Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Kanarath ที่ ตุลาคม 02, 2023, 22:36:16
-
สมัยก่อนรถ 500แรงม้าต้องมีค่าตัวเกิน 10ล. ตอนนี้ 1.6ล ก็ขับได้แล้ว
แต่เข้าใจแหละว่ามันมีองค์ประกอบอื่นอีกเช่นคุณภาพตัวรถ ช่วงล่าง การขับขี่ ภาพลักษณ์
แต่มุมนึงก็ต้องยอมรับในแง่ความรู้สึกว่าแรงม้า อัตราเร่ง มันระดับ performance car ตัวท๊อปๆเลย
เลยอยากทราบว่าสมาชิกที่ใช้ sport ตัวแรง (หรือชื่นชอบความแรง) มีความรู้สึกกับการมาของ EV 500แรงม้ายังไงบ้างครับ
ตัวอย่างเช่น ขับ 911 ม้า 400ตัว ความภูมิใจใน(เฉพาะ)ความแรงที่เคยมี เวลาหันไปเจอ EV 500ม้าจอดข้างๆที่ไฟแดง มันจะรู้สึกเปลี่ยนไปยังไงมั๊ยครับ
-
sport car มันมีอะไรมากกว่า แค่แรงม้าสูงๆและอัตราเร่ง 0-100 ครับ ช่วงจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ ช่วงล่าง เสียงเครื่องยนต์ หลายๆอย่างมาประกอบกันมันทำให้หลายๆคนยังคงจะจ่ายเงินมากๆเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา
-
กระทบครับ รวมถึงการโมดิฟาย แต่งรถด้วย กว่าจะได้ 500ม้า หมดเงิน หมดเวลา หมดประกัน เสี่ยงพังอีก อันนี้โกงมากจ่ายจบมีประกันเอาไปทำช่วงล่างอีกหน่อยจบเลย
รถ sport ส่วนมากแพงเพราะภาษี + กำไร FTA 0% รัฐช่วยอีกโครตโกงง :'(
-
ผมมองว่ารถ2ตัน กับรถ1.6ตัน ไดนามิกในการขับมันน่าจะต่างกันเยอะอยู่พอสมควรนะครับ
ถ้าชอบความสนุกในการเปลี่ยนเลนหรือเข้าโค้ง รถสปอร์ตน่าจะยังให้ความรู้สึกดีกว่า มั่นใจกว่าอยู่พอสมควรนะ
-
อยากแรงเล่นไฟฟ้าเลยครับ หมดยุครถน้ำมันแรงๆๆ
-
ไม่ครับ เหมือน smart watch ที่มาแทนที่ rolex, ap อะไรไม่ได้
-
ถ้าคนที่อยากได้รถ sport เพราะชอบการขับขี่จริงๆ และมองการขับรถเป็นงานอดิเรกในเวลาว่าง
ก็ไม่น่ามีผลเท่าไหร่ หรือไม่เขารอรถ ev ที่เป็นรถ sport จริงๆมากกว่า
เพราะอย่าง BYD Seal, Model 3 performance คาแรคเตอร์มันก็ยังไม่ใช่รถ sport ที่จะเอาไว้ขับเล่นในวันหยุดหรือขับลงสนามซะเท่าไหร่
คือต่อให้เป็น Model S Plaid ที่มี 1,000+ แรงม้า มันก็ยังไม่ใช่รถ sport อยู่ดี แถมทำเวลาในสนามช้ากว่ารถ sport ICE 400 กว่าแรงม้าด้วยซ้ำ
แต่ถ้าสำหรับคนชอบรถ sport เพราะแค่ต้องการความ "แรง" อย่างเดียว จะไปออนิว 1.9 remap ก็ไม่ต่างกัน
ซึ่งที่วิ่งกันอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองก็คิดแบบนี้แหละ
-
กระทบสิครับ คือมันจะก่อกำเนิดกลุ่มพฤติกรรมตลาดพ่อ/แม่น้องแมวน้ำมาใหม่
ควบคู่กับน้องออนิว
-
มีใครคิดเหมือนผมไหมว่าเจ้า seal จะต้องมีจิ้มตูดคันหน้ากันบ้างแน่ๆ
เพราะผมไม่คิดว่าเบรคของรถคันนี้จะเอาอยู่ครับ
มันเล็กไปสำหรับรถที่หนักถึง 2.1 ตัน แต่มีอัตราเร่ง 0-100 3.8 วิ
พวกรถสปอร์ตแท้ๆ ไว้ใจได้มากกว่าเยอะครับ
(https://s3.sa-east-1.amazonaws.com/revista.mobiauto/BYD/Seal/2024/BYD+Seal+2024+roda.jpg)
-
มันสู้กันไม่ได้นะ แรงจริงแต่ความเร็วสูงสุดได้แค่ 180กม/ชม เท่านั้น
ส่วนสปอร์ตคาร์ 200กว่าๆ อย่างน้อยๆก็ 250กม/ชม
อีกอย่างความเท่ ความหรูก้ต่างกันเยอะ
-
กระทบครับ อย่างตอนนี้ถ้าจะรถแพงๆเพื่อกำลังรู้สึกเหมือนตนเองโง่ทันที ทั้งๆที่จ่ายได้ถูกกว่านั้นเยอะ
-
ผมไม่ได้อยู่ในข่ายที่มีปัญญาซื้อนะครับ แค่ได้ฟัง ได้สัมผัสกับความคิดของกลุ่มที่มีกำลังซื้อได้จริงมาบ้าง อาจจะแตกต่างไปบ้าง กับกลุ่มอื่นที่มีกำลังซื้อจริงก้อได้ มาคุยกันเฉยๆละกัน
กระทบมั้ย ผมว่าไม่ เคยคุยในวงสนทนาเค้าก้อบอกว่า
-ก้อลองซื้อมาขับดูดิ ถูกๆ ไม่ชอบขายทิ้ง ขำๆ
-ไม่เห็นน่าซื้อเลย เกลื่อนแน่ๆ ใครๆก้อซื้อได้
-ขับแรงๆไปทำไม คนมองไม่เห็น เร็วเกิน (555)
-จอดช่อง super car ในห้างดังได้มั้ย?
