Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Chicken Wings ที่ พฤษภาคม 29, 2024, 12:47:30
-
https://www.facebook.com/headlightmag/posts/pfbid039s7Y3G5woBfWWdimAUX6ppDfJCPcAeQYQQw6dxb74fasyUQUaXvPUQd194TTPszl (https://www.facebook.com/headlightmag/posts/pfbid039s7Y3G5woBfWWdimAUX6ppDfJCPcAeQYQQw6dxb74fasyUQUaXvPUQd194TTPszl)
-
อ่านในลิ้งค์ที่แปะมา
ใครรักซูบารุ ให้รีบซื้อซะภายในปีนี้ ไม่งั้น มันจะกลับมาแพงในเรทรถนำเข้าทั้งคันแล้วนะ
-
เท่าที่ทราบข่าว ไม่ปิด ก็เหมือนปิดนะครับ
หยุดแบบไม่มีกำหนดที่แน่ชัด เลออฟพนักงานออก
ไม่รู้ผู้บริหารยังอยู่หรือไม่ ถ้าอยู่ ก็คงจะจัดการเรื่องการส่งต่อโรงงานให้บริษัทจีน
ตันจงเอง ก็มีสัมพันธ์กับจีนอยู่แล้ว
-
ข่าวที่ออกก่อนหน้านี้ไม่ใช่ SUZUKI แต่เป็น SUBARU
-
1.1x ล้าน ได้ C-suvขับ 4 ฉลาดๆ เอาตัวรอดได้ พร้อมระบบช่วยเหลือเพียบ
ราคานี้ได้เก๋งเจ้าตลาดธรรมดา C seg รุ่นท้อปเท่านั้น
ส่วนตัวราคาขายปัจจุบัน เทียบกับคุณค่าตัวรถนั้นเกินคุ้ม ถ้าเป็นราคานำเข้านั่น คงจับต้องยาก
เสียดายที่คงสถานะนี้(รถดี ประกอบไทย ราคาสู้ได้) ได้ไม่นาน
ถ้าไม่ติดใจเรื่องง่ายๆแบบเจ้าตลาด หลุดจากปัจจัยเหล่านั้นได้ subaru ถือเป็นรถที่โครดดีครับ
พอใจที่จัดมาแล้วคันนึง มันดีมาก เสียดายที่จะจากไปในสถานะรถดี ราคาย่อมเยา
-
ลุ้นว่าราคาอะไหล่จะดีดตัวตามหรือเปล่านี่แหละ
แต่ใช้เเล้วรู้สึกดีสุดๆครับ
-
Outback จะลงไปเหลือ 1.99 ล้านเหมือนรุ่นที่แล้วไม๊???
-
ลุ้นว่าราคาอะไหล่จะดีดตัวตามหรือเปล่านี่แหละ
แต่ใช้เเล้วรู้สึกดีสุดๆครับ
แน่นอนครับ รถนำเข้าอะไหล่ยังไงก็แพง
ไม่นับความเชื่อมั่นของลูกค้าเก่าที่คงเทขายกันอีก คนใช้น้อยลง อะไหล่ยิ่งน้อยตาม
-
เข้าใจว่า สถาณการคล้ายๆ volvo ก่อนหน้านี้นะครับ
มีโรงงานประกอบ(หรือผลิต) ในมาเลเซีย และยอดขายในไทยไม่ได้สูงมาก ก็ยุติการประกอบในไทยไปและนำเข้าเอา
เพราะยังไงก็การนำเข้าจากมาเลเซียก็ได้รับการช่วยเหลือด้านภาษีอยู่แล้ว ต้นทุนต่อคันสูงขึ้น แต่ไม่ต้องแบกภาระของโรงงานประกอบ
ในเคสซูบารุ คิดว่าการตัดสินใจ ลดราคา XV รอบนั้นยังตราตรึงใจหลายๆท่านอยู่ คิดว่าเป็นเจ้าแรกๆที่ออกมาทุบราคาตัวเองด้วย...
ลูกค้าเก่าก็กลัวโดนหักหลัง ลูกค้าใหม่ก็รอ Lot ลดราคาอยู่
อีกอย่างคือตัว Product ก็ไมไ่ด้น่าสนใจขนาดนั้น ระบบการขับขี่ AWD กับช่วงล่างอาจเป็นจุดขาย
ผมเองมองว่าทาง Subaru เองยังติส และขายในสิ่งที่อยากขาย มากกว่าสิ่งที่ตลาดต้องการครับ
อัตราเร่งของ XV 2.0 na + CVT มันก็ยังไม่ได้ตอบโจทย์ใครหลายๆคน รวมถึงตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่ไม่ได้สวยหรูอีก
ซึ่งถ้าเทียบกับ CX-30 อัตราเร่งตามอยู๋ 2 วิ รวมถึง ฟิลลิ่ง CVT กับ 6at ...
