Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Blackorwhite ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2025, 13:50:12
-
เนื่องจาก เห็น cls53 จากปากผู้ใช้หลายๆคนบอก ซดน้ำมัน กินน้ำมันเกินความจำเป็น ซื้อรถ 5ล กว่า แต่ ขายกันเพราะ กินน้ำมัน
ส่วนตัวผม เริ่มเติบโต ตอน รถ hybrid เริ่มมีบทบาทมา
ตัวเลขที่เคยใช้
ในเมือง 8-10 โลลิตร
ผสม 10-12โลลิตร
ตจว ยาวๆ 12-14 โลลิตร
เหยียบๆหน่อยก็ ลดไป 2 โลลิตร
เครื่อง 2000 +t รถ D segment ก็รุ้สึก ไม่ได้ประหยัดเท่าไหร่
ไม่นับพวก รถ เล็กๆ เครื่องเล็กๆ ยางเล็กๆ ทำทุกอย่างมาเพื่อประหยัด แต่ รถใช้งาน แต่ละคน มีนิยาม คำว่า กินน้ำมัน/ทั่วไป/ประหยัดยังไงบ้างครับ
เคยใช้ PHEV ขับยังไง ก็ 10-15 โลลิตร
และ เครื่อง 3000+ bi turbo มันเห็นภาพการกินน้ำมันแค่ไหนครับ
-
คนที่บอกว่าขายกันเพราะกินน้ำมัน นี่น่าจะเป็นคนอีกกลุ่มนึงที่ไม่เคยเล่นรถพวกนี้ครับ
คนซื้อรถแบบนี้ เค้าไม่สนใจการกินน้ำมันขนาดนั้นครับ
ซื้อมาขับเอาฟิวครับ เอาความแรง
ในเมืองก็อาจมีประมาณ 6-8 โลลิตร
นอกเมืองก็ 10+ โลลิตร
-
ทีเขาขายออกกันคงไม่น่าจะมาเรื่อง การกินน้ำมัน หรอกครับ คนเล่นรถสไตล์นี้ไม่น่าจะสนใจเรื่องนี้ อาจจะเพราะเวลาซ่อมอะไรมันยุ่งยากกว่า หาอะไหล่ได้ยากกว่า มากกว่าละครับ
-
คือจะบอกว่าคนที่มองความประหยัดไปด้วยไม่ใช่กลุ่มนี้ก็ไม่ถูกครับ การใช้เงินแต่ละคนมองไม่เหมือนกัน ผมซื้อรถ trim performance ตลอด แต่ส่วนใหญ่ใช้ได้ไม่นานก็เพราะกินน้ำมัน เนื่องจากผมชอบ option ในตัวบน ไม่แน่ใจ cls53 มีอะไรต่างบ้าง แต่หลายๆคันมักใส่ของเล่นมาให้เยอะกว่า เช่น EQE 53 ได้ไฟ ได้ของข้างในเยอะกว่า ในมุมกลับกันผมย้ายมาใช้ tm3 performance อยู่ตอนนี้ก็ได้ความแรงไม่ได้ต่าง แต่ effiency ดีกว่า ที่แลกมาก็ความหรู ความ premium ที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว
มันก็มีแหละคนที่บอกว่าจะใช้ลิตรละโลก็จ่ายไหวเพราะ รถแรงเหยียบเบาๆถึงเชียงใหม่ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบรถแรงละต้องแลกด้วยขนาดนั้น การใช้เงินแต่ละคนมัน weight ไม่เหมือนกันครับ บางคนประหยัดน้ำมันไปซื้อกล่องจุ่ม บางคนใช้น้ำมันเต็มที่รถแต่งเป็นล้าน แต่กินข้าวมื้อละ 60 ก็พอใจแล้ว แต่บางคนก็ขอกินมื้อละ 200 ละอยากใช้แค่ eco car
เหมารวมไม่ได้อะครับว่าไม่ใช่ target แต่ก็ยอมรับว่าส่วนใหญ่คนซื้อตัว performance ของทุกแบรนด์ก็จะไม่จุกจิกกับน้ำมันครับ