-ซื้อทั้งที คนต้องมองแล้วรู้ว่าแพงดิ ส่วนมันจะแพงมั้ย คุ้มมั้ย คนที่สงสัยอีกเยอะที่มอง ที่วิจารณ์ไม่มีโอกาสจะเข้าใจหรอก เพราะซื้อไม่ได้อยู่แล้ว
ผมคิดนะ ถึงจุดที่รวยมีเงินมากๆ ถ้าใจไม่ได้รักความเร็ว หลงเสน่ห์การขับขี่จริงๆ เท่าที่เห็นประเด็นหลัก ที่คนซื้อรถ super car คือ เขาทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ ครอบครองไม่ได้ เท่านั้นเอง
ผมคนนึงที่ยอมรับเลยว่า ถ้ามีรถเเพงๆได้ ก้อคงมีความสุขที่รู้ในใจตัวเองว่า เออ เราทำได้คนอื่น(อีกเยอะ) ได้แค่มอง
ประมาณนี้แหละครับ
-
ผมชอบนะ จะได้มีรถแรงๆราคาไม่แพงมาบ้าง ส่วนเบรคกับช่วงล่างต้องมีคนเอาของมารับทำหรือโมกันแน่นอนเพราะตั้งราคาขายแบบนี้ซึ่งขายดีแน่นอน แค่วันเดียวSealก็ขายไปพันกว่าคันแล้ว ถ้าวิ่งในเมืองคงไม่ได้ใช้กำลังเท่าไหร่ยกเว้นวิ่งทางไกลแต่คงโดนใบสั่งเพียบ 55
-
ต้องดูคำนิยามของคำว่า รถสปอร์ต แต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน
ส่วนตัว คนละ segment คนละเรื่องคนละราวกันเลย
มันเหมือนๆเอา speaker จีน วัตต์สูงๆ มาเทียบกับ hi end speaker
มันขาดความปราณีตและความสุนทรี เทียบกันไม่ได้
อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลและตัวเลข รวมถึงความสุขใจที่ได้ครอบครอง
ทั้งหมดนี่ กิเลส ล้วนๆ
-
ผมว่าคนที่ต้องการ sport car จริงๆจะมองอย่างอื่นที่กว้างกว่าแรงม้าครับ มันยังคงมีเสน่ห์สำหรับคนที่ชอบนะ
-
ที่กระทบแน่ๆคือ ผมเคยตั้งเป้าว่า อยากทำรถตัวเองให้ได้ 400 ม้า ลงพื้น
ตอนนี้เริ่มลังเลละครับ ว่าจะทำไปทำไม ขับสวยๆพอละกัน ;D
แต่สิ่งที่ยังทำให้รถสันดาปฯที่ใช้ มีเสน่ห์อยู่คือ
1. ขับไปจอด Meeting มันมีเรื่องให้คุย ให้แลกเปลี่ยนกันได้มากกว่า EV
2. ไป Track Day กับก๊วนได้ วิ่งทั้งวันให้จุใจเลย น้ำมันหมดก็เติมใน Pit วิ่งเพื่อ Challenge ตัวเองว่าวันนี้จะทำ Best lap ได้เวลาเท่าไหร่ ซึ่งส่วนใหญ่ Best lap มันไม่ได้มาตั้งแต่รอบแรกๆที่แบตฯยังไม่ร้อนครับ ซึ่งตรงนี้ EV ยังให้ไม่ได้ ทั้งในแง่การชาร์จใน Pit และ ความสม่ำเสมอของสมรรถนะเวลา Battery + Drivetrain ของ EV ร้อน
-
รถสปอตคือสิ่งที่จ่ายไปกับ ผ้าอาคันทาร่า หนังกลับ คาร์บอนไฟเบอร์แท้ ระบบตูดเป็ดที่ลู่ลมกางออกด้วยมอเตอร์ จานเบรกและดิสเบรกที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ วัสดุภายในและระบบการเซอร์วิส
สิ่งที่ผมกลัวที่สุดตอนนี้ คือ มือใหม่หัดแรงตามท้องถนน แมวน้ำกำลังจะกลายเป็นรถที่ผมกลัวบนท้องถนนมากที่สุด ไม่ได้กลัวแซง แต่กลัวคนขับฝีมือกระจอก
-
ผมว่า บางคนกำลังหลงประเด็น ในบางกรณี
จากที่ใช้ Y Per มา
1. รถแรงจริงครับ
2. รถขับสนุกครับ แต่มันไม่ได้ถึงขั้นสนุกมากมายขนาดนั้น เพราะหลายคนที่รู้จักตัวนี้ไปอัพเกรดโช้คกันหลายคันแล้ว (กลับกัน ถ้ารถ sport หรือ performace car มันมาให้ครบๆ แล้ว)
3. รถพุ่งจริง ในช่วงแรกๆ แต่มีระบบหน่วง รีเจน ช่วยในตอนยกคันเร่ง(บางคนใช้โหมดชิล แต่ผมไม่ชิน) ยกเบรค ยกชะลอ มันใช้เบรคค่อนข้างน้อย หรือ แทบไม่ได้ใช้ ยกเว้นจะเบรคจริงๆ จังๆ
4. รถความเร็วปลายต้องมีระยะให้วิ่ง ไม่ได้พุ่งหรือกระชาก แบบช่วง 0-100 จะเรียกว่า ความเร็วปลาย ไม่ได้ต่างจากรถธรรมดาๆ คันนึงเลย ซึ่งก็ต่างจาก sport หรือ performace car ที่ปลายไหลต่อเนื่อง
5. สิ่งที่ได้เปรียบจุดสำคัญ คือ มอเตอร์ ปั่นลงล้อ ไม่ได้ผ่าระบบ transfer ดังนั้น มันจะคุมแรงบิด คุมกำลังที่ล้อดีมากรถที่ขับล้อผ่านเพลาและระบบ transfer มันอาจจะมี lost และความไม่เท่ากันอยู่บ้างในแต่ละล้อ(เรียกว่าไม่แม่น)
สุดท้าย กระทบกับคนซื้อไหม หรือ กระทบกับคนที่ "จะซื้อ" รถ sport car ไหม
ผมตอบเลยว่า มีครับ มีเยอะด้วย
เพราะ มันมีทั้งสิ่งที่เหมือน และ สิ่งที่ต่าง
สมมุติว่า ตัดเรื่องรูปร่าง หน้าตา และ อื่นๆ ออกไปให้หมด
วัดกันตามโจทย์ ที่ถาม คือ 500 ม้า ตามสถานการณ์ปัจจุบัน จากราคาแพงกว่า หลายเท่าตัว เกือบ 10 ล้าน เหลือ ล้านกว่าๆ มันแน่นอนอยู่แล้วที่มันคุ้มกว่าเยอะที่จะซื้อ (ผมก็หนึ่งในนั้น)
