Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: nobody123 ที่ สิงหาคม 19, 2024, 00:07:14
-
จากที่เคยแจ้งข่าวว่า ยอด HEV ในแคลิฟอร์เนีย เพิ่ม เกือบ 25% (ในขณะที่รถ BEV ยอดทรงหรือทรุด)
มาดูทั่วโลกกันบ้างครับ ปีเทียบปี
ยอด BEV เพิ่ม 7%
ยอด PHEV เพิ่ม 46%
https://www.counterpointresearch.com/insights/global-ev-market-q1-2024/
ก็มันรักษ์โลก *คนรู้แล้วว่าเปลี่ยนแบตถูกกว่า BEV เป็นเท่าตัว* หลายคันแรงมากด้วย พลศาสตร์ก็ดีกว่า BEV
ผล ก็ย่อมตามนั้น ซึ่งผมพยายามสนับสนุนมาตลอด ตรงเทรนด์ของโลก ครับ
-
ตอนนี้สื่อในจีนพยายามเหมารวม PHEV เป็น EV แล้วครับ จากที่ก่อนหน้านี้คำว่า EV จะใช้แค่ BEV เท่านั้น และยังมีคำว่า NEV มาเหมารวมรถประเภทต่างๆนอกจากรถ ICE ด้วยครับ
-
เพราะไม่มี ICE ให้เลือกด้วยรึเปล่าครับ
-
BEV ก็ยังเติบโตต่อเนื่อง แต่ที่ HEV (รวมถึง PHEV) มาแรงขึ้ันมากก็คงต้องยกประโยชน์ให้กับ BEV นี่แหละครับ คนส่วนใหญ่เปิดใจยอมรับแบตเตอรี่กับมอเตอร์มากขึ้นแต่ก็ยังไม่กล้าที่จะใช้ BEV แบบเต็มตัว ผู้ผลิตเองก็เห็นประโยชน์แล้วพัฒนารถมาทาง HEV กันหมดแล้ว ที่ชัดเจนเลยคือรถยุโรป luxury ทั้ง Benz BMW Audi แทบจะไม่เหลือเครื่อง ICE ล้วนๆ แล้ว อย่างน้อยเริ่มต้นก็เป็น Mild Hybrid ค่ายญี่ปุ่นที่ยังไม่พร้อมกับ BEV ก็พยายามเกาะเทรนด์โดยพัฒนารถ HEV/PHEV ออกมามากขึ้น ซึ่งทำให้คนที่อยากจะใช้รถ ICE เพียวๆ เองก็แทบจะไม่มีทางเลือก ต้องจำใจมา Hybrid ยอดมันเลยพุ่งอย่างที่เห็นครับ (Toyota/Honda บ้านเราก็เทรนด์มาแบบนี้ เพราะภาษี Hybrid ถูกกว่า รุ่นใหม่ๆ เลยตัด ICE ล้วนๆ ออกแล้วเพราะเล็งเห็นแล้วว่าผู้บริโภคเปิดใจรับมากขึ้น)
-
ใช่ และ ไม่ใช่ครับ
อย่างแคลิฟอร์เนีย ยอดซื้อ BEV โดยรวม 'ลดลง' ครับ
https://www.latimes.com/environment/story/2024-07-18/california-ev-sales-decline-again#:~:text=After%20years%20of%20rapid%20expansion,%2C%20a%20drop%20of%201.2%25.
หรือเจาะจงแบรนด์แห่งแคลิฟอร์เนีย TL ยอดลด 24.1% ครับ
คนแคลิฟอร์เรีย รู้แล้วว่า
1. ค่าใช้จ่าย ระยะยาว ก่อนเปลี่ยนแบต BEV = PHEV เพราะสองระบบช่วยกันขับ สถิติการสำรวจรถแสนกว่าคันมันบอกแล้วว่า BEV / HEV / PHEV ค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร
PHEV ตรงข้ามกับความคิดบางคน สองระบบช่วยกันขับ ทำให้แต่ละระบบ ไม่เสีย ครับ
ส่วนรถขับระบบแบบเดียว ถึงเป็นไฟฟ้าล้วน มันเสื่อมระยะยาว ค่าซ่อมที่เคยคิดว่าจะน้อย ไม่น้อยแล้วครับ
2. พอต้องเปลี่ยนแบต อ่วมครับ ไทยคาดได้ว่าประมาณปีที่สิบ เพราะ
2.1 มีการสำรวจในสหรัฐแล้ว เปลี่ยนกันเยอะปีที่ 13
2.2 มีกราฟการเสื่อมแบตเทียบอุณหภูมิแวดล้อมแล้ว ไทย เปลี่ยนเร็วกว่า
2.3 เริ่มมีคันในไทยบางคัน รุ่นเดียวกัน บางคันได้เปลี่ยนฟรีภายใน 8 ปี บางคันดันไม่เสียภายใน 8 ปี = จ่ายเงินเองหลังจากนั้นค่าแบต
ตอนนี้ TL ไม่มีคนขับ เต็มสหรัฐเลย
เพราะ คนซื้อมือแรกไม่อยากจ่ายเงินเปลี่ยนแบตเอง เลยขาย / คนซื้อมือสองคิดหนักกับการจะต้องเปลี่ยนแบต เลยไม่ซื้อ
อาการต้องเปลี่ยนแบตเป็นอย่างไร เพื่อนในสมาชิกเฟซ EV ผมเจอแล้วครับ
เขาเล่าว่า วิ่งระยะเดิม แต่กินไฟมากกว่าเดิมสามเท่า
เช่น เดิม 0.8 bht/km กลายเป็น 2.4 bht/km ครับ
และจะคาดได้ว่าด้อยลงเรื่อย ๆ เขาก็เลยเปลี่ยนแบต
-
คนใช้รถไฟฟ้าส่วนใหญ่รวย 2.4 บาทนี่เขาน่าจะรับได้ แต่เสียเวลาเพิ่มสามเท่าใช่หรือเปล่าครับ เช่นแต่เดิมสามวันชาร์จที ตอนนี้ต้องชาร์จทุกวัน เขาเลยรับไม่ไหว
-
ครับ และ *ระยะ* มันสั้นลง เช่น สามเท่า
อย่างเดิม วิ่งปกติ สมมติได้ 450 km
ถ้าเหลือ 150 km นี่ ไปไกลกว่ารอบกทม. ไม่สะดวกเลยครับ
-
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนในประเทศต่างๆ ตัดสินใจเลือกซื้อรถแต่ละประเภทแตกต่างกันไป 1 ปัจจัยที่มีผลมากๆ คือ โครงสร้างราคาพลังงาน ของประเทศนั้นๆ เมืองไทยถ้าน้ำมันไม่โดนขูดภาษีซ้ำซ้อนขนาดนี้ รถ EV ก็คงไม่ขายดีอย่างที่ผ่านมา
-
เรื่อง PHEV อายุระบบขับเคลื่อนและชิ้นส่วนใช้นานกว่านี่น่าจะจริงนะครับ เห็นจากรถเมล์ ขสมก. สาย ปอ.39 ตัวรถสีน้ำเงินน่าจะ isuzu วิ่งทางด่วนทั้งเส้นตลอดสาย ผ่านไป 30 ปียังวิ่งได้ครบทุกคันเลย (หรือเกือบครบ) ในขณะที่สายอื่นๆที่ใช้รุ่นเดียวกันวิ่งไม่ได้แล้ว
แปลว่ารถที่ ICE ใช้เครื่องยนต์ขณะวิ่งด้วยความเร็วอายุใช้งานมากกว่าวิ่งตอนรถติดๆ ภายใต้การบำรุงรักษาแบบเดียวกัน ซึ่งนั่นก็คือวิ่งแบบรถ PHEV เลยที่รถติด-คลานในเมืองใช้มอเตอร์เป็นหลัก วิ่งเร็วบนไฮเวย์ใช้ ICE เป็นหลัก
-
ใช่ครับ คนพูดมานานแล้ว ตั้งแต่ HEV
หรือ อย่างรถผมคัน PHEV
1. ตั้ง Map ไปไหน หรือ พูดสั่ง 'Take me home'
มันจะคำนวณให้ใช้ไฟหมดที่ปลายทาง
ดังนั้น ใกล้จุดหมาย ความเร็วต่ำกว่าประมาณ 75 รถจะตัดน้ำมัน ใช้ไฟฟ้า
พอถึงจุดหมาย เครื่องก็อุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนส่งผลให้สายอะไรต่อมิอะไรกรอบ
2. สมมติขับไปล้าน km ผมจะใช้ส่วน ICE แค่ 300,000 กม. ซึ่งเป็นระยะยกเครื่อง
= ผมไม่ต้องยกเครื่อง ครับ
-
BEV ก็ยังเติบโตต่อเนื่อง แต่ที่ HEV (รวมถึง PHEV) มาแรงขึ้ันมากก็คงต้องยกประโยชน์ให้กับ BEV นี่แหละครับ คนส่วนใหญ่เปิดใจยอมรับแบตเตอรี่กับมอเตอร์มากขึ้นแต่ก็ยังไม่กล้าที่จะใช้ BEV แบบเต็มตัว ผู้ผลิตเองก็เห็นประโยชน์แล้วพัฒนารถมาทาง HEV กันหมดแล้ว ที่ชัดเจนเลยคือรถยุโรป luxury ทั้ง Benz BMW Audi แทบจะไม่เหลือเครื่อง ICE ล้วนๆ แล้ว อย่างน้อยเริ่มต้นก็เป็น Mild Hybrid ค่ายญี่ปุ่นที่ยังไม่พร้อมกับ BEV ก็พยายามเกาะเทรนด์โดยพัฒนารถ HEV/PHEV ออกมามากขึ้น ซึ่งทำให้คนที่อยากจะใช้รถ ICE เพียวๆ เองก็แทบจะไม่มีทางเลือก ต้องจำใจมา Hybrid ยอดมันเลยพุ่งอย่างที่เห็นครับ (Toyota/Honda บ้านเราก็เทรนด์มาแบบนี้ เพราะภาษี Hybrid ถูกกว่า รุ่นใหม่ๆ เลยตัด ICE ล้วนๆ ออกแล้วเพราะเล็งเห็นแล้วว่าผู้บริโภคเปิดใจรับมากขึ้น)
ผมว่าไม่เกี่ยวกับ BEV เท่าไหร่ครับ
กระแส HEV มันแรงเริ่มมาจากกระแส พรีอุส ที่เคยขายกันเหมือนทิ้งแล้วจับกันมาปั่นขาย และที่แรงขึ้นมากคือ ภาษีที่กดลงจนได้ไฮบริดราคาไม่หนีกับน้ำมันมากกว่า
เอาง่ายๆ C cross ราคาแทบจะเท่ากัน(เพราะตัวน้ำมัน optionง่อยมาก) คนก็ไปไฮบริดหมด
และพอถึงจุดที่ HEV มันพิสูจน์ตัวเองว่าอยู่ยาวได้(จากพรีอุส แคมรี่รุ่นแรกๆ)คนก็เริ่มเชื่อใจและเปิดใจกับไฮบริดมากขึ้น
ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ต่างกับ BEV ที่เป็นคนกล้าลอง กล้าเสี่ยง
Camry Accord ไฮบริดมากก่อนการเกิด BEV ทั้งนั้น และพอมันจุดติด มีรุ่นมากขึ้น รถน้ำมันมีขายน้อยลง คนก็ไป HEV เท่านั้นเองต่อให้ไม่มี BEV คนก็ไป HEV อยู่ดีถ้าราคามันจับต้องได้ครับ
-
เรื่อง PHEV อายุระบบขับเคลื่อนและชิ้นส่วนใช้นานกว่านี่น่าจะจริงนะครับ เห็นจากรถเมล์ ขสมก. สาย ปอ.39 ตัวรถสีน้ำเงินน่าจะ isuzu วิ่งทางด่วนทั้งเส้นตลอดสาย ผ่านไป 30 ปียังวิ่งได้ครบทุกคันเลย (หรือเกือบครบ) ในขณะที่สายอื่นๆที่ใช้รุ่นเดียวกันวิ่งไม่ได้แล้ว
แปลว่ารถที่ ICE ใช้เครื่องยนต์ขณะวิ่งด้วยความเร็วอายุใช้งานมากกว่าวิ่งตอนรถติดๆ ภายใต้การบำรุงรักษาแบบเดียวกัน ซึ่งนั่นก็คือวิ่งแบบรถ PHEV เลยที่รถติด-คลานในเมืองใช้มอเตอร์เป็นหลัก วิ่งเร็วบนไฮเวย์ใช้ ICE เป็นหลัก
ปอ.39 รถน้ำเงิน ถ้ายุคปี 2000(ยังไม่ถึง30ปีนะ) จะเป็น ISUZU น้ำมัน euro1 ตัวแรกครับ ยุค20-30ปีที่แล้วไม่มี PHEV เลยครับ ขสมก.ยุคนั้นไม่มีที่ชาร์ทสักที่จะ PHEV ได้ไง แต่ที่รถมันอยู่ดีกว่ายี่ห้ออื่นเพราะความเป็น ISUZU อย่างครีมแดง ISUZU ก็อยู่นานพอกับ HINO นั่นละครับ(เผลอๆสภาพดีกว่าด้วย) อย่างแดวูนี่ไปก่อนเพื่อนเลย สามสหายญี่ปุ่นยุคนั้นอยู่ทน อยู่นานกว่าเยอะ
แต่ถ้าเห็นรถยุคนั้นเสียบปลั๊ก อาจจะเป็นรถทดสอบที่เอาตัวรถเก่ามาแปลงระบบครับ รถไฮบริดของ ขสมก. เริ่มมายังไม่นานขนาดนั้นครับ
ส่วน MB น้ำเงินยุคเดียวกันก็ ICE ยูโร2 รถส้มที่มาใหม่กว่าก็ ICE ยุค2000 camry ยังตัวที่2เลยมั้ง
-
อย่างที่ท่านบนว่า การมาของ BEV ทำให้คนส่วนหนึ่งเปิดใจรับ มอเตอร์และแบต ก็ส่งผลให้ HEV PHEV รับอานิสงค์ไปด้วย ส่วนตัวผม PHEV นี่เข้าทางมาก เพราะขับไปทำงาน 90 กว่า กม. ใช้น้ำมันส่วนเกิน ซึ่งเป็นเรท hybrid อีก 10-30 กม. บวกชาร์จทุกวันก่อนเข้านอน สวรรค์เลย แต่ในชีวิตจริง ด้วยความที่รถคันเก่าขายใด้ราคาตกมากๆ ดูแลมาก็ดี เสียดายรถ จับไปติด LPG ดีกว่า ไม่ต้องลงทุนมาก ทางนี้จึงคุ้มค่าที่สุด ให้ค่าเฉลี่ยรวม บาท/กม. ต่ำที่สุด
-
คิดว่าคนเริ่มไม่อยากเสียเวลาจอดรถชาร์จไฟแล้วล่ะครับ ประกอบกับรถสันดาปล้วนๆ ก็เริ่มหายไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ต้องเลือก ไฮบริด
-
คิดว่าคนเริ่มไม่อยากเสียเวลาจอดรถชาร์จไฟแล้วล่ะครับ ประกอบกับรถสันดาปล้วนๆ ก็เริ่มหายไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ต้องเลือก ไฮบริด
ผมว่าแค่นี้แหละเหตุผลที่มันขายดีขึ้น
-
เหตุที่คนอเมริกานิยม PHEV เพราะเหมาะกับขับข้ามรัฐไปอีกรัฐหนึ่ง ส่วน EV แทบจะไม่เหมาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นฤดูหนาวนี่ รับรอง ชาร์จช้าแน่นอน แถมหากมีภัยพิบัตินี่ อันตรายแน่ๆหากกำลังชาร์จรถอยู่