Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Zkodty ที่ กันยายน 24, 2024, 17:41:50
-
จากที่พอจะมีข้อมูลเครื่องที่ออกแบบลักษณะนี้ ก็มี Ecoboost 1.0 อันเลื่องชื่อ กับ P10A 1.0 Turbo ค่ายH
เห็นเครื่องยนต์ส่วนใหญ่จะใช้ Timing Chain กันหมด
มีสมาชิกท่านใด พอจะมีข้อมูลเครื่องยนต์ที่ออกแบบใช้ Timing belt จุ่มน้ำมันแล้ว ทนทานใช้ได้นานบ้างไหมครับ จะเป็นยุค 80s 90s ได้หมดเลยครับ
ขอบคุณครับ :)
-
ไม่มีครับ ....
จริงๆถ้าอ่านข้อมูลหลายๆแห่งที่เค้าวิจารณ์การออกแบบเครื่องยนต์ที่จุ่มสายพานลงไปในน้ำมันเครื่องนั้นคือ แค่ต้องการให้มันเงียบ ลื่น คายไอเสียน้อย เพื่อให้ผ่านเกณต์ไอเสีย โดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นผลดีในระยะยาวหรือไม่
ดังนั้น ตามความเห็นผม เครื่องยนต์ที่ออกแบบมาอย่างนี้ เค้าไม่ได้สนใจคนใช้หรอกครับ เค้าไม่สนหรอกว่าลูกค้าของเค้าต้องเจออะไรในอนาคต ขอแค่ผ่านมาตราฐานออกมาขายได้ ก็พอแล้ว
(https://img5.pic.in.th/file/secure-sv1/76720e3e9496b02ba6384802f18af5b1.png)
-
ปัจจัยที่อ้างว่าเร่งสายพานเสื่อมสภาพ คือ
การปนเปื้อนของเชื้อเพลิงในน้ำมันเครื่อง
โดยเฉพาะเครื่องฉีดตรง
ส่วนตัวเดาว่า มาจากน้ำมันเครื่องเบอร์ต่ำ
ที่ลดแรงเสียดแต่ซีลแรงดันในห้องเผาไหม้น้อยกว่า เมื่ออุณหภูมิสูง
อาจจะมีสายพานที่สูตรยางใหม่ กับน้ำมันเครื่องที่
ลดการเสื่อมสภาพสายพานในอนาคตก็ได้
แต่ตอนนี้ ก็ดูแลกันไปครับ
-
2.0 ในฟอร์ดเรนเจอร์ครับ ก็ใช้ครับ ทนรึเปล่าก็ลองอ่านตามดูล่ะกันครับ
-ข้อดีคือ เงียบ ลื่น รีดพลังจากเครื่องได้เต็มที่
สังเกตดูว่า 2.0 โบเดี่ยว ทำไม 0-60 นาวาร่า2.3 หนีไม่ออก
ทำไม2.0 โบคู่ช่วงกลางก็ไล่ 2.8 ของโตโยต้าได้ ไล่3.0 ของอีซูซุได้
โซ่เองก็ไม่ได้ทนกว่าสายพานครับ มีระยะเวลาในการเซอร์วิสเหมือนกัน N47. ของบีเอ็มใช้โซ่ก็เจอปัญหาโซ่ยืดเช่นกันหรือตัวประคองโซ่ก็ต้องเปลี่ยน เฟืองโซ่ก็จะสึกพร้อมๆกันครับ ที่นี้ค่าใช้จ่ายล่ะ
โซ่+ เฟือง+ประคองโซ่ + ค่าแรง
ที่นี่สายพานในน้ำมันเครื่อง ใช่ข้อเสียมันเกิดปัญหาแล้วมันร้ายแรงกว่า เพราะมันจะขาดไปเลย
แต่โซ่ยืดก็แค่เสียงดัง กับวาล์วอาจจะทำงานพลาดเวลาโซ่ปีนเฟือง
แต่โดยระยะก็แทบไม่ต่างกันครับ ทุกแสนถึงแสนห้า หรือสองแสน แล้วแต่การออกแบบสายพาน
ยกตัวอย่างเครื่อง ecoboost.
