Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Gelatin ที่ เมษายน 17, 2025, 10:12:59
-
สวัสดีครับขออนุญาติปรึกษาหน่อยครับ พอดีแพลนไว้ว่าจะออกรถปลายปีนี้ตอนนี้กำลังเล็งอยู่ 3 ตัวเลือก รบกวนพี่ๆที่มีประสบการณ์ในการใช้มาก่อนช่วยในการตัดสินใจครับ
ส่วนใหญ่ใช้รถแค่ 2 เบาะคู่หน้า ใช้รถประมาณ 20000 km/ปี อยู่ในสถานที่ไม่สามารถชาจไฟจากบ้านได้ต้องไปชาจตามจุดชาจ อยู่ต่างจังหวัดที่ไม่ได้มีศูนย์ Benz/BMW ต้องขับรถไปจังหวัดข้างเคียงประมาณ 2-3 ชม ซื้อมาเป็นรถใช้คันเดียว ใช้รถทุกวัน
ลักษณะการขับถ้าขับคนเดียวขับเร็วพอสมควร ถ้ามีคนนั่งข้างๆก็ชอบขับสมูทๆครับ อยากให้เค้าได้นั่งสบาย (มีคนนั่งข้างแค่ประมาณสัปดาห์ละครั้ง) เลยไม่แน่ใจว่าไปทาง BMW หรือ Benz ดี
1.BMW 330e G20 LCI2
-สนใจรุ่นนี้เพราะได้ option ครบเต็มสุดในบรรดา 3คัน มีกังวลเรื่องแบตเตอรี่ไฮบริดบ้างแต่ไม่กังวลเท่า 350e เพราะเนื่องจากมี BSI&Warranty 5 ปี คุ้มครองอยู่แล้ว และชอบในคาแร็คเตอร์ของเครื่องเบนซินมากกว่าดีเซลซึ่งสมูทกว่า ได้ลำโพงตัวท็อป+กล้องรอบคัน
-ช่วงล่าง M adaptive ซึ่งตอนผมไปเทสรถมันค่อนข้างขับสนุกและถูกจริตผมมากๆ แต่เบาะแอบแข็งไปหน่อย+ช่วงล่างเฟิมไม่แน่ใจว่าถ้าเราขับในระยะเวลานานๆเช่นข้ามจังหวัดมันจะทำให้คนขับ/คนนั่งล้าหรือไม่
-หลักๆติดปัญหาเรื่องการชาจไฟ เนื่องจากมันเป็นการชาจด้วย AC ซึ่งค่อนข้างนาน และที่พักผมไม่สามารถชาจได้ ถ้าซื้อรุ่นนี้ผมวางแพลนไว้ว่าอาจต้องไปหาชาจตามจุดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ให้เต็มสัก 1 ครั้ง แต่ไม่แน่ใจว่าชาจน้อยไปรึเปล่า กลัวมันจะจุกจิกจากการที่เราชาจแบตน้อยไป
2.Benz C220d AMG Line W206
-ในฝั่งของ Mercedes ผมไม่กล้าไปซื้อตัว C350e เพราะเนื่องจากตัวรถมี warranty แค่ 3 ปี และช่วงล่างหลังเป็นถุงลม คิดว่าถ้าซื้อ 350e ยังไงก็ต้องซื้อ warranty เพิ่ม ซึ่งส่วนตัวมองว่าค่อนข้างเปลืองเงินไปหน่อยถ้าไม่ซื้อก็กลัวจะซ่อมบาน เลยมองไว้แค่ C220d ครับ