ส่วนตัวผมว่าถ้า 8km/L ถือว่าเปลือง ยิ่งถ้าเป็นรถ performance ส่วนใหญ่เท้าหนัก ตอนผมใช้ lexus GS450h ยังได้แค่ 6-8km/L เลยครับทั้งที่เป็น hybrid เพราะเท้าหนัก ตอนให้ที่บ้านไปใช้แทนเค้าก็ทำได้ 13++ กัน
แต่สุดท้ายก็มองว่าประหยัดดีกว่าอ่ะครับ หลายๆคันที่ซื้อมาเป็น performance คันล่าสุด TT RS ก็ขายออกไปเพราะคิดว่ากินน้ำมันครับ สุดท้ายรถขับซิ่ง เลยมาเป็น tm3 แทน เหมารวมผมไม่ได้ครับว่าไม่สนใจเรื่องนี้ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างสำหรับผมเซฟได้ผมก็เซฟครับ
-
การประหยัดน้ำมัน บางท่านจะมองเป็นราคาต่อระยะทางครับ
เช่นกิโลเมตรละ 3 บาท หรือ 4 บาท
ตัวอย่างการขับในเมืองต่างจังหวัด รถติดตามแยกสลับทำความเร็วได้ในบางช่วง
รถผม Suzuki Swift - ขับได้ 19km/l ใช้โซฮอล 95 ลิตรละ 36 บาท ก็ตกกิโลเมตรละ 1.9-2.0 บาท (ขับทางไกล เคยขับได้ 25km/l)
อีกคัน Subaru Forestes - ขับได้ 12km/l ใช้โซฮอล 95 ลิตรละ 36 บาท ก็ตกกิโลเมตรละ 2.9-3.0 บาท (ขับทางไกล เคยขับได้ 18km/l)
ถ้าเป็น Alphard 2.4L (ไม่ Hybrid) - ขับได้ 8-9km/l ใช้โซฮอล 95 ลิตรละ 36 บาท ก็ตกกิโลเมตรละ 3.9-4.0 บาท (ขับทางไกล เคยขับได้ 13km/l)
ผมว่า CLS 53 ก็ไม่ได้เน้นประหยัดน้ำมันอยู่แล้วนี่ครับ เหมือนคนซื้อ Ford Ranger Raptor หรือ Ford Everest เครื่องดีเซล V6 3.0L ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าต้องเจอค่าน้ำมันระดับ 4-5 บาทต่อกิโลเมตร
อาจเป็นเพราะ ตอนที่ใช้เกิดอยากจะลดค่าใช้จ่ายขึ้นมาละมั้งครับ ก็เลยขาย
-
V8 เครื่อง 4.0 หรือมากกว่าครับ NA
ไอ้นั่นใช่เลย
-
สำหรับผมที่คิดว่ากินน้ำมันหนักๆ คือขับในเมือง 6-7 กม/ลิตร รถเครื่อง 2.0 ครับ
-
จริงๆ มันไม่มีนิยามตายตัวหรอกครับ
และ จริงๆ แล้ว ยิ่งประหยัดน้ำมันเท่าไหร่ ยิ่งดี ไม่จำเป็นต้อง 12km/L หรือ 15Km/L จะทำให้ 50Km/L ก็ทำไปเหอะ (แต่มันทำไม่ได้)
ทีนี้ มันเลย กลับมาบอกว่า บริษัทรถทุกค่ายแหละผมว่า เขาก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้มันประหยัดที่สุด และ ยังให้รถมีพละกำลังที่เหมาะสม (เท่าที่จะทำได้ และ ยังผ่านมาตรฐานไอเสีย)
โดยปกติแล้ว เราจะมองกันที่พิกัดรถ segment รถ เป็นหลัก
เช่น
Mid-Size SUV หรือบ้านเราเรียก PPV
โดยไม่สนใจ CC มากหรือน้อย หรือ น้ำหนักรถมากหรือน้อย พอมันอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ก็โดนรวบเลย
มันก็เห็นภาพว่า รถกลุ่มเดียวกัน Segment เดียวกัน อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นเช่นไร