Forester เองก็เจอปัญหาคล้ายๆกัน พอเอาไปเทียบกับ CR-V คุณงามความดีของช่วงล่าง มันชดเชยความสดใหม่ของ CR-V ไม่ได้
-
ถึงแม้ผมจะชอบตั้งแต่สมัย WRX บี้กับ Evo
แต่พอมาเป็นรถบ้าน XV กะ Forester มันช่างไม่ตอบโจทย์ผมเลยอะ เวลาจะเปลี่ยนรถทีไร มันโดนตัดออกจากช้อยไปก่อนทุกที หน้าตาเฉย ๆ สำหรับ XV แต่ Forester ถึงขั้นแย่ ปกติขับในเมือง มันไม่แรง แถมกินน้ำมัน จะเอาขับสี่ไปสาดโค้งทางด่วน หรือลุยฝนตก ก็คงไม่ใช่แนวผม .... มันคงเป็นรถสายอินดี้จริง ๆ แต่ก็ถึอว่า อยุ่ในตลาดเมืองไทยได้นานอยุ่นะเนี่ย
-
ในฐานะที่เคยใช้ GC8 และ เกือบได้ Levorg เพิ่มอีกคัน
ผมว่า หลังจากที่พยายามทำรถตลาดๆ ราคาไม่แพง มีฮือฮาตอนที่เป็น XV มาขายแรกๆ พอไปได้ ทำราคามาดี (ถึงแม้ค่ายนี้จะราคาขึ้นๆ ลงๆ เป็นหุ้น ตามค่าเงิน) แต่ก็ถือว่าทำได้ดี
แต่หลังๆ ทั้งตัวรถ สเปค เทคโนโลยี เริ่มสู้คู่แข่งไม่ได้แล้ว จุดขายแทบไม่มี แถมหน้าตา เหมือนเอารถยุค 2000 มาขายปี 2020 มันช่างโบราญซะจริงๆ ทุกวันนี้ผมยังรับท้าย forester ไม่ได้อยู่เลย
กลายเป็นตอนนี้ แทบไม่มีจุดน่าสนใจใดๆ เหลือเลย
คงต้องกลับมานำเข้าเหมือนเดิม
ส่วนจะมาเล หรือ ญี่ปุ่น ก็ว่ากันเป็นรุ่นๆ ไป
ค่าบริการ กับ อะไหล่ มีแนวโน้ม จะแพงขึ้น
ยิ่งทำให้ลูกค้าหนีหนักกว่าเดิมอีก
-
ในฐานะที่เคยใช้ GC8 และ เกือบได้ Levorg เพิ่มอีกคัน
ผมว่า หลังจากที่พยายามทำรถตลาดๆ ราคาไม่แพง มีฮือฮาตอนที่เป็น XV มาขายแรกๆ พอไปได้ ทำราคามาดี (ถึงแม้ค่ายนี้จะราคาขึ้นๆ ลงๆ เป็นหุ้น ตามค่าเงิน) แต่ก็ถือว่าทำได้ดี
แต่หลังๆ ทั้งตัวรถ สเปค เทคโนโลยี เริ่มสู้คู่แข่งไม่ได้แล้ว จุดขายแทบไม่มี แถมหน้าตา เหมือนเอารถยุค 2000 มาขายปี 2020 มันช่างโบราญซะจริงๆ ทุกวันนี้ผมยังรับท้าย forester ไม่ได้อยู่เลย
กลายเป็นตอนนี้ แทบไม่มีจุดน่าสนใจใดๆ เหลือเลย
คงต้องกลับมานำเข้าเหมือนเดิม
ส่วนจะมาเล หรือ ญี่ปุ่น ก็ว่ากันเป็นรุ่นๆ ไป
ค่าบริการ กับ อะไหล่ มีแนวโน้ม จะแพงขึ้น
ยิ่งทำให้ลูกค้าหนีหนักกว่าเดิมอีก
จุดขายไม่มีจริงๆครับตอนนี้
เหลือแต่ตัวอะไรก็ไม่รู้ดูโบราณมากๆ
-
Mazda เป็นค่ายที่น่ากังวล
ไม่มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือ เทคโนโลยีใหม่ๆ เปืดตัวในตลาดโลกเลย
นิสสันยังมี E-Power ที่พอจะสู้หน้าได้ว่าเป็นเทคโนโลยีกึ่งๆไฟฟ้า
แต่มาสด้า ทำกระบะก็แป้ก ทำรถเก๋งใหญ่ก็ไม่รอด เก๋งเล็กก็ลากแซยิด SUVก็ชื่อเสียกระฉ่อน
ผมว่าน่าห่วงสุด
-
ยอดผลิตของปี 2023
1. TOYOTA = 629,806 คัน
2. MITSUBISHI = 279,826 คัน
3. ISUZU = 277,515 คัน
4. FORD = 210,008 คัน
5. HONDA = 147,370 คัน
6. NISSAN = 101,975 คัน
7. MAZDA = 97,795 คัน
8. MG = 19,986 คัน
9. SUZUKI = 11,164 คัน
10. GREAT WALL = 7,250 คัน
11. SUBARU = 1,317 คัน
Premium Brand
BMW = 12,165 คัน
Mercedes-Benz = 12,124 คัน
-
ผมว่านำเข้าไม่น่าจะแพงขึ้นมากนัก เยนอ่อนกว่าบาทเยอะนะครับ
-
ผมมองว่าถึงให้รถช่วงล่างจะดีแค่ไหน
คนทั่วไปที่เลือกซื้อรถ เขาไม่น่าจะเลือกจากช่วงล่างก่อนอยู่ดีครับ
คนทั่วไป 100 คน จะมีถึง 1 คนไหม ที่พูดชื่อ Subaru ออกมา
คนที่จะซื้อ subaru มันจำเพาะมาก ๆ ครับ
มันไม่ mass
เพราะฉะนั้น ถ้ารถมันไม่จบจริง ๆ ในตัวมันเอง ขายยาก
Subaru มัน wow ถ้ากลับไปช่วงปี 2000s
แต่พอมาตอนนี้ ผมรู้สึกเฉย ๆ
