Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: solo ที่ พฤศจิกายน 06, 2025, 14:25:42
-
รถจะเป็นเหมือนโทรศัพท์บ้าน อีกหน่อย "รถยนต์ที่บ้าน" อาจไม่จำเป็นต้องมีอีกต่อไป...
ครั้งหนึ่ง โทรศัพท์บ้าน เคยเป็นสิ่งจำเป็นในทุกบ้าน ทุกคนต้องมีหมายเลขโทรศัพท์ไว้ติดต่อกัน แต่พอ โทรศัพท์มือถือ เข้ามา...
โลกก็เปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง
ในช่วงแรก คนยังไม่กล้าเลิกใช้โทรศัพท์บ้าน เพราะอยากมีไว้เพื่อความสบายใจ เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนเริ่มรู้ว่าโทรศัพท์บ้านแทบไม่ได้ถูกใช้อีกเลย และสุดท้ายก็ไม่มีใครยอมจ่ายเงินรายเดือนเพื่อสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป
📌 เรื่องแบบเดียวกันนี้กำลังจะเกิดขึ้นกับ รถยนต์ส่วนตัว
วันนี้ การมีรถเป็นของตัวเองยังเป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพและความสะดวกสบาย แต่ในอีกไม่นาน เมื่อเทคโนโลยี รถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Vehicle) พัฒนาไปถึงจุดที่พร้อมให้บริการจริง เราอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เหมือนที่โทรศัพท์บ้านเคยเจอ
Tesla, Waymo, Cruise, และบริษัทรถยนต์ใหญ่ทั่วโลก ต่างกำลังเร่งพัฒนา Robotaxi รถไร้คนขับที่ให้บริการเหมือนแอปเรียกรถ แต่ไม่ต้องมีคนขับอยู่หลังพวงมาลัยเลย
ในช่วงแรก คนอาจยังอยากมีรถไว้ที่บ้านเพื่อความอุ่นใจ แต่เมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้เริ่ม ถูกลง ใช้ง่ายขึ้น และปลอดภัยขึ้น พฤติกรรมของผู้บริโภคก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนไป
เพราะการมีรถส่วนตัวมี ต้นทุนแฝง จำนวนมาก ทั้งค่าผ่อน ค่าน้ำมัน ค่าประกัน ค่าซ่อม และค่าเสื่อมราคา ในขณะที่ Robotaxi จะทำให้ผู้บริโภคจ่ายเฉพาะเวลาที่ใช้งานจริง เหมือนกับการ เติมเงินมือถือ แทนการ ติดสัญญาโทรศัพท์บ้านรายเดือน
📌 แม้แต่ Tesla เองก็อาจจะเลิกขายรถ ?
ล่าสุดทาง Elon Musk ได้ออกมายอมรับผ่าน All In Podcast ว่ามีความเป็นไปได้ที่ Tesla อาจจะหยุดขายรถในอนาคต ในวันที่ Robotaxi กระจายไปทั่วโลก
เพราะการผลิตรถเพื่อทำ Robotaxi ในพื้นที่ต่างๆ จะทำกำไรกลับมาให้บริษัทได้มากกว่าการขายรถเป็นสินค้าหลายเท่าตัว
-
ต้องดูอย่าง เครื่องบิน ยังมี private jet เรือ ยังมี เรือยอร์ช ทำไมมันถึงต้องมีพาหนะส่วนตัว