แต่ถ้า ถามว่า 500 ม้า ระหว่างรถไฟฟ้า กับ รถน้ำมัน เช่น BMW i4M กับ M4 หรือ MB EQS กับ C63/E63 AMG ในราคาที่เท่าๆ กัน เลย แล้วต้องเลือก ซ้าย หรือ ขวา ผมตอบทันทีว่า ผมเลือก ICE อย่าง M4 หรือ C63/E63 แน่นอน
มันเป็นคำถามที่ต้องระบุเงื่อนไข และ รายละเอียดครับ บางที คนมองที่ราคา(ถูกกว่า) เป็นหลัก บางคนมองที่ยี่ห้อ บางคนมองที่ตัวรถ บางคนมองที่การขับขี่ มันไม่เหมือนกันครับ
-
ผมว่ามีผลอะ
พวกเน้นขับเอาหล่อ เน้นช่วงล่างขับในแทรคก็คงไม่มีผลอะไร แต่กับคนขับ sport car บางคน ก็ค่อนข้างมั่นใจใน performance รถตัวเอง เพราะเคยไล่แซงรถบ้านๆ ได้ชิล ๆ พอมี EV แบบแรง ๆ มา ครั้นไปวัดกับเขาแล้วรถตัวเองไม่สุดจริงๆ อาจโดนสวนหงายได้ ..... ความ proud ก็จะหายไปพอควร
PS. อย่างเคสใน youtube กระบะที่แต่งแบบสุด ๆ 600 ม้า วัดกับ 3 Per ถ้าแค่ 1/4 miles สับเกียร์ไม่แม่นแบบพี่คนขับในคลิป ก็ไม่รอดละคับ
-
รถ EV ที่ออกมาตอนนี้ยังไม่มี segment sport cars ยังรู้สึกขนาดนี้อีกไม่นาน ถ้า tesla roadster 2 หรือ EV ค่ายจีนตั้งใจทำ sport car จริงๆ มีผลโดยตรงแน่ๆครับมันเหนือรถน้ำมันเยอะ จุดศูนย์ถ่วง จังหวะเร่ง
-
ผมว่ากระทบนะแต่ไม่มาก คนที่ซื้อรถสปอร์ตขับส่วนใหญ่น่าจะต้องการความแตกต่างที่พิเศษและพร้อมที่จะ
จ่ายแพง และมันมีเสน่ห์ของมันอีกแบบที่รถไฟฟ้าให้ไม่ได้ แต่ถ้ามีรถไฟฟ้าหรูแรง ขับสนุก มาแข่งด้วยในต้นทุนที่ถูกกว่าเมื่อนั้นแหละกระทบเต็มๆแน่
-
คนมีตังเหลือจริงๆ ที่จ่ายได้ด้วยอารมแบบไม่ต้องมานั่งคิดว่าคุ้มมั้ย ผมว่าไม่กระทบนะครับ
ความเหมือนคงมีแค่0-100แต่อย่างอื่นเทียบกันไม่ได้
วัสดุต่าง ความluxuryต่าง ช่างล่างก็ต่าง
Sport luxury กับSportบ้านไรงี้
-
เหมือนถามว่า คนจะซื้อ raptor v6 เบนซิน กลัวเปลืองน้ำมันมั๊ยแหละครับ
ก็จะมีคนบอกว่าคนรวยเค้าไม่คิดเงินเหลือ แต่ผลมันก็บอกว่าคนรวยก็ไม่ได้คิดแบบนั้นทุกคนครับ
-
เฉยๆ ยิ่ง 0-100 3 วิ ยิ่งไม่ได้ใส่ใจเลย Sport car ส่วนตัวเชื่อว่าคนที่ซื้อนี่ เค้าซื้อความเป็นซิกเนเจอร์ให้ตัวเองนะ มันไม่ต้องทำอะไรเลย แค่คนอื่นรู้ว่า คนนี้ขับรถคันนี้ คำตอบก็มีในหัวล่ะ(บ้านรวย หล่อ เศรษฐีกระเป๋าหนัก ทำงานอะไร etc) ถ้าอย่างรถไฟฟ้าทั่วไปก็แค่รู้ว่ามันแรง แต่อื่นๆ ไม่รู้อะไรเลย แม้กระทั่งยี่ห้อ รุ่น ถ้าไม่อ่าน หรือเห็นโลโก้
-
มันเป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยีอยู่ กระแส ev กำลังมา มันย่อมสร้างแรงกระเพื่อมในวงกว้าง ผลที่สุดแล้ว "เวลา"จะช่วยกรองความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้ออกไป ในขณะเดียวกันผู้ผลิตก็ต้องปรับตัวให้ทัน
สิ่งหนึ่งที่รถไฟฟ้าตลาดยังทำไม่ได้คือ ความภูมิใจในการครอบครอง ถ้าเงินเหลือๆผมก็ยังอยากได้ 911 มากกว่าอยู่ดี ทั้งๆที่หลายปีมานี้แทบไม่เดยขับเร็วเกิน 150 กม/ชมเลยด้วยซ้ำ
-
สำหรับผมกระทบในแง่ความรู้สึกนิดนึง ว่าเทคโนโลยีตอนนี้ รถมันแรงได้ขนาดนี้ในราคาขายเท่านี้แล้วนะ แต่ก็จบเท่านั้นครับ
เพราะปัจจัยอื่นองค์ประกอบอื่นมันเยอะมากกว่าจะมาใส่ใจกับม้าเยอะๆอย่างเดียว โอเคแหละถ้าทุกอย่างเท่ากันหมด ม้าเยอะกว่าก็ย่อมดีกว่าในสถานการณ์ส่วนใหญ่
แต่อันนี้มันเหมือนเยอะเกินส่วนที่ได้ประโยชน์สูงสุดไปแล้ว โดยที่ส่วนอื่นไม่ตามไปด้วยกันซักเท่าไหร่น่ะครับ เหมือนตั้งใจทำม้าเยอะๆมาขิงจนต้องลงที่ฝาท้ายซะด้วยเลย
-
ยังไงก็คงต้องกระทบบ้างครับ
สมัยที่ PHEV เพิ่งมา แล้วอัตราเร่งคือดีมากๆ ก็มีหลายความเห็นไปในแนวทางที่ว่า รถสปอร์ท na/ice จะอยู๋ยาก(ซึ่งมันก็หายไปจริงๆแต่เพราะเรื่งมลพิษ ไม่ใช่คนไม่ซื้อ)
แต่สุดท้ายมันก็แทนกันไม่ได้ อย่างน้อยๆเสียงท่อ เสียงเครื่องมันหายไป
แล้วพวก Sport/SuperCar มันเป็นเหมือน เครื่องหมายของความสำเร็จไปแล้วครับ โดยเฉพาะในไทย
-
ใครคิดยังไงผมไม่รู้นะครับ แต่ส่วนตัวผม ซื้อ tesla ไว้ขับไปส่งของครับ ส่วนรถ sport ผมชอบขับออกไปนั่งจิบกาแฟ ซิ่งเวลาเหนื่อยๆ ได้ยินเสียงเครื่อง 6 สูบ แล้วมันหวานหูดีครับ
-
ดีดี กระทบเยอะๆ ให้ 4 king JDM ลงมาสัก 50% ของตอนนี้ เราจะไปช้อน
-
คหสต
ถ้าหารถสปอร์ต 1 คัน = ไม่กระทบ มันคนละโจทย์กัน