จุดอ่อนเลยคือภายนอกรถ ต่อมาอัตราเร่ง หลังจากนั้นคือผิวสัมผัสวัสดุ
ผมรู้สึกมันไปไม่สุด ถ้าจะเอาสนุกก็น่าจะได้เครื่องแรงกว่านี้
แล้วมาเจอการแข่งขันจากรถตลาดจีน ลดราคาขนาดไหนก็สู้ยาก
ผมคิดว่าทาง Subaru ทำถูกแล้วที่วางแผนแบบนี้
ส่วนการกลับมาแบบสมัยก่อน ตั้งราคาไปทาง premium
คือไม่ mass แต่มันมีคุณค่า และ dealer คงจะมีแค่ในกทม
ส่วนต่างจังหวัด ลูกค้าตอนนี้อ่านเริ่มกังวล
แต่คนที่สนใจจะซื้อตอนนี้ อาจคิดหนักขึ้น
สุดท้ายราคาอาจจบแบบ X-trail หรือ Teana
-
1.1x ล้าน ได้ C-suvขับ 4 ฉลาดๆ เอาตัวรอดได้ พร้อมระบบช่วยเหลือเพียบ
ราคานี้ได้เก๋งเจ้าตลาดธรรมดา C seg รุ่นท้อปเท่านั้น
ส่วนตัวราคาขายปัจจุบัน เทียบกับคุณค่าตัวรถนั้นเกินคุ้ม ถ้าเป็นราคานำเข้านั่น คงจับต้องยาก
เสียดายที่คงสถานะนี้(รถดี ประกอบไทย ราคาสู้ได้) ได้ไม่นาน
ถ้าไม่ติดใจเรื่องง่ายๆแบบเจ้าตลาด หลุดจากปัจจัยเหล่านั้นได้ subaru ถือเป็นรถที่โครดดีครับ
พอใจที่จัดมาแล้วคันนึง มันดีมาก เสียดายที่จะจากไปในสถานะรถดี ราคาย่อมเยา
ถ้ารถดีมันต้องไม่พังครับ นี่ในกลุ่มยังบ่นกันอยู่เลยเดี๋ยวนั่นพังนี่พัง แถมแก้ปัญหาให้ลูกค้าไม่ได้อีก
รถเปราะไม่พอ ระบบหลังบ้านก็ดันห่วย โพสในเพจของ Headlightmag เองก็ยังมีลูกค้ามาบ่นอยู่เลย
Subaru นี่นอกจากช่วงล่างดีอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรเด่นซักอย่าง(ถ้าไม่ใช่รุ่น Performance Car)
-
อะไหล่ไม่น่าจะแพงขึ้นไหมครับ เพราะปัจจุบัน อะไหล่ส่วนมาก(ที่เคยซื้อที่ศูนย์) ก็เขียนว่าผลิตจากญี่ปุ่น อยู๋แล้ว อีกทั้งยังมีการปรับลดราคาลงมาบ้างหลายๆรายการ
ปัญหามันน่าจะ อะไหล่มันไม่ทนมากกว่าครับ ;D
-
ก็พี่เล่นไม่ลดขนาดความจุเครื่องยนต์ให้เหลือสัก 1.8 แบบค่ายเจ้าตลาด
แต่พี่ใจปล้ำยัดเครื่อง 2.0 ตั้งแต่ XV มา Forester เสียภาษีสรรพสามิตอย่างเดียว 30%
แล้วพี่จะเอาอะไรสู้กะไอ้พวกเจ้าตลาดล่ะฮะ
แค่เจอภาษีอย่างเดียวเพ่ก็ตายแล้ว เจ้าตลาดเบนซิน 1.5-1.8 มันเสีย 20% ถ้าเป็นไฮบริดมันเสีย 4% เอง
ขายราคาเท่ากัน ก็คิดดูว่าใครกำไรบานกว่าใคร ...
-
ก็พี่เล่นไม่ลดขนาดความจุเครื่องยนต์ให้เหลือสัก 1.8 แบบค่ายเจ้าตลาด
แต่พี่ใจปล้ำยัดเครื่อง 2.0 ตั้งแต่ XV มา Forester เสียภาษีสรรพสามิตอย่างเดียว 30%
แล้วพี่จะเอาอะไรสู้กะไอ้พวกเจ้าตลาดล่ะฮะ
แค่เจอภาษีอย่างเดียวเพ่ก็ตายแล้ว เจ้าตลาดเบนซิน 1.5-1.8 มันเสีย 20% ถ้าเป็นไฮบริดมันเสีย 4% เอง
ขายราคาเท่ากัน ก็คิดดูว่าใครกำไรบานกว่าใคร ...
ถ้าแบบนั้น ต้องถอดระบบ awd ให้เหลือเป็นขับหลัง หรือหาเครื่องของพาร์ทเนอร์แปลงขับหน้ามาลงใส่ xv หรือ forester ด้วยมั๊ยอะครับ
ผมคิดว่าถ้าคนจะซื้อ subaru ยังไงก็ซื้อน่ะครับ
แต่ที่ขายไม่ออก ไม่น่าใช่เพราะคู่แข่ง แต่เพราะคนไม่ซื้อแล้วต่างหาก
หรือคนที่อยากได้จริงๆ น้อยลงจนตัวโรงงานอยู่ไม่ได้มากกว่า
-
สรุปว่าเป็นคนละ Su กับตอนนั้นจริงๆด้วย
ส่วนตัวผมที่ใช้ Forester อยู่ ผมชอบตัวรถมากกว่าคู่แข่งในเกือบทุกด้าน ยกเว้นอัตราเร่งกับอัตราสิ้นเปลืองแค่นั้นเลย
คือถ้าเปลี่ยน powertrain จากเครื่อง 2.0 และเกียร์ CVT ตัวนี้ ไปเป็นระบบ BEV แต่อย่างอื่นเหมือนเดิม มันจะเยี่ยมมากเลย
แต่ถ้านอกจากตัวรถแล้ว ผมว่าค่า maintenance ค่ายนี้แพงสุดในบรรดารถญี่ปุ่นแล้ว
