Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: itbanktop ที่ พฤศจิกายน 02, 2024, 18:32:38
-
สวัสดีครับ ผมพึ่งออก bmw 330e lci มาเมื่อ กุมภาพันธ์ 2023 แต่ปัจจุบัน วิ่งมาแล้ว 44000 กิโล
แต่มี bsi ultimate 5 ปี 100,000 กิโล
เลขไมล์วิ่งขึ้นไวมาก ตั้งแต่ รับ-ส่ง ลูกเข้าอนุบาล
ตอนนี้เฉลี่ย วิ่งวันละ 200 กิโล จากปกติ วันละ 50-60 โล
เดือนๆ หนึ่งโดนค่าน้ำมันไป 15,000 บาท
เลยกำลังช่างใจว่าจะขาย bmw ขาดทุนทิ้ง และไปซื้อ Tesla เพื่อจะได้ประหยัดค่าน้ำมันแทน
แต่ถ้าขายทิ้งก็ขาดทุน ล้าน เกือบสองล้านเลย
อยากถามว่าถ้าใช้รถระยะยาว 2แสน 3 แสนกิโล
ระหว่าง bmw 330e lci กับ Tesla model 3 สองคันนี้ คันไหนเหมาะใช้งานทุกวัน ได้จริงๆครับ
เพราะจะขาย 330e ก็เสียดาย แต่ก็ เสียดายรายจ่ายค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา และเลขไมล์ที่วิ่งขึ้นอยู่ทุกวัน
แต่จะซื้อ Tesla ประหยัดน้ำมัน แต่ก็กลัวว่าจะเจอปัญหา งานประกอบ ที่ไม่ดี
รบกวนขอคำเเนะนำ ความคิดเห็นของพี่ทีครับ
-
ขับ BMW ค่าน้ำมันปีละ 200,000 บาท
ขับ 5ปี ค่าน้ำมัน 1ล้านบาท
Bmw ขายตอนนี้ ขาดทุนเลย 2 ล้าน
ขับไป สัก 5ปี ค่อยขายดีกว่าครับ
-
เป็นผม ขายไปซื้อ model 3 ครับ
วิ่งเยอะประหยัดน้ำมัน 5 ปี 1 ล้าน เหมือนได้ที่ขาดทุน bmw คืน
-
จากโจทย์เจ้าของกระทู้เป็นผมไป Tesla Model 3 เลยครับ ขับวันละ 200 กิโลแล้วใช้รถในสัปดาห์แทบทุกวันผมว่าก็ไปที่รถไฟฟ้าดีครับ
เพราะส่วนตัวผมมองว่ารถไฟฟ้ายิ่งขับเยอะยิ่งคุ้มทุนไว
-
ดูจากระยะทาง 200km ต่อวันธรรมดา ก็ 4,000km ต่อเดือน บวกระยะทางใน weekend ก็ประมาณ 5,000km ต่อเดือน
ค่าน้ำมันกิโลละ 3 บาท ถ้าเป็นไฟฟ้าถูกสุดที่เห็นคือกิโลละ 0.5 บาท ก็ประหยัดไป 2.5บาทต่อกิโลเมตร
ขับปีละ 60,000 km ก็ประหยัดได้ 150,000 บาท
ระยะ 300,000km คือ 5 ปี ก็ประหยัดไป 150,000 x 5 = 750,000 บาท
สำหรับผมยังไม่คุ้มพอที่จะยอมขาดทุนเป็นล้านจาก BMW330e ไป Tesla Model 3 ครับ
-
330eชาร์จทุกวันน่าจะวิ่งใช้ไฟล้วนได้ประมาณวันละ50โล ก็ทุ่นไปได้นิดนึง ยิ่งbsi ultimate อีก ผมว่าหมดbsiแล้วค่อยเปลี่ยนรถน่าจะดีกว่าครับ
แต่ถ้าช่วงรับส่งลูกต้องมีจอดรอสักครึ่งชั่วโมง แบบนี้รถไฟฟ้าก็อาจตอบโจทย์กว่า
-
ขับเยอะแบบนี้ ขับในเมืองเป็นส่วนใหญ่ รถไฟฟ้า bev คือคำตอบครับ
-
ผมคิดแบบนี้ครับ (ไม่ได้เอาปัจจัยเรื่องการใช้พลังงานของมอเตอร์ที่ไม่เท่ากันของแต่ละยี้ห้อ)
ค่าไฟปกติประมาณ 1 บาท / km
ค่าไฟ TOU ประมาณ 0.7 บาท / km
