Headlight Magazine : community
General => User's Voice => ข้อความที่เริ่มโดย: tfirst01 ที่ มิถุนายน 02, 2009, 12:53:25
-
สวัสดีครับสมาชิก headlightmag ทุกท่าน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกนะครับที่ผมทำ review รถของตัวเอง ก็ได้แรงบันดาลใจจากคุณจิมมี่และเพื่อนๆสมาชิกในนี้ล่ะครับ ต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าผมไม่ได้มีความรู้และความสามารเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์หรือการเขียนเท่าไหร่ คงจะเขียนออกมาแนวเล่าสู่กันฟังมากกว่า รถผมก็ไม่ได้พิเศษอะไร เป็นรถตลาดคันหนึ่ง ที่ปัจจุบันตกรุ่นไปแล้วแต่ก็ยังมีหลายคนถามถึงในฐานะรถมือสองอยู่ เอาล่ะครับมารู้จักเจ้านี่กันเลยดีกว่า
-
รถผมคือ Honda civic 1.7 vti ปี 2003 ครับ บอกแล้วว่าเป็นรถตลาดธรรมดาๆ ไหนๆแล้วเราก็มาดูประวัติย่อๆของเจ้าตัวนี้กันหน่อยครับ
Honda civic โฉม es นี้เปิดตัวในประเทศไทยประมาณปลายปี 2000 ครับ ทำตลาดอยู่จนถึงปลายปี 2005 จึงมี civic FD มารับช่วงต่อ เปิดตัวมาด้วยสโลแกนมุมมองใหม่ new dimension สร้างความฮือฮาโครงร้างห้องโดยสารด้านหลังแบบพื้นเรียบ รวมทั้งเครื่องยนต์ขนาด 1.7L มีทั้งแบบ vtec และไม่มี vtec ให้เลือกตามแบบฮอนด้ายุคก่อน ตลอดการทำตลาดมีการ minorchange 2 ครั้งครับ เลยจะเห็นเจ้า civic มี 3 โฉม เพื่อความสะดวกผมขอเรียกว่า โฉม1 โฉม2 โฉม3 นะครับ
-
โฉม1 ทำตลาดตังแต่เปิดตัวครั้งแรกปลายปี 2000 จนถึงต้นปี 2003 มี 2 เครื่องยนต์ให้เลือกคือ exi เครื่องธรรมดาล้อแม็ก 14 นิ้วและ vti เครื่อง vtec ล้อแม็ก 15 นิ้ว ในแต่ละแบบเครื่องยนต์ก็แบ่งรุ่นย่อยอีกอย่างละ 3-4 รุ่นตามระบบส่งกำลังและออปชั่น มีสีให้เลือก 6 สี เงิน-ทอง-น้ำเงิน-แดงรอยังรูบี้-เทาซิกเน็ท-น้ำตาลเข้ม ระหว่างการทำตลาดมีการปรับออปชั่นบางอย่าง เช่น เครื่องเสียงรุ่น vti เปลี่ยนจากวิทยุเทป 1din เป็น วิทยุ-เทป-ซีดี 2din และช่วงปลายๆโฉม1 ก็ถอดสีน้ำตาลเข้มออกแล้วเอาสีดำไนท์ฮอว์กเข้ามาแทน
-
โฉม2 ครับ ตัวนี้คือแบบเดียวกะเจ้า civic ของผมเอง เปิดตัวตอนต้นปี 2003 ครับ ประมาณเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคมนี่ล่ะ(ชักจะแก่ละ ขี้หลงขี้ลืม) การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้คือภายนอกคือ กระจังหน้า กันชนหน้า เสกิร์ทข้าง ล้อแม็กลายใหม่ทั้ง exi/vti ไฟท้าย ภายในได้มาตรวัดเรืองแสง มีการปรับการตกแต่งภายในนิดหน่อย แล้วก็รุ่น vti จะได้เหล็กกันโคลงหลังทุกรุ่นย่อย(ต่างจากโฉม1 ที่ให้มาแต่รุ่นท็อป vti-asl) มีสีให้เลือก 6 สีเหมือนเดิมครับแต่มีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยครับ สีทองเปลี่ยนเบอร์สีดูแล้วทองอ่อนกว่าเดิม ถอดสีเทาซิกเน็ทออกเปลี่ยนเป็นฟ้าไอซ์บลู สีดำมีให้เลือกเฉพาะรุ่น vti ไม่กี่เดือนหลังเปิดตัวก็มีรุ่นเครื่องยนต์ 2.0L มาให้เลือกครับ เป็น k20a 155 แรงม้า ล้อ 15 นิ้วเท่า vti แต่ลายใหม่พร้อมยาง yokohama จากญี่ปุ่น เพิ่มเสกิร์ทหลัง ภายในตกแต่งด้วยสีดำ/ลายไม้ ได้ยางขอบประตูกันเสียงเกรดดีขึ้น ได้ระบบกันขโมยด้วย สีตัวถังมีการปรับนิดหน่อย สีทองเป็นทองเดเสิร์ทมิสท์(เป็นทองเข้มแบบ accord G7) ถอดสีฟ้าออกเอาสีเทาซิลเวอร์สโตนให้แทน โฉม2 นี้ทำตลาดสั้นมากครับแค่ปีกว่าๆเท่านั้นก็ต้องปรับเป็นโฉม3 ตาเหยี่ยวตามตลาดโลก
-
โฉม3 หรือที่หลายๆคนเรียกกันว่าตาเหยี่ยวครับ ตัวนี้อกมาทำให้คนซื้อโฉม2 ต้องช้ำใจแท้ๆเลย ออกมาตอนประมาณปลายปี 2004 ครับ ปรับปรุงหน้าตาออกมาสวยกว่าเดิมชัดเจน ด้านหน้ายกใหม่หมดด้วยไฟหน้าใหม่ รวมทั้งกระจังหน้า กันชนหน้า บังโคลน ด้านหลังได้กันชนใหม่มีเสกิร์ทในตัว รุ่น 1.7vtec ได้ล้อแม็กลายใหม่ ภายในได้เครื่องเสียงชุดใหม่ เล่น mp3/wma ได้และมีช่อง aux มาให้ ตัวถังถอดสีฟ้าออกให้สีเทาซิลเวอร์สโตนมาแทน รุ่น 2.0L ได้ไฟหน้าไฟท้ายแบลกลุค ภายในเปลี่ยนจากตกแต่งด้วยลายไม่เป็นอลูมิเนียมแทน ตัวนี้ทำตลาดได้แค่ปีกว่าเช่นกันเพราะต้องหลีกทางให้ civic FD ออกมาในช่วงปลายปี 2005
-