กับศูนย์บริการที่นับวันมีน้อยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะต่างจังหวัดที่ไม่ค่อยจะมีศูนย์ให้เข้า
แต่ผมยังโชคดีที่มีศูนย์ดีๆใกล้บ้าน และเป็นยี่ห้อที่ศูนย์อยู่ใกล้บ้านที่สุดด้วย (แต่ไม่รู้จะเปิดต่ออีกนานไหมนะ 5555 :'()
-
ในมุมของผม ก่อนซื้อ CR-V G6 RS ตอนปลายปีที่แล้ว .. ผมก็ดู Forester นะ แต่ ที่ไม่เลือกเพราะ
1. อัตราเร่งอืด .. กระแทกคันเร่งสุดตอนออกตัว ยังไม่ดึงเลย .. อืดพอกับ G3 2.0 คันเก่า แล้วผมจะเปลี่ยนรถทำไม
- จริงๆ ถ้าเอา 1.8 Turbo มา ผมซื้อแล้ว
2. อัตราสิ้นเปลือง .. นั่นแหละ พอกับคันเก่า
- ช่วงล่างดี ทัศนวิสัยโปร่ง โล่ง ไม่เถียง แต่ผมก็มองว่า ถ้าแค่ช่วงล่าง ผมปรับแต่งได้ภายหลังไม่ยากครับ รวมถึง ตอนนั้น ส่วนลดยังไม่เยอะ แถวๆแสนนึง เลยมองว่า ยอมจ่าย ใช้ของสดใหม่ ใช้รถที่คุ้นเคย ทั้งในแง่ความทนทาน และ บริการหลังการขาย ดีกว่า
-
ศูนย์บริการก็ไม่มี แล้วใครจะซื้อล่ะครับ เป็นผมก็ไม่ซื้อ รถดีก็ต้องทำให้ทุกๆคนได้ใช้รถที่ดีด้วย ไม่ใช่บอกแต่ว่าแบรนด์รถตัวเองนั้นดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ราคารถก็หลักล้านนะครับ ผู้บริหารซุบารุช่วยใส่ใจและหาทางแก้หรือทำการบ้านมาใหม่ให้พร้อมกว่านี้นะครับ
-
ในมุมของผม ก่อนซื้อ CR-V G6 RS ตอนปลายปีที่แล้ว .. ผมก็ดู Forester นะ แต่ ที่ไม่เลือกเพราะ
1. อัตราเร่งอืด .. กระแทกคันเร่งสุดตอนออกตัว ยังไม่ดึงเลย .. อืดพอกับ G3 2.0 คันเก่า แล้วผมจะเปลี่ยนรถทำไม
- จริงๆ ถ้าเอา 1.8 Turbo มา ผมซื้อแล้ว
2. อัตราสิ้นเปลือง .. นั่นแหละ พอกับคันเก่า
- ช่วงล่างดี ทัศนวิสัยโปร่ง โล่ง ไม่เถียง แต่ผมก็มองว่า ถ้าแค่ช่วงล่าง ผมปรับแต่งได้ภายหลังไม่ยากครับ รวมถึง ตอนนั้น ส่วนลดยังไม่เยอะ แถวๆแสนนึง เลยมองว่า ยอมจ่าย ใช้ของสดใหม่ ใช้รถที่คุ้นเคย ทั้งในแง่ความทนทาน และ บริการหลังการขาย ดีกว่า
เคยใช้ forester gen 1 ตัวปี 2001 โน่น มาก่อนติดใจในคุณภาพของตัวรถที่เหนือว่าญี่ปุ่นด้วยกัน ด้อยกว่ายุโรปไม่มาก
เคยคิดจะซื้อมาใช้อีกครั้ง ไปลองมาเหมือนกัน และไม่ได้ซื้อก็เพราะเหตุผลเดียวกัน
คุณภาพยังคงถือว่าดี เรี่ยวแรงก็ดีกว่าตัวเก่าก็จริง แต่ผ่านมา 20 ปี ไม่ได้แรงขึ้นมากมาย
เครื่องที่ให้มามันไม่สัมพันธ์กับตัวถัง และเทคโนหรือความแรงของรถปัจจุบัน
ตั้งโรงงานมาเพื่อประกอบรถอยู่รุ่นเดียวมันเลยไปไม่ไหว
เคยมีข่าวว่าจะเอา xv มาประกอบด้วย แต่ก็ไม่มา
ต่อให้ไม่มีจีนก็ไปต่อยาก มันไม่คุ้ม
-
ตลาดมือสองของรถยี่ห้อนี้ น่าจะไม่ต่างจากเชฟโรเลตแน่ๆ ราคาถูก อย่างกับล็อคคอแจก
-
ผมว่านำเข้าไม่น่าจะแพงขึ้นมากนัก เยนอ่อนกว่าบาทเยอะนะครับ
แพงสิครับ mazda6 ยัง 2.499 ล้าน (option เป็นไงไม่รู้) ต่างกับคู่แข่งตัว top 7 แสนเลย หรือต่างกัน 39% ถ้า เจ้าป่าปัจจุบันขาย 1.4 ล้าน ตัวนำเข้า อาจจะพุ่งไป 1.9 ล้าน
subaru ผมคิดว่าตัว product เข้าถึงตลาด mass ยากไป เหมือนจะไปเน้นตลาดนิชที่ต้องการ performance เลยเน้นโปรโมทการขับ 4 แต่ความเร็วทางตรงดันไม่แรง ส่วนตัวแรงที่เป็นรถนำเข้า ราคาแพง ดันต้องมาเจอ c43 cls53 m340i ที่เข้าถึงง่ายขับไปไหนคนก็รู้เลยว่าเนี่ยรถคนรวย และแรงด้วย แล้วมาเจอราคาน้ำมันที่แพง ทีนี้ไปกันใหญ่เลย ตลาด mass คนก็ไป cross hrv ตลาดบนคนก็ไปค่ายยุโรป
เศร้าใจนะครับที่ต้องเห็นค่ายรถประกอบในประเทศที่ต้องถอนตัวไป
-