-----------------------
กลับมา สำหรับผม (ตัวผม) ผมจะดู
1. ประเภทรถ => เครื่องยนต์ตัวเดียวกัน อยู่ในรถ เก๋ง กับ SUV อัตราการบริโภคน้ำมัน ก็ไม่เท่ากัน
2. น้ำหนักรถ => รถกำลังแรงม้า แรงบิด เท่ากันก็จริง แต่น้ำหนักรถต่างกัน อัตรการบริโภคน้ำมัน ก็ไม่เท่ากัน
3. กำลัง(แรงม้า/แรงบิด) => รถกลุ่มเดียวกัน แต่แรงม้า แรงบิด ไม่เท่ากัน อัตราการบริโภคน้ำมัน ก็ไม่เท่ากัน
4. ซีซี => ผมเอามาไว้ข้อ 4. เพราะว่าเดียวกัน มี downsizing กันเยอะ มันเลยไม่ค่อยชัดเหมือนแต่กัน ที่พิกัดเล่นกัน 1.5 หรือ 1.8-2.0 หรือ 2.4-2.5 อะไรแบบนั้น
5. พฤติกรรมการขับขี่ => อันนี้ มันไม่เหมือนกันในแต่ละคน มันเลยตอบยาก
สุดท้าย มันแค่เอาไว้เปรียบเทียบครับ แค่ไม่ได้กินน้ำมันกว่า คู่แข่ง แบบน่าเกียจ ในพิกัดเดียวกัน กลุ่มเดียวกัน ก็พอแล้วครับ ถ้าเลือกได้ ก็คงเลือกคันที่ประหยัดสุดอยู่แล้ว (ถ้าชอบนะ)
เนื่องจาก เห็น cls53 จากปากผู้ใช้หลายๆคนบอก ซดน้ำมัน กินน้ำมันเกินความจำเป็น ซื้อรถ 5ล กว่า แต่ ขายกันเพราะ กินน้ำมัน
ส่วนตัวผม เริ่มเติบโต ตอน รถ hybrid เริ่มมีบทบาทมา
ตัวเลขที่เคยใช้
ในเมือง 8-10 โลลิตร
ผสม 10-12โลลิตร
ตจว ยาวๆ 12-14 โลลิตร
เหยียบๆหน่อยก็ ลดไป 2 โลลิตร
เครื่อง 2000 +t รถ D segment ก็รุ้สึก ไม่ได้ประหยัดเท่าไหร่
ไม่นับพวก รถ เล็กๆ เครื่องเล็กๆ ยางเล็กๆ ทำทุกอย่างมาเพื่อประหยัด แต่ รถใช้งาน แต่ละคน มีนิยาม คำว่า กินน้ำมัน/ทั่วไป/ประหยัดยังไงบ้างครับ
เคยใช้ PHEV ขับยังไง ก็ 10-15 โลลิตร
และ เครื่อง 3000+ bi turbo มันเห็นภาพการกินน้ำมันแค่ไหนครับ
เดี๋ยวมีคนแซวนะครับ ว่าคนมีตังซื้อรถแพง เขาไม่สนใจเรื่องเงินเติมน้ำมันหรอก 5555
-
ผมโตมากับรถยุค 90 ถึง 2000 ต้นๆ
ในเมือง 5 - 6 กม/ลิตร
ทางไกล 9 - 12 กม/ลิตร
พวกนั้น ได้แก่ 230E W124 / 940 GL / 960 2.4 / Tiger 5L AT / CR-V G2 2.0 / space wagon 2.0 และแถม Optra 1.6 A/T ให้อีกคัน (กินเกินความจุเครื่อง)
ดังนั้น ถ้ามันไม่ต่ำกว่านี้ ผมรับได้ แม้ว่า ปัจจุบัน จะเจอแบบ 24 กม/ลิตร ทางไกล (ขับ city turbo จากปราจีน เข้า กทม มามะกี้ วิ่ง 100 - 110 แต่แทบไม่เบรค เออ มาได้ไงวะ) หรือ 18 กม/ลิตร ในเมือง (CR-V G6 RS) ก็ตาม
-
ถ้ารถกินน้ำมัน และมันมากเกินจำเป็น ถึงจะมีเงินจ่าย แต่ก็เกินรับได้นะ
ผมมีคนรู้จักหลายคน ซื้อแร็ปเตอร์เบนซินกันหลายคน ซื้อมาแรกๆก็ถ่ายรูปลงเฟส อวดความแรงต่างๆนาๆ ...