civic es ตัวนี้เปิดตัวเป็นรุ่นใหม่ออกมาเป็นอันดับ 2 (ตามหลัง sunny neo) ในขณะที่เพื่อนฝูงกำลังอยู่ในช่วงปลายอายุตลาด เลยเป็นกระแสฮือฮาพอตัว ทั้งจากการใช้เครื่องยนต์พิกัด 1.7 และเป็นเจ้าแรกที่มีพื้นห้องโดยสารหลังแบบเรียบ กวาดยอดจองมากมายตั้งแต่วันแรกทั้งๆที่ตั้งราคาไว้แรงพอสมควร(ตัวท็อป 8.54 แสนบาท) ทั้งๆที่ตอนนั้นก็เริ่มมีกระแสบ่นว่าเจ้า ES นี้หน้าตาไม่สวยพอ แถมงานออกแบบทั้งภายนอกภายในยังไม่หนีไปจากตาโตตัวเดิม(ที่สวยสะดุดตากว่า) และก็เกิดเรื่องเมื่อโตโยต้าเปิดตัว corolla altis ที่สร้างกระแสฮือฮาได้ยิ่งกว่าด้วยรูปทรงแปลกใหม่หวือหวา เครื่องยนต์ vvt-i ไฮเทค พร้อมตั้งราคาแพงกว่าด้วยรุ่นท็อปเฉียดล้าน ยอดขายของ civic จึงตกเป็นรองเรื่อยมาจนสิ้นสุด generation (แถมตอนปลายๆอายุยังเจอกระแส mazda3 มา zoom zoom แย่งยอดขายไปอีกส่วนหนึ่ง) ด้วยเหตุนี้เจ้า civic es จึงต้องดิ้นรนต่อสู้เต็มที่ สังเกตจากการ miorchange ถึงสองครั้ง เพิ่มทางเลือกเครื่องยนต์ แถมสารพัดรุ่นพิเศษมากมาย แต่ถึงยังไงยอด altis ก็นำอย่างใสๆ สร้างกำไรอิ่มหนำมากมายแถมยังยืดอายุการตลาดได้เป็น 7 ปีทีเดียว
-
ประวัติศาสตร์ชักจะไม่หอมหวานเท่าไหร่ เราข้ามมาดูเจ้า civic 1.7vtec ของผมกันดีกว่าครับ ผมถอยป้ายแดงมาช่วงเดือนเมษายน 2003 ครับ ขณะนั้นมีรุ่นย่อยต่างๆดังนี้
Exi-mt
Exi-at
Exi-at(as)
สามตัวนี้เป็นเครื่องไม่มี vtec ครับ ออปชั่นก็น้อยลงมาหน่อย เช่น ล้ออัลลอย 14 นิ้ว
เครื่องเสียงเป็นวิทยุ-ซีดี 1din ไม่มีมาตรวัดเรืองแสง ประมาณนี้ล่ะครับ
Vti-mt
Vti-at
Vti-at(as)
Vti-at(asl)
ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ vtec ก็จะได้ออปชั่นดังกล่าวเพิ่มขึ้นมา ได้ล้อ 15 นิ้ว เหล็กกันโคลงหลัง แอร์อัตฺโนมัติ
รุ่นที่ลงท้ายด้วย as จะได้ออปชั่นความปลอดภัยเพิ่มครับ ได้แก่ abs+ebd(ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นมี BA ด้วยป่าว) ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เข็ดขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ ส่วนรุ่น asl ก็ได้ของที่ว่า แล้วก็เบาะหนังกับไฟตัดหมอกเพิ่มขึ้นมา ส่วนของผมเองเป็นรุ่น vti-at ธรรมดาๆครับ ดังนั้นของที่ว่านี่ไม่มีทั้งหมด แต่ออปชั่นอื่นก็ครบเหมือนตัวท็อปครับ ราคาตอนนั้น 818,000 บาท ในขณะที่ตัวท็อปรู้สึกจะเกือบๆ 900,000 บาท(ความจำไม่ดีอีกละ) ไม่รู้ทำไมตอนนั้นไม่เลือกตัว Exi-at(as) นะ บางทีขับๆไปนี่รู้สึกหวิวเหมือนกัน มันไม่มีระบบอะไรปกป้องเราเลย หลังจากนั้นรถทุกคันที่ซื้ออย่างน้อยต้องมี abs ตลอด ยังไงก็ตามผมก็ขับมาได้ตั้งนานโดยไม่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงที่ไหนนะ
-
ตอนที่ผมซื้อเจ้านี่ภาษีรถยังแพงอยู่เลย(ถ้าเป็นรถสมัยนี้ออปชั่นแค่นี้ราคาคงแค่เจ็ดแสนปลายๆ) ดอกเบี้ยก็แพง ของแถมก็น้อย ได้แค่ประกันชั้น1 ฟิล์มกรองแสง ลำโพงทวิตเตอร์ แล้วก็ของจุกจิกจำพวกผ้าคลุมรถ ปลอกหมอน พวงกุญแจ เอาล่ะอารัมภบทมาเยอะแล้วเราไปดูรถกันแบบมุมต่อมุมกันเลยดีกว่า
-
ขนาดตัวถัง กว้าง 1720mm ยาว 4445mm สูง 1440mm ความยาวฐานล้อ 2620mm โตกว่าคู่แข่งนิดหน่อยแต่ก็ยังเล็กกว่า altis ครับ(ตอนล้างจะรู้สึกได้ดีว่า ล้าง altis แล้วจะเหนื่อยกว่า และเช็ดหลังคายากกว่าเพราะมันสูงกว่า
-
การออกแบบเหมือนจะกลางเก่ากลางใหม่ จะมีหัวมีท้ายชัดๆก็ไม่ใช่ จะกลมกลึงแบบรถยุคใหม่ก็ไม่เชิง ในสายตาผมก็ดูสวยงามกลมกลืนดีครับ ส่วนที่ขี้เหร่ที่สุดบนตัวถังรถคันนี้ในสายตาผมคือเส้นด้านข้างครับ ที่ลากยากตั้งแต่หลังบังโคลนหน้า เหนือไฟเลี้ยวที่แก้ม ผ่านไปทางมือจับเปิดประตูไปจนถึงไฟท้ายนั่นล่ะครับ มันดูเชยๆพิกล ถ้าลบเอาเส้นนี้ออกก็น่าจะสวยขึ้นมาหน่อย
-
งานออกแบบของรถคันนี้ผมเห็นด้วยกับหลายๆครับว่ามันเหมือนเอาเจ้าตาโตที่สวยลงตัว(ขายดีและยังไม่มีใครบ่นว่าเชย)อยู่แล้วมาเหลาๆขัดๆตบๆขึ้นมาใหม่ แต่มาในรูปแบบก็ดูเรียบง่ายขึ้น ลดดีกรีความ aggressive ลง(อันนี้จริงมันก็ลดลงตั้งแต่ตาโต minorchange แล้วล่ะ) ถามว่าสวยไหม ก็สวยนะ แต่ไม่เหมือนเดิม ของเดิมสวยกว่า สวยแบบโดดเด่นเตะตายิ่งกว่าซะด้วย (สำหรับผม civic ที่สวยที่สุดก็ยังคงเป็นตาโตตัวก่อน minorchange อยู่ดี)
-
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ณ เวลาเดียวกันแล้วมันก็ยังดูสวย ลงตัว และปราดเปรียวเป็นสปอร์ทมากกว่า ถึงแม้จะดูแล้วจืดชืดกว่าก็ตาม นี่คงเป็นเหตุผลหลักข้อหนึ่งที่ทำให้ยอดขายของ civic es สู้ altis ไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นทางเดินที่ผิดพลาดแต่ก็ยังมีคนหลงผิดเดินตามจนได้ โตโยต้าก็คือคนโชคร้ายคนนั้น การสร้างอัลติสใหม่โดยเอาโครงสร้างหลักของตัวเดิม(ที่สวยขายดีและยังไม่มีใครบ่นว่าเชยอยู่แล้ว)มาเหลาๆขัดๆตบๆแต่งๆออกมาเป็นตัวใหม่ทำได้แย่กว่าที่ฮอนด้าเคยทำกะเจ้า es ซะอีก ผลก็ซ้ำเดิมเป๊ะ ผู้บริโภคต่างพากันเมินจนบริษัทต้องหาสารพัดวิธีมาเข็นยอดขาย