ค่าไฟข้างนอกประมาณ 1.5 บาท / km
ผมขอเฉลี่ยเป็นค่าไฟ 1 บาท / km วิ่งทุกวันวันละ 200 km ก็ 200 * 30 = 6,000 บาท ก็ตกปีละ 72,000 บาท
มาดูค่าน้ำมัน 330e ตีไปคุณไม่วิ่งไฟฟ้าเลยก็แล้วกันกดโหมด sport อัตราสิ้นเปลืองในเมืองจะอยู่ประมาณ 15 km/L ถ้านอกเมืองจะได้ประมาณ 18 km/L บวกลบนิดหน่อย
เติมน้ำมัน Gasohol 95 ราคา 35.25 / L ถ้าเราเฉลี่ยอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเป็น 16 km/L ก็จะตกประมาณกิโลเมตรละ 2.2
เดินทางทุกวันวันละ 200 km = 200 * 2.2 = 440 บาท เดือนนึงใช้น้ำมันไป 13,200 ก็ตกปีละประมาณ 158,400 บาท
ส่วนต่างของรถไฟฟ้ากับรถน้ำมันต่อปี 158,400 - 72,000 = 86,400 บาท
เป็นผมส่วนต่างนี้ผมอยู่กับ BMW ต่อครับเนื่องจากเข้าศูนย์ก็มี BSI แล้วในกรณีที่ต้องใช้รถเดินทางไกลก็สะสวกสบายมากกว่าไม่ต้องวางแผนการเดินทาง รวมถึงเมืองเกิดอุบัติเหตุหรือรถมีปัญหาตาม ตจว. ก็ยังมีศูนย์ให้เข้าไปใช้บริการได้
ผมก็เคยคิดแบบ จขทก. ที่บ้านมี BMW Series 3 Phev , 5 diesel Benz glc และ Nissan kicks แต่ก็พับโครงการไป (ผมไม่ได้มอง tesla นะ มองรถไฟฟ้าจีนถูกๆไว้ใช้ในเมือง) ที่พับโครงการไปเพราะยังไม่มั่นใจเรื่องศูนย์บริการ กับงานดูแลลูกค้าหลังการขาย และยังไม่เคยเห็นรายการที่ต้อง maintenance จริงๆว่าถูกกว่ารถยนต์แบบใช้น้ำมันจริงๆไหม ส่วนในกลุ่มที่เข้าไปหาข้อมูลรถไฟฟ้าก็อวยกันอย่างเดียว หาข้อมูลที่เป็นความจริงได้ค่อนข้างยากมาก สุดท้ายแล้วผมจึงรอให้คนใช้ไปก่อนมีเคสต่างๆและให้ราคามันถูกกว่านี้อีกสักหน่อยแล้วค่อยตัดสินใจซื้อมาลองครับ
และอีกอย่างผมมองว่ารถไฟฟ้าคืออุปกรณ์ IT ที่มีล้อเคลื่อนที่ได้ พอถึงระยะเวลาหนึ่งที่ Software ไม่อัพเดทหรือแบตเตอรี่เสื่อม แล้วรถเราจะเป็นอย่างไร ถ้าขาย ณ เวลานั้นราคาอาจจะตกมากๆ หรืออาจจะเลวร้ายสุดอาจจะขายไม่ได้เลยก็ได้ อันนี้ก็น่าจะเป็นอีกปัจจัยที่น่าเอาไปคิดรวมกันด้วยครับ
-
เป็นผมผมจะขายก่อนหมด BSI หรือ Waranty ซักหมื่นโล เพราะว่าคงขาดทุนอีกไม่เยอะแล้ว และก็เป็นจุดที่ยังขายได้ง่ายอยู่
วันนั้นค่อยไปซื้อรถไฟฟ้าก็ยังไม่สายครับ รอดูตลาดไปก่อนเพราะทั้ง product ทั้งสงครามราคาก็ดูจะมีอยู่เรื่อยๆ
-
ถ้าเอาความประหยัด ขับเยอะยังไงก็ไปไฟฟ้าครับ ถ้าชาร์ตไฟที่บ้านได้ทุกวัน คุ้มโคตรๆ
แต่ถ้าจะเอาการขับขี่แบบ BMW ก็ต้องยอมรับครับว่าไม่ได้แบบนั้น
-
รถดีที่ไม่เสียจนซ่อมยาก / ไม่มีญาติวอนขอซื้อต่อ ส่วนตัวไม่เคยขายเลยครับ