วางใน fiesta.กับ focus.(ในต่างประเทศ) ระยะการเปลี่ยนสายพานไม่เท่ากันครับเพราะขนาดตัวรถน้ำหนักตัวรถต่างกัน
เครื่องที่ใช้สายพานทามมิ่งยุค90-2000ก็ส่วนใหญ่ถ้าดูแลเป็นก็เปลี่ยนก่อนระยะท้้งนั้นนะครับ (อย่างรถผมคู่มือ 1 แสนโล กับ 8 ปี อย่างใดอย่างนึงถึงก่อน ผมนี่ 7 หมื่นโลหรือ 6ปี ผมก็เปลี่ยนแล้วครับ)
ตอบเฉพาะฟอร์ดนะครับทั้งสองเครื่องยนต์
น้ำมันเครื่องจากฟอร์ดจะไม่ทำลายสายพานครับ(มีการลดสารเคมีบางค่าในน้ำมัน)
แต่ที่เรนเจอร์มันพังๆกันเนี่ยเพราะมีคนกลุ่มนึงไปใช้น้ำมันเครื่องนอกสเปค แล้วมาโม้ในคลับว่า ลื่นกว่า ประหยัดกว่า แต่ไม่รู้ว่าทำร้ายสายพานและเอารถไปรีแมพ ขับกระชากทำให้สายพานก็ยิ่งอายุสั้นแต่จะดันไปเปลี่ยนสายพานระยะทางตามคู่มือ ผลก็พังซิครับ ทั้งสายพานเปื่อนมาอุดฝักบัว ทั้งขาดก่อนระยะ
เครื่องที่ออกแบบมาใช้สายพานจุ่ม เพิ่มม้ามากเพิ่มบิดมากไปไม่ดีครับ เกี่ยวไปยังน้ำมันเครื่องพอเกี่ยวน้ำมันเครื่องก็ส่งผลยังสายพานครับเสื่อมไว เสื่อมก็จะพาลเอาเศษสายพานไปอุดฝักบัวดูดน้ำมันเครื่อง หรือสายพานขาดเร็วกว่าระยะที่ควรจะเป็น
ป.ล. ปัญหาของเครื่อง 1.0 ecoboostเจอปัญหาอะไรเลื่องชื่อรึครับพอเล่าให้ฟังได้ไหม ที่อู่โมๆกันจะได้ระวัง ทุกวันนี้สายโม 1.0 ก็เปลี่ยนสายพานกันก่อนเวลาเยอะครึ่งรอบได้ เลยยังอยู่ดีมีสุขกัน
-
เข้ามาศึกษา 8)
-
ข้อเสียของรถที่ใช้ระบบนี้ ทำให้มือ2 ไม่น่าเล่น ไม่รู้ว่าเจ้าของเดิมดูแลมายังไง
-
ปัจจัยที่อ้างว่าเร่งสายพานเสื่อมสภาพ คือ
การปนเปื้อนของเชื้อเพลิงในน้ำมันเครื่อง
โดยเฉพาะเครื่องฉีดตรง
ส่วนตัวเดาว่า มาจากน้ำมันเครื่องเบอร์ต่ำ
ที่ลดแรงเสียดแต่ซีลแรงดันในห้องเผาไหม้น้อยกว่า เมื่ออุณหภูมิสูง
อาจจะมีสายพานที่สูตรยางใหม่ กับน้ำมันเครื่องที่
ลดการเสื่อมสภาพสายพานในอนาคตก็ได้
แต่ตอนนี้ ก็ดูแลกันไปครับ
การปนเปื้อนของน้ำมันเชื้อเพลิงมีส่วนอย่างมากครับ แต่ไม่ได้เกิดกับเฉพาะเครื่องฉีดตรงอย่างเดียว
จุดหลักที่มันปนได้ก็คือรั่วก็มาตามแหวนสูบครับ ยิ่งถ้าเครื่องเทอร์โบนี่จะเห็นชัดกว่ามากๆ
เพราะว่ามีแรงอัดอากาศเยอะกว่าเครื่อง NA ทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงส่วนนึงไหลผ่านแหวนสูบเข้าไปปนกับน้ำมันเครื่องด้านล่างครับ
ถ้าพวกที่ไปจูนกันเพิ่มบูสกัน สายพานไปไวกว่าแน่นอน
ทางที่ดีควรจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆ 3-4 พันโล เพื่อไม่ให้น้ำมันเครื่องมีปริมาณของน้ำมันเชื้อเพลิงเยอะเกินไปจนทำให้กัดกร่อนสายพานได้ อีกวิธีก็คือขับใช้งานเรื่อยๆไม่ต้องเร่งอะไรมากมาย ให้บูสน้อยๆ ก็จะช่วยได้
-
