยังตามหาตัวดีเซลกันอยู่เลยครับ :-X
-
จริงๆตอนที่วอลโว่ประกาศทำรถไฮบริดล้วน สมัยนั้นคนก็ยังไม่ได้เปิดใจรับไฮบริดมากนะ แต่วอลโว่ทำราคาออกมาได้ดี+ตัวระบบไฮบริดไม่ได้มีปัญหามากเท่าเจ้าอื่นเลยไปได้
รถไฟฟ้า ถ้าทำราคา+ออปชั่นออกมาได้ดี รถไม่ได้มีปัญหาผมว่ายังไงก็ขายได้พอควรแหละ
แต่ทีนี้รถไฟฟ้าล้วนอาจจะต่างกัน รถไฮบริดคนที่ไม่สะดวกเสียบปลั้กก็พอเติมน้ำมันล้วนได้ ไม่ประหยัดไม่แรงก็ช่างมัน คิดซะว่าซื้อออปชั่น+ความปลอดภัย
แต่รถไฟฟ้านี่ถ้าอยู่คอนโด ไม่มีที่ชาร์จนี่จบเลย อย่างน้อยก็น่าจะเสียลูกค้ากลุ่มที่ไม่สะดวกชาร์จที่บ้านไปเยอะ
-
เค้าคงมีการมองเห็นโอกาสทางการทำตลาด และแนวทางการทำตลาดต่อจากนี้ไว้แล้วครับ ถึงกล้าประกาศออกมา
เพราะของแบบนี้มันต้องวางแผนระยะยาว และเค้าคงประเมินอนาคตและศักยภาพตัวเองแล้วว่า ถ้ายังอยู่ในตลาด ICE เพียวหรือผสมต่อไปก็อาจจะไม่สามารถสู้คู่แข่งได้ ก็ต้องรอดูเมื่อถึงวันนั้นครับว่าสิ่งที่ Volvo คิดนั้นถูกหรือเปล่า
-
ผลต่อ "แบรนด์" น่าจะดี เพราะเป็นการตอกย้ำว่าทำจริงๆ ตามแนวทางที่ประกาศไว้
เดิมทีผมวางแผนจะซื้อ V60 PHEV พอเจอ XC40 ev ตัวใหม่เหลือ 1.9 ล้าน อาจจะเปลี่ยนเป้าหมาย ประหยัดเงินได้อีกหลายแสน แต่ยังไม่รีบ รอดูว่าในอนาคตจะมีตัว stationwagon ที่เป็น pure EV ไหม
-
กลุ่มคนซื้อ Volvo เองค่อนข้างจำเพาะครับ
ผมคิดว่าสัดส่วนในกลุ่มที่มีกำลังซื้อ มี 5-10% เท่านั้นที่มี Volvo ในตัวเลือก
และตอนนี้ Volvo ในไทยทั้งหมด ก็เป็น BEV หรือ PHEV
สัดส่วนแน้วโน้มใกล้เคียงเดิม หรืออาจเพิ่มขึ้นบ้าง
ตัวกาาวางราคาตัวรถ และ อุปกรณ์ที่ให้มา
Volvo เอง ผมว่าเขาก็ชัดเจน ในว่าเป็น BEV นะครับ
ผมเองก็ชอบความชัดเจนนี้ พร้อมสนับสนุน
แต่อยากให้เพิ่มศูนย์บริการด้วยครับ
หลัง ๆ รถ service เยอะมาก
-
ชัดเจนดี
เอาตรงๆเครื่องยนต์ volvo แข่งความแรงกับเยอรมันลำบาก
แต่ volvo ไม่ต้องเสียตังพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปแล้ว
ขับได้เร็วระดับsupercar รถไฟฟ้า volvo น่าใช้มากๆๆๆๆๆ
-
เปรียบยุคม้ารถลากครองตลาดอเมริกา เพราะน้ำและหญ้าหาได้ทั่วไป ในขณะที่ฟอร์ดออก Gasoline ระยะแรกๆ ผู้คนส่วนหนึ่งคิดว่า พวกเครื่องสันดาปจะไปรอดหรือ ทั้งในแง่จำนวนปั้ม และคุณภาพรถ
-
ไม่แปลก เพราะถ้าshare เทคโนโลยีกับบริษัทแม่ที่จีนด้วยก็ลดต้นทุนไปอีก
ยุโรปกับจีนevคือไปได้อีกไกลมาก
เค้าไม่ได้มาสนใจตลาดโลกที่3ยอดขายน้อยนิดที่ต้องการรถน้ำมันเท่าไหร่หรอกครับ
-
แนวทางการทำรถเขาชัดเจน การไม่พัฒนา diesel เลิกขาย ice การ เปิดตัว ev ใหม่ทุกปี ขนาดที่ตั้งใจจะไม่ให้มีผู้ใช้ volvo เสียชีวิตด้วย 180kph limit speed เรื่องแบบนี้มีทั้งผลดีผลเสียแน่นอน ส่วนตัวก็เป็นผู้ใช้เครื่องยนต์ volvo b4 คิดว่าเห็นด้วยและอยากสนับสนุนให้ค่ายรถทำแบบนี้ครับ ทำให้เป็นนโยบายเดียวทั่วโลกด้วย
-
แนวทางชัดเจนดี วิเคราะห์และวางแผนจนมั่นใจว่ามาถูกทางแน่ๆ ทำแนวทางเดียวสามารถแก้ปัญหาง่ายกว่าและลดต้นทุนไปในตัว แล้วมุ่งมั่นทำตามแผนให้มีคุณภาพสูงพอ, ปัญหาน้อย, รับผิดชอบแก้ไขปัญหาให้ดี, วางราคาและอ็อปชั่นเหมาะสมกับผู้ใช้ส่วนใหญ่ หากทำได้ก็จะขยายตลาดตัวเองไปได้อีกเยอะเลยครับ