ตอนนี้ คนใช้แร็ปเตอร์เสียงอ่อยลงเยอะ เพราะซ่าไม่ได้มากแล้ว มีเงินจ่ายแหละ แต่ถ้าต้องจ่ายวันละ 1000บาท ทุกวันมันก็ไม่ไหวนะ ถูกไหม ..
อย่างปีใหม่ที่ผ่านมา คนใช้เร็ปเตอร์ที่ผมเห็น เอารถคันอื่นเที่ยวต่างจังหวัดกันทั้งนั้น ไม่มีใครถ่ายรูปโชว์เลยว่า กำลังเอา แร็บเตอร์ v6 ไปเชียงใหม่นะ แบบ จ่ายได้แหละค่าน้ำมัน แต่ถ้าเลือกได้ ไม่จ่ายดีกว่าไหมล่ะ 5555
และ CLS ก็คงคล้ายกัน คือมีเงินจ่ายแหละ แต่ถ้าขับไปทำงานทุกวันเช้าเย็น โดนค่าน้ำมัน วี-พาวเวอร์ไปวันละ 1000กว่าบาท บางทีก็ต้องคิดบ้างแหละ
-
ต้องถามกลับไปอีกรอบครับว่าอยากได้รถเครื่องใหญ่ แรงม้าเยอะ ไปเพราะอะไร
อยากได้ความแรง คุณก็ต้องแลกกับกับค่าใช้จ่ายที่มากกว่ารถปกติ
ค่าบำรุงรักษา ค่ายางที่เปลี่ยนบ่อยกว่ารถบ้านๆแถมแพงกว่า ภาษีประจำปีก็ไม่ได้ถูก รวมถึงค่าประกันของกลุ่มรถพวกนี้ก็แพงเอาเรื่อง เฉียดๆแสนมีให้เห็นได้ แค่นั้นยังไม่จบ รถกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะราคาค่อนข้างสูง แถมราคาก็ตกระนาว ขายต่อทีเงินหายไปกี่ล้าน
ถ้าคุณทำใจยอมจ่ายกับอะไรต่างๆด้านบนนี้ได้ ทำไมค่าน้ำมันที่เปลืองกว่ารถปกติเป็นเท่าตัวคุณรับไม่ได้
คุณต้องรู้อยู่ตั้งแต่แรกที่ออกรถมาแล้วว่ามันไม่ประหยัดนะ ค่าใช้จ่ายต่างๆมันเยอะนะ
สุดท้ายยอมขายขาดทุนเป็นล้าน เพียงเพราะว่ารถมันกินน้ำมัน มันออกดูจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่
ออกแนวเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย
-
ถ้าในกลุ่มรถบ้านในยุคนี้ ผมคาดหวัง 15km/l ขึ้นไปสำหรับ วิ่งยาวๆ เติม e20 ครับ
CLS 53 มันแรงและก็กินน้ำมันตามสมรรถณะครับ
คิดว่าคนส่วนที่บอกว่ามันกินน้ำมัน น่าจะเป็นสไตล์ที่ไม่ได้ใช้สมรรถณะมันอย่างคุ้มค่าครับ