กลุ่มคนที่ชอบขับรถ ชอบสมรรถนะน่าจะเหลือน้อยลงแล้วครับ รักขับรถแค่ไหนแต่เจอค่าน้ำมัน ค่าอะไหล่ เสียภาษี แต่ถ้าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ก็คงจัดไปแบบไม่ต้องคิดมากครับ
ถ้าปิดแค่โรงงาน แต่เรื่องศูนย์บริการยังอยู่ แบบเชฟโรเลต ก็คงพอไปได้แหละครับ แต่ประเด็นคือราคารถแบบนำเข้า น่าจะพอ ๆ กับ Lexus ล่ะมั้งครับ
-
โดยส่วนตัวสนใจ Subaru น้อยลง หลังรถยุโรป ตัวแรงเปิดตัว ทั้ง Audi A4 45, M340i, C43
มีคำถามในใจว่า เราจะสนใจ WRX ไปทำไม
ประกอบกับสมัย BRZ ปัจจุบันเปิดตัว หรือ Outback เปิดตัว ผมเจอเซลล์ที่เร่งให้จอง โดยใช้คำพูดว่า รถมีไม่กี่คัน ผมไม่อยากแย่งกับใครเลยไปซื้อยี่ห้ออื่นแทน
แต่ก็ยอมรับว่าตัวรถดีจริงๆ Subaru Legacy GT ตัว BM9 เป็นรถคันแรกในบ้าน ที่ใช้เกิน 10 ปี ปัญหาที่เจอน้อยมาก แค่ Lock up clutch เกียร์เสีย กับ คอมแอร์พัง
-
ถ้าตอนนั้นจัด forester มา เจอข่าวนี้คงโดน ผบ ด่า....เละ
รอดไป
-
ดูทรงไม่น่าจะเหลือในตลาดบ้านเราในอนาคตแล้วล่ะแบบนี้
-
ผมว่านำเข้าไม่น่าจะแพงขึ้นมากนัก เยนอ่อนกว่าบาทเยอะนะครับ
เยนอ่อนเทียบกับบาท ไม่กี่% แต่โดนภาษีจากญี่ปุ่น กี่ร้อย% เลยนะ
-
ผมอาจจะเป็นคนส่วนน้อย เจอข่าวนี้ทำให้ยิ่งสนใจ Forester เลย เพราะอาจจะได้ใช้เป็น Subaru คันสุดท้ายแล้ว
น้องสาวซื้อ Forester มาเมื่อต้นปี (มาใช้แทน Civic อายุ 20 ปี) คุณแม่วัย 70 กว่า กับ คุณป้าวัย 80 กว่า ชอบมาก ทั้งชอบขับและชอบนั่ง
ทั้งผม (Legacy wagon 1995) ทั้งภรรยา (Impreza 2001) ใช้ Subaru ทั้งคู่สมัยอยู่ต่างประเทศ
พอแต่งงาน เกือบซื้อ BRZ แล้ว แต่มีลูกซะก่อนเลยหมดสิทธิ์
-
ปัญหารถ Subaru ที่เอามาขายรุ่นล่าง ๆ มีดังนี้
1. เครื่องยนต์มันไม่มีเทอร์โบ เป็นเบนซินขนาดเล็ก มันจะไปแรงได้ยังไงละ แถมอืดและกินน้ำมันอีกต่างหากที่ต้องลากตัวถังหนัก
2. เครื่องยนต์ไม่มีไฮบริดเข้ามาขายเป็นแค่เครื่องเบนซิน NA ทำให้อัตราสิ้นเปลืองคนส่วนใหญ่รับไม่ได้ ไม่มีจุดเด่น
3. เน้นสมรรถนะขับ 4 fulltime แต่เครื่องไม่แรง อืดกินน้ำมัน มันจะไปกันได้ไงละ แล้วคนซื้อมาขับแบบบ้าน ๆ ไม่เน้นสมรรถนะ ก็ไม่เห็นประโยชน์
4. อะไหล่แพงและไม่ทนอีกต่างหาก ไม่รู้ไปลดต้นทุนอีท่าไหน
5. เข้าศูนย์บริการแพงกว่า Mazda ในประเทศไทย รถที่ค่าบริการแพง ๆ มันไม่ได้ส่งผลดีกับทางศูนย์บริการหรือลูกค้าแต่อย่างใด สุดท้ายลูกค้าบอกปากต่อปากแล้วก็หนีกันหมด สุดท้ายก็พังทั้งคู่ ถ้าจะมาหวังทำธุรกิจด้วยการฟาดกำไรจากบริการหลังการขาย ลูกค้าเข็ดขยาดไม่กล้าใช้อยู่ดี
-
ยอดผลิตของปี 2023
1. TOYOTA = 629,806 คัน
2. MITSUBISHI = 279,826 คัน
3. ISUZU = 277,515 คัน
4. FORD = 210,008 คัน
5. HONDA = 147,370 คัน
6. NISSAN = 101,975 คัน
7. MAZDA = 97,795 คัน
8. MG = 19,986 คัน
9. SUZUKI = 11,164 คัน
10. GREAT WALL = 7,250 คัน
11. SUBARU = 1,317 คัน
Premium Brand
BMW = 12,165 คัน
Mercedes-Benz = 12,124 คัน
ก็อปข้อมูลจากอีกเว็บมาไม่คิดจะให้เครดิตหน่อยเหรอครับ หรือว่าถ้าเป็นเรื่องก็อปเอามาจากเว็บต้องห้ามก็ทำได้เป็นข้อยกเว้น
-
ปัญหารถ Subaru ที่เอามาขายรุ่นล่าง ๆ มีดังนี้
1. เครื่องยนต์มันไม่มีเทอร์โบ เป็นเบนซินขนาดเล็ก มันจะไปแรงได้ยังไงละ แถมอืดและกินน้ำมันอีกต่างหากที่ต้องลากตัวถังหนัก