-
เอาล่ะเปิดประตูเข้ามาดูภายในกันดีกว่าครับ การเข้าสู่รถใช้ระบบกุญแจรีโมทครับ ตามมาตรฐานรุ่นนี้เป็นรีโมทอย่างเดียวครับยังไม่มีระบบกันขโมยมาให้ ประตูทั้งสี่บานเปิดได้กว้างขวางดีครับเข้าออกสะดวก
-
พวงมาลัยเป็นแบบสี่ก้านหุ้มหนังแท้ครับ(ถ้าเป็นรุ่นที่มีแอร์แบกก็จะมีแป้นตรงกลางใหญ่กว่านี้หน่อย) ขนาดวงไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป หุ้มหนังมาให้ด้วยเลยกระชับมือพอดี หลังจากใช้มาหกปีหนังก็แวววาวได้ที่แถมถ้าเหงื่อออกที่มือก็ลื่นพอสมควรเลย ด้านล่างขวาของรูปเป็นสวิทช์ปรับและพับกระจกมองข้างครับ
-
หน้าปัดเป็นแบบเรืองแสงสวยงามดี เปิดไฟหน้าแล้วก็จะลดความสว่างลงมานิดนึงแต่บางครั้งก็ยังรู้สึกสว่างเกินไป แถมไม่มีที่ปรับแสงสว่างมาให้ด้วย เกจ์วัดความร้อนก็ยังมีอยู่ตามแบบรถร่นเก่า ในภาพนี่คงจะขาดแค่ไฟเตือนเปิดฝากระโปรงท้ายก็ไฟเตือนน้ำมันหมด
**** เพิ่งทราบจากคุณแพนว่าแท้จริงแล้วหน้าปัดนั้นปรับความสว่างได้ครับ โดยหมุนตรงก้านที่ใช้เซตมาตรวัดอันนั้นล่ะครับ
เป็นความติ่งต๊องของผมโดยแท้เลย ใช้รถมาหกปีแล้วยังไม่รู้ว่ามันปรับตรงนี้ได้ด้วย อิอิ ขออภัยในข้อผิดพลาดด้วยนะครับ ****
-
พื้นที่วางเท้ากว้างขวางดีครับ ไม่มีปัญหาทั้งคนขาสั้นขายาว แป้นเบรกกะคันเร่งวางไว้ห่างกันพอสมควรตามสไตล์ฮอนด้า ที่พักเท่าซ้ายก็กว้างดีและพักเท้าได้สบายสมชื่อครับ(อันนี้ new vios ควรเอาอย่างมากๆๆๆๆ) หันไปทางขวาก็จะเจอที่เปิดฝากระโปรงหลังกะถังน้ำมัน(อะไหล่ชิ้นนี้ก็ยังคงตกทอดมาถึงฮอนด้ารุ่นใหม่เกือบทุกรุ่น)
-
มาติดตามครับ
-
และในพื้นที่มี่เหลี่ยมคางหมูเล็กแค่นี้ก็สามารถควบคุมอุปกรณ์เกือบทุกอย่างในรถแล้วล่ะครับ แต่ดูแล้วอาจจะรู้สึกไม่แพรวพราวเหมือนคู่แข่งแต่มีข้อดีคือทุกอย่างมันอยู่ใกล้มือไปหมด ยกแขนออกจากพวงมาลัยไปนิดหน่อยก็ปรับทุกอย่างได้ตามใจต้องการ แต่ถ้าแลกกับความสวยงามหรูหราแพรวพราวอย่าง mazda3 หรือ altis คุณจะต้องยอมยกมือขึ้นๆลงๆหลาบรอบกว่าจะปรับแอร์ให้เย็นและปรับเครื่องเสียงให้ดังตามต้องการ แต่ก็นั่นล่ะครับได้อย่างเสียอย่าง
เครื่องเสียงที่ให้มาเป็นแบบวิทยุ-เทป-ซีดี 6 แผ่นครับ เป็นนาฬิกาไปด้วยในตัว เป็นแบบเดียวกับที่คุณจะเจอใน cr-v และ stream คุณภาพเสียงพอใช้ได้ครับตินิดนึงที่สวิทช์ปิดเปิดและปรับวอลุ่มเสียงดันไปอยู่ทางซ้าย ไกลมือไปหน่อยขับรถอยู่จะปรับเสียงก็เอื้อมมือไกลนิดนึง ระบบปรับอากาศสวิทช์แอร์เป็นแบบลูกบิดสามอัน มีแอร์ออโตให้ในรุ่น vtec เย็นเร็วดีตามประสารถญี่ปุ่นทั่วไป เท่าที่ใช้มาไม่เจอปัญหาเหม็นอับเหมือนฮอนด้าหลายๆรุ่นนะ
-
คอนโซลกลางออกแบบให้ยาวต่อเนื่องมาตั้งแต่ใต้แดชบอร์ดมาจนถึงระหว่างเบาะคู่หน้า ด้านหน้าสุดเป็นที่วางแก้วน้ำ ออกแบบเก๋ดีโดยถ้าไม่อยากวางแก้น้ำก็พับที่คั่นแก้วย้ำสีดำนั่นขึ้นไปก็จะได้ช่องเก็บของขนาดใส่กล่องแว่นพอดีหนึ่งอัน ถัดมาเป็นคันเกียร์ที่ดูสปอร์ทดีแต่นิสัยเสียเพราะไม่มีตำแหน่งเกียร์ 1 มาให้ ชิฟท์ล็อกมีให้พร้อมโดยใช้กุญแจเสียบเข้าก็เลื่อนเกียร์จาก P มา N ได้เอาไว้ใช้เวลาเกเรจอดขวางคนอื่น ถัดมาก็เป็นช่องวางของขนาดพอดีกระเป๋าสตางค์บุรุษแล้วก็เบรกมือที่เดี๋ยวน้เริ่มมีปัญหาฝืดๆแน่นๆ ตรงนี้ขอบ่นหน่อยว่าคอนโซล,กลางออกแบบมาไม่อเนกประสงค์เลย วางแค่กระเปาสตางค์กะมือถือก็เกือบจะเต็มแล้ว ปกติที่ตรงนี้เลยวางข้าวของรกรุงรังไปหมด แถมเวลาหล่นไประหว่างเบาะแล้วเก็บกลับขึ้นมายากชิบโป้งเลย
-
เก๊ะเก็บของฝั่งผู้โดยสารก็แย่พอกัน แค่คู่มือประจำรถก็กินพื้นที่ไปเกือบหมดแล้ว ถ้าข้าวเขืองเยอะนักก็อาศัยวางไปบนแดชบอร์ดเลยละกัน แค่นั้นยังไม่พอ อาการไร้พื้นที่เก็บของยังตามมาหลอกหลอนถึงในฝาประโปรงหลัง ตามสเปกรู้สึกว่าจะสี่ร้อยลิตรนะ แต่เอาเข้าจริงแล้วพื้นมันตื้นพอสมควร แถมยังโดนซุ้มล้อเบียดอีก ทางเข้าก็แคบเพราะโดนกระจกหลังเบียด อย่างไรก็ตามของชิ้นใหญ่ขนาดถุงกอล์ฟก็วางขวางไปได้โดยอาศัยพื้นที่หลังไฟท้าย แต่โดยรวมห้องเก็บของด้านหลังนี้แคบกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจนและไม่สามารถพับเหลังได้ด้วย สรุปว่าเจ้า civic es สอบตกเรื่องความเอนกประสงค์และพื้นที่เก็บสัมภาระไปเรียบร้อย
-
ขออภัยที่เสียมารยาทมา "ปาด" นะครับ