-โดยส่วนตัวผมชอบ design ทั้งภายนอกและภายในของ W206 มากที่สุดใน 3 คันเลยครับ แต่กังวลว่าถึงจะเป็นเครื่องดีเซลมันจะจุกจิกมั้ย เพราะจังหวัดที่ผมอยู่มันไม่ได้มีศูนย์ Benz และขับไม่สนุกเท่า BMW และ Option น้อยกว่า 330e (สิ่งที่ผมให้ความสำคัญคือลำโพง+กล้องรอบคันครับ) ไม่แน่ใจว่าแค่เซนเซอร์รอบคันนี่พอรึเปล่า
3.BMW 320d G20 LCI2
-แอบติดปลายนวมรุ่นนี้ไว้ด้วยเพราะมองว่าน่าจะคุ้มค่าที่สุดใน 3 คันนี้ แต่ไม่ชอบเครื่องดีเซลของรุ่นนี้ รู้สึกว่าตอนขับมันไม่ค่อยสมูทแล้วก็ไม่ได้ลากรอบสนุกเหมือนเบนซิน ช่วงล่างเฟิม+เบาะแข็งพอสมควร และไม่ได้ลำโพงตัวท็อป+กล้องรอบคัน กระจังหน้าสวย แต่ไม่ชอบตรง diffuser เท่าไหร่ รู้สึกว่ามันดูล้นๆ(ตัว 330e ก็เช่นกัน)
-ที่เลือกรุ่นนี้เพราะความคุ่มค่า+แอบหวังว่าเครื่องดีเซลของ BMW มันน่าจะไม่จุกจิกครับ
ขอบคุณพี่ๆทุกคนที่มาร่วมแชร์ความคิดเห็นล่วงหน้าครับ
-
ถ้า 3 ตัวเลือกนี้ เป็นผมจิ้มไปที่ 320D
1. 330e เหมือนวัดดวงบางท่านใช้ได้ดีไม่เจออะไร บางท่านเจอเรื่องแบตจุกจิก
และรุ่นนี้ควรได้รับการชาร์จไฟบ่อยๆถ้าไม่มีไฟเลยใช้น้ำมันวิ่งน่าจะกินน้ำมันน่าดู และ แอรืไม่เย็น
2. C220D ถ้าโช้คยังเป็นนถุงลมรั่วที่มีหลายตังค์ จะเปลี่ยนไปใช้ของจีนที่ถูกลงก็เสียความนุ่มนวล
ไม่เหมือนของเดิมติดรถ
-
พอไกลศูนย์ ผมเชียร์ ตัว 20d ครับ
ตัวรถอาจมีประกันครอบคลุม แต่เวลาเสียก็ไม่มีรถให้ใช้ และต้องเสียเวลา ทั้งวันขับไปกลับศูนย์อีก
-
เราตั้งใจจะใช้คันนี้นานแค่ไหนครับ เพราะตรงนี้เป็นอีกจุดที่ต้องคิดเผื่อสำหรับการเล่นรถกลุ่มนี้ครับ
ถ้าคิดว่า ใช้ 4-5ปีไม่เกิน หรือกะขายก่อนหมดวารันตีเล็กน้อย อันนี้ผมเชียร์ 330e นะ ... ที่ใครๆก็บอกว่ามีปัญหา โดยส่วนตัวผมคิดว่าก็อาจมีแต่น้อยมาก และค่ายนี้ถ้าเข้าศูนย์ดีๆ ก็จบไม่ยาก แต่สิ่งที่ได้มาคือ option ที่เวลาใช้เราจะมีความสุขมากกว่า กำลังความแรงก็ต้องบอกว่าหัวแถวเลย ไม่น้อยหน้าใคร ต้นกลางปลาย ไปได้หมด
แต่ถ้ากะว่าใช้ยาว 5ปี++ แนะนำดีเซลเลย ค่ายไหนก็ได้ครับแล้วแต่ option หน้าตาที่ชอบได้เลย
-