2. เครื่องยนต์ไม่มีไฮบริดเข้ามาขายเป็นแค่เครื่องเบนซิน NA ทำให้อัตราสิ้นเปลืองคนส่วนใหญ่รับไม่ได้ ไม่มีจุดเด่น
3. เน้นสมรรถนะขับ 4 fulltime แต่เครื่องไม่แรง อืดกินน้ำมัน มันจะไปกันได้ไงละ แล้วคนซื้อมาขับแบบบ้าน ๆ ไม่เน้นสมรรถนะ ก็ไม่เห็นประโยชน์
4. อะไหล่แพงและไม่ทนอีกต่างหาก ไม่รู้ไปลดต้นทุนอีท่าไหน
5. เข้าศูนย์บริการแพงกว่า Mazda ในประเทศไทย รถที่ค่าบริการแพง ๆ มันไม่ได้ส่งผลดีกับทางศูนย์บริการหรือลูกค้าแต่อย่างใด สุดท้ายลูกค้าบอกปากต่อปากแล้วก็หนีกันหมด สุดท้ายก็พังทั้งคู่ ถ้าจะมาหวังทำธุรกิจด้วยการฟาดกำไรจากบริการหลังการขาย ลูกค้าเข็ดขยาดไม่กล้าใช้อยู่ดี
เห็นด้วยครับ
AWD ที่ซูโรงด้วยการขับขี่ แต่ใส่เครื่องที่ไม่ได้แรงมาให้ มองว่ามันค่อนข้างขัดกันครับ ถนนที่ไทยก็ไม่ได้มี หิมะ หรือลื่นขนาดนี้ต้องใช้ awd
หรือเขาใช้ Concept ที่ว่า.. "It's more fun driving a slow car fast than a fast car slow"
อย่างน้อยๆควรจะเป็น 1.6 turbo เหมอืนใน levorg 0-100 ต่ำกว่า/ประมาน 10 วิ
ยังไงคนที่อยากได้รถที่ขับสนุก ส่วนใหญ่น่าจะให้ความสำคัญกับ อัตราเร่งมากกว่า
-
รถขับ 4-AWD เอาจริงๆ ไม่ค่อยมีที่ใช้สำหรับคนไทยทั่วๆไปครับ การมี 4WD จึงถูกมองว่า สิ้นเปลืองทั้งค่าตัว ค่าดูแล และ ค่าเชื้อเพิลง
อีกทั้งยังทำความเร็วได้ช้ากว่ารถขับ 2
แต่ในประเทศที่มีความต้องการใช้งาน 4-AWD เช่น ที่มีหิมะทุกปี Subaru นิยมมากมาย Forester รุ่นเดียวขายกันปีละ 2-3 แสนกว่าคัน คนนิยมมาก
สรุปว่า รถดี แต่อยู่ผิดทีผิดทางมากกว่า คนท้องถิ่นที่ไทย ไม่ได้ใช้ 4AWD ก็ขายไม่ได้เป็นเรื่องปกติ
แต่คนที่ได้ใช้ และ ต้องการใช้ ราคาแบบนี้ถือว่าดีมากสุดๆ
*** ส่วนรถที่ออกแบบใช้ปืนป่าย ความแรงที่พอดีสำคัญกว่าความแรงมากที่คุมได้ยาก ***
มีคลิปต่างประเทศ ทดสอบรถ SUV ขับ 4 ในคันที่แรงจัดใส่ Turbo แรงม้า/แรงบิดมากที่สุด นักทดสอบบอกมันแรงเกินไปสำหรับการขับขี่ทาง off road ควบคุมได้ยาก จะอันตรายกว่ารถที่แรงพอดีๆ และออกแบบการขับเคลื่อนที่ควบคุมแรงบิดอิสระแต่ละล้อได้ดี จะไปได้ดีราบรื่น และปลอดภัยกว่าครับ
เมื่จุดดี ไม่ได้ใช้ คนก็ไม่ซื้อ ก็เป็นเรื่องที่อธิบายได้ครับ
ส่วนใครมีความต้องการลุยได้มากกว่าเก๋ง แต่ไม่ถึงขนาดลุยหนักแบบ PPV off road อยากนั่งสบายๆคล้ายเก๋ง Forester ในราคา 1.1x ล้าน ตอบโจทย์มาก คนที่บ้านยังยอมรับการมาจาก L33 ได้ทุกคน เพื่อการลุยที่ดีกว่า ท่องเที่ยวได้ดีกว่า แต่ยังรักษาความสบายในการโดยสารได้เกือบเท่า L33
แต่มีข้อแม้ว่าต้องหลุดพ้น กับสิ่งที่ง่ายๆแบบเจ้าตลาดครับ นอกนั้นดีกว่าหมดครับ
https://www.youtube.com/watch?v=SsEFOH7KP-Q&pp=ygURc3V2IG9mZiByb2FkIHRlc3Q%3D
https://www.youtube.com/watch?v=KzXN4YkI8A8&pp=ygURc3V2IG9mZiByb2FkIHRlc3Q%3D
-
เห็นว่าจะ focus เฉพาะ model ที่ตรงกับจริตของลูกค้าของค่าย แบบนี้คงเหลือแค่ไม่กี่ model อาจจะพวก wrx อะไรแบบนั้น ส่วนพวกรถตลาด คงค่อยๆ น้อยลงไป จะกลายเป็นค่ายอินดี้เข้าไปอีก
-
รถขับ 4-AWD เอาจริงๆ ไม่ค่อยมีที่ใช้สำหรับคนไทยทั่วๆไปครับ การมี 4WD จึงถูกมองว่า สิ้นเปลืองทั้งค่าตัว ค่าดูแล และ ค่าเชื้อเพิลง
อีกทั้งยังทำความเร็วได้ช้ากว่ารถขับ 2
แต่ในประเทศที่มีความต้องการใช้งาน 4-AWD เช่น ที่มีหิมะทุกปี Subaru นิยมมากมาย Forester รุ่นเดียวขายกันปีละ 2-3 แสนกว่าคัน คนนิยมมาก