ถ้าคนชอบรถสปอร์ต ที่อยากหารถใช้งานคู่กับรถสปอร์ต = มีผล แทนที่จะเลือกรถธรรมดาอย่าง Camry อาจจะมาดู EV แทน (จ่ายเงินเท่ากัน ได้การใช้งานที่อาจจะตรงจริตขึ้น)
ถ้าคนชอบรถแรง อยากได้รถคันเดียวครอบจักรวาล = กลุ่มนี้มีผลมากสุด แทนที่จะซื้อ civic 1.5 โบมาโม อาจจะเปลี่ยนมาเป็น Seal ตัวต่ำ
-
กระทบรถ sport ไหม ไม่กล้าตอบ
แต่กระทบรถบ้าน ราคา 1.5-2.5ล แน่ๆครับ
-
โห เหมือนถามว่า Smart watch ที่ทำได้ทุกอย่าง จะกระทบคนซื้อ Rolex ไหม มันคนละเรื่องป่ะ
คนจะซื้อรถ SPort แบบ พอร์ช 911 ลัมโบ เฟอ เขาไม่มองรถไฟฟ้าเลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่ไม่มองเพราะดูถูกรถจีนนะ แต่ไม่มอง เพราะมันคนละเรื่อง Tesla Y , Tesla X ออกมานานโข ไม่เห็ฯจะกระทบอะไรคนที่อยากได้เฟอ ลัมโบ ผมว่าแค่คิดจะเทียบก็คนละเรื่องแล้ว (ไม่ใช่ในแนวดูถูกนะ ขออีกรอบ เดี๋ยวจะเข้าใจผิด) คือรถมันคนละเรื่อง คนละแบบ คนละการใช้งาน
แต่ถ้ากระทบคนมีกำลัง 1.5 - 2 ล้าน ที่กำลังมองรถ D Segment ไหม กระทบแน่นอน
-
ส่วนตัวผมว่ามีแน่ๆ
เจ้าของ Sport Car หรือ Performance Car หรือยุโรปที่ Perf ดีๆ ที่ปกติไล่แซงคนอื่นบนทางด่วน ได้สบายๆ
บางคนที่ซื้อมาไม่ได้ขับเอาภาพลักษณ์อย่างเดียว
วันไหนอารมไม่ดีอยากระบายบนถนน
ตอนนี้เจ้า Seal Perf / 3 Perf จะวิ่งกันเต็มถนนไปหมด
มุดๆกันไม่เกิน 180 กินไม่ได้แล้วนะครับ
จากที่เคยมั่นใจใน Perf รถตัวเองอาจจะมีเสียเซลฟ์ไปพอสมควร
อันนี้เหตุการจริง
ลองนึกภาพคนรีบๆขับรถสปอร์ตหรือยุโรปใส่ถ่านเช่น 530e หรือแม้กระทั่ง C43 เอง
ตามกันอยู่เลยขวา ข้างหน้าเป็น Civic ถัดไปอีกเป็นรถกระบะเก่าๆวิ่งช้าๆ หน้าโล่งงงยาววว
พอกระบะเข้าซ้าย รถสปอร์ตฉีกออกซ้ายจะกดแซง หรือ จี้ Civic เพื่อให้หลบ ตัวเองจะได้ยิงยาวๆได้
ถ้าเปลี่ยนเป็น CIVIC เป็น Seal perf หรือ 3 Perf เจอ Seal กดมิดปรุ๊ดเดียว หายไปจ่อตูด กลุ่มข้างหน้าแล้วนะครับ
จี้ไม่ทัน ไล่ไม่ทัน ยกเว้นถนนโล่งๆ อาจจะไปทันหลัง 200 ซึ่งหาโอกาสได้ยากมากๆในกทม
-
เอาตัวเงอมาตัดสินใจนะครับ
ตอนนี้อยากได้ ND M/T Hardtop
ถามว่า มี MG - Cyberster ยังอยากได้ไหม
คำตอบก็ไม่
หรือคนที่อยากขับ WRX มีรถยนต์ไฟฟ้าทดแทนไหม ก็คงไม่
เอาขับ C43 จะมาเอา Seal ไปแทนเหรอ ก็คิดว่าไม่อีกครั้ง
รถยนต์ Sport >>> Hyper
คงมีคนที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักอยู่แล้ว
-
คหสต นะครับ บางทีอ้างอิงรถไป ไม่ตรงกับความคิดใครผมขออภัยด้วย ถ้าแยกรถ sport กับ รถแรงออกจากกันไป ผมว่ากระทบไม่เท่าไร
รถ sport นอกเหนื่อจากความแรงก็คือรูปลักษณ์ ภาพลักษณ์ทางสังคม คนซื้อรถพวกนี้ เค้าคงไม่คิดจะใช้ EV ตัวแรงแบบ seal , tesla มาทดแทนสิ่งที่ได้จากรถ sport
แต่ถ้าเป็นรถบ้านตัวแรงของแต่ละค่าย ที่คนคาดหวังถึงความแรง ยิ่งกลุ่มราคาใกล้ๆ กัน น่าจะกระทบ ยกตัวอย่างแบบ CIVIC, series 3 เตรียมซื้อกะมา remap เต็มเหนี่ยว อะไรแบบนี้อาจจะกระทบ
ถ้ามองกันแต่ความแรง ไม่ต้องรอ EV 500แรงม้าหรอกครับ กระบะเอามา remap คนคงซื้อไปเอาแรงกันหมดแล้ว
คหสต ผมว่ามันคนละกลุ่มลูกค้ากันนะ แบ่งแยกกันโดยราคาหลักๆ เลย
-
ถ้ามองแค่แรงม้า ไม่รอด
ถ้ามองที่รูปร่าง แล้วแต่ความชอบ
ถ้ามองที่ความสปอร์ตแบบจัดเต็ม BYD Seal ไม่อยู่ในตลาดนี้
ผมมองว่า BYD Seal คือรถบ้านสายหมกจากโรงงานมากกว่ารถสปอร์ตทรงซิ่ง
-
กระทบครับ ผู้บริหารรายหนึ่งบอกว่ารถยนต์เริ่มกลายเป็นสินค้าเทคโนโลยีคล้ายมือถือ ซึ่งข้อห้ามข้อแรกของสินค้า Luxury คืออย่าไปยุ่งกับสินค้าไฮเทค เพราะเมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนทำให้สินค้าเราล้าสมัย จะไม่มีลูกค้ายอมจ่ายเงินแพงๆเพื่อซื้อสินค้า Luxury สินค้าเหล่านี้ควรเป็นกระเป๋า หรือเสื้อผ้า ซึ่งไม่มีอะไรเปลี่ยนมากนัก ลองนึกถึงคนที่จ่ายเงิน 420,000บาทเพือซื้อมือถือรุ่นนี้เมื่อ 9ปีที่แล้วสิครับ
https://droidsans.com/mini-review-vertu-signature-touch/
-
การมาของ EV ต่ำ 2M ที่ได้ความแรงระดับ super car ไม่มีผลต่อคนที่ใช้หรือซื้อ super car เลยครับ
เพราะ super car คันนึง มันไม่ได้ใส่มาแค่ performance แต่มันใส่มามากกว่านั้น และคิดว่าคนเหล่านี้ก็ซื้อ super car เพราะไม่ใช่แค่ performance แน่ๆ