เป็นไปได้ว่า รถส่วนตัวจะหายไปเยอะ แต่ไม่ใช่จะไม่มี
ปัจจุบัน ยังมี land line อยู่เลย
ยิ่งเป็นของที่คนเอื้อมถึง มีปํญญาซื้อ ผมว่ามันไม่หายไปไหน
กรุงเทพ แต่ก่อนไม่มี MRT มีคนบอกว่า มีแล้วถนนจะโล่ง เพราะคนไปใช้ MRT แล้วเป็นไง ตอนนี้ติดมากกว่าเดิม
คนมีรถ เยอะเลยที่ไม่เคยแม้แต่จะขึ้นแท็กซี่ BTS MRT ยิ่งรถเมล์ คืออะไรนะ ลืมไปเลย
มีตังแล้ว ความสดวกสบายเป็นหลัก ค่าใช้จ่ายอาจเป็นเรื่องรอง
-
ถ้าหมายถึง Level 5 (Full Driving Automation) ผมว่ายังอีกนาน
และคงได้เฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วด้วย
ผมไม่เชื่อว่ามันสามารถจะใช้งานในประเทศที่การจราจรมีความวุ่นวายแบบไทย อินเดีย เวียดนามได้นะ
-
มือถือยุคแรก รุ่นถังน้ำเครื่องเป็นแสนครับ แถมใหญ่และหนัก แบกกันหลังหัก ตอนนั้นข้าวจานละ 10 บาท
ผ่านมาน่าจะเกือบ 20 ปี ถึงทำราคาเป็นเครื่องหลักพัน ที่พกได้สะดวก
เทคโนโลยีต้องใช้เวลา กว่าจะทำราคา และฟังชั่นให้คนทั่วไปเข้าถึงได้
แต่บางอย่างแพงอย่างไร ก็แพงเหมือนเดิม ไม่ได้ถูกลงเลย
และอีกอย่างประกันไม่ได้โทษรถ เวลาชนขึ้นมาก็โทษคนขับอยู่ดี ต้องรับตรงนี้ให้ได้ด้วย
-
มันง่ายนิดเดียวครับ
ผมเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ถือว่าเป็นการแชร์ นะครับ
ในประเทศที่ การสัญจร การเดินทาง หรือ การใช้ชีวิต มีการให้บริการที่เรียกว่า "ขนส่งสาธารณะ" ที่
1. เข้าถึงทุกพื้นที่ ครอบคลุมพื้นที่(มากที่สุดที่จะเป็นไปได้)
2. เวลาการให้บริการ แม่นยำ ชัดเจน บริการตลอด (ไม่ใช่ชั่วโมงนึงมาเที่ยวนึง)
3. สะดวกสะบาย ไม่แออัด
4. ค่าใช้จ่ายหรือค่าบริการไม่แพง
มีแค่ 4 ข้อนี้ ผมว่า รถยนต์ส่วนบุคคล มันจะหายไปเยอะมากแล้ว
เพราะ คนที่ใช้ชีวิตโดยการใช้บริการ "ขนส่งสาธารณะ" ที่สะดวกสะบาย(จริงๆ) จะมองว่า รถยนต์ส่วนบุคคล คือ ภาระ....!!!! ไม่ใช่ ปัจจัยที่ 5 (เหมือนบางคน)
สังเกตุง่ายๆ บางประเทศ ที่การให้บริการ "ขนส่งสาธารณะ" ดี หรือ ดีเยี่ยม จำนวนคน vs จำนวนยอดขายรถ(หรือจำนวนรถ) จะน้อย ถ้าเทียบกับ ประเทศที่การบริการ "ขนส่งสาธารณะ" ที่ไม่ดีหรือเข้าไม่ถึง
แล้วเวลาการเปลี่ยนแปลง หรือ disturb จริง มันจะง่ายต่อการเปลี่ยนแปลง เพราะคนที่เปลี่ยนคือผู้ประกอบการ(ไม่กี่เจ้า) และ พวกนี้เขาเงินถึงอยู่แล้ว
แต่....ที่รถยนต์ส่วนบุคคล ยังขายได้ หรือ ขายดีอยู่ ก็เพราะ การให้บริการ "ขนส่งสาธารณะ" ไม่ค่อยดีนี่ละครับ