สรุปว่า รถดี แต่อยู่ผิดทีผิดทางมากกว่า คนท้องถิ่นที่ไทย ไม่ได้ใช้ 4AWD ก็ขายไม่ได้เป็นเรื่องปกติ
แต่คนที่ได้ใช้ และ ต้องการใช้ ราคาแบบนี้ถือว่าดีมากสุดๆ
*** ส่วนรถที่ออกแบบใช้ปืนป่าย ความแรงที่พอดีสำคัญกว่าความแรงมากที่คุมได้ยาก ***
มีคลิปต่างประเทศ ทดสอบรถ SUV ขับ 4 ในคันที่แรงจัดใส่ Turbo แรงม้า/แรงบิดมากที่สุด นักทดสอบบอกมันแรงเกินไปสำหรับการขับขี่ทาง off road ควบคุมได้ยาก จะอันตรายกว่ารถที่แรงพอดีๆ และออกแบบการขับเคลื่อนที่ควบคุมแรงบิดอิสระแต่ละล้อได้ดี จะไปได้ดีราบรื่น และปลอดภัยกว่าครับ
เมื่จุดดี ไม่ได้ใช้ คนก็ไม่ซื้อ ก็เป็นเรื่องที่อธิบายได้ครับ
ส่วนใครมีความต้องการลุยได้มากกว่าเก๋ง แต่ไม่ถึงขนาดลุยหนักแบบ PPV off road อยากนั่งสบายๆคล้ายเก๋ง Forester ในราคา 1.1x ล้าน ตอบโจทย์มาก คนที่บ้านยังยอมรับการมาจาก L33 ได้ทุกคน เพื่อการลุยที่ดีกว่า ท่องเที่ยวได้ดีกว่า แต่ยังรักษาความสบายในการโดยสารได้เกือบเท่า L33
แต่มีข้อแม้ว่าต้องหลุดพ้น กับสิ่งที่ง่ายๆแบบเจ้าตลาดครับ นอกนั้นดีกว่าหมดครับ
https://www.youtube.com/watch?v=SsEFOH7KP-Q&pp=ygURc3V2IG9mZiByb2FkIHRlc3Q%3D
https://www.youtube.com/watch?v=KzXN4YkI8A8&pp=ygURc3V2IG9mZiByb2FkIHRlc3Q%3D
ผมว่า ความคิดที่ว่ามี AWD หรือ 4WD แบบ fulltime/real-time/on-demand แล้วไม่ได้ใช้ หรือ ไม่มีประโยชน์ แค่นี้ก็ผิดแล้วนะครับ
เพราะ ระบบพวกนี้ ใช่ ส่วนหนึ่ง การใช้งานในถนนเปียก เลื่อน หรือ มีหิมะ เรื่องจริง
แต่การใช้งานปกติ มันก็ทำงานของมันปกติ เช่นกันครับ แค่ออกตัวไฟแดง ระบบมันก็ทำงานแล้ว และ เรียกว่า มันก็ทำงานของมันตลอดเวลา ครับ (มันมีโหมด normal vs snow หรือโหมด ถนนลื่น อยู่แล้ว)
ส่วนจะบอกว่า รถขับ4 มันเกินความจำเป็นไหม หรือ ไม่มีความจำเป็น (สำหรับเมืองไทย) ผมว่า อยู่ในการให้ความสำคัญครับ
แต่ก่อนใช้ GC8 เพราะอยากได้ขับสี่ เมื่อ 4-5 ปีก่อน ผมจะเอา Levorg เพราะมันเป็นรถแวน เพราะมีลูก อยากได้พื้นที่โดยสารและขนของ และ อยากได้รถขับ4 อยู่
พอปัจจุบันมีรถ SUV ในบ้านเราที่เป็นรถขับ4 ตัวเลือกมากมาย เลยทำให้ผมต้องไปเอา SUV แทน (ซึ่งนั้นคือ ความน่าสนใจของแบรนด์นี้ มันลดลงไป)
ผมใช้รถขับสี่ตลอด ผมว่า มันไม่มีคำว่าเกินจำเป็น หรือ ไม่ได้ใช้งานครับ เพราะมันทำงานตลอดเวลา
่ส่วนการดูแลรักษา ใช่ครับ ต้องดูแลรักษาในชิ้นส่วนพวกนี้เพิ่มเติม(มากกว่ารถขับ2 จริง) หลักๆ ก็น้ำมันเกียร์ transfer กับ จาระบี เพลาขับ4
-
ปัญหารถ Subaru ที่เอามาขายรุ่นล่าง ๆ มีดังนี้
1. เครื่องยนต์มันไม่มีเทอร์โบ เป็นเบนซินขนาดเล็ก มันจะไปแรงได้ยังไงละ แถมอืดและกินน้ำมันอีกต่างหากที่ต้องลากตัวถังหนัก
2. เครื่องยนต์ไม่มีไฮบริดเข้ามาขายเป็นแค่เครื่องเบนซิน NA ทำให้อัตราสิ้นเปลืองคนส่วนใหญ่รับไม่ได้ ไม่มีจุดเด่น
3. เน้นสมรรถนะขับ 4 fulltime แต่เครื่องไม่แรง อืดกินน้ำมัน มันจะไปกันได้ไงละ แล้วคนซื้อมาขับแบบบ้าน ๆ ไม่เน้นสมรรถนะ ก็ไม่เห็นประโยชน์
4. อะไหล่แพงและไม่ทนอีกต่างหาก ไม่รู้ไปลดต้นทุนอีท่าไหน
5. เข้าศูนย์บริการแพงกว่า Mazda ในประเทศไทย รถที่ค่าบริการแพง ๆ มันไม่ได้ส่งผลดีกับทางศูนย์บริการหรือลูกค้าแต่อย่างใด สุดท้ายลูกค้าบอกปากต่อปากแล้วก็หนีกันหมด สุดท้ายก็พังทั้งคู่ ถ้าจะมาหวังทำธุรกิจด้วยการฟาดกำไรจากบริการหลังการขาย ลูกค้าเข็ดขยาดไม่กล้าใช้อยู่ดี