แต่อย่างไรก็ตาม super car ก็คงจะต้องปรับตัวให้ได้ performance มากกว่าที่เป็นอยู่
-
ไม่สนใจเลย รอดู mx-5 ND3 ดีกว่า ว่าจะมีอะไร update ขึ้นบ้าง
เกียร์ธรรมดา หลังคาผ้า เครื่อง 1.5 ลิตร N/A
-
อนาคตข้างหน้าอีก 10-15 ปี ลูกๆหลานๆ อาจมาถามเรา อะไรคือท่อไอเสีย ไทเทเนียม อะไรคือเทอร์โบ
เสียงเครื่องยนต์ 6 สูบ 8 สูบ เป็นยังไง
เค้าอาจรู้จักแค่ แบตเตอรี่โซลิดสเตต , แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน
-
ส่วนตัวผมว่ามีแน่ๆ
เจ้าของ Sport Car หรือ Performance Car หรือยุโรปที่ Perf ดีๆ ที่ปกติไล่แซงคนอื่นบนทางด่วน ได้สบายๆ
บางคนที่ซื้อมาไม่ได้ขับเอาภาพลักษณ์อย่างเดียว
วันไหนอารมไม่ดีอยากระบายบนถนน
ตอนนี้เจ้า Seal Perf / 3 Perf จะวิ่งกันเต็มถนนไปหมด
มุดๆกันไม่เกิน 180 กินไม่ได้แล้วนะครับ
จากที่เคยมั่นใจใน Perf รถตัวเองอาจจะมีเสียเซลฟ์ไปพอสมควร
อันนี้เหตุการจริง
ลองนึกภาพคนรีบๆขับรถสปอร์ตหรือยุโรปใส่ถ่านเช่น 530e หรือแม้กระทั่ง C43 เอง
ตามกันอยู่เลยขวา ข้างหน้าเป็น Civic ถัดไปอีกเป็นรถกระบะเก่าๆวิ่งช้าๆ หน้าโล่งงงยาววว
พอกระบะเข้าซ้าย รถสปอร์ตฉีกออกซ้ายจะกดแซง หรือ จี้ Civic เพื่อให้หลบ ตัวเองจะได้ยิงยาวๆได้
ถ้าเปลี่ยนเป็น CIVIC เป็น Seal perf หรือ 3 Perf เจอ Seal กดมิดปรุ๊ดเดียว หายไปจ่อตูด กลุ่มข้างหน้าแล้วนะครับ
จี้ไม่ทัน ไล่ไม่ทัน ยกเว้นถนนโล่งๆ อาจจะไปทันหลัง 200 ซึ่งหาโอกาสได้ยากมากๆในกทม
อื่มมม เห็นภาพเลยครับ.... 530e ผมก็จะมองแมวน้ำพุ่งหายไปแบบเนียนๆ
-
EV สเปคมันแรงจริง แต่เหมือนนักวิ่ง 100-400 เมตร วิ่ิงเร็วยาวๆ กินไฟเยอะมหาศาลอยู่นะ ซิ่งไม่มีความสุขหรอก
ไม่เหมือนรถ ICE หมดก็เติมปั๊ม และไม่เคยเห็นรถไฟฟ้าซิ่งต่อเนื่องได้แบบ C43/M440 พวกนั้นเลย ไม่ต้องถึง ICE super car หรอก
-
มีใครคิดเหมือนผมไหมว่าเจ้า seal จะต้องมีจิ้มตูดคันหน้ากันบ้างแน่ๆ
เพราะผมไม่คิดว่าเบรคของรถคันนี้จะเอาอยู่ครับ
มันเล็กไปสำหรับรถที่หนักถึง 2.1 ตัน แต่มีอัตราเร่ง 0-100 3.8 วิ
พวกรถสปอร์ตแท้ๆ ไว้ใจได้มากกว่าเยอะครับ
(https://s3.sa-east-1.amazonaws.com/revista.mobiauto/BYD/Seal/2024/BYD+Seal+2024+roda.jpg)
ไม่เล็กครับ มันคือเบรค 4 Pot
-
ส่วนตัวผมว่ามีแน่ๆ
เจ้าของ Sport Car หรือ Performance Car หรือยุโรปที่ Perf ดีๆ ที่ปกติไล่แซงคนอื่นบนทางด่วน ได้สบายๆ
บางคนที่ซื้อมาไม่ได้ขับเอาภาพลักษณ์อย่างเดียว
วันไหนอารมไม่ดีอยากระบายบนถนน
ตอนนี้เจ้า Seal Perf / 3 Perf จะวิ่งกันเต็มถนนไปหมด
มุดๆกันไม่เกิน 180 กินไม่ได้แล้วนะครับ
จากที่เคยมั่นใจใน Perf รถตัวเองอาจจะมีเสียเซลฟ์ไปพอสมควร
อันนี้เหตุการจริง
ลองนึกภาพคนรีบๆขับรถสปอร์ตหรือยุโรปใส่ถ่านเช่น 530e หรือแม้กระทั่ง C43 เอง
ตามกันอยู่เลยขวา ข้างหน้าเป็น Civic ถัดไปอีกเป็นรถกระบะเก่าๆวิ่งช้าๆ หน้าโล่งงงยาววว
พอกระบะเข้าซ้าย รถสปอร์ตฉีกออกซ้ายจะกดแซง หรือ จี้ Civic เพื่อให้หลบ ตัวเองจะได้ยิงยาวๆได้
ถ้าเปลี่ยนเป็น CIVIC เป็น Seal perf หรือ 3 Perf เจอ Seal กดมิดปรุ๊ดเดียว หายไปจ่อตูด กลุ่มข้างหน้าแล้วนะครับ
จี้ไม่ทัน ไล่ไม่ทัน ยกเว้นถนนโล่งๆ อาจจะไปทันหลัง 200 ซึ่งหาโอกาสได้ยากมากๆในกทม
อื่มมม เห็นภาพเลยครับ.... 530e ผมก็จะมองแมวน้ำพุ่งหายไปแบบเนียนๆ
สถานการจริงมันจะเป็นแบบนี้เปะๆเลยครับ 5555 เล่าเห็นภาพเลย
ที่บอกกันว่ารถ sport ช่วงล่างหรืออื่นๆดีกว่า ก็เห็นด้วยครับแต่บนถนนจริง ไม่มีใครมาเทโค้งแข่งกันที่ความเร็ว 200 หรอก เต็มที่ก็เร่งกันตรงๆ หนีกันตรงๆแบบนี้ กดเต็มๆกันไม่กี่วินาที และรถก็ไปจ่อท้ายคันหน้าแล้ว จากนั้นก็หาจังหวะมุด พอตั้งลำได้ก็กดต่อ เป็นแบบนี้วนไป
-
ถ้าผมอยากได้แค่แรงม้า .. ผมออก All New 1.9 ไปสำนักจูน สักแห่ง ถมเงินไปไม่เท่าไหร่ ก็ได้ม้าเกิน 200 ตัวแล้วล่ะ
ในความเป็นจริง ถ้าผมจะซื้อรถสปอร์ตสักคัน สิ่งที่สำคัญกว่าแรงม้า ก็คือ ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของแบรนด์นั้น คุณภาพการขับขี่ การบังคับควบคุม ครับ
เหมือน คุณซื้อนาฬิกาแหละ ...