ใช้ Everest bi tubo อยู่ เข้ามาเก็บข้อมูลครับ
-
ใช้ WT 2.0bi อยู่มาเก็บข้อมูลครับ
-
8) 8) 8).....เราอาจจะหนีการดีไซน์ เรื่อง Wet timing belt Peugeot Citroen VW Audi Ford(บางรุ่น)
ไม่พ้น คือบางทีก็ซื้อมาใช้ ซึ่งเจ้า Wet belt type นั้นมีทั้ง ข้อดี/ข้อเสีย
ข้อดีก็ ช่วยเก็บเสียงเครื่องยนต์เงียบลง สายพานนุ่มลดฝืดลื่นไหลดี ประหยัดเชื้อเพลิง ฯลฯ
ข้อเสีย ที่สำคัญมากๆ คือหากน้ำมันเครื่อง " รั่ว " ระดับน้ำมันเครื่องลดต่ำ " ต้องหยุดใช้เครื่องยนต์ " โดยเด็ดขาด
เพราะ Wet belt จะแห้งร้อนหลุดเป็นขุยด้านหลัง ด้านฟันยางขับเฟืองโลหะ ฟันจะหลุดลงแคร๊งค์ทำเครื่องพังเละ !! :-X
-
ปัจจัยที่อ้างว่าเร่งสายพานเสื่อมสภาพ คือ
การปนเปื้อนของเชื้อเพลิงในน้ำมันเครื่อง
โดยเฉพาะเครื่องฉีดตรง
ส่วนตัวเดาว่า มาจากน้ำมันเครื่องเบอร์ต่ำ
ที่ลดแรงเสียดแต่ซีลแรงดันในห้องเผาไหม้น้อยกว่า เมื่ออุณหภูมิสูง
อาจจะมีสายพานที่สูตรยางใหม่ กับน้ำมันเครื่องที่
ลดการเสื่อมสภาพสายพานในอนาคตก็ได้
แต่ตอนนี้ ก็ดูแลกันไปครับ
การปนเปื้อนของน้ำมันเชื้อเพลิงมีส่วนอย่างมากครับ แต่ไม่ได้เกิดกับเฉพาะเครื่องฉีดตรงอย่างเดียว
จุดหลักที่มันปนได้ก็คือรั่วก็มาตามแหวนสูบครับ ยิ่งถ้าเครื่องเทอร์โบนี่จะเห็นชัดกว่ามากๆ
เพราะว่ามีแรงอัดอากาศเยอะกว่าเครื่อง NA ทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงส่วนนึงไหลผ่านแหวนสูบเข้าไปปนกับน้ำมันเครื่องด้านล่างครับ
ถ้าพวกที่ไปจูนกันเพิ่มบูสกัน สายพานไปไวกว่าแน่นอน
ทางที่ดีควรจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆ 3-4 พันโล เพื่อไม่ให้น้ำมันเครื่องมีปริมาณของน้ำมันเชื้อเพลิงเยอะเกินไปจนทำให้กัดกร่อนสายพานได้ อีกวิธีก็คือขับใช้งานเรื่อยๆไม่ต้องเร่งอะไรมากมาย ให้บูสน้อยๆ ก็จะช่วยได้
ถึงว่า city 1.0 แต่งซิ่งเครื่องพังกันเป็นแถว
-
เครื่องยนต์สายพานจุ่มน้ำมันไม่มีทางทนทานหรอกครับ
มันผิดธรรมชาติตั้งแต่คิดทำแล้ว
-
ไว้ดูเป็นแนวทางได้ครับ
https://youtu.be/pyk6Xndfhec?si=9sHR2ihjKspgiIGj
-
ไม่มีครับ
สายพายทามมิ่ง จุ่มน้ำมัน มันมีวันที่จะรูด(ฟัน) และ ขาด อยู่แล้ว (ถ้าเป็นโซ่ จะเป็นการยืด ไม่ค่อยขาด)
ดังนั้น ก็เปลี่ยนตามอายุรถ หรือ เลขไมล์ครับ ไม่เกิน 150,000 ก็เปลี่ยนได้แล้ว อย่าแบบเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย เลยครับ
ผมเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่(ทั้งตัว) มันเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา และ ความรู้สึก (ไม่ใช่เพราะสายพาน แต่ก็เป็นชิ้นส่วนแนวๆ นี้ละ)