ผมอยู่ โรม (อิตาลี) ถามผมตรงนี้ ว่า อยากซื้อรถไหม ผมตอบเลยไม่ว่า เพราะผมเดินทางไปไหน ด้วยรถไฟฟ้าได้หมดทั้งเมือง สะดวกสะบาย แม้กระทั้งไปต่างเมือง(อย่างฟอเร้นซ์ หรือ มิลาน ก็ตาม)
ถ้าผมจะซื้อ ก็คงซื้อมาสนอง need แบบซื้อ เฟอรารี่ แลมโบ อะไรแบบนั้นไปเลย
-
1. ที่โทรศัพท์มือถือมาทดแทนโทรศัพท์บ้านไม่ใช่เพราะมันเป็นโทรศัพท์
แต่มันเป็นคอมพิวเตอร์พกพาที่โทรศัพท์ได้ และมันมากับ Eco System พวก internet และ wifi ที่ส่งเสริมกัน
2. เมืองใหญ่ที่ขนส่งสาธารณะสะดวก แต่ก็ยังไม่ถึงประตูบ้าน ต้องเดินต่อ มีตากแดด มีตากฝน มีหิ้วของ และเบียดเสียด
3. ประเทศที่เจริญยังไง ชนบทยังต้องใช้รถส่วนตัว ถึงจะมีขนส่งสาธารณะแต่ก็ไม่ถี่ และรอนาน
4. เครื่องใช้ไฟฟ้าถูกลง เคยมีคนคิดมั้ยว่าราคาของมันเป็นค่านวัตกรรมเท่าไหร่ ค่าวัสดุเท่าไหร่ ลองแยกโครงสร้างราคามันดู เอาง่ายๆ เครื่องใช้ประเภท Gadget กับพวกตู้เย็น เครื่องซักผ้า จะเห็นว่าโครงสร้างต้นทุนไม่เหมือนกันและราคาเปลี่ยนแปลงคนละแบบ
5. Autonomous / MaaS จะมา disrupt ในเชิงอาชีพมนุษย์มากกว่า อาชีพง่ายๆ อย่างคนขับรถก็จะตกงาน ส่วนบริษัทรถยนต์ก็จะขยายไปทางด้าน Software และ Services ด้วย
-
1. ที่โทรศัพท์มือถือมาทดแทนโทรศัพท์บ้านไม่ใช่เพราะมันเป็นโทรศัพท์
แต่มันเป็นคอมพิวเตอร์พกพาที่โทรศัพท์ได้ และมันมากับ Eco System พวก internet และ wifi ที่ส่งเสริมกัน
2. เมืองใหญ่ที่ขนส่งสาธารณะสะดวก แต่ก็ยังไม่ถึงประตูบ้าน ต้องเดินต่อ มีตากแดด มีตากฝน มีหิ้วของ และเบียดเสียด
3. ประเทศที่เจริญยังไง ชนบทยังต้องใช้รถส่วนตัว ถึงจะมีขนส่งสาธารณะแต่ก็ไม่ถี่ และรอนาน
4. เครื่องใช้ไฟฟ้าถูกลง เคยมีคนคิดมั้ยว่าราคาของมันเป็นค่านวัตกรรมเท่าไหร่ ค่าวัสดุเท่าไหร่ ลองแยกโครงสร้างราคามันดู เอาง่ายๆ เครื่องใช้ประเภท Gadget กับพวกตู้เย็น เครื่องซักผ้า จะเห็นว่าโครงสร้างต้นทุนไม่เหมือนกันและราคาเปลี่ยนแปลงคนละแบบ
5. Autonomous / MaaS จะมา disrupt ในเชิงอาชีพมนุษย์มากกว่า อาชีพง่ายๆ อย่างคนขับรถก็จะตกงาน ส่วนบริษัทรถยนต์ก็จะขยายไปทางด้าน Software และ Services ด้วย
ผมเห็นด้วยกับความเห็นนี้นะ
-
ผมไม่อยากฝากชีวิตไว้กับระบบอัตโนมัติครับ....
-
Robotaxi ลองมาเจอถนนในกรุงเทพฯจะรอดหรอ ... มอไซด์เอย เส้นถนนที่ซับซ้อน เผลอๆไม่มีเส้นถนนอีก งงเลยทีนี้ แต่ถ้ามันฉลาดพอ และใช้ได้จริงก็ดี แต่ ...