seiko monster สักเรือน หมื่นกว่าบาท ก็กันน้ำ 200 เมตรได้ แต่ทำไมคนต้องเสียเงินแสน ซื้อ Omega / Longines / Rolex ล่ะ ทั้งที่บางรุ่น ความคลาดเคลื่อนของกลไก อาจจะสู้นาฬิกาถูกๆไม่ได้ด้วยซ้ำ
รถก็อารมณ์เดียวกันแหละ (ยกเว้น คนอยากแรง เน้นแรงอย่างเดียว อันนั้นก็อีกเคสนะ)
-
ส่วนตัวผมว่ามีแน่ๆ
เจ้าของ Sport Car หรือ Performance Car หรือยุโรปที่ Perf ดีๆ ที่ปกติไล่แซงคนอื่นบนทางด่วน ได้สบายๆ
บางคนที่ซื้อมาไม่ได้ขับเอาภาพลักษณ์อย่างเดียว
วันไหนอารมไม่ดีอยากระบายบนถนน
ตอนนี้เจ้า Seal Perf / 3 Perf จะวิ่งกันเต็มถนนไปหมด
มุดๆกันไม่เกิน 180 กินไม่ได้แล้วนะครับ
จากที่เคยมั่นใจใน Perf รถตัวเองอาจจะมีเสียเซลฟ์ไปพอสมควร
อันนี้เหตุการจริง
ลองนึกภาพคนรีบๆขับรถสปอร์ตหรือยุโรปใส่ถ่านเช่น 530e หรือแม้กระทั่ง C43 เอง
ตามกันอยู่เลยขวา ข้างหน้าเป็น Civic ถัดไปอีกเป็นรถกระบะเก่าๆวิ่งช้าๆ หน้าโล่งงงยาววว
พอกระบะเข้าซ้าย รถสปอร์ตฉีกออกซ้ายจะกดแซง หรือ จี้ Civic เพื่อให้หลบ ตัวเองจะได้ยิงยาวๆได้
ถ้าเปลี่ยนเป็น CIVIC เป็น Seal perf หรือ 3 Perf เจอ Seal กดมิดปรุ๊ดเดียว หายไปจ่อตูด กลุ่มข้างหน้าแล้วนะครับ
จี้ไม่ทัน ไล่ไม่ทัน ยกเว้นถนนโล่งๆ อาจจะไปทันหลัง 200 ซึ่งหาโอกาสได้ยากมากๆในกทม
อื่มมม เห็นภาพเลยครับ.... 530e ผมก็จะมองแมวน้ำพุ่งหายไปแบบเนียนๆ
สถานการจริงมันจะเป็นแบบนี้เปะๆเลยครับ 5555 เล่าเห็นภาพเลย
ที่บอกกันว่ารถ sport ช่วงล่างหรืออื่นๆดีกว่า ก็เห็นด้วยครับแต่บนถนนจริง ไม่มีใครมาเทโค้งแข่งกันที่ความเร็ว 200 หรอก เต็มที่ก็เร่งกันตรงๆ หนีกันตรงๆแบบนี้ กดเต็มๆกันไม่กี่วินาที และรถก็ไปจ่อท้ายคันหน้าแล้ว จากนั้นก็หาจังหวะมุด พอตั้งลำได้ก็กดต่อ เป็นแบบนี้วนไป
เอาแค่ขับมุดๆ + เบรคบ่อยๆ แค่นี้รถไฟฟ้าก็เสียเปรียบแล้วครับ
น้ำหนักรถเยอะกว่ามุดไม่ได้คล่องมาก โมเมนตัมรถมันเยอะ
เบรคหนักๆบ่อยๆก็ร้อนจนอาจจะเฟดแล้วเบรคไม่อยู่จนเสยท้ายรถบรรทุกได้ อย่างของ Tesla นี่เบรคหนักไม่กี่ทีก็ overheat แล้ว
แล้วบนถนนจริงขับเข้าโค้งทางด่วน 190-200 นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีครับ เพราะผมก็เอารถญี่ปุ่น c-seg เดิมๆบ้านๆทำไปแล้ว ยังไปได้สบายๆ ยางยังไม่ดัง
พวกรถ sport ก็น่าจะไปได้มากกว่านั้นอีกเยอะ
-
เคยขับรถไฟฟ้าบนทางด่วนรามอินทรา เจอพวกสปอร์ต ICE เห็นเรากดมาเร็วคงนึกว่าเล่นด้วย แถมรถก็เยอะ พี่แกมุดซ้ายขวา ส่วนเราไปเรื่อยๆพอมีจังหวะก็กดๆๆแปบๆก็ตามตูดคันนั้นทัน มันแบบไม่ต้องเหนื่อยเหมือนรถน้ำมันเลย พอขับๆไปสักพักสปอร์ตคันนั้น จากที่มุดมาเยอะแล้วมาเจอเราติดตูดตลอด ก็ผ่อนคันเร่งไป ;D
-
เกือบกระทบ ในฐานะคนอยากได้รถ BEV สองประตู + ทำวิจัย CO2 และร่วมห้องทำงานกับคนรุ่นใหม่ที่แยกขยะเป็นปรกติ
รถสปอร์ต มันปล่อย CO2 250-500 ก./กม. ยิ่งรถติดในกทม.นี่ ...