เป็นกำลังใจละคอยติดตามอยู่ครับ
;D
-
ถึงจะสอบตกไปเรื่องที่เก็บของ แต่สำหรับเนื้อที่ภายในถือว่าผ่านฉลุยครับ ตำแหน่งเบาะนั่งตั้งไว้ไม่สูงไม่ต่ำมากครับ พอๆกะ mazda3 (สูงกว่าตัวตาโตชัดเจนคับ แต่เตี้ยกว่า altis/vios) ตรงนี้ชอบมากครับเพราะสำหรับผมคิดว่าเป็นท่าที่กำลังสบายพอดี อีกอย่างคือตำแหน่งเบาะนั่ง แป้นเหยียบ พวงมาลัยตังมาพอดีกับตัวผมมาก คือขับรถคันอื่นแล้วมันจะรู้สึกว่าถ้าปรับให้แขนพอดีแล้วขาจะต้องงอนิดหน่อย แต่สำหรับคันนี้นี่นั่งสบายพอดีครับ เนื่องจากคันนี้เป็นตัวโลว์ออปชั่นนะครับเบาะนั่งที่ได้เลยเป็นเบาะผ้า นุ่มดีแต่ผ่านมาหกปีแล้วก็อมฝุ่นพอตัวเลย(สงสัยได้ฤกษ์เสียเงินซักเบาะแล้ว)
-
เบาะนั่งคนขับถึงขนาดจะเล็กไปนิดก็ถือว่านั่งสบายพอตัวครับ มีที่วางแขนมาให้ด้วย เกือบทำได้ดีแล้วครับถ้าไม่ติดที่ขับทางไกลเกินสองชั่วโมงเป็นต้นไปจะรู้สึกปวดๆเมื่อยๆแถวกลางหลัง ถ้ามีที่ปรับส่วนรองรับ lumbar support มาให้แบบ altis ก็น่าจะแก้ปัญหาข้อนี้ไปได้ อีกอย่างหนึ่งก็คือที่ปรับระดับความสูงเบาะเป็นแบบหมุน ปรับได้ละเอียดดีแต่ก็ไม่สะดวกเท่าที่ควร เลยเป็นเหตุผลให้เบาะคนขับรถคันนี้ถูกตั้งไว้ในระดับต่ำสุดตลอดเวลา อิอิ
-
เบาะหลังก็มีที่วางแขนตรงกลางแบบพับได้มาให้ด้วยครับ นั่งสบายพอสมควร กว้างพอจะให้ผู้ใหญ่ นั่งได้สามคนแบบไม่อึดอัด(แต่คนนั่งกลางจะคงไม่สบายเพราะไม่มีที่รองศีรษะ) ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการออกแบบให้พื้นห้องโดยสารหลังเรียบช่วยให้ดูกว้างนั่งสบายขึ้น ตัวเบาะเอนกำลังดี รับกับที่วางแขนที่ประตูพอดี
-
พื้นที่วางเท้าด้านหลังน้อยไปนิดครับ แต่ยังดีที่สามารถสอดเท้าเข้าไปใต้เบาะหน้าได้ทำให้ไม่ถึงกับเข่าชนกับเบาะหน้า ในรูปนี้ปรับเบาะหน้าไว้ระดับพอดีตัวผมครับ 173cm ย้ายมานั่งเบาะหลังแล้วยังเหลือที่ว่างระหว่างเข่าถึงเบาะหน้าอยู่เกือบหนึ่งฝ่ามือ
-
สำหรับคุณภาพวัสดุ ในสายตาชาวบ้านๆอย่างผมถือว่าน่าพอใจครับ พลาสติกก็เป็นแบบนุ่มดูดีมีราคาครับ ฝีมือการประกอบก็ดูดีสมราคาครับ ตั้งแต่ป้ายแดงจนมาถึงวันนี้ยังไม่ได้เสียงก๊องแก๊งกุกกักให้รำคาญใจ ถือว่าพอใจมากครับเมื่อเทียบกับอัลติสที่ได้ยินเสียงบิดตัวของเหล็กแถวๆประตูหน้าและหลังด้านซ้ายตั้งแต่เข้าปีที่สาม และนิววิออสที่มีเสียงกุกกักแถวกระจกมองหลังและประตูหน้าซ้ายตั้งแต่ไม่กี่เดือนแรก
-
ทัศนวิสัยรอบคันก็โอเคครับ มือใหม่หัดขับจะชอบเพราะสามารถชะโงกหน้ามองเห็นหัวรถได้ ไม่มีจุดบดบังตรงไหนน่าเกลียด ถึงแม้ว่าเสาหลังคาจะใหญ่ไปบ้างโดยเฉพาะด้านหลังนี่บังมอเตอร์ไซค์ได้เกือบมิดเลย แต่อาศัยความคุ้นชินและเพิ่มความระมัดระวังนิดหน่อยก็ไปได้สบายมาก
-
คราวนี้ก็มาถึงสิ่งที่น่าเกลียดที่สุดในรถคันนี้ครับ เรื่องการเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกครับ ถือว่าทำได้แย่มากเลย เพียงแค่ความเร็วระดับ 80 kph ก็เริ่มได้ยินเสียงลมหึ่งๆเขามาแล้ว ยิ่งความเร็วเพิ่มก็ยิ่งดังครับ ถ้าจะฟังเพลงให้สบายหูคุณต้องเอื้อมมือไปเพิ่มเสียงทุกๆความเร็ว 10 kph ที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่แค่เสียงลมนะครับ เสียงเครื่อง เสียงยางบดถนน เข้ามาหมดเลย นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ขับรถคันนี้แล้วดูเร็วกว่าความเป็นจริง ในขณะที่ altis จะนั่งเงียบๆสบายๆไปได้จนถึง 120 kph เลยครับ
-
เครื่องยนต์รุ่นนี้เป็นบล็อก D17A ครับ พัฒนาต่อเนื่องมาจาก D16A ในตัวตาโตนั่นเอง ขนาดความจุ 1,668cc จากขนาดกระบอกสูบ 75mmเท่า D16A แต่ยืดระยะชัก 94.4 mm สำหรับรุ่น vtec เป็นรหัส D17A2 ครับ ให้กำลัง 130 แรงม้าที่ 6300 rpm แรงบิด 155 Nm ที่ 4800 rpm ครับ จับคู่กะเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ เซตเฟืองท้ายไว้ที่ 4.357 เอาล่ะอย่างที่บอกครับผมไม่ค่อยถนัดเรื่องรายละเอียดทางเทคนิคแบบนี้เท่าไหร่ ไปดูเกี่ยวกับการใช้งานจริงกันเลยดีกว่า
-
การขับขี่ในเมืองทำได้ดีครับ ตลอดสนองได้ดีครับ แต่อาจจะไม่ปรู๊ดปร๊าดมาก ถ้าอยากเร่งแซงแบบกะทันหันหน่อยก็กดคันเร่งลึกๆหน่อยครับ ให้พอเครื่องคิกดาวน์แล้วรถก็จะพุ่งทันทีครับ เสียงเครื่องก็เร้าใจไม่เบา ส่วนเรื่องน้ำหนักคันเร่งก็หนืดๆกำลังดี ถ้าเทียบกับ corolla altis 1.6 (โฉมที่แล้วนะครับ ปี 2003 เหมือนกัน) ในเมือง altis จะทำได้ดีกว่า คล่องแคล่วกว่านิดหน่อย อยากจะแซง จะมาด จะมุดนี่ altis ทำได้ไวกว่า ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากน้ำหนักคันเร่งของโตโยต้าที่เบาหวิวด้วยส่วนหนึ่ง ชนิดที่ว่าลุกจาก civic มาขับ altis แล้วเหยียบคันเร่งจนรถพุ่งกระชากเป็นประจำเลยครับ โรคคันเร่งเบาหวิว ขับในเมืองแล้วกระชากนี่เป็นโรคประจำตระกูลโตโยต้ารึเปล่านะ vios 2008 ก็มีอาการแบบเดียวกัน ไม่รู้เป็นเพราะคันเร่งเบาหรือเป็นนิสัยดั้งเดิมของเครื่อง vvti กันแน่