รถคุณประหยัด และ คุณขับมาพักใหญ่แล้วไม่มีปัญหา ผมไม่แนะนำให้เปลี่ยนครับ
สองระบบช่วยกันขับ มันเสื่อมแต่ละระบบ (หากออกแบบมาดี) น้อย ครับ ผมเห็นมากับตัวในคลับทั้งไทยและต่างประเทศแล้ว
ส่วนค่าซ่อม ผมก็เห็นสถิติชุมชนอู่ซ่อมรถในอังกฤษมาแล้ว ระยะยาว 6 ปีขึ้น BEV อัตราการซ่อม สูงกว่า ไฮบริด นะครับ (อังกฤษจัด PHEV เป็นไฮบริด ต่างกับสหรัฐ)
อย่าง MG แบตเสื่อม 50% เปลี่ยนฟรี ตลอดอายุรถ! ดังนั้น สมมติถ้าคุณถามว่า เช่น เปลี่ยนไป MG Cyberster ดีไหม อันนี้ ผมจะเชียร์ให้ไป ครับ
ปล. ทั้งนี้ เช็คกับ BMW Thailand ประกอบการตัดสินใจ ว่า แบตไฮบริด เปลี่ยนได้ ด้วยเงื่อนไขอะไร ถ้ารับได้ / ชื่นชอบเงื่อนไข เป็นผม ผมถือครองต่อ ครับ
ถ้าไม่ถูกใจ ก็เลือก TL เพราะขับเยอะ น่าจะคุ้มส่วนต่างค่าน้ำมัน/ค่าแบตตอนปีที่สิบ ครับ
-
ใช้BMW คันปัจจุบันต่อไปอีก 5 ปีเป็นอย่างน้อยคุ้มกว่า เพราะเงินที่หายไปจากการขายเปลี่ยนรถราว 1.5 ลบ. เงินนี้ครอบคลุมส่วนต่างค่าเชื้อเพลิงได้ 5-10 ปีเลย แถมไม่ต้องพะวงกับการชาร์จไฟฟ้าอีก ไว้อีก 5 ปีข้างหน้าค่อยดูการเปลี่ยนรถอาจเป็นจุดเวลาที่เหมาะสมครับ
-
ถ้าแพลนว่าในอีก 3 ปี ยังต้องวิ่ง 200โล เทียบกับ bev ยังไงก็ควรไป bev ครับ
เปลี่ยนตอนนี้ราคามือ 2 ยังไม่ถือว่าดิ่ง ตอนหน้าใหม่มาตาม cycle late 26 แต่ตอน i3 มา mid 25 มีตัวเทียบมาจะดิ่งหนัก ยิ่งวิ่งเยอะก็ยิ่งดิ่งไปอีก เจ็บไม่ต่างกัน
แต่ถ้าคิดว่าเป็นแค่ช่วงแรก ปีหน้าจะมีรถตู้มีคนขับรับส่งลูก ภาพรวมผมว่าใช้ 330e ดีกว่า มันไม่ได้กินน้ำมันขนาดนั้น แล้วเอารถตู้ bev วิ่งรับส่งยาวๆ จะ flexi กว่าไม่เหนื่อยไม่เจ็บตัวครับ
-
ใช้เทสล่ามาจะ 2 ปีแล้วครับ Model Y ไม่จุกจิก โล่งใจมากที่ย้ายมาจากตราดาว เทสล่าเข้าศูนย์ทุกๆหมื่นโล นัดล่วงหน้าเสร็จในวันไม่เคยต้องทิ้งรถไว้ ที่เจอมามีแค่กระจกฝั่งคนขับเลื่อนก็ 2 ชมจบ ที่เหลือก็สลับล้อทุกๆหมื่นโล แฟนยังชม ตอนใช้ตราดาวไฟขึ้นทีคือมีเป็นอาทิตย์ เทสล่าถ้าทิ้งรถไว้ได้รถสำรองแน่ๆถ้าไม่ไปขับชนเอง ปัญหางานประกอบก็ซ่อมได้ครับ แต่ส่วนตัวไม่ได้มีติตรงไหน ไม่งอแงเหมือนค่ายยุโรป ให้ซื้อใหม่ก็ซื้อเทสล่าครับ ย้ายมาจาก E Class ส่วนตัว ผมเองมองภาพลักษณ์ไม่ได้ต่างถ้าเทียบกับพวก C/S3 จอดรถในรรติดเครื่องรอลูกก็ไม่ต้องกังวลครับ แต่เคสนี้ขาดทุนเยอะแน่ต้องชั่งใจ ถ้าไม่ติดเรื่องนี้แนะนำครับ
-
ผมคิดว่าขายตอนนี้ รถอายุปีครึ่ง 4 หมื่นโล หรือขายตอน 3 ปี 8 หมื่น อาจไม่ได้ต่างกันมากครับ
