Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Odrecranon ที่ มีนาคม 10, 2024, 22:51:02
-
ก่อนอื่น ผมต้องแจ้งก่อนว่ายังไม่เคย test drive รถขับหลังแบบใช้สมรรถนะของมันให้เต็มที่จริง ๆ
ผมวางแผนว่านะซื้อรถใหม่ในปีนี้
โดยไม่ได้มีข้อกำหนดว่าต้องเป็น ICE, PHEV หรือ BEV
แต่อยากได้รถที่ผมคิดว่ามันสวย
เกือบทั้งหมด ผมขับรถในเมือง 40-60 km/hr มีชานเมืองบ้าง
แต่แทบไม่ได้ขับเกิน 120 km/hr
ที่ผ่านมาคันที่ผมใช้หลัก ๆ คือ Mazda 2 1.3l
เพราะมันคล่องตัว หาที่จอดง่าย ประหยัดน้ำมัน
แต่มีสลับใช้กับ Ford Focus, V40, XC60, Q5 บ้าง
ไล่ดูข้อมูล ทุกคนต่างชมว่า 320d มันดีมาก
จนผมก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจ เพราะไม่เคยใช้รถขับหลัง
แต่ก็ยังสงสัยว่าถ้าเราขับเรื่อย ๆ ในเมือง มันจะได้ feeling
ที่รถขับหลังมันจะให้ได้ไหมครับ
ผมเคยไปลอง C220d AMG ผมแยกไม่ออกเลย
อาจเพราะผมขับแบบเกรงใจ SA ด้วย
XC60 ผมก็ขับหลังตอนใช้ไฟฟ้า ส่วนตัวยังแยกไม่ออก
อาจเพราะรถมัน มาสาย comfort หรือเปล่าครับ
สำหรับผมถ้ามันไม่ได้ให้ความแตกต่างกันมาก
กำลังคิดว่า Mazda 3 หรือ EX30
ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
เลยอยากสอบถามท่านที่ใช้รถ FF กับ FR
ว่าถ้าใช้ในเมือง FR จริง ๆ มันขับสนุกไหมครับ
จริง ๆ เคยจะไปลอง 320d แล้ว แต่ sale ดูค่อนข้างยุ่ง
ผมเลยไม่ได้ลองขับ ถ้ามีโอกาสจะลองเข้าไปติดต่อ sale อีกทีครับ
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นนะครับ
-
มันไม่ใช่แค่ ขับหน้า/หลัง แต่ขึ้นกับ dynamic ของรถด้วยครับ
อย่างรถคันแรกๆ ที่ผมขับ คือรถตู้ VW อายุสัก 40 ปีได้ เครื่องวางหลัง ขับหลัง แต่ไม่ได้ให้ความสนุกในการขับเลย 555 ต่อมาก็ Toyota ตู้ Hi-Ace ก็เป็นรถแนวใช้งาน แต่ก็เริ่มขับสนุกเพราะเริ่มมีแรงบิดบ้าง ไม่ถึงกับเป็นรถโบราณเหมือน VW ตู้
คันต่อๆ มา ก็ขับหลังอีก Benz W124 230E เกียร์ธรรมดา 4 สปีด ก็เน้นความนุ่มนวล ไม่แรงเลย แต่ก็พอให้ความสนุกในการขับบ้าง
ต่อมามีโอกาสขับเกียร์ออโต้ คือ Volvo 740, 940, 240 Wagon ขับหลังหมด ค่อนข้างจะอืด เน้นนุ่มสบาย
จากนั้นมาใช้รถขับสี่ คือ Subaru Legacy Wagon เกียร์ธรรมดา ไม่เทอร์โบ ไม่แรง แต่ขับสนุก อาจจะเป็นเพราะเริ่มใช้เกียร์ธรรมดาได้คล่องขึ้น