-
การขับขี่นอกเมืองด้วยความเร็วเดินทางครับ เจ้า civic es นี่จะตลอดสนองดีขึ้นมากมายเลยครับ ความเร็ว 100kph ที่เกียร์ 4 ใช้รอบเครื่อง 2700 rpm ครับ ขับตามปกติเกียร์จะเปลี่ยนที่ประมาณ 3000 rpm แต่ถ้าเหยียบลึกก็จะลากรอบเครื่องยนต์ให้ครับตามน้ำหนักเท้า วิ่งทางไกลขับสบายพอสมควรครับ อยากจะแซงก็ไม้ต้องกดคันเร่งลึกมาก ไม่จำเป็นต้องคิกดาวน์เลยด้วยซ้ำก็สามารถแซงได้สบาย ถนนสองเลนรถสวนกันก็สามารถแซงได้โดยไม่ต้องลุ้นครับ นี่เป็นข้อดีอีกข้อของรถคันนี้ที่ผมชอบมากครับ ทำให้ขับทางไกลสบายขึ้นมาก กดคันเร่งลงไปนิดเดียวก็แซงขาดได้สบาย ในสถานการณ์เหมือนๆกัน altis 1.6 กะ mazda3 1.6 ต้องกดคันเร่งลึกกว่ามากครับถึงจะแซงขาด ถ้าให้คะแนนเล่นๆดู เต็ม 10 ผมให้ civic ES=8.5---new vios=8--- 2003 altis 1.6=7---2006 mazda3 1.6=6 ครับ
อัตราเร่งครับ อาจจะเพี้ยนบ้างเพราะทดสอบคนเดียว ขับเองจับเวลาเอง (แถมคนขับฝีมือแย่อีกตะหาก) 0-100kph ได้ที่ 12.5s ครับ 80-120kph ได้ 9.7 วินาที สำหรับความเร็วสูงสุดนั้นไม่ได้ทดสอบมาครับ ไม่เคยทำได้ถึงความเร็วสูงสุดสักครั้งเลยด้วยซ้ำ ต้องขอโทษด้วยครับ เนื่องจากผมคิดว่าด้วยอายุรถ ช่วงล่าง สภาพถนน การจราจร ยางติดรถ ยังไม่ดีพอจะทำให้ผมมั่นใจที่จะทำความเร็วระดับนั้นครับ และที่สำคัญคือเจ้าของรถฝีมือไม่ถึงครับ ใจไม่แข็งพอด้วย กลัวตายครับผม(แหะแหะ) ความเร็วสูงสุดเท่าที่เคยขับคือ 160 kph ครับ ช่วง 120-140-160 ความเร็วไหลได้ต่อเนื่องดีเรื่อยๆครับ ทั้งๆที่ยังเหยียบคันเร่งไม่สุดด้วยซ้ำ คาดว่าสูงสุดน่าจะได้ 185-190 kph ที่เกียร์ 4 ครับ ตามที่เพื่อนๆหลายคนรวมทั้ง magazine หลายๆเล่มเคยทดสอบไว้ (สำหรับตัวเกียร์แมนน่วลทราบว่าได้ถึง 205 kph ครับ)
-
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงครับ เท่าที่เคยจับดูแบบคร่าวๆนะครับ ไม่เคยเขย่าตัวถึงกรอกน้ำมันแบบละเอียดๆเหมือนพี่จิมมี่นะครับ ในเมืองทำได้ดีกว่า 10 km/l เกือบตลอด ส่วนมากจะอยู่ที่ 10.2-10.5 ครับ แต่ต้องขอบอกก่อนว่านี่เป็นตัวเลขจากการทดสอบในเมืองของต่างจังหวัด ตัวเลขอาจจะดูดีกว่าที่ควรเป็น คิดว่าถ้าสภาพจอดๆเร่งๆแบบเมืองกรุงกินจุกว่านี้หน่อย ส่วนการเดินทางด้วยความเร็ว 110-120 kph ตามปกตินะครับ ไม่ได้ตั้งใจขับเนียนๆเน้นตัวเลขจะได้ 14.5 km/l ครับ ถ้าตั้งใจเหยียบประมาณ 100 kph ให้สม่ำเสมอก็ได้สวยกว่า 16 km/l ง่ายๆครับ ประหยัดพอตัวดีเดียว เดินทางไกลประหยัดกว่า new vios แบบรู้สึกได้(แต่ในเมือง vios ก็ประหยัดกว่าชัดเจนเช่นกัน) แต่ก็พอๆกะ altis ส่วน mazda3 เคยทำได้ดีสุดแค่ 12.5 km/l แรงสุดประหยัดสุดต้องยอมรับครับ vtec เค้าเด็ดจริง อย่างไรก็ตามถ้าขับแบบตะบี้ตะบันคันเร่งระดับ 140-160 kph ตลอดทางแถมค้างอยู่ที่เกียร์ 3 บ่อยๆก็ไม่ยากเช่นกันที่เจ้าจอมประหยัดจะซดเก่งขึ้นมาระดับ 10 km/l เลยล่ะครับ
-
อีกอย่างนึงที่ต้องชมเชยสำหรับเครื่องยนต์ตัวนี้คือเสียงเครื่องครับ ฟังแล้วให้อารมณ์รถสปอร์ทดี ยิ่งเกิน 4500 rpm ขึ้นไปล่ะหวานหูดีแท้ เป็นข้อดีอีกอย่างของเครื่องสี่สูบสไตล์ฮอนด้าเขาล่ะครับ (อันนี้จริง mazda3 ก็เสียงดีพอกัน เสียก็แต่มาแค่เสียง กำลังไม่มาตามเสียงเลย) อย่างไรก็ตามอย่าแปลกใจนะครับถ้าคุณจะพบว่ากำลังที่เพิ่มขึ้น 10 แรงม้ากะ 5 Nm ของระบบ vtec จะไม่ได้แรงกว่าเครื่องหัวฉีดธรรมดาๆในตัว exi อย่างมีนัยสำคัญเลยครับ(อ้าวไหนว่า vtec เด็ดจริงไง) อันนี้รู้มาจากคำบอกเล่าของเพื่อนๆรวมทั้งประสบการณ์ตรงที่เคยสัมผัสนะครับ ในการใช้งานทั่วไปลากไปจนถึงการเดินทางด้วยความเร็วสูงระดับ 140 kph คุณจะไม่สามารถสัมผัสความแตกต่างระหว่างเครื่องหัวฉีดธรรมดากะเครื่อง vtec ได้เลย ซึ่งความจริงแล้วมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเหลือเชื่อแต่อย่างใดเนื่องจากเมื่อดูตัวเลขกันจริงๆแล้วกำลังที่เพิ่มขึ้นมานั้นมาเอาที่รอบเครื่องยนต์สูงกว่า 200-300 rpm ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าที่รอบสูงๆเครื่อง vtec น่าจะวิ่งดีกว่า อย่างไรก็ตามผมยังไม่มีโอกาสได้ทดสอบสมมติฐานนี้นะครับ ใครเคยลองแล้วช่วยบอกที และอีกอย่างนึงก็คือระบบ sohc vtec นี้เกิดมาเพื่อเน้นเรื่องการประหยัดน้ำมันครับ ซึ่งลองขับแบบผิวเผินก็พอสัมผัสได้ครับว่าตัว exi กินน้ำมันมากกว่าหน่อย อีกอย่างจำได้ว่าตอนเปิดตัวมาใหม่ๆเคยอ่าน review ของ thaidriver ปรากฏว่าตัว vtec ประหยัดกว่า 2-3 km/l ที่ความเร็วทดสอบ 110kph ครับแต่ในการใช้งานจริงผมไม่แน่ใจว่ามันจะต่างกันขนาดนั้นนะ