อาจขับฝ่ารถติดเข้าเมือง ใช้ความเร็วไมไ่ด้ และอาจเคยใช้กลุ่ม 220d 20d มาแล้ว พอเจอการบริโภคน้ำมันที่มากขึ้น อย่างเห็นได้ชัด มันก็เป็นประเด็นได้เช่นกันครับ
จ่ายไม่ไหวคิดว่ามีแต่น้อย แต่น่าจะมองว่ามันไม่คุ้มที่จะต้องจ่ายมากกว่า แถมเป็น Hybrid ด้วย
คนรู้จักผผมก็ XC90 T8 แรกๆก็ประหยัดดีเพราะ EV Range วิ่งได้สำหรับการใช้งาน 1 วัน
แต่พอย้ายโรงงาน ต้องขับไกลยาวขึ้น เจอ 12km/l ครั้งละ 300km เทียบกับ ตัว d4 ที่วิ่งได้ 18km/l วิ่งยาวก็เอา d4 แทน
-
สำหรับผมจะดูเทียบเครื่องยนต์กันอัตราสิ้นเปลืองที่ได้ครับ
อย่างเส้นทางชานเมืองที่ผมขับประจำ สมมติถ้าเครื่อง 2000 ขับเร็ว 140 160 เป็นปกติในช่วงที่ถนนโล่ง แล้วได้ 11-12 km/l ผมว่ามันก็ make sense ดี
แต่ถ้าเป็นเครื่อง 1600 ที่อืดกว่าและไม่ได้ขับเร็วขนาดนั้น แต่ได้ 11-12 km/l เท่ากัน ผมจะมองว่ากินน้ำมันครับ
อย่างกรณีของ CLS53 ที่ว่ามา ผมมองว่ามันก็ปกติ
-
ผมคงจะเคยใช้รถเก่าๆเครื่องเก่าๆมานาน (เริ่มขับรถด้วย toyota dx)
เลยเคยชินกับการบริโภคน้ำมันของเครื่องยุคเก่าๆที่กินน้ำมันกว่ารถยุคปัจจุบัน
ความรู้สึกว่าคันไหนกินน้ำมัน ผมมักไปเปรียบเทียบกับความแรง(ในสมัยนั้น)ไปด้วย
เช่น ผมรู้สึกว่า volvo 940 GL ที่เคยใช้ กินน้ำมัน เพราะ รถมันอืด แต่กินน้ำมัน
ถ้าจะให้เลือกจิ้มตัวเลขซักตัว ผมว่าขับทางไกล มีเหยียบบ้างผ่อนบ้างตามจังหวะ
แล้วประหยัดน้ำมันแย่กว่า 10 กม/ลิตร ผมก็อาจรู้สึกว่ากินน้ำมัน
แต่ถ้ารถพอจะมีเรี่ยวแรงเป็นที่พอใจ เหมาะสมกับอัตราบริโภคเชื้อเพลิง
ผมก็จะไม่รู้สึกว่ากินน้ำมัน จะรู้สึกว่ามันก็เป็นอย่างนี้แหล่ะ555
เช่น ผมเคยขับทางไกล ออกจากกรุงเทพขึ้นเหนือ 768 กม. ความเร็วเฉลี่ย 96 กม./ชม.