ยังไงส่วนต่างที่เราจะถือต่อ ค่าน้ำมัน+ค่าเสิ่อม มันคุ้มกว่าขายทิ้งซื้อคันใหม่ตอนนี้อยู่แล้วครับ และยังได้รอดูสถานการ BEV / Model Y Juniper / หรือรุ่นอื่นๆเป็นตัวเลือกเพิ่ม
หรือถ้าไม่รีบ และมีที่จอด เอา BEV มาอีกคันสลับกันใช้แล้วค่อยโพสขายเองก็ได้ครับ
คหสต ถ้ามีเด็กเล็ก แล้ววิ่งทางไกลบ่อยๆ ผมคิดว่าการเอา BEV ขับเที่ยวแบบที่ต้องชาร์จนอกบ้านอาจไม่สะดวกครับ มันใช้ได้แต่ไม่ได้สะดวกครับ
เราออกนอกเส้นทางไม่ค่อยได้เพราะต้องกังวลกับเรื่องที่ชาร์จ ถ้าอยู่ ตจว จะยิงยาวกลับ กทม ก็อาจทำไม่ได้ และพอมีเด็ก เด็กอาจงอแงอีกถ้าต้องนั้งรอชาร์จเฉยๆ 30 นาที แค่ถ้านานๆวิ่งยาวที ก็โอเคอยู่ครับ
-
โจทย์นี้ไป Model3 ได้เลย
ผมก็ใช้ Model Y รับลูก ไปจอดรอไม่ต้องสตาร์คเครื่อง เปิดแอร์ นั่งรอ ได้เลย
ชาร์จทีนึง วิ่งได้ทั้งอาทิตย์ ไม่พอ ก็ชาร์จเพิ่มไม่นาน
ประหยัดกว่าน้ำมันเท่าตัวเลย เอาส่วนต่างค่าน้ำมันไปทำอย่างอื่นดีกว่า
-
รถไฟฟ้าไม่ได้ใช้พลังงานฟรีนะครับ ก็ตกโลละบาทแบบเฉลี่ยๆชาร์จที่บ้านบ้าง นอกบ้านบ้าง ลองคำนวนค่าไฟ +/- ค่าน้ำมันดูครับ หลายๆท่าน ชอบมองว่า รฟฟ. คือรถที่ไม่ต้องจ่ายค่าพลังงาน ซึ่งผิดครับ มันเป็น Perception ที่คนไทยโดนเป่าหูมาตลอด ส่วนต่างค่าพลังงาน คุ้มไหมกับค่ารถที่หายไป และต้องไปซื้อใหม่
ส่วนเรื่องความจุกติก Tesla ไม่ค่อยมี่ครับ อย่างมากก็งานประกอบซึ่งก็ไม่กินข้าวลิง ตัวรถ software เองก็เสถียรกว่ารถจีนเยอะ
-
ปกติรถที่บ้านผมวิ่งปีละไม่เกิน 10,000 โล พอลูกเข้า รร เป็นปีละ 2-3 หมื่นโล ด้วยความเป็นรถไฟฟ้าจอดรอลูกได้ และคิดว่าค่าดูแลต่ำส่วนตัวใช้อยู่ 2 คัน คันนึง 1 ปี 8 เดือน 40,000 โล อีกคัน 5 เดือน 9,000 โล คชจ ลดลง ค่อนข้างโอเคกว่าตอนใช้ benz ส่วน bm ตอนนั้นผมมี bsi บอกไม่ได้ เลยชวนเพื่อนมาใช้ condition เดียวกับ จขท คือวิ่งวันละ 200 โล จากเดิม C350e มาเป็น Y per 1 ปี วิ่ง 50,000 โล ตอนนี้ happy เสียแค่ค่ากรองแอร์
แต่ก็ยังบอกไม่ได้ว่าระยะยาวจะเป็นยังไง เพราะรถอายุไม่เกิน 5 ปี ตามหลักมันก็ไม่ควรจะมีปัญหาทุกยี่ห้อ
จุดควรระวังและเฝ้าสังเกตุ ศูนย์ซ่อมตัวถังน้อย เกิดอุบัติเหตุอาจต้องวางแผนอู่ใกล้บ้านดีๆ, กระจกหน้าชอบแตก บางทีรอของนาน, คอมแอร์พัง ซ่อมที 1 แสน เห็นผ่านๆ ตา 2-3 เคส ชอบพังตอน หมดประกัน
ส่วนเรื่องขาย 330e มาซื้อ ผมว่าไม่คุ้มกับราคาที่หายไป แต่เอา 330e มาวิ่งวันละ 200 โล ผมก็เสียดายค่าน้ำมันจริงๆ
ปล. ผมไม่ได้ติดมิดเต้อ tou tesla ทั้ง 2 คันผมกินไฟไม่เกิน 1 บาท