-
ช่วงล่างของรถรุ่นนี้ด้านหน้าเป็น โทคอนโทรลลิงค์สตรัท ด้านหลังเป็นรีแอคทีฟลิงค์ดับเบิลวิชโบน พร้อมเหล็กกันโคลงทั้งหน้าหลังในรุ่น vti ครับ พวงมาลัยเป็นแบบแรคแอนด์พิเนียน ล้อขนาด 15 นิ้วพร้อมยาง 185/65R15 ครับ(ตอนนี้ผมเปลี่ยนมาใช้ 195/60R15 แทน รู้สึกไม่แตกต่างจากเดิมนะ) รุ่นนี้เป็นรุ่นแรกของฮอนด้าที่ไม่ใช้ช่วงแล้วแบบดับเบิลวิชโบนทั้งสี่ล้อ แต่สำหรับการตอบสนองก็ถือว่าใช้ได้ครับ แต่บางทีขับในเมืองก็รู้สึกว่าแข็งไปนิด ด้านหน้าก็กระชับดีแต่ด้านหลังนี่เด้งไปหน่อย ขับเร็วๆเจอ speed hump สูงๆมีสะดุ้งครับ ส่วนพวงมาลัยน้ำหนักกำลังดีครับ ออกจะหนืดๆหน่อยแต่ก็ขับในเมืองได้ไม่เหนื่อยครับ แต่อันที่จริงชอบแบบเบาหวิวแบบโตโยต้ามากกว่า หมุนด้วยนิ้วได้เลยสะดวกดี แต่ในความเร็วสูงแล้วน้ำหนักขนาดนี้กำลังดีเลยครับ หนักแน่นดี แถมตอบสนองไวด้วยครับ จิกโค้งได้สบายๆ แต่รู้สึกว่าการตอบสนองของพวงมาลัยจะเหนือกว่าช่วงล่างอยู่หน่อย คือช่วงล่างนี่กระชับ เหมือนจะเกาะแต่ก็ไม่เกาะที่เท่าที่ควรครับ ความเร็วเดินทางที่ทำได้โดยไม่เสียวคือไม่เกิน 140 kph ครับ นอกจากนั้นเริ่มจะไม่ค่อยนิ่งแล้วล่ะ แต่เท่าที่ขับมาก็ยังไม่เคยเจออาการเบาๆร่อนๆเหมือนจะบินนะ แค่เริ่มไม่นิ่งไม่ค่อยมั่นใจแค่นั้น เทียบกับ mazda3 แล้วรายนี้จะแข็งกว่า เด้งกว่าทั้งหน้าและหลัง(ล้อ 16 นิ้วยางแก้มเตี้ยคงมีผลส่วนหนึ่ง) แต่เกาะกว่าชัดเจน ขับ 160 แล้วยังสบายๆ พวงมาลัยในเมืองจะหนักพอกันแต่วิ่งทางไกลแล้ว mazda3 จะนิ่งกว่า จิกกว่าครับ สำหรับเรื่องนี้เต็ม 10 ให้ mazda3=9 คะแนน, civic=8 คะแนน,altis=6.5 คะแนน
-
สำหรับระบบเบรกครับ ในรุ่น vti จะเป็นแบบดิสก์เบรกทั้งสี่ล้อ มีครีบระบายความร้อนในล้อหน้า ตัวโลว์ออปชั่นก็ไม่มีเอบีเอสตามคอนเซปล่ะครับ แป้นเบรกตื้นครับ เหยียบไประยะแรกๆนี่จะหยุ่นๆ เป็นนัยๆว่าออกแบบมาให้สามารถหยุดรถได้อย่างนุ่มนวลในสภาพการขับขี่ในเมืองที่ต้องขับๆหยุดๆ แต่ถ้าเหยียบแค่นั้นแล้วเริ่มไม่พอ ทันทีที่เราเหยียบลึกเจ้าไปอีกนิดแป้นเบรกจะเปลี่ยนบุคลิกเป็นกระชับขึ้นมามากเลย เหยียบอีกนิดก็ทำให้เบรกจนหยุดกึกหัวทิ่มกันได้ง่ายๆ ตอนได้รถมาใหม่ๆนี่หยุดกึกหัวทิ่มกันบ่อยมากมาย เพราะยังไม่ชินกันแป้นเบรกตื้นๆแบบนี้ครับ ต้องอาศัยปรับตัวให้ชินกะรถ หลังจากนั้นก็สามารถหยุดแบบสมูทได้ตามปกติครับ ขับเร็วๆเบรกแรงๆก็หยุดได้มั่นใจดี สำหรับความสามารถในการหยุดรถนี่คิดว่าแต่ละคันก็ทำได้เหมือนๆกันนะ ต่างๆกันที่บุคลิกของแป้นเบรกมากกว่า ต้องปรับตัวให้ชินกะคันนั้นๆก็หยุดได้อย่างปลอดภัยครับ สำหรับรถผมถึงแม้จะไม่มีเอบีเอสมาให้แต่ก็ยังไม่เคยเบรกจนล้อล็อคตายเลยสักครั้ง แต่เวลาขับถนนลื่นๆก็ยังหวั่นๆเหมือนกัน ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นครับ ถ้าขับคันอื่นที่มีเอบีเอสก็จะทำให้มั่นใจกว่าครับ
-
สรุป
ตั้งแต่ใช้มาเจ้า civic es นี่ก็ไม่เคยเกเรเลยนะ ไม่มีปัญหากวนใจอะไร เท่าที่จำได้ก็เคยมีสตาร์ทไม่ติดหนึ่งครั้งเพราะแบทหมด เปลี่ยนแบทใหม่แล้วเครื่องเสียงไม่ทำงาน ต้องใส่รหัสกันขโมยใหม่ เคยสามสี่ครั้งที่เสียบกุญแจแล้วบิดสตาร์ทเร็วเกิน immobilizer ก็เกิดติ๊งต๊องไม่สตาร์ทรถให้เราซะงั้น ต้องบิดกลับมาแล้วสตาร์ใหม่ แล้วก็เครื่องเสียงที่คงจะแก่แล้วบางทีก็ไม่อ่านซีดีมันซะเฉยๆ นอกนั้นก็เป็นปัญหาประจำรุ่นอ่ะ อย่างเช่นเสียงรบกวนในห้องโดยสารดังเกินไป อันนั้นคอมเฟิร์มว่าดังจริง ไฟหน้าสว่างน้อยไปหน่อย และโรคพันธุกรรมประจำตระกูลฮอนด้าคือไฟตก ตอนขับอยู่อ่ะสังเกตไม่เห็นหรอก แต่ตอนกลับถึงบ้าน ปิดแอร์ กำลังจะดับเครื่องอ่ะดิ เห็นชัดเลยเลยว่าพอปิดแอร์แล้วไฟหน้ามันสว่างขึ้น พอเปิดแอร์แล้วก็มืดลงนิดนึง อันนั้นทราบมาว่าฮอนด้ารุ่นๆใหม่ก็ยังเป็นอยู่ นอกนั้นก็ไม่พบปัญหาอะไรกวนใจ
-