(แต่ไม่ได้แช่ที่ 96 , จริงๆคือมีจอดบ้าง รถติดบ้าง เหยียบบ้าง 120 ยาวๆก็มี แล้วมันมาเฉลี่ยที่ 96)
กินน้ำมัน 9.3 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร , แปลงเป็นหน่วยที่เราคุ้นเคยก็ 10.75 กม./ลิตร
แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันกินน้ำมัน เพราะยังพอมีเรี่ยวแรงเป็นที่พอใจเวลาเร่งอยู่
และรู้ว่ารถเก่า เครื่องประมาณนี้ ก็จะกินประมาณนี้
(https://img5.pic.in.th/file/secure-sv1/IMG_1824.jpeg)
-
ต่ำกว่า 8 โลลิตร ถือว่ากินน้ำมันละครับ ไม่เหมาะจะใช้ทุกวัน แต่คนที่เงินเหลือๆอาจจะไม่สนใจก็ได้นะ
ส่วนรถแรงกับการกินน้ำมัน ตอนซื้อคงรู้อยู่แล้ว +รถแบบนี้ก็คงไม่ได้มาใช้ในชิวิตประจำวันเท่าไหร่เน้นมันส์อย่างเดียว ถ้าจะขายคงเบื่อหรืออยากลองรุ่นอื่นมากกว่าครับ
-
ขึ้นอยู่กับสมรรถนะที่ได้ด้วยครับ แต่ส่วนตัวผมมีเส้นในใจว่าถ้าในเมือง <8 นอกเมือง <12 โล/ลิตร ถือว่าเปลือง ไม่ว่าจะรถอะไร ::)
-
ในเมืองคงวัดยาก
แต่นอกเมือง 90-110 ผมว่าต่ำกว่า 13 / ลิตร นี่ไม่น่าขับแล้วครับ (ขับแบบปกตินะครับไม่เบรค ไม่เร่งแซงตลอดเวลา) สำหรับรถปี 2010 - ปัจจุบัน
แต่ถ้าพวก SUVยูค 1990-2005 ไม่ว่าจะ เอ็กเทรล จะ CRV จะ Escape ได้กัน10 นี่ก็เก่งมากแล้ว
-
ขึ้นอยู่กับรถ บางทีก็ลืมๆมันไป อย่างรถที่บ้าน V6 รถติด กิน 7โลลิตร แม้จะกินน้ำมันแต่ให้ความนุ่ม เงียบ สบาย แต่รถเพื่อน City turbo รถเทพ ::) เคยนั่ง ตอนรถติดในเมือง ติดไฟแดงได้ยินเสียงมอไซคุยกัน เสียงยางบดถนนดังๆ ผ่านฝาท่อตึงตัง แต่กินน้ำมัน 7โลลิตร อันนั้นก็ไม่ไหว
-
ขึ้นอยู่กับรถ บางทีก็ลืมๆมันไป อย่างรถที่บ้าน V6 รถติด กิน 7โลลิตร แม้จะกินน้ำมันแต่ให้ความนุ่ม เงียบ สบาย แต่รถเพื่อน City turbo รถเทพ ::) เคยนั่ง ตอนรถติดในเมือง ติดไฟแดงได้ยินเสียงมอไซคุยกัน เสียงยางบดถนนดังๆ ผ่านฝาท่อตึงตัง แต่กินน้ำมัน 7โลลิตร อันนั้นก็ไม่ไหว
อันนี้ ผมว่าเอารถคนละกลุ่ม คนละราคา มาเทียบกัน มันจะกลายเป็นบูลลี่ แทน คุยเรื่องการกินน้ำมัน หรือ อัตราการบริโภคน้ำมัน ไปนะครับ
-
สำหรับผม ขึ้นกับกลุ่มรถด้วยครับ
รถบ้านๆ B seg , C seg , D seg , performance car ก็ให้สัดส่วนที่ต่างกันขึ้นกับการใช้งาน
ถ้าซื้อมาใช้ Daily use แบบ D seg ที่ผมใช้ประจำ ส่วนตัวว่ารวมๆ น้อยกว่า 7-8โลลิตรก็ถือว่าเริ่มกินแล้วสำหรับผม
-
ถ้าค่าเชื้อเพลิงเกิน 3.5 บาท/กม. คือ ไม่ค่อยโอเคแล้ว คห.ส่วนตัว
-
สำหรับผม ถ้าขับยืนพื้น ตจว 120-140 แล้วกินน้ำมันเกินโลละ 3.5 บาท ผมถือว่าแพงครับ
-
ช่วยทำให้ซับซ้อนขึ้นไปอีกหน่อยครับ รถแรงๆสมัยใหม่จะมีเทอร์โบบางคันบูสตั้งแต่รอบต่ำๆ ขับทางไกลไม่กดหนักรอบต่ำพันกลางๆวิ่งได้ร้อยยี่สิบ จิบน้ำมันนิดเดียว แต่พอรีบหน่อยเดี๋ยวแซงเดี๋ยวเบรคซดน้ำมันขึ้นมาเท่านึง แบบนี้เรียกว่ารถกินน้ำมันมั้ยครับ?