รถ EV มันปล่อย CO2 ไม่เกินประมาณ 150 ก./กม.
ยิ่ง PHEV ยิ่งประหยัด หลายสถานการณ์
คันผมรถหนัก ปล่อย 100-140 ก./กม.
; ตัวเลขแบบไม่โดนใบสั่งนะครับ
ีที่ว่า เกือบ เพราะรถที่ผมเดาว่ารถที่คุณ Imply ไม่ตรงความต้องการส่วนตัว ครับ
ผมคงรอ Aston Martin / Mclaren / Mustang (ตัวหลังนี่พอมีตังค์ซื้อหน่อย) สองประตู BEV
และ มี ADAS ดี ๆ
ในราคาที่ที่ไทยลดภาษีนำเข้า BEV จากทุกประเทศต้นทางให้สอดคล้องกับนโยบายพลังงาน
ในอีกสิบกว่าปี ที่รถจะขับ Level 4-5 แล้ว
อย่างตอนนี้ วัยกลางคน ขับต่างจังหวัดความเร็วสูงบ่อย ๆ รถถ้าช่วงล่างไม่ดี เหนื่อยครับ
เหนื่อยขนาดซื้อรถเพิ่มนะครับ ให้มันช่วยขับ
แค่ ADAS Level 2 คุณภาพชีวิต ดีขึ้นมาก
-
ผมว่าไม่กระทบครับ จะไปกระทบพวกรถสปอร์ตซีดาน/คูเป้ 4 สูบ หรือพวก HEV, PHEV มากกว่า หรือสปอร์ตตัวต้นๆเกียร์ออโต้ที่ราคาไม่ห่างกันมากและคนซื้อไม่ได้กะเอามาขับแบบจริงจัง พวก 6 สูบ 8 สูบ หรือรถเกียร์ธรรมดาบางทีแรงสู้ไม่ได้แต่อรรถรสในการขับมาเต็มกว่าเยอะ ไม่รวมถึงรูปทรงโดดเด่นและหน้าตาทางสังคมครับ
คนซื้อรถสปอร์ตจริงๆอาจจะมอง BEV ตัวแรงที่ราคาเบาเป็นรถ daily มากกว่าจะมาแทนกัน
-
ก็เคยคิดว่ากระทบไหม พอไปลอง มันไม่เหมือนในเชิง อารมณ์และความรู้สึกในการควบคุมแตกต่างกันมาก
กระทบโดยตรงน่าจะเป็นกลุ่มรถปกติ ความเเรงเป็นผลพลอยได้มากกว่า
-
ev ขับไปแบบไร้อารมณ์ ไม่มีจังหวะเปลี่ยนเกียร์
รถคนละแบบครับ สำหรับผม
-
ผมว่า ไม่กระทบ รถ Sport ครับ คนที่ซื้อ M ,911 อะไรพวกนั้น เฉยๆ กะรถพวกนี้
ผมว่ากระทบเต็ม ๆ กับคนที่มี Plan จะออก Cammry ,Accord ผมว่า มีผล เพราะ ราคามันน่า
ส่วนผม ยังไม่มี Plan จะออกรถใหม่ รถไฟฟ้า อะไร ผมก็เฉยๆ ครับ
ลองคิด Break even point มันหลายปีมากๆ
และ รถผม หล่อ กว่ารถไฟฟ้า ที่ขายๆ กันอยู่ ในระดับราคา ไม่เกิน 2 ล้านครับ
-
ไม่กระทบครับ คุณภาพ ภาพลักษณ์ ทุกอย่างมันต่างกันเห็นได้ชัด 8)
-
ว่ากันตามตรงในตอนนี้เอาแต่รถไฟฟ้าระดับพื้นฐานราคาระดับเริ่มต้นเน้นใช้โดยสารทั่วๆไปก็ทำอัตราเร่งได้กระทบไหล่รถสปอร์ตน้ำมันแล้ว ในอนาคตเมื่อแบตเตอรี่สามารถประจุไฟฟ้าได้มากกว่านี้และมีรถไฟฟ้าที่ออกมาตีตลาดระดับรถสปอร์ตขึ้นมา โดยที่รถน้ำมันข่มไม่ได้แล้วช่วงล่างรถไฟฟ้าไม่พร้อมเพราะรถไฟฟ้าก็ทำรถเน้นประสิทธิภาพออกมาเหมือนกัน นอกจากอีโก้ในยี่ห้อ ความยึดคิดกับรถน้ำมัน ค่านิยมที่ชอบฟังเสียงรถตดแล้วบอกว่าเพราะ ผมนึกไม่ออกว่ามีเหตุผลอะไรอีกที่ต้องยึดติด เด็กรุ่นใหม่ๆก็จะไม่เข้าใจคนแก่ว่าทำไมต้องเห่อรถที่คายมลพิษเหม็นๆส่งเสียงดังสนั่นไปทั่ว ;D
-
กระทบครับ กระทบจิตใจ ;D สมมุติว่าผมขับ Lamborghini LP 560-4 มาจอดติดไฟแดง แล้วก็มี model 3 per หรือ seal per ที่ตามสเปคมีแรงม้าพอๆกันกับรถผม มาจอดอยู่ข้างๆ จู่จู่เค้าก็บีบแตรสามครั้งท้ารบ ซึ่งผมรู้ดีว่าผมต้องทำ perfect launch ผมจึงจะสามารถตีคู่กับเขาออกไปได้แต่ถ้าผม miss ผมอาจจะไปอยู่ในคลิป YouTube ที่โดนตั้งเรื่องว่า เช็งสี่แยกซุปเปอร์คาร์เสียท่ารถถ่าน ครับ ::)
-
แต่ที่แน่ ๆ เพจรถซิ่ง รวมถึงพวก TypeR กำลังปั่นกันสุด ๆ
-
กระทบครับ กระทบจิตใจ ;D สมมุติว่าผมขับ Lamborghini LP 560-4 มาจอดติดไฟแดง แล้วก็มี model 3 per หรือ seal per ที่ตามสเปคมีแรงม้าพอๆกันกับรถผม มาจอดอยู่ข้างๆ จู่จู่เค้าก็บีบแตรสามครั้งท้ารบ ซึ่งผมรู้ดีว่าผมต้องทำ perfect launch ผมจึงจะสามารถตีคู่กับเขาออกไปได้แต่ถ้าผม miss ผมอาจจะไปอยู่ในคลิป YouTube ที่โดนตั้งเรื่องว่า เช็งสี่แยกซุปเปอร์คาร์เสียท่ารถถ่าน ครับ ::)