สุดท้ายนี้อยากบอกว่าในบรรดารถที่ใช้ผ่านมือผมทั้งหมด(ซึ่งก็แค่ไม่กี่คัน แล้วจะพูดทำไม เฮ้อ) รถคันนี้เป็นรถที่ผมรักมันมากที่สุด (ถึงแม้ว่าปัจจุบันผมจำเป็นต้องใช้รถคันอื่นแทนก็เถอะ แต่ได้เลือกได้เมื่อไหร่ผมก็จะคว้ากุญแจเจ้า civic es ทันทีโดยไม่ลังเล) ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนก็เข้ากะตัวผมมากที่สุด ชอบมากกว่ารถรุ่นใหม่ๆเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ ขนาดที่ว่าถ้าฮอนด้าเกิดบ้าจี้ประกอบเจ้าตัวนี้ขึ้นมาขายอีกครั้ง ผมก็จะบ้าจี้ไปซื้อมาไว้ใช้อีกคันเลยคอยดูสิ อันนี้พูดจริงๆนะ อิอิ
-
จบแล้วคร้าบบบบ ขอบคุณที่ทนอ่านมาได้จนจบ
ปล.ทุกรูปที่ไม่ใช่รถผมอาศัยรูปจากกูเกิลครับ
-
ละเอียดดีมากๆครับชอบๆ
-
รุ่นนี้ผมชอบนะครับ เคยคิดอยากได้มาใช้เหมือนกัน
ผมเคยขับ ES มาทุก gen ตั้งแต่ตัวแรกปี 2000 ยันไปถึงไมเนอร์เชนจ์ตัวสุดท้ายปี 2005
ทุกโฉมมีข้อเสียเรื่องเดียวคือ ระบบกันสะเทือน
ขับแล้วไม่ค่อยประทับใจ กระเด้งมากไปหน่อย
ในย่านความเร็วสูง ถนนเรียบๆ ก็โอเคอยู่
รถรุ่นนี้เป็นอีกรุ่นนึง ที่ฮิตนำมาตกแต่งสไตล์ตัวนอก RS
และทำให้ปีก integra dc2 มือสองตามเซียงกง
ราคาปกติสมัยปี 2004 ของแท้อันละสองพันกว่าบาท ผ่านไปไม่ถึงปี สามารถทำราคาขายปั่นไปได้ถึง 5 พันเศษๆ :o
-
ขอบคุณครับ รุ่นนี้ผมเคยใช้ตัวปี 2000 ซื้อต่อจากเพื่อนพี่สาวแต่บ้านติดกันนี่แหละ เห็นว่าถอยมาลอตแรกเลย ไม่มีแอร์แบคและเอบีเอส พวงมาลัยเป็นสีดำไม่หุ้มหนัง ใช้งานดี เหยียบเป็นมาแล้วก็ประหยัดน้ำมันครับ แต่ช่วงล่างนี่ดิ้นมากๆ สุดท้ายต้องไปโหลดเพื่อแก้ปัญหา แต่ใช้ล้อเดิม อัตราสิ้นเปลืองได้ประมาณ 10-11 โลลิตรในเมืองครับ ถ้าวิ่งต่างจังหวัดไม่เกิน 120 ผมได้อยู่ 14 โลลิตร ค่าบำรุงรักษามาหนักเอาตอนแสนโลแล้วต้องเปลี่ยนพวกลูกหมากต่างๆ หมดไปหมื่นนิดๆ แต่บำรุงรักษาทั่วไปตามระยะก็ประมาณ 2-3000 บาทต่อครั้ง เป็นรถที่เก็บเสียงดีมากครับ เก็บเสียงข้างนอกเข้ามาหมดเลย ;D แถมเวลาฝนตก เสียงฝนกระทบหลังคาจะดังมากจนแรกๆ ตกใจ เป็นตัวที่น่าน้อยใจเพราะ mugen ไม่ทำชุดแต่งออกมาให้ ผมขายออกไปตอนต้นปี 2007 วิ่งไปแสนสอง ได้มาสี่แสนบาทถ้วนครับ
-
ขอบคุณครับ
สำหรับรีวิวดีๆ
ซีวิคตัวนี้เก็บเสียง"แย่"จริงๆครับ
โดยเฉพาะเสียงยางบดถนนและเสียงลม
มันดังกระหึ่มมากเลยล่ะ
อีกข้อที่ควรระวังอย่างยิ่ง
สำหรับรุ่นนี้ก็คือ เกียร์ รู้สึกว่าจะไปเร็วกว่า
คู่แข่งคันอื่นๆในตลาด
ซีวิคของพี่ผมวีเทคตัวท๊อป
เริ่มเข้าปีที่6 เกียร์พังกลางทางด่วน
เห้ออ เสียไปสองหมื่นกว่าๆ
แต่นอกนั้นถือว่าซีวิคทำได้ดีครับ
แต่มักจะมีคนบอกว่า รุ่นตาโต ทำได้ดีกว่า
-
ถือว่าทำได้ดีเลยครับ สำหรับรีวิวแรก ในครั้งนี้
อันที่จริง จะว่าไปแล้ว ท่านผู้เกินของเรา ก็กำลังเตรียม รีวิวย ซีวิค ไดเมนชัน ครั้งมโหฬารอยู้เหมือนกัน แต่ต้องใช้เวลาอีกสักพัก
จะบอกว่า ไม่ต้องกลัวว่ารถตัวเองจะซ้ำใครเขา นะครับตอนทำรีวิว ทำมาเถอะ
แต่อยากได้ ฟีล ของคนใช้จริงที่ว่า
ซื้อ เพราะอะไร
ประทับใจตรงไหน ไม่ประทับใจตรงไหน อัตราเร่งเป็นอย่างไร อัตราสิ้นเปลืองเป็นอย่างไร
สมรรถนะ โอเคไหม การบริการหลังการขายเป็นอย่างไร
หนะครับ
แต่รีวิวนี้ ผมถือว่า โอเคนะครับใช้ได้เลย
แพนว่าไง?
-
ขอบคุณครับ
-
เคยลองขับรุ่นนี้ถือว่าอัตราเร่งทำได้ดีพอตัว
รีวิวเขียนได้ดีครับ
แต่เว้นวรรคบ้าง มีช่องไฟเยอะอีกนิดก็จะดีมาก
ผมอ่านแล้วตาลายครับ (แต่คนอื่นอาจจะไม่เป็นเหมือนผม)
-
รีวิวแน่นจริงครับ
ชอบมากครับ มีความเห็นของผู้ใช้จริงล้วนๆ
รุ่นนี้ผมเคยนั่งอยู่หลายครั้ง
ชอบที่มันสวย ดูกว้าง กำลังเครื่อง(แรงจริง) แถมประหยัดกว่ารถรุ่นน้องอีก
แต่ที่ไม่ชอบ(มากๆ)สำหรับรุ่นนี้คือเสียงแหละครับ
นั่งกับเพื่อน ต้องขึ้นเสียงเวลาคุยกันซักหน่อย ไม่งั้นไม่ได้ยิน
เรื่องอื่นๆ ถือว่าเป็นรถที่ดีครับ
-
ขอบคุณครับ
รีวิวละเอียดดี อ่านเพลินๆ แต่ลายตาไปนิดส์นึงนะครับ
จำได้ว่าตอนที่รุ่นนี้ออกเครื่อง 2.0 ครั้งแรกอยากได้~
พอไมเนอร์เชนจ์ครั้งสุดท้ายยิ่งอยากด้ายยยย~~
แต่ก็ไม่ได้ :D
-
อ่านเพลินดีครับ
-
ละเอียดมากครับ รูปก็เยอะดี เนื้อหาก็มาก ชอบครับชอบอ่านแล้วสนุกดี ;D
-
แหล่มเลยครับ
-
ละเอียดดีมากเลยครับ
-
civic es นี่เกียร์สูงสุด 5 เกียร์ หรือ 4 เกียร์อ่าคับ เพราะถ้า 5 เกียร์จะถือว่าเป็นรถที่ เจ๋งมาก ๆ ในสมัยนั้นอ่า
กระผมขับ city vtec 2004 เคยลองนั่ง civic รุ่นนี้ ของเพื่อนแล้วชอบมาก ๆ เลยอ่าคับ ลักษณะเบาะคล้าย ๆ กับ city