ถึงตอนนี้ มีรถของภรรยา เป็นรถขับหลัง คือ BMW 320i e90 ซึ่งเทียบกับรถคันอื่นๆ ในบ้านแล้ว (Mazda 2 diesel, Toyota Prius, Suzuki Swift) BMW มันก็ขับสนุกกว่าจริงๆ แต่จะได้ความสนุกก็เฉพาะเวลาขึ้นทางด่วน ขับเร็วๆ นิดนึง หรือออกต่างจังหวัดที่ได้เข้าโค้ง ทางขึ้นเขาลงเขา ถ้าขับในเมืองแล้ว ไม่สนุกและไม่สบาย ขับคันอื่นๆ สบายกว่า
-
ไม่รู้สึกหรอกครับ ยกเว้น ขับเร็ว สาดโค้งจนเจออาการ ถ้าขับติดๆในเมือง ซอกซอย ขับหน้า ขับหลัง นึกไม่ออกจะสัมผัสอาการรถตอนไหน
-
ถ้าขับช้าก็ไม่ค่อยเห็นความแตกต่างอะไรเท่าไรครับ
แต่ถ้าขับเร็ว ถ้าเคยคุ้นกับรถประเภทไหน มาขับอีกแบบ แล้วขับเร็ว อาจจะอันตรายนิดครับ เพราะเวลาเข้าโค้งมันจะเข้าไม่เหมือนกัน มีอยู่ช่วงที่ผมใช้รถแบบขับหลังมาตลอด แล้วไปใช้รถขับหน้าเลย โค้งเดียวกันที่เคยเข้าอยู่ประจำ เข้าแบบเดิมไม่ได้ หน้าไม่เข้า ดีบุญตัวที่ไม่ได้เร็วมาก ก็พอถูๆไถๆเอาตัวรอดมาได้ครับ
แต่ถ้าใช้งานไปเรื่อยๆพอคุ้นเคยเขาก็จะไม่มีปัญหาอะไรครับ
-
แบบคุณใช้งาน ไม่มีปัญหา
ที่มีปัญหา ขับหลัง กดหนัห ๆ หรือถนนลื่นหน่อย ท้าย ท้ายปัด
ขับหน้า เข้าโค้งหนัก ๆ หน้าดื้อ มันแถ....
ความแตกต่าง ของ 2 แบบ ดึง กับ ดัน นึกภาพเอาครับ
-
ขับช้าไม่เห็นความต่างอะไรเลยครับ
-
ถ้าช่างสังเกตุต่างครับ
ยกตัวอย่างตอนกลับรถ
ขับหน้าพวงมาลัยดีดคืนเร็ว
ขับหลังจะค่อยๆหมุนกลับ
รถขับหลังจะวงเลี้ยวแคบกลับรถง่าย
ขับหน้าเหมือนจะบานกว่าหน่อย
ผมรู้สึกงั้นนะ
-
ไม่ต่าง และ ไม่มีความต่างครับ
คนใช้รถขับหน้ามาทั้งชีวิต ก็ขับได้
คนใช้รถขับหลังทั้งชีวิต ก็ขับได้
ทั้งที่รถพวกนี้ เป็นรถตั้งแต่สมัยยังไม่มีระบบช่วยเหลืออะไรเลยด้วยซ้ำ ซึ่งทุกวันนี้ มันพัฒนามาเยอะมากๆ แล้ว
แต่ถ้าสถานะการณ์ ที่ต้องใช้สมรรถณะสูงสุด หรือ ใช้งานงานจนถึงขัดสุดแล้ว มันจะเห็นความต่างตอนนั้นครับ
เช่น ขับหน้าก็หน้าดื้อ เมื่อกี้น้ำ หรือ เข้าโค้งแล้วถนนลื่น
เช่น ขับหลัง ก็จะท้ายปัดเอาง่ายๆ เมื่อถนนเลื่อน หรือ เจอน้ำ หรือ ในโค้ง(เติมคันเร่งแรงเกินไป)
เป็นต้น
ผมใช้ทั้งขับหน้า ขับหลัง และ ขับสี่(ตลอดเวลา) ใช้งานในเมือง ขับทั่วไป แยกไม่ออกหรอก ทดสอบแบบ blind test ยังแยงไม่ได้เลย
แต่ถ้าผมขับออกต่างจังหวัด(ที่มีภูเขา) พอช่วง ทางโค้ง ทางเปียก(ชื้นฝนและหมอก) มันจะเห็นความต่างละ ว่ารถคันไหน อาการแบบไหน
