Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: porasit33 ที่ กันยายน 21, 2024, 17:18:27
-
ตามหัวข้อกระทู้นะครับ
Cx-5 ดีเซล, CRV 1.6, X1 18D
ใช้รถไปทำงานทุกวันครับ ดีเซลแก๊งนี้มีตัวไหนพอใช้ได้มั้ยครับ
ตอนนี้ใช้ B-SUV อยู่ ยังไม่พร้อมไปรถไฟฟ้า รถไฮบริดมีตัวเลือกไม่มาก
รถอายุ 5 ปี ราคาตอนนี้ไกล้ๆกัน 6-9 แสน ปี 2017-2019
เดินทางไกลเดือนละ 2 ครั้งครับ
ใช้อีก 3-5 ปีเปลี่ยนใหม่
เป็นคนชอบขับรถครับ อยากได้รถขับดีๆ บำรุงรักษาพอไปๆมาได้
-
3 ตัวนี้ผมจิ้ม crv ไม่ได้บอกรถเดิมใช้อะไร ถ้าใช้งานทุกวันรถต้องพร้อมเสมอ
Cx-5 ก็ใช้ได้ มีอู่พอได้อยู่ แต่ผมยังไม่ชอบสไตล์อู่เท่าไหร่
Bm เล็กสุดเลย ผมเลยตัดออก แต่ค่าซ่อมพอๆกันทั้งหมด แหละครับ
-
CX-5 ดีเซล น้ำดัน แก้ได้แล้วเหรอครับ
-
ถ้าเป็นกรณีทั่วๆไป ผมจะเลือก Honda > Mazda > BMW ครับ เน้นบำรุงรักษา เซอวิสระยะยาว กับค่าใช้จ่ายที่รับได้
ทีนี้...
CR-V 1.6 Diesel คุ้นๆว่ามีเพื่อนสมาชิกหลายท่านบอกไว้ว่า เครื่องยนต์ตัวนี้ขายได้น้อยและ Honda เลิกพัฒนาเครื่อง Diesel แล้ว
ช่างที่เข้าใจมันก็มีน้อย อะไหล่ในประเทศก็อาจมี(แต่น้อย) เบิกศูนย์ต้องรอแน่นอน หรือถ้าโชคร้ายอะไหล่เลิกผลิตแล้วไม่มีเบิก อะไหล่เทียบก็น่าจะหายาก อะไหล่มือสองจากญี่ปุ่นก็อาจไม่มี ไม่เหมอืนกับ Benzine
CX-5 Diesel มีปัญหาน้ำดัน ที่ไม่แน่ใจว่าศูนย์แก้ปัญหาได้หรือยัง นอกจากอุด EGR ตัด DPF แต่ถ้าเป็นเบนซิลน่าจะเล่นได้อยู่
X1 - เท่าที่ดูๆ เหมือนไม่ได้ยินปัญหาอะไร แต่เคยลองเช่าขับ เป็นรถที่ผมเฉยๆ ไม่ได้ประทับใจอะไร
ถ้าเอาจากตัวเลือกที่ให้มา อาจไป X1 ครับ
ถ้านอกตัวเลือก ก็คงเปนCR-V 2.4 / Cx5 Benzine ครับ
-
Cx5 แก้น้ำดันไม่ได้ครับ ต่อให้ตัด dpf แล้ว หลายๆคันก็กลับมาดันอีก
-
ถ้าไม่ติดเรื่องขนาดในกรณีนี้x1ดูน่ามั่นใจกว่าครับ ถ้าซ่อมอู่นอกด้วยกัน ราคาน่าจะไม่ต่างจากcx5มากนัก ส่วนcrvผมไม่รู้เรื่องการดูแลรักษา ขอไม่ออกความเห็นครับ
-
ไม่แน่ใจว่าคันอื่นเป็นไงนะ แต่ถ้า CX5 ถ้าซื้อมือ 2 และกลัวน้ำดัน แก้ไม่ยากครับ
เอาไปอุด EGR ตัด DPF เปลี่ยนท่อแทนแค๊ต จบครับ ...