จากโจทย์ จิ้ม320Dไปครับ 330eจำเป็นต้องเลี้ยงไฟฟ้าไว้เกิน40%ต่ำกว่านี้แบตหมดเร็ว
และปล่อยแบตเหลือ5-10%บ่อยๆแบตจะเสื่อม ทำเรื่องเคลมศูนย์ยากครับ
ส่วนตราดาว หลังๆมาผลเลิกยุ่งกับตราดาว เหมือนตั้งเวลาอะไหล่เสียไว้
CLA C350e GLC300e ซื้อมาจอดไม่ค่อยได้ใช้ แต่อยู่ๆก็แจ้งเตือนเสียนู่นนี่นั้น
หรือถ้าคุณชอบฟิล330eจริงจัง การวิ่งโดยกดโหมด Sport Indi / Xtraboost ใช้เครื่องยนตร์ตลอดเวลา
(ในโหมดSport หรือ Sport indi ถ้าไม่ผลักเกียร์ไปซ้ายมือ ตอนรถหยุดเครื่องดับใช้ไฟฟ้าล้วน และจะสตาร์เองเมื่อกดคันเร่งวิ่ง)<<<คุณอาจรำคาญ
นั้นสามารถทำได้แค่กดทุกครั้งเมื่อสตาร์รถ รับตรงนี้ได้ก็จัดไปครับ 8)
-
320d เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ รุ่นนี้น่าจะเป็นรุ่นสุดท้ายแล้วที่ไม่มี AdBlue ทน ไม่จุกจิก ใช้ได้ยาวๆ (แต่ผมไม่ได้ใช้นะไม่แน่ใจว่ายังปิด start/stop ได้อยู่ไหม ส่วนตัวมี X5 diesel ซึ่งไม่มีที่ปิด start/stop แล้วในรุ่นใหม่)
330e โดดเด่นเรื่อง option ความแรง ขับสนุกกว่า 320d แต่ไม่ประหยัด เต็มที่ที่ผมขับได้ไม่เกิน 17 km/l ในโหมด sport ส่วน mode hybrid หรือ eco pro ไม่ค่อยได้กดใช้เลย จะใช้แค่ตอนคลานๆในเมือง เคยมีตอนเดินทางไกลที่ออกจากเมืองแล้วลืมกด sport ถ้าจำตัวเลขไม่ผิดจะได้ประมาณ 21 km/l มั้ง ส่วน battery ถ้าไม่มีเวลาชาร์จก็ขอเดือนนึงชาร์จไฟเข้าไปสัก 2 ครั้งเพื่อให้กระตุ้น cell battery บ้าง และถ้าแบตหมดให้กด mode sport มันจะชาร์จไฟเข้าไปไม่เกิน 1 ขีด ซึ่งพยายามรักษาระดับนี้ไว้ครับ สุดท้ายถ้าลำคานเรื่อง start/stop ให้ผลักเกียร์ลงอีกทีมันจะเข้า S อันนี้เครื่องจะไม่ดับเลย แต่รถจะลากรอบ
สรุป BMW series 3 เป็นรถที่ขับสนุก ขับมัน มั่นใจ สั่งได้ดั่งใจ แต่นั่งไม่สบาย ยิ่งมีผู้โดยสารหลังบ่อยๆน่าจะไม่ชอบแน่ๆ
C220d ไม่เคยใช้ ใช้แต่ C300 BH ซึ่งมี AdBlue และคิดว่า C220d ก็น่าจะมี AdBlue เช่นกัน อารมณ์ขับเรื่อยๆ ออกแนวผู้ใหญ่ นั่งสบายกว่า BMW series 3 บู้ได้เหมือนกัน และจะมีปัญหาเรื่องของหัวฉีด AdBlue ตันราคาเปลี่ยนเอาเรื่องอยู่ มันมาตอนประมาณแสนโล ผมมองว่าการ service ต้องดูแลมากกว่า BMW ครับ