-
ช่วงใช้งานที่รับรู้ได้ว่าต่าง คือ
1. กลับรถ หรือต้องหักเลี้ยวมาก รถขับหลังล้วนขนาดเดียวกันวงเลี้ยวแคบกว่า
2.ตกหลุมพื้นไม่เรียบหลังเต่า ขับหลังจะอาการน้อยกว่าเพราะหน้าบังขับเลี้ยวหลังส่งกำลังแยกกัน
จะไม่รู้สึกเลยว่าขับหน้าหรือหลังเวลาตรงนิ่งๆ หน้าไม่เลี้ยว คันเร่งคงที่
-
เห็นด้วยกับคอมเมนท์ข้างบนครับ
รู้สึกต่างชัดเจนตอนกลับรถครับ
-
เรื่องวงเลี้ยวเวลากลับรถ
มันเกี่ยวข้องกับที่รถขับหลังเครื่องยนต์จะวางตามยาวเพื่อต่อเพลาไปลงล้อหลัง ทำให้มีพื้นที่ให้ล้อหักซ้ายขวาสุดได้องศามากกว่าหรือเปล่าครับ
ส่วนรถขับหน้าที่เครื่องวางแนวขวางมันก็จะกินพื้นที่บริเวณซุ้มล้อไป ทำให้ล้อหักองศาได้น้อยกว่า ยิ่งถ้าเป็นเครื่องใหญ่ๆวางขวางจะยิ่งกินพื้นที่
หมายเหตุ ทฤษฏีนี้ใช้ไม่ได้กับรถบางยี่ห้อเช่น Audi รุ่นกลาง-ใหญ่ ที่ไม่มี Quattro วางเครื่องแนวยาวแต่ต่อเพลากลับมาขับล้อหน้า
สำหรับผมเรื่องที่แตกต่างกันที่สุดก็คงเป็นเรื่องความรู้สึก ถูกดึง กับถูกดันครับ ส่วนตัวชอบความรู้สึกของรถขับหลังเวลาออกตัวมากกว่า
แล้วก็เรื่อง Torque Steer ที่เป็นข้อเสียของรถขับหน้าหลายๆรุ่น
-
สำหรับผม ก่อนหน้านี้ใช้รถขับหน้ามาตลอดประมาณ 5 คัน
เพิ่งมาเปลี่ยน 2 คันล่าสุด เป็นรถขับหลัง
ความรู้สึกส่วนตัวที่ได้จากรถขับหลังที่ต่างจากรถขับหน้า (มีสลับกลับไปใช้รถขับหน้าบ้าง แต่ไม่บ่อยนัก)
1) ตอนออกตัว ความรู้สึกที่เหมือนมีแรงผลักตัวเราไปข้างหน้า
2) วงเลี้ยวที่แคบกว่า ตอนเปลี่ยนเลน กลับรถ หรือแม้แต่ตอนถอนจอด ได้ความคล่องตัว และใช้พื้นที่น้อยกว่า
3) การเข้าโค้งของรถขับหลัง ที่ส่วนตัวผมชอบมากกว่า รู้สึกมั่นใจ (อาจคิดไปเองก็ได้)
ก็ประมาณนี้ครับ 8)
-
หารถที่เราชอบดีกว่าครับ ท้ายที่สุดเราก็จะปรับตัวได้เอง
ผมซื้อรถไม่เคยสนใจขับหน้า/หลังเลย เน้นสมรรถนะกับช่วงล่างเป็นหลัก
-
ถ้าขับแบบคนปรกติ ไม่ไ่ด้ขับเร็ว/มุด ยิ่งใช้งานในเมืองเป็นหลักด้วย ผมคิดว่าขับหน้าหลัง ไม่ได้ต่างกันครับ
แต่ถ้าขึ้นทางด่วนเจอโค้งที่ใช้ความเร็วได้ อาจพอรู้สึกได้บ้าง
เรื่องวงเลี้ยว คิดว่าไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ครับ นอกจากมีเลี้ยวล้อหลังช่วย
จาก specsheet เอง 520d Volvo S90 Lexus ES วงเลี้ยวเท่ากันครับ จะมี E-class w214 ที่ ทำได้ดีกว่า 20 เซน..