อันนี้แหละครับที่ผมคิด เรื่องกระทบจิตใจ555 ผมเชื่อว่าหลายคนที่ขับ supercar/performance car ต้องมีความมั่นใจ ภูมิใจในสมรรถนะรถตัวเองไม่มากก็น้อย (เพราะเป็นวัตถุประสงค์หลักของรถกลุ่มนี้) โดยเฉพาะเรื่องแรงม้า อัตราเร่ง ซึ่งมีไม่กี่คันในโลกจะทำได้และกว่าจะได้มามันแลกด้วยเงินจำนวนไม่น้อย
มาวันนี้ ev แม่บ้านหลายๆรุ่นก็เข้าถึงอัตราเร่งแบบนั้นได้แล้ว
แต่ผมก็ยังอยากได้ sport นะ ถึงจะมีแว๊บๆว่ารถที่เราต้องจ่ายแพงวันนี้หนึ่งในจุดแข็งมันไม่แข็งอีกต่อไป(ไม่นับขับดี ความเร็วปลาย หรู สถานะทางสังคม etc
)
-
นี่ถ้า cyber truck มอเตอร์ 4 ตัว เข้ามาขาย
ทำไงกันล่ะ
-
สำหรับคนอยากได้ sport car super car เฉยๆกันครับ เขาชอบ history กับความ unique ครับ
ตอนนี้ผมยังเล็งๆ audi ttrs , bmw m2, supra, 400z อยู่เลยครับ
ไม่มี seal อยู่ในชอยส์เลยครับ เพราะรถใช้งานปกติก็มีอยู่แล้ว
-
ผมคิดว่าคนที่มีเงินซื้อรถสปอร์ตระดับ 500 ม้า น่าจะซื้อรถไฟฟ้าราคาล้านกว่าบาทมาขับเล่นได้แบบไม่ยากเย็นนะครับ ถ้าอยากได้จริงๆ
ดังนั้นผมจะ assume ว่าคนที่ขับ sport ส่วนใหญ่น่าจะมีพวกรถไฟฟ้าแรงๆ อยู่ในครอบครองกันบ้างแล้ว
ดังนั้นไม่กระทบจิตใจแน่ๆ เพราะที่บ้านเค้าก็มี 555555
-
สิ่งที่ผมกลัวคือ ev รถมันแรง .............. แล้วนิสัยการขับขี่ กับสภาพถนน การจราจรของเมืองไทย จากอุบัติที่มากขึ้นอยู่แล้ว มันจะยิ่งมากขึ้นไปอีก และความเสียหายมันจะรุนแรงกว่าเดิม แถม รถแรง 500 แรงมา ถ้าเป็นรถน้ำมัน ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ใน supercar ต้องมีฐานะพอประมาณ ถึงจะครอบครองมันได้ ถ้าเกิดอุบัติเหตุหนัก ก็ยังพอรับผิดชอบได้ ...............แต่ รถ 500 แรงม้า กับรถราคาไม่ถึง 2 ล้าน ถ้าเกิดอุบัติเหตุ ไม่อยากจะคิด ยิ่งถ้าเป็นวัยรุ่นสร้างตัวด้วย ไม่ต้องถามหาความรับผิด ลำพัง ตัวเองก็แทบหมดอนาคต
-
ถ้าผมจะเอารถไปทำm5หรือe63 เพราะต้องการรถแรงไว้ใช้งานประจำวัน น่าจะคิดหนักอยู่เหมือนกันนะ
เพราะประโยชน์สอยประจำวันกับความแรง มันใกล้เคียงกันเลย
-
สิ่งที่ผมกลัวคือ ev รถมันแรง .............. แล้วนิสัยการขับขี่ กับสภาพถนน การจราจรของเมืองไทย จากอุบัติที่มากขึ้นอยู่แล้ว มันจะยิ่งมากขึ้นไปอีก และความเสียหายมันจะรุนแรงกว่าเดิม แถม รถแรง 500 แรงมา ถ้าเป็นรถน้ำมัน ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ใน supercar ต้องมีฐานะพอประมาณ ถึงจะครอบครองมันได้ ถ้าเกิดอุบัติเหตุหนัก ก็ยังพอรับผิดชอบได้ ...............แต่ รถ 500 แรงม้า กับรถราคาไม่ถึง 2 ล้าน ถ้าเกิดอุบัติเหตุ ไม่อยากจะคิด ยิ่งถ้าเป็นวัยรุ่นสร้างตัวด้วย ไม่ต้องถามหาความรับผิด ลำพัง ตัวเองก็แทบหมดอนาคต
+1 ประเด็นนี้้น่าคิดนะ นึกถึงเคส bentley porsche ฯลฯ หรูและแพง จบได้สวยกว่าเคสทั่วไปมาก
-
กระทบครับ ยิ่งถ้ารถวิงไม่ได้ไม่ต่ำกว่า4วิ
ลองขับsport จอดติดไฟแดงคู่ กับ รถไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆสักทีแล้วจะเห็นภาพเลยครับ
ขนาดโลมา ยังจะจ้องจะวัดเลยผมเจอมาแล้ว ( แล้วบางคันที่สังเกตุๆดู เค้าก็อยากลองของกับพวกรถสปอรตหรือรถiceที่ดูซิ่งๆด้วยนะครับมาแบบตั้งใจเลย)
-
คหสต
ไม่กระทบผมนะถ้าผมกำลังจะซื้อ ยกเว้น EV มีรถรุ่นใหม่ที่ทำออกมาเป็นแนว sport ช่วงล่างดีๆ เบรคดๆ ก็ต้องมีคิดกันบ้างถ้าเน้าเฉพาะการขับขี่
แต่ถ้าเน้นอารมณ์ .... ก็เหมือนคนซื้อ Harley ล่ะครับ ไม่ต้องมีเหตุผลอะไร เลือกที่ชอบก็พอ
-
ไม่ได้กระทบกลุ่มแบบความคิดแบบผมครับ ถ้าผมจะซื้อรถสปอร์ต ผมไม่ได้อยากได้เหมือนคนอื่นๆ ผมอยากได้ความแตกต่าง พวกรูปทรงและ รุ่นที่เลือก ส่วน 0-100 ห้าร้อยแรงม้า ไม่ได้สนใจเลยครับ สนใจเสียงท่อ เร้าๆ ความมันส์ของเสียงเครื่อง ไม่ได้เอาไปแข่งขับใคร แค่ไม่อยากเกลื่อนๆ บนถนนที่เหมือนกันหมด ส่วน EV ซื้ออีกคัน เอาไว้ใช้งาน จ่ายตลาด หรือไปคุยงาน