-
ช่วยทำให้ซับซ้อนขึ้นไปอีกหน่อยครับ รถแรงๆสมัยใหม่จะมีเทอร์โบบางคันบูสตั้งแต่รอบต่ำๆ ขับทางไกลไม่กดหนักรอบต่ำพันกลางๆวิ่งได้ร้อยยี่สิบ จิบน้ำมันนิดเดียว แต่พอรีบหน่อยเดี๋ยวแซงเดี๋ยวเบรคซดน้ำมันขึ้นมาเท่านึง แบบนี้เรียกว่ารถกินน้ำมันมั้ยครับ?
ผมนึกถึง mini f60 ที่ใช้อยู่เลยครับ 2.0 turbo 8เกียร์
ขับ 110-120 แบบเรื่อยๆรอบต่ำๆ กินที่ 14โลลิตร
แต่พอเริ่มกด เริ่มทำเวลา ล่วงมา 10โลลิตร
รถติดๆก็ตามนิสัยเลย 8-9โลลิตร
เลยไม่รู้จะเรียกว่ามันกินดีหรือเปล่า ถ้าขับในเมืองก็กินใช้ได้ แต่พอขับเรื่อยๆ ดูดีเลยทีเดียว
-
ช่วยทำให้ซับซ้อนขึ้นไปอีกหน่อยครับ รถแรงๆสมัยใหม่จะมีเทอร์โบบางคันบูสตั้งแต่รอบต่ำๆ ขับทางไกลไม่กดหนักรอบต่ำพันกลางๆวิ่งได้ร้อยยี่สิบ จิบน้ำมันนิดเดียว แต่พอรีบหน่อยเดี๋ยวแซงเดี๋ยวเบรคซดน้ำมันขึ้นมาเท่านึง แบบนี้เรียกว่ารถกินน้ำมันมั้ยครับ?
ผมนึกถึง mini f60 ที่ใช้อยู่เลยครับ 2.0 turbo 8เกียร์
ขับ 110-120 แบบเรื่อยๆรอบต่ำๆ กินที่ 14โลลิตร
แต่พอเริ่มกด เริ่มทำเวลา ล่วงมา 10โลลิตร
รถติดๆก็ตามนิสัยเลย 8-9โลลิตร
เลยไม่รู้จะเรียกว่ามันกินดีหรือเปล่า ถ้าขับในเมืองก็กินใช้ได้ แต่พอขับเรื่อยๆ ดูดีเลยทีเดียว
เครื่องตัวเดียวกัน อยู่ใน Mini กับ BMW ยังกินน้ำมันไม่เท่ากันเลยครับ มันมีเงื่อนไขหลายอย่างเลย มันบ่งบอกตรงๆ ไม่ได้
แต่ถ้ารถกลุ่มเดี่ยวกัน พิกัดพอกัน คันอื่นๆ เขาอยู่ 14-15 km/L แต่อีกคันโผล่มาต่ำกว่า 12 km/h อันนี้เรียกว่า กินกว่า ชัดเจนครับ
-
มันขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้ด้วยนะครับ ถ้าเน้นจอด ขับไกล้ๆนานๆซัดที กินเยอะหน่อยก็ไม่ได้น่าเกลียด หรือเอาไปต่างจังหวัดความเร็วสูง อันนี้รถที่ว่าประหยัดบางทีเงื่อนไขนี้ก็ประหยัดไม่ออกเหมือนกัน บางทีเพราะรถรุ่นใหม่ๆมันบอกค่าการกินน้ำมันให้เห็นด้วย เราก็เลยกังวล