แต่ถ้ากลับรถโดยใช้ความเร็ว มี Understeer / Oversteer เข้ามาเกี่ยว อันนี้ขับหลังน่าจะทำได้ดีกว่า แต่มันก็ไม่ใช้การใช้งานแบบปรกติเท่าไหร่
ถ้าจะบอกว่าขับหลัง ขับดีกว่า ผมเองไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะขับหลังมันอยุ่ใน BMW/Mercedes
ในขณะที่ ขับหน้า Premium อยู่ใน Volvo/Lexus ซึ่งก็ไมไ่ด้เป็นแบรนที่ทำมาเน้นการขับขี่เท่ากับสองอันแรก
-
ส่วนตัวรู้สึกได้ตอนเร่งแรงๆ กับเวลาเดินคันเร่งในโค้ง/ออกโค้ง ซึ่งต้องเป็นคนขับรถเร็วประมาณนึง
ถ้าไม่ได้ขับแบบนั้นก็อาจจะไม่รู้สึกครับ
-
ขับในชีวิตประจำวัน เข้าโค้งความเร็วตามป้ายผมให้ต่างกันไม่ถึง 10% (ต้องเป็นรถที่เซกเม้นเดียวกัน)
ความต่างจะปรากฎเมื่อท่านเอารถไป trackday เสียงยางของรถขับหน้าจะดังลั่นทุกโค้งจนหูอื้อไปเลย ;D
-
จากการที่ผมได้ลองขับทั้งรถขับหน้า/ขับหลัง/ขับ4
รถขับหน้า
BYD Dolphin
AION Y+
รถขับหลัง
BYD Seal Premium
MG4
รถขับ4
ORA 07 Performance
ขับในเมืองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยนะครับ
แต่พอใช้ความเร็วสูงแล้ว ความรู้สึกต่างกันได้ชัด ถ้าเป็นรถขับหลัง เวลาเลี้ยวด้วยความเร็วสูงๆนี่ ท้ายปัดแน่นอน
-
ในเมืองไม่รู้หรอกคับ ลองถามเพื่อน ๆ ผญ ที่มีทั้งรถขับหลัง ขับหน้า เขายังไม่รุ้เลยด้วยซ้ำ ว่ารถคันนี้ขับหน้า หรือขับหลัง 555
-
ขับหลังเปลืองน้ำมันกว่าครับ
-
ขึ้นอยู่ว่า จูน Handling มาแบบไหน
ถ้าขับแบบหาเรื่องจับผิด แตกต่างแน่นอน
-
ขับหน้าแต่ละคันที่คุณใช้ก็เป็นตัวเอ้ในกลุ่มรถขับหน้าทั้งนั้นเสียด้วย ฟอร์ดงี้ วอลโว่งี้ ออดี้งี้ :-X ผมใช้ขับหน้ากับขับหลังอยู่เป็นประจำคือฟอร์ดโฟกัสดีเซลกับเล็กซัสLS460 ที่ความเร็วต่ำถึงกลางจะทางตรง ในโค้ง ที่กลับรถ เหยียบเต็มเร่งที่แล้วเปลี่ยนเลน ไม่รู้สึกต่างกันเลย ความรู้สึกรถมันไปทั้งคันพร้อมกันไม่ใช้หน้าไปก่อนแล้วท้ายค่อยตามมา