-
แนวทางแน่นอนดีครับ เหมือนรู้แนวทางตัวเองแล้วว่า ควรอยู่จุดไหน
-
มีบริษัทรถน้ำมันรายไหนบ้างที่ประกาศว่าจะเลิกผลิตรถน้ำมันแล้วจะหันไปผลิตรถไฟฟ้าอย่างเดียว แม้แต่ไฮบริดก็ไม่เอา
-
ยึดตามแผนบริษัทแม่ไงครับ ซึ่งผมว่าก็ดีนะ ค่อยๆเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์
เพราะทุกวันนี้คนก็มองว่า Volvo เป็นแบรนด์รักษ์โลกอยู่ละ แล้วตอนนี้แบรนด์พรีเมี่ยมยุโรป ที่ประกาศตัวไวแบบนี้ ก็ยังไม่มี
เท่าที่รู้มา ทั้ง MB BMW Audi กว่าจะไปไฟฟ้าหมด คง2030
แบรนด์หรูไฟฟ้า ตอนนี้ในราคาที่หลายๆคนเอื้อมถึง ถ้าไม่นับ Tesla ที่เป็น EV ไม่หรูแต่แรงจัด ก็มีแต่ Volvo นี่แล
-
ไม่แปลกใจเลยครับ เหมือนจะมาทางนี้หลายปีแล้ว เริ่มจากไฮบริดก่อน ต่อไปไฟฟ้าล้วน
ผมว่าแข่งกับ Tesla หรือรถจีนได้สบายๆ
-
ผลดีต่อแบรนด์แน่ๆครับ เค้าไม่ได้อยากขายในไทยเท่าไหร่หรอก ประเทศโลกที่ 3 ยังห่างไกลจากเรื่อง carbon footprint เยอะ
ทุกวันนี้ในไทยก็แทบจะมีแต่ hev แล้วยอดเค้าก็ทรงๆ ช่วงนี้ยอดบูมหน่อยเพราะกระแส bev เยอะไม่แปลก แต่ต่อให้ทุกค่ายลงสนาม bev หมดผมว่า volvo ก็ทรงๆ ไม่ต่างจากเมื่อก่อน ซึ่งเค้าพอใจในจุดนี้ ด้วย capablity ที่มีเค้าก็ไม่เพียงพอจะรับคนใหม่มากมายหรอก ตอนผมใช้ xc40hev ก็ลำบากเวลาเข้าศูนย์อยู่
ยิ่งโดยเฉพาะทิศทางออกไป bev มากขึ้นเรื่อยๆ ผมว่ามีแต่ผลดีทั้งยอดขายและแบรนด์เลย
คนหาดีเซลมีอยู่แล้วครับ แต่น้อย ถ้าอยากใช้ดีเซลไปค่ายอื่นเลยดีกว่า เค้กก้อนดีเซลไม่ได้เล็ก แต่คนที่สนใจดีเซลและเลือก volvo ในไทย น้อยนิดมากครับถ้าเทียบกับตลาด คน conservative สนใจแต่ benzๆๆๆๆๆ รองมาก็ bmwๆๆๆๆ เมื่อก่อน volvo เค้าเอาราคาตบถึงได้มีคนเปิดใจ แต่สาวกเค้าไป phev หมดหละครับ
ผมยังหรอ es90 อยู่เลย ถ้าออกมาได้ 1 คันแน่ๆ ส่วนถ้าเอา polestar เข้ามาก็ใช้ polestar เป็นรถหลักแน่นอน แต่ประเทศไทยคงยากหน่อย :'(
-
ก็มันไม่เชิงว่ามีทางเลือกนิคับ
ปี 2035 ทางยุโรปก็จะ ban รถที่ใช้ fossil fuel ในรถยนต์นั่งอยู่แล้ว
-
รถ volvo ไม่ต่างจากเยอรมันเลยนะครับ เทียบซีซีเท่ากัน รถไฟฟ้าทำออกมานาน ได้ผ่านการลองผิดลองถูกมานาน เหมือนกับ Blind Spot sensor เมื่อก่อนก็เอามาใช้ในตลาดเป็นรุ่นแรกๆ ทำออกมาโคตรกาก ตอนนี้ดี หักหลบรถหลังได้อัตโนมัติอีกต่างหาก ถือว่าด้าน tech เป็นผู้นำในกลุ่มได้เทียบเท่าเยอรมัน แต่ MB รุ่นหลังสุดก็ก้าวไปอีกระดับเช่นกัน ต้องเทียบกับ EX90 และ 30 ที่กำลังจะออก
volvo จะเสียอย่างเดียวตรง agility ของรถยังไม่ดี คือกลุ่มนักซิ่งอาจจะไม่ชอบ เพราะ handling รถทำออกมาไม่เฉียบ และผ่ผลิตอาจตั้งใจให้เป็นแบบนั้น
-
ตอนผมไป ตจว. ไม่ค่อยเจอสถานการณ์ ไม่มีที่ชาร์จ อย่างมากก็รอนิดหน่อยครับ (แต่ไปไม่ไกลจาก กทม. มาก พวก เขาใหญ่ หัวหิน พัทยา)
ส่วนมากที่แน่นๆ มักจะเป็นของ PTT ที่คนจะแย่งกันช่วง off-peak เพราะราคาถูกลง
ถ้าอย่างพวก EA Anyehere / Elexa ผมว่าค่อนข้างโล่ง/รอไม่นาน
-
คงผ่านการคิดมาแล้วทั้งด้านการขาย การทำตลาด ในส่วนของภายใน ก็จะช่วยเรื่องการคุมต้นทุนได้