-
มี BSI แต่ซ่อมไม่จบ จอดศูนย์ทียาวๆ ก็ไม่สนุก นะครับ
-
ผมแนะนำเลือกคันที่เราขับแล้วชอบครับ ยิ่งขับทุกวัน ถ้าไม่ชอบฟีลดีเซลอย่าไปฝืนเอามาครับ
(ผมก็ไม่ชอบยิ่งในบอดี้เก๋งนี้ไม่เข้ากันเลย)
ยกเว้นมี mild-hybrid มาช่วยก็จะสมูทขึ้นเยอะ ไม่แน่ใจว่า 320d มีมั๊ยนะครับ (เทียบ X5 30d ไม่มี mild-hybrid ที่เคยเทสกับ X7 40d มี mild-hybrid ที่ขับอยู่ X7 สมูทกว่าเยอะมากครับ)
ส่วนเรื่องการชาร์จ ผมเคยมี G30 สองคัน 530e m-sport pre-LCI กับ 530e m-sport LCI ซื้อเพราะเครื่องและ options ทั้งคู่ คัน pre-LCI ผมได้แถม wallbox charger มาก็ไม่เคยติดเพราะหน้าตาไม่สวย ทั้งสองคันผมแทบไม่เคยเสียบสายชาร์จ น่าจะชาร์จไม่เกิน 5-6 ครั้ง ตลอดเวลาที่ใช้รถจนขายไปทั้งคู่ (ใช้ไปประมาณ 4ปีกว่าทั้ง2คัน) ผมอาจจะโชคดีที่ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย ขับและเข้าศูนย์เช็คระยะตามปกติแค่นั้นเลยครับ
สำหรับการปิด auto start-stop ใน X7 40d ก็ไม่มีปุ่มให้ปิด ผมใข้วิธีซื้ออุปกรณ์มาเสียบ OBD แล้วใช้ bimmercode ปิดเอาเองครับ
ข้อสังเกตุนิดของ 330e คือท้ายรถเก็บของได้น้อยเพราะเสียพื้นที่ให้แบต
ขอให้ได้รถที่ถูกใจครับ
-
m340i มือสองครับ รถดีขับง่ายไม่ต้องกังวลไฮบริด อยากแรงก็แรงได้
-
320d ยาวๆ เลย
-
ลองดู 330Li มั้ยครับ เบนซินไม่ไฮบริด แต่ติดที่ตัวยาวไปหน่อย และเข้าใจว่าไม่ได้ช่วงล่าง Adaptive M
-
ผมเคยมีโจทย์แบบนี้เหมือนกันเลยครับ
อยากให้ compact sedan เครื่องเบนซีน แต่ต้องขยับไป 340 ซึ่งราคารวม BSI ไป 4 ล้านต้น ๆ เลย
กลับมามองตัวเลือก 320d 330e 220d ผมลองขับมาทั้ง 3 คันแล้ว
เครื่องดีเซลมันดูเป็นคำตอบ ของการใช้ระระยะยาวที่สุด
แต่ผมเองไม่ชอบบุคลิกของเครื่องดีเซลเลย แม้จะมี Hybrid มาช่วยช่วงความเร็วต่ำ
แต่ตอนทำความเร็วมันไม่ค่อย smooth เมื่อเทียบกับ 330e
330e ตอนนี้วิ่งได้ 100 km แล้วดูเป็นทางออกที่น่าสนใจ เว้นแต่ขับทางไกล อาจจะต้องเติมน้ำมันบ่อยหน่อย