เห็นด้วยครับ
AWD ที่ซูโรงด้วยการขับขี่ แต่ใส่เครื่องที่ไม่ได้แรงมาให้ มองว่ามันค่อนข้างขัดกันครับ ถนนที่ไทยก็ไม่ได้มี หิมะ หรือลื่นขนาดนี้ต้องใช้ awd
หรือเขาใช้ Concept ที่ว่า.. "It's more fun driving a slow car fast than a fast car slow"
อย่างน้อยๆควรจะเป็น 1.6 turbo เหมอืนใน levorg 0-100 ต่ำกว่า/ประมาน 10 วิ
ยังไงคนที่อยากได้รถที่ขับสนุก ส่วนใหญ่น่าจะให้ความสำคัญกับ อัตราเร่งมากกว่า
เป็นไปตาม 2 คคห. นี้เลยครับ
ทั้ง XV และ Forester คือมันเป็นรถที่ขับดี ขับขี่แล้วมั่นใจ มีเสถียรภาพ แต่ไม่ใช่รถที่ขับสนุก
-
ผมไม่เชื่อว่าสาเหตุคือรถจีน
ต่อให้ไม่มีรถไฟฟ้าจีน ไม่มี FTA ใดๆ เอาแค่ญี่ปุ่นร่วมชาติแข่งกันเองในราคาพอกัน
ดาวลูกไก่ก็สู้พวกนี้ไม่ได้ในแง่รวม สู้ได้แค่ handling รถที่มันยังไม่มากพอต่อความต้องการคนสมัยนี้
-
โทษรถจีน ก็ไม่ถูก
สมัยยังไม่มี รถจีน ยุคที่ โปรดัก ยังใหม่ๆ ก็มีนโยบาย แปลกๆ
ตอนที่ ลูกค้าอยากลอง อยากซื้อ เยอะๆ ตัวโปรดัก ก็มีปัญหาเอง และดูแลลูกค้าไม่ดี
พอลูกค้ามีทางเลือก แข่งขันไม่ได้ ก็พังพาบ
จากที่สัมผัสมา นะ ถ้ายังทำธุรกิจผ่านกลุ่ม ธุรกิจเดิม ที่ไม่เข้าใจตลาดไทย มันก็ไม่มีทางดีหรอกครับ
จะนำเข้าหรือผลิตไทยมันแค่ด้านเดียว แต่กลุ่มธุรกิจที่เป็นตัวแทน ถ้ายังทำตลาดแบบนี้ มันก็ได้แค่นี้แหละ
สมเหตุผล
-
เจอข่าวแบบนี้ ใครจะกล้าซื้อ หรือ ต้องราคาลดแบบโหดๆ เหมือน เชฟ
-
ถ้าตอนนั้นจัด forester มา เจอข่าวนี้คงโดน ผบ ด่า....เละ
รอดไป
ตอนซื้อรถใหม่ ผมก็เกือบจะซื้อ forester เหมือนกัน ดีทีไม่ได้ซื้อ ไม่งั้นเละเหมือนกัน 5555
-
เข้าใจว่า สถาณการคล้ายๆ volvo ก่อนหน้านี้นะครับ
มีโรงงานประกอบ(หรือผลิต) ในมาเลเซีย และยอดขายในไทยไม่ได้สูงมาก ก็ยุติการประกอบในไทยไปและนำเข้าเอา
เพราะยังไงก็การนำเข้าจากมาเลเซียก็ได้รับการช่วยเหลือด้านภาษีอยู่แล้ว ต้นทุนต่อคันสูงขึ้น แต่ไม่ต้องแบกภาระของโรงงานประกอบ
ในเคสซูบารุ คิดว่าการตัดสินใจ ลดราคา XV รอบนั้นยังตราตรึงใจหลายๆท่านอยู่ คิดว่าเป็นเจ้าแรกๆที่ออกมาทุบราคาตัวเองด้วย...
ลูกค้าเก่าก็กลัวโดนหักหลัง ลูกค้าใหม่ก็รอ Lot ลดราคาอยู่
อีกอย่างคือตัว Product ก็ไมไ่ด้น่าสนใจขนาดนั้น ระบบการขับขี่ AWD กับช่วงล่างอาจเป็นจุดขาย
ผมเองมองว่าทาง Subaru เองยังติส และขายในสิ่งที่อยากขาย มากกว่าสิ่งที่ตลาดต้องการครับ
อัตราเร่งของ XV 2.0 na + CVT มันก็ยังไม่ได้ตอบโจทย์ใครหลายๆคน รวมถึงตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่ไม่ได้สวยหรูอีก
ซึ่งถ้าเทียบกับ CX-30 อัตราเร่งตามอยู๋ 2 วิ รวมถึง ฟิลลิ่ง CVT กับ 6at ...
Forester เองก็เจอปัญหาคล้ายๆกัน พอเอาไปเทียบกับ CR-V คุณงามความดีของช่วงล่าง มันชดเชยความสดใหม่ของ CR-V ไม่ได้
ไม่เหมือนvolvoครับ เพราะโรงงานซูที่มาเลก็ปิดตัวไปเหมือนกัน เหลือแค่นำเข้าจากญี่ปุ่นอย่างเดียวแล้วตอนนี้
ถึงบอกว่าปิดเฉพาะโรงงานแต่ศูนย์ยังอยู่ก็เถอะ ในทางปฏิบัติศูนย์ที่มีรถให้ขายแค่รถนำเข้าราคา2ล้าน++จะอยู่ได้สักกี่ศูนย์กัน ขนาดmazda nissanมีรถmassราคาไม่ถึงล้านขายยังปิดตัวกันรัวๆ
ต้องยอมรับว่ารถที่มีดีแค่ระบบขับสี่กับเกาะถนนมันอยู่ไม่ได้หรอก โดยเฉพาะประเทศที่ไม่มีหิมะแบบไทย