รถยนต์สำหรับคนไทย บางทีมันเป็นเครื่องประดับ เป็นเครื่องบอกฐานะครับ ... บางคนมีรถ 2-3 คัน ใช้คนเดียว เค้าซื้อมาทำไมอะ มันคือเครื่องบอกฐานะ
ดังนั้น Robotaxi ถ้าจะมา มันก็แทนที่คนที่ใช้ taxi เป็นประจำเท่านั้นแหละ เมื่อก่อน เราโบก taxi ตามป้ายรถเมล์ เดียวนี้เรียกผ่าน App มารับถึงหน้าบ้าน ผมว่ามันทำได้เท่านี้แหละ
-
ถ้า robotaxi หรือ ขับอัตโนมัติ อย่างเดียว
และ ถนนถูกออกแบบมา เพื่อการขับขี่อัตโนมัติ มันง่าย
แต่การที่โครงสร้างถนนเดิม รถสาระพัดชนิดโดยคนบังคับควบคุม มันหลากหลาย
การจะก้าวข้ามให้รถขับเอง สมบูรณ์แบบ มันไม่ง่ายและใช้เวลาเยอะ
แต่ sharing car มันต้องเกิดแน่ๆ
ทุกคนใช้รถ ต่างคนต่างใช้ พลาญทั้งทรัพยากรธรรมชาติ และกินพื้นที่ถนน
ค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกต้นทุน/คน มันสูง และ การทำลายสิ่งแวดล้อม ที่เข้าใกล้ limit เรื่อยๆ
มันต้องหาทางออก
ระหว่างนี้ การมี grap taxi มีคนขับ ทดแทนขับขี่อัตโนมัติ
รถคันนึงซื้อคนเดียว แต่ใช้เแบบ taxi เยอะๆ คุ้มๆ ใช้ด้วยกันหลายคน
มันก็ไม่เลว ไม่ต้องถึง ขับขี่อัตโนมัติ ก็ได้
บางที รถ function เยอะ ล้ำๆ แต่ล้ำไม่กี่ปี ก็ตกรุ่นต้องเปลี่ยน
บ้านเรา ไม่ได้รวย ไม่ได้เป็นเจ้าของแบรนด์รถ
ยิ่งซื้อเยอะ ยิ่งขาดดุลการค้าเยอะ
รถง่ายๆ ซ่อมถูกหน่อย ใช้ได้นานๆ ประหยัดไฟ ประหยัดน้ำมันไปก่อน
คนไทยขับ คนไทยได้เงิน แต่ถ้าให้ระบบต่างชาติขับ ต้องเสียเงินให้ระบบต่างชาติ
จนถึงเวลา ระบบขับขี่เสถียร ซ่อมถูก ค่อยว่ากันอีกที
-
เห็นช่วงนี้มีการแชร์บทความนี้บ่อยมากในเฟสบุ๊ค ไม่รู้ต้นทางมาจากไหน แต่เดาๆว่าน่าจะมาจากจีนนี่แหละ เพราะไม่มีลิ้งค์ต้นทางในคำกล่าวของอีลอน
ผนวกกับช่วงนี้เห็นคลิปรถส่งของเองใน TT เยอะมาก
แต่เชื่อว่าสิ่งๆนี้คงไม่เกิดในเร็ววัน
ผมชอบเรื่องเครื่องบินมานานแล้ว จริงๆ เครื่องบินพาณิชย์เองก็สามารถบินโดยไม่ต้องใช้นักบินมาเป็น 10ปี แต่ถ้าเครื่องบินตก คราวนี้เขาจะไปโทษใครล่ะ???
-
Autonomous ยังไงก็มาครับ แต่ไม่น่าจะระดับ 5 ปีครับ
อย่างในจีน ถ้าเมืองใหญ่ๆ ที่วางระบบกันมาดี ไฟแดงลิ้งกับ map ในมือถือมันก็ง่ายครับ พอจะประเมินการจราจรได้
แต่มาเจออย่างในไทย ถนนเส้นเลนไม่ตี / ตีใหม่แล้วเส้นเก่าไม่ลบ ขับๆอยู่เลยหาย ก็นึกไม่ออกว่า จะตอบสนองยังไง
ไม่นับเรื่อง มอเตอไซต์ที่ ทั้งแทรก ปาด จอดกลางแยก ขับสวนเลน แค่ขับรถที่เบรคเองได้ ก็หัวทิ่มมาหลายครั้งแล้ว
Car Share น่าสนใจครับ แต่ในเมืองอย่างกรุงเทพฯ ที่ทุกอย่างมันกระจุกกันอยู๋ในเมือง มันอาจไม่เวิคครับ ยังไงคนส่วนใหญ่ก็เดินจากบ้านชานเมืองเข้าทำงานในเมือง สุดท้ายมันก็ติดเหมือนเดิม เปลี่ยนจากขับเองเป็นติดบน Autonomous Taxi แทน
ปัญหาของ Car Share คือ มัน คาดการไมไ่ด้ครับ บางทีไม่มีรถให้เรียก บางทีรอนาน
-
Robotaxi มาเจอ มอไซด์ ไร้วินัยในประเทศไทย ก็ร้องไห้เหมือนกันครับ ::) ::) ::)
ส่วนตัวคิดว่า Robotaxi มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับประเทศที่มีวินัยการจราจรเข้มงวด
แต่การจะมาแทนกันเลย ผมว่าน่าจะยังยากอยู่ และคงใช้เวลาอีกนาน
-
ก็เป็นไปได้ตามที่ท่านกล่าวมา แต่ถ้าสำหรับในบ้านเรา ช่วงชีวิตของพวกเราคงไม่ทันได้เห็นอะไรแบบนั้นหรอกครับ