ถ้าชอบรถแต่ไม่อยากจ่ายค่าน้ำมันอาจจะลองใช้วิธีที่คุณดิวแก้ปัญหากับraptorดูครับ
-
คำว่า กินน้ำมัน สำหรับผมในยุคปัจจุบัน
อย่างผมสนใจ ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ แต่ไม่ซื้อก็เพราะเรื่องอัตราสิ้นเปลืองนี่แหละครับ
แต่ถ้าเป็นยุค 20 ปีก่อน อัตราสิ้นเปลืองระดับนี้ ผมรับได้นะ ;D :D
-
คำว่ากินสำหรับผมคือ
รถ A เติมน้ำมัน 500 ไป-กลับ 4 ครั้งน้ำมันยังเหลือ
กับ
รถ B เติมน้ำมัน 500 ไปเส้นทางเดิม 1 ครั้ง กลับไม่ทันถึงบ้าน ไฟน้ำมันหมดโชว์ต้องแวะปั้มแล้วครับ สำหรับผม รถ B คือกินน้ำมัน
-
ช่วยทำให้ซับซ้อนขึ้นไปอีกหน่อยครับ รถแรงๆสมัยใหม่จะมีเทอร์โบบางคันบูสตั้งแต่รอบต่ำๆ ขับทางไกลไม่กดหนักรอบต่ำพันกลางๆวิ่งได้ร้อยยี่สิบ จิบน้ำมันนิดเดียว แต่พอรีบหน่อยเดี๋ยวแซงเดี๋ยวเบรคซดน้ำมันขึ้นมาเท่านึง แบบนี้เรียกว่ารถกินน้ำมันมั้ยครับ?
อ่านแล้ว อยากแชร์บ้างครับ GLA200 1.6 ตัวแรก (Face Lift) ที่เคยใช้ ขับในเมือง 8-9km/l แต่พอขับทางไกลยาวๆ ได้ 17-18km/l เลยครับ แม่เจ้า ทำไมช่างต่างกันขนาดนี้ (Forester SK ในการขับเดียวกัน ในเมือง 11-12km/l นอกเมือง ได้ 17-18km/l)
-
คำว่ากินน้ำมันที่ยอมรับได้ส่วนตัวนะครับ 10-11 กม/ลิตร เกินกว่านั้นถือว่าดี แต่เคยใช้ mg hs มันกิน 4-6 กม/ลิตร ใช้ได้สองปีขายเลย ขาดทุนก็ยอม รถอะไรไม่รู้กินจุอย่างกับรถซุปเปอร์คาร์
-
ผมมีรถแค่ 2 คัน Civic FD กับ Subaru Forester
ที่จับจริงๆจังๆ จากปริมาณการเติมน้ำมันเต็มถังตลอด
เติม 95 ปั๊มบางจาก ทั้ง 2 คัน ผมขับคนเดียว ประมาณ 2.4-2.8 บาท/กิโล
ถ้าเกิน 3 บาทก็ไม่ค่อยน่าใช้แล้วครับ
-
BMW G30 530i เบนซินล้วน ในเมืองรถไม่ติดมากหน้าจอโชว์ 7.4 ลิคร ตกใจทำไมเครื่อง 2.0 Turbo
กินดุเดือดขนาดนี้ ตอนนี้เปลี่ยนมาใข้เป็น 520D ประหยัดขึ้นเยอะเลย 13.9 ลิตร วิ่งต่างจังหวัด 21 โล ลิตร