ศึกษาในกลุ่ม CX5 เลยครับ ทำ 3 อย่างนี้ใช้ยาวๆ ควันไม่ดำ ประหยัดขึนแรงขึ้นด้วย
-
มาเหลาปัญหาcx5.Diesel ให้ฟังครับ
ปัญหาน้ำดันมันเรื่องที่คุณต้องดูแลและเข้าใจมันครับ(ถ้าอยากใช้มัน)
รถที่บ้านตัดพร้อมอุดไปตอนไป ตอนแสนกว่า ตอนนี้เป็นสองแสนห้า น้ำดันครับ
จะตัดรึไม่ตัดก็ดันครับ ถ้าตัดอุดจะเจอปัญหาช้ากว่า
(เน้นว่าช้ากว่า) เพราะความร้อนสะสมน้อยกว่า ปัญหาเลยตามมาช้ากว่า
ปัญหาที่มันดันคือ ปะเก็นครับ ออกแบบมาให้มันบาง
ทีนี้ ดีเซลน้ำดัน ทุกคันไหม เอาตั้งแต่โบราณกาล
ทุกรุ่นทุกยี่ห้อดันแน่นอน ต่างกันที่ระยะเวลา และดันมากดันน้อย
อย่างที่เกริ่นปัญหามันมาจากปะเก็น ถ้ามีเวลาเซอร์วิสก็มาเปลี่ยนปะเก็นทุกแสนโล ดูแลวาล์วน้ำให้ดี ถ่ายน้ำยาหม้อน้ำบ่อย หม้อน้ำข้อต่อดูแลให้ดี ถ้าให้ดี ขยายอ่างน้ำมันเครื่องเพิ่มอีกลิตร จะเจอช้าลง
รถดีเซลผมทุกคันเจอดันหมด
WLT ดันที่3แสนกับ18ปี (tuned)
4N15 ดันที่ 6ปีกับ 1.2แสนโล ( standard)
Sky D. ดันปีที่10 2.5แสน (tune)
4D56 ดันปีที่ 8 กับ 4 แสนโล(standard)
ของbmwก็ดันนะเต็มอู่ลองหาดูครับ ;D ;D
ที่ดันน้อยๆ ลากได้ยาวๆที่ผมเจอที่อู่บ้างในคลับบ้าง
2.5, ในเรนเจอร์ คอมมอนเรลตัวแรก
2.0 ฟอร์ดโฟกัส
2.0 ครูซ (ตัวก่อนไมเนอร์)
1kz.โตโยต้า
Yd25dd
ในตัวเลือกนี้ผมจะตัด crv.ออกตัวแรกเลย
ที่เหลือหาอู่รู้มันทุกจุดหาไม่ยาก
ป.ล.ใช้ยาวไปเบนซินอิอิ
-
สามตัวนี่ไป X1 ดูน่าจะปัญหาน้อยสุด แต่ถ้าผมเลือกเอง คงไป CR-V 2.4 เบนซินแทนครับ
-
CX-5 ดีเซล ผมเคยอุดตัด DPF, EGR มาก่อนเพราะกลัวเรื่องน้ำดัน สุดท้ายขับได้ไม่นานก็ประกอบกลับเพราะดมควันเหม็นๆทุกวัน บวกกับช่วงเติมคันเร่งเบาๆก็มีอาการกระตุกนิดๆไม่สมูท ให้จูนเนอร์ที่เป็นร้านเชี่ยวชาญซ่อมและปรับจูน mazda ก็ยังขับไม่ดีเหมือนก่อนตัด (คิดว่าอยู่ที่ข้อจำกัดของ hardware ไม่ใช่คนจูน)
การดูแลรักษา ซักประมาณหนึ่งแสนโลบวกลบ นอกจากรายการปรกติที่ต้องดูแล ก็จะมีรายการเพิ่มเติมโดยจะมีล้าง DPF, EGR และคราบเขม่าไอดี รวมถึงตรวจเช็คประเก็น, camshaft, ล้างหัวฉีด
-
CRV เหมาะกับการใช้งานมากที่สุดครับ :-*
-
8) 8) 8)......X1 18D โดยไม่ลังเลย high performance มาจากโรงงาน
แตกต่าง รถ standard อีกสองรุ่นที่ว่า :-X
-
วัดกันที่ตัวเครื่องดีเซลทั้งหมดในนี้
BMW ดีเซล เครื่องปัญหาน้อยกว่าจุกจิกน้อยกว่าญี่ปุ่นทั้งสองค่ายด้วยซ้ำครับ
จะแพ้แค่เรื่องขนาดของห้องโดยสาร และค่าซ่อมอื่นๆเท่านั้น
-
สามตัวเลือกนี้ผมเลือก X1
CX5 ดีเซลเจอน้ำดัน
CRV ดีเซลเจอเกียร์พัง
-
ตามท่านอื่นเลย