สูงสุดที่เคยลองคือ160เพราะไม่เคยขับรถเร็วกว่านั้นแล้ว ::) ไม่รู้ว่าเพราะฟอร์ดทำช่วงล่างขับหน้าออกมาได้ดีหรือเพราะเล็กซัสเน้นซับแรงกระแทกมากกว่าการขับขี่มันเลยรู้สึกเหมือนกันทุกประการ ถ้าคุณจะเอาความต่างแบบรู้สึกได้เดาว่าน่าจะต้องไปลอง bmw ช่วงล่าง m sport ดู :-X
-
จากรถที่ตัวเองใช้มีทั้ง หน้า หลัง ขับ 4
ถ้าสลับขับกันไปเรื่อย จับฟิลลิ่งได้ต่างครับ
ขับหลัง จะรู้สึกว่ามีแรงดันมาจากข้างหลัง เจอถนนลื่นท้ายปัดง่าย กลับรถออกตัวแรง ท้ายปัดง่าย ท้ายดิ้น
ขันหน้า จะรู็สึกว่ามีแรงดึงพุ่งไปข้างหน้า ช่วงฝนตกเจอถนนน้ำขังหน่อยไม่มีอาการท้ายออกเหมือนขับเหลัง
ขับ 4 รู้สึกออกตัวคล่องกว่ากระโจนไปทั้งคัน ออกตัวจากทางโค้งไวกว่า
มีความแตกต่างกันแน่นอนครับ
ถ้าแบบเจ้าของกระทู้แนะนำ ขับหน้าหรือขับ 4 ดีกว่าครับ เผื่อหน้าฝน ขับหลังจะลำบากกว่าหน่อยครับ
และขับหลังเหมาะกับ motor sport มากกว่าครับ เช่นการเล่นโค้ง การ ดริฟ
หรืออาจไปลองขับจริงจับ feeling ดูครับว่าชอบแบบไหน
-
เคยเช่ามาขับแล้วไม่ต่าง ขับหน้า หลัง ไม่ใช่ประเด็นในการเลือกรถเลยครับ
-
ฟิลลิ่งในการขับขี่ต่างกันครับ ยังไงก็ต่างกัน แต่ถ้าขับในเมืองความเร็วต่ำ ๆ ไม่ใช่นัยยะในการเลือกระบบขับเคลื่อน
-
ความรู้สึกผมต่างกันนะ ทั้ง 3 ชนิด FF, FR, AWD
ตอนออกตัว ตอนไต่ความเร็วตามรถคันหน้า ตอนเปลี่ยนเลน ตอนเลี้ยว
ถ้าทางตรงความรู้สึกมันมาที่แผ่นหลังมากกว่าที่พวงมาลัย
ส่วนตอนขึ้นเกือกม้ากลับรถกับเติมคันเร่ง หรือปล่อยไหลในโค้ง ความรู้สึกตอบสนองมาที่พวงมาลัยต่างกัน
แต่ก็ขึ้นกับการ setting รถเพิ่มเติม เพราะรถชนิดเดียวกันความรู้สึกก็ต่างกัน
-
จุดสังเกตหลักสำหรับผมคือตอนเข้าโค้งครับ
ขับหน้าพวงมาลัยจะตึง ๆ มือ ต้องใช้แรงในการพารถไปตามโค้ง
แต่ถ้าเป็นขับหลังเวลาเข้าโค้งขับสบายมากครับ พวงมาลัยเบามือกว่าเยอะเลย
-
ถ้าขับธรรมดา ในเมือง ไม่ต่างแล้วครับ