แต่เหมือนจะเตี้ยกว่า ผมว่าภายในเงียบกว่า city อีกอะคับ และที่ความเร็วสูง ๆ ก็มั่นใจได้มากกว่า city เยอะอ่าคับ
ถ้าเจ้า civic นี่เรียกว่าไม่เงียบ city ผมคงโคตรดังอ่า แต่ยังไม่เคยนั่ง altis ก็เลยไม่รู้ว่าความเงียบเป็นยังไง 55+
ถ้าผมเลือกได้ตั้งแต่ก่อนซื้อ city 2004 ผมคงเลือก civic 2.0 อ่าคับ อยากแรงมั่งจัง
ลักษณะเกียร์แบบ 5 เกียร์ของ honda ผมว่าขับในเมืองแล้วกินน้ำมันเหมือนกันอะคับ เพราะถ้าจะเร่ง มันต้องใช้รอบสูง
และก็ต้องลดเกียร์ รู้สึกกระชาก แต่มันส์
ขอเสริมนิดนึงคับ
โฉม 1 รุ่น exi มีให้เลือกทั้งภายในสีเทา และสีเบจอ่า รู้สึกว่ารุ่นสีเบจจะต้องเพิ่มตังค์นิดนึงมั้ง แต่รุ่น vti มีสีเบจอย่างเดียว
ในโฉม 1 ยังแบ่งรูปแบบการตกแต่งภายในได้เป็น 2 ลักษณะ คือช่วงแรก ๆ ของรุ่นภายในสีเบจ จะได้พวงมาลัยสีดำ
และที่จับตอนปิดประตู ตรงแผงประตู จะเป็นสีน้ำตาล ในขณะที่รุ่นปีหลัง ๆ กว่านั้น จะเป็นพวงมาลัยสีเบจ และ ที่จับ
ตอนปิดประตูก็เป็นสีเบจ ส่วนรุ่น ภายในสีเทานั้น ปีเก่า ๆ ที่จับปิดประตูเป็นสีดำ พอปีหลังกว่านั้น ดันเป็นสีเทา
โฉม 2 รุ่น 2.0 ตกแต่งภายในแบบลายไม้อ่าคับ และพนักพิงศีรษะหลัง ก็ปรับระดับสูงต่ำได้อ่าคับ รุ่นโฉม 1 ยังปรับไม่ได้
โฉม 3 รุ่น 2.0 ตกแต่งภายในแบบสีเงินคับ และมีสีภายนอกให้เลือกเพิ่มคือ สีแดงแปร๋น ๆ แบบ jazz โฉมแรก กับน้ำเงินสว่าง ๆ
แบบ jazz โฉมแรก
สรุปคือ รุ่นนี้ ขับมันส์ ประหยัดน้ำมัน วัสดุภายในดูดีใช้ได้ นั่งสบายทั้งหน้าและหลัง แต่เด้งสุด ๆ ไปเลยคับ
-
ขอบคุณครับ อ่านรีวิว จากคนใช้ แล้วให้ความรู้สึกดีครับ เป็นมุมมองของคนที่รักรถ อ่านแล้วเพลินไปอีกแบบ
-
ขอบคุณทุก comment มากๆเลยนะครับ
กลับมาอ่านอีกรอบแล้วรู้สึกลายตาจริงด้วย แถมพิมผ์ผิดเยอะแยะอีกตะหาก ขอโทษด้วยนะคร้าบ
-
ขอบคุณรีวิวดีๆนะครับ
ตอนแรกก็เล็งๆเจ้า es เนี่ยเป็นรถคู่ใจเหมือนกันครับ
สวยเรียบๆดี
^^
-
เอารูปนี้มาฝากครับ ;D
-
;)
-
อ่านรีวิวนี้จบแล้วดีใจมากว่ามีคนช่วยทำรีวิว ไดเมนชั่นให้แล้ว สบายใจไป 1 ข้อปล้อง
ที่บ้านผมก็มีไดเมนชั่นอยู่ 2 คัน รถปี 02 พวงมาลัยเบจ VTI AT ABS/Airbag ของพี่สาว
และรถปี 05 รุ่น VTEC 1.7 ABS/Airbag (ไม่มีป้าย VTiแปะแล้ว)ของแม่
รถรุ่นเจ้าของกระทู้ เห็นบอกว่าหน้าปัดปรับสว่างมืดไม่ได้ ..ปรับได้ครับ สวิทช์ก็อยู่อันเดียวกับตัวรีเซ็ตระยะทางวัดกิโลแหละครับ หมุนซ้ายขวาไปก็ปรับได้เอง
แต่ถ้าเป็นรุ่นก่อนโฉม Excite หรือรถรุ่นที่ใช้หน้าปัดแบบไม่ได้เรืองแสง จะปรับไม่ได้ครับ
หลายอย่างที่เจ้าของกระทู้ได้รีวิวไปนั้นใกล้เคียงกับที่ผมเคยวัดไว้มาก ไม่ว่าจะเป็น 0-100 ที่ตกราว 12วินาทีต้นๆ และ 80-120 ที่ได้ค่า 9วิกลางถึงปลายใกล้เคียงกัน ความเร็วสูงสุด ตามหน้าปัดผมได้ราว 190 แต่ถนนต้องโล่งและยาวชนิดข้ามจังหวัด หาไม่เช่นนั้นแล้วก็จะตันอยู่ที่แค่ 184
ที่แปลกก็คือ รถของพี่สาวผมปี 02 กลับทำความเร็วได้มากกว่า คือ 192 ในที่ที่อีกคันจะทำได้แค่ 184 นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือรถปี 02 นั้นคิกดาวน์เร็วกว่า คันเร่งไวกว่า เกียร์เปลี่ยนคล่องกว่า ทั้งๆที่เครื่องและเกียร์มันก็ชุดเดียวกัน
แต่อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนั้น คัน 05 ประหยัดกว่า ผมเดินทางไกลแบบใช้ความเร็ว 110 วิ่งไปหัวหินและกลับ กินน้ำมันแค่ 15.3 ก.ม./ลิตร ส่วนคัน02 วิ่งทางเดียวกันแถมบรรทุกน้ำหนักน้อยกว่า ยังได้ 14.7เป็นอย่างมาก
ส่วนถ้าวิ่ง 120-140 แบบเดินทางไกลจริงๆ ไม่ใช่ขับนิ่งเอาค่าประหยัดน้ำมัน ก็จะทำได้ 13.7กิโลลิตรครับ
ในความเห็นส่วนตัวผม ผมมองว่า ES เป็นรถที่ทำทุกด้านได้ค่อนข้างเสมอตัว ภายในโอเค อุปกรณ์และดีไซน์ผมก็ว่าโอเค เรื่องเก็บเสียงลมนี้รุ่นปี 02 แย่นะ..เสียงลมเข้าเยอะมาก เสียงยางบดก็เข้าเยอะ แต่รถปี 05 เสียงลมกลับดังน้อยกว่า (ทั้งๆที่รถแม่ผมติดกันสาดด้วยเอ้า) แต่เสียงยางบดก็รบกวนพอๆกัน
ช่วงล่างนี้เป็นจุดที่ไม่ขอชม รุ่น 02 ขับทางตรงมั่นคงดี แต่ท้ายเด้งมากเกินเหตุ ส่วนคัน 05 โช้คนุ่มกว่าแบบรู้สึกได้ แต่ขับเกิน 130แล้วมีหวิวกว่ารุ่นก่อนแบบชัดเจน และยังมีความเด้งอยู่ดี สรุปคือเกาะก็ไม่ได้เกาะดีกว่า EK รุ่นเก่า แถมท้ายเด้งกว่า
แต่พวงมาลัยของมันนั้นผมชอบ เพราะวิ่งทางไกลมีน้ำหนักตึงมือ และขับสบายมาก การเปลี่ยนเลนก็ทำได้โดยไม่ต้องหมุนพวงมาลัยมาก ผมชอบการเซ็ตอัตราทดพวงมาลัยของ ES แม่ผมมากกว่า