แต่เพราะมาดูโจทย์ เรื่องการชาร์ต คิดว่าดูจะได้ใข้ประสิทธิภาพรถไม่เต็มที่ อาจเป็นภาระของเครื่องที่ต้องแบกแบตเตอรีด้วน
ส่วน 320L 330L ผมไม่เคยสัมผัสรถครับ แต่คิดว่าน่าจะไปทาง 220d
ไม่แน่ใจว่ายังเหลือรถไหม อาจจะเป็นทางออกที่ดีสุด
-
330e คับ
ท้ายกวาด ตบรถกะบะได้เพราะมีนํ้าหนักแบตท้ายรถ
รถขับหลังพ่วงแบต😉
อัตราเร่งดีกว่า
ประหยัดนํ้ามันถ้า charge ทุกวัน
Options มาเยอะพอสมควร
ความละมุน, เสียงเครื่องยนต์, ความสั่นสะเทือน และ amenities แม้ราคาซื้อป้ายแดงจะต่างกันไม่มาก
320d อาจได้เรื่องเดียวก่อนหมด warranty คือราคาขายต่อก่อนเปลี่ยนคันใหม่
-
ไป C Class เถอะครับ ภาพลักษณ์มันไม่ได้
-
ผมเชียร์แวกแนวนะครับ ผมขอเชียร์ 𝙼𝚎𝚛𝚌𝚎𝚍𝚎𝚜-𝙱𝚎𝚗𝚣 𝙲-𝙲𝚕𝚊𝚜𝚜 𝙲𝟸𝟸𝟶𝚍 ละกันครับ เหตุผลส่วนตัวเลยผมคุยกับคนรอบๆข้างที่ใช้ 𝙱𝙼𝚆 ตอนนี้มี 𝙱𝚂𝙸 ก็ไม่ได้เครมง่ายแบบสมัยก่อนนะครับ ผมว่าการมี 𝙱𝚂𝙸 ของ 𝙱𝙼𝚆 ตอนนี้มันไม่น่าสนใจเหมือนเมื่อก่อนแล้วครับ แล้ว คหสต. ผมๆก็ชอบงาน 𝙳𝚎𝚜𝚒𝚐𝚗 ของ 𝙼𝚎𝚛𝚌𝚎𝚍𝚎𝚜-𝙱𝚎𝚗𝚣 𝙲-𝙲𝚕𝚊𝚜𝚜 𝙲𝟸𝟸𝟶𝚍 มากว่า 𝙱𝙼𝚆 𝚂𝚎𝚛𝚒𝚎𝚜-𝟹 𝟹𝟸𝟶𝚍 , 𝟹𝟹𝟶𝚎 นะครับ ถ้าชอบงานออกแบบ 𝙲-𝙲𝚕𝚊𝚜𝚜 ก็ไป 𝙲-𝙲𝚕𝚊𝚜𝚜 เถอะจะได้ไม่คาใจภายหลัง
-
ใช้ทุกวัน เป็นรถหลัก เป็นรถคันเดียวด้วย ถ้าต้องเข้าศูนย์ ต้องขับไป 2-3 ชม. .... เงื่อนไขแบบนี้ จริงๆผมไม่ชอบเลย เลือกคันไหนก็มีโอกาสเหนื่อยได้ มีปัญหาได้
ที่บ้านเคยผ่านเรื่องราวแบบนี้มาแล้ว สุดท้ายก็ขายทิ้งไป
-
ถ้าเป็นผม จะเลือก BMW ครับ ด้วยเหตุผลดังนี้
- หักส่วนลดแล้ว BMW ถูกกว่าประมาน 300k
- ถูกกว่าแถมยังได้ออฟชันเยอะกว่า
- ทนกว่า หากใช้ไป 5 ปีแล้วไม่พร้อมเปลี่ยนรถคันใหม่ มันใช้ต่อยาวได้ถึง 10 ปีโดยที่เครื่องและเกียร์ไม่งอแง
- อัตราเร่งดีกว่า
- ประหยัดน้ำมันมากกว่าแบบมีนัยยะสำคัญเลย
- อย่าลืมว่า BSI 5 ปี มันรวมค่าของเหลวด้วย ใน 100k กิโลแรก ถ้าใช้ 220d ต้องมีค่า srvice เพิ่มไปอีกอย่างน้อย 100k
- หักส่วนลด + ค่า service จะทำให้ 220d แพงว่า 320d อยู่ประมาน 400k แต่สมรรถนะด้อยกว่าทุกด้าน
ลองตัดสินใจดูครับ