B47 นี่ รถครูของ BM diesel ใช้ตั้งแต่ เปลี่ยนจาก N47 ปี 2015 ถึงปัจจุบัน
อะไหล่ยาว แชร์กับ 3/5/x3/x5 แค่จับวางหันคนละข้างกับพวกขับหลัง
เกียร์ X1 ขับหน้า ดันไปคบ AISIN แทน ZF (ตัวดีเซล)
มีแต่ gear shifter (คล้ายสปริงตัวล๊อกเกียร์) พัง แค่ขึ้นเตือน แต่ขับได้
ไส้ในตัวเกียร์เองจริงๆ ทน หาน้ำมันง่าย
หาข้อมูลได้ตาม bimmer post
เหลือแค่ ราวโซ่เครื่อง ทนกว่า n47 แต่ก็ต้อง service ทุกแสนโล เปลี่ยนต้องยกเครื่องอยู่
CRV ดันไปใช้เกียร์ ZF 9 speed แถมได้ เทอร์โบ 2 ลูก
ได้ข่าวว่าเทอร์โบเป็นแสน เกียร์ก็เป็นแสน
อะไหล่น่าจะหายาก เทียบจำนวนที่ขายสู้ bmw ไม่ได้แน่ๆ
ส่วนตระกูล mazda
ขนาดเพื่อนผมออก CX-8 2020 มา เซลล์บอกว่าไม่ดัน
ก็ไม่รอด 555
-
คำถาม
ขับรถเยอะจนอยากประหยัดเลยอยากได้ดีเซล หรือชอบแรงดึง
ถ้าขับไม่เยอะมาก
X1 เบนซิน มีพี่ในเว็บบอร์ดเราวิ่งทะลุ 4 แสนไปแล้ว แรงดึง 1.5 turbo ก็พอไหวนะครับ
แต่เลือกตัว aisin 6 AT
อย่าเลือกตัว dual clutch 7AT (หัวเกียร์เป็นไฟฟ้า) ผมไปจับรถน้า X1 18i 7at มา กะว่าจะใช้เองต่อ แต่รำคาญความยึกยือในเมือง ตอนนี้ก็ยังลังเล 555 ขับ 80 จอขึ้น 22 km/l ขับ 120 ได้ 15km/l อยู่
-
CRV ของเล่นใหม่ ประสบการณ์น้อย เกียร์เปราะ อะไหล่หายาก เชียงกงแทบไม่มี / CX5 น้ำดัน ฟ้องลูกค้า ไม่น่าใช้ทั้งคู่
X1 ดีเซลเครื่องสหกรณ์ ใน3 คันนี้ BMW ชำนาญดีเซลที่สุดแล้ว ที่เคยนั่งมันนั่งหลังไม่ค่อยสบาย แข็งกว่าเพื่อน แต่คนชอบซิ่งน่าจะชอบ
แต่อ่านแล้วอนาจใจ น้ำดันแก้ปัญหาด้วยการสร้างปัญหาให้โลก อุด EGR ตัด DPF จริงๆ ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบมากกว่าไหม
-
X1 เหมือนจะน่าใช้สุดในบรรดา 3 ดีเซลนี้
-
ตามโจทย์คุณน่าจะไป CVR นะครับ
ค่าซ่อม และราคาขายต่อ ตอบโจยท์
-
CRV ดีเซล ขอไม่ตอบ เพราะไม่มีความรู้
X1 vs CX5 : ผมเลือก x1 ครับ ทนกว่า ไม่จุกจิก เหมือนว่าเช็คระยะศูนย์จะแอบถูกกว่าหน่อยด้วย
ติดตรงที่คันเล็กกว่า เบาะหลังนั่งไม่สบายเลย
-
CX-5 ดีเซล น้ำดัน แก้ยังไงก็ไม่จบนะครับเห็นมีเคสไปอุดไปตัด สุดท้ายก็ดัน
ถ้ายังชอบ CX-5 เดินทางไกลบ่อยๆ ลองดู 2.5T ดูครับ ได้ขับสี่เหมือนกัน + ออพชั่นเพิ่มเติมมาอีกหลายอย่าง
-
CRV ดีเซล ขอไม่ตอบ เพราะไม่มีความรู้
X1 vs CX5 : ผมเลือก x1 ครับ ทนกว่า ไม่จุกจิก เหมือนว่าเช็คระยะศูนย์จะแอบถูกกว่าหน่อยด้วย
ติดตรงที่คันเล็กกว่า เบาะหลังนั่งไม่สบายเลย
จริงเหรอครับเช็คระยะ BMW ถูกกว่า Mazda มีตัวเลขเปรียบเทียบมั้ยครับ
-
มาต่อ CX5 ให้ครับ รถที่ผมดูแล ไม่อุด ไม่ตัด วิ่งมา 170,000 แล้วยังไม่เป็น ตั้งแต่ประมาณ 130,000 เค้าฝากมาให้ service ผมพยายามเปลี่ยนน้ำมันเครื่องก่อนระยะตลอด และเช็คน้ำมันเครื่องว่ามีกลิ่นแปลกๆ หรือ น้ำมันเครื่องเพิ่มขึ้นเองไหม ถ้าเพิ่มคือเปลี่ยนเลย แล้วน้ำมันเครื่องผมใช้ ck-4 + 5w-40 ก่อนหน้านี้เป็น CJ-4 ของ caltex delo
วาล์วน้ำที่ว่าเดี้ยงผมก็ยังไม่เปลี่ยน เปลี่ยนแค่น้ำยาหม้อน้ำบ่อย เกียร์ก็เปลี่ยนตามเวลาว่าง
เป็นรถที่ดูจุกจิก แต่ไม่เกินตัวแน่ๆครับ อยากตัด dpf แต่มันเอา cat ไปด้วย ผมเลยไม่ทำ ส่วนต้ว egr มันมีผลเวลา cruise ยาวๆครับ อุณหภูมิไอเสียมันร้อนน้อยกว่าจริงๆ
-
CX5 มันมีปัญหาน้ำดัน น่าจะทุกคันแก้ไม่ได้ ไม่รู้อู่นอกทำได้หรือยังในการป้องกัน แต่เรื่องซ่อมคงซ่อมกันไปหลายคันแล้ว ผมไม่เสี่ยงแน่ ๆ
CRV 1.6 ดีเซลมันเลิกผลิตไปนานแล้ว มันไม่ได้ขายแพร่หลายทั่วโลกด้วย ผมก็ไม่เอาอยู่ดี รถมันเฉพาะเกินไป กลัวไม่มีอะไหล่ อยู่ยาว ๆ ใช้ยาว ๆ ไม่เอาแน่ ๆ
อื่น ๆ ไม่มีความเห็น
-
ไม่เคยใช้ 3 รุ่นนี้เลย
ถ้าเป็นผม ไป X1 ไม่ก็ CRV 2.4 ครับ ใช้กันยาวๆ
-
เน้นเครื่องดีเซล คงต้องการประหยัดเชื้อเพลิง ถ้างั้นไป CRV. 2.4 + LPG ดีกว่าไหม
-
แต่อ่านแล้วอนาจใจ น้ำดันแก้ปัญหาด้วยการสร้างปัญหาให้โลก อุด EGR ตัด DPF จริงๆ ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบมากกว่าไหม
เก็บความอนาจใจไปใช้กับพวกกระบะสร้างตัว สิบล้อรีแมฟจนควันท่วมถนนน่าเหมาะกว่า ของดีๆ จูนให้มันดำซะงั้น
-
CRV ดีเซล ขอไม่ตอบ เพราะไม่มีความรู้
X1 vs CX5 : ผมเลือก x1 ครับ ทนกว่า ไม่จุกจิก เหมือนว่าเช็คระยะศูนย์จะแอบถูกกว่าหน่อยด้วย
ติดตรงที่คันเล็กกว่า เบาะหลังนั่งไม่สบายเลย
จริงเหรอครับเช็คระยะ BMW ถูกกว่า Mazda มีตัวเลขเปรียบเทียบมั้ยครับ
ผมไปหาข้อมูลมาเพิ่มเติมละครับ (ราคาปัจจุบันจาก0)
Mazda cx5 ดีเซลอยู่ที่ประมาณ 4พัน
ส่วน 520d lci f10 ของผมเอง อยู่ที่ประมาณ 4พันปลาย (จากที่เข้าเป็นประจำ)
ต้องขออภัยในความคลาดเคลื่อนครับ เคยทราบราคามาเมื่อหลายปีก่อนเหมือนจะสูงกว่านี้
-
จาก ใจ คน ใช้ crv ดีเซล นะครับ ใน 3 คันนี้
เชียร์ x1 ดีเซล น่าจะจบ กว่าครับ ช่าง ชำนาญ กว่า อู่ ดูแล ได้เยอะ
ของ ผม crv หมดประกัน แล้ว แต่ก็ ต้องเข้า ศูนย์ กันไว้ อุ่นใจครับ ล่าสุด เกียร์ พัง หลัง หมด วารันตีไป 1 เดือน แต่ ดี ว่าเข้า ศูนย์ ตลอด ศูนย์ เลยเคลม เกียร์ ให้ฟรี ครับ 3แสนกว่าบาท เลย ใช้ได้ อุ่นใจ ไป อีก 3-4 ปีแล้วค่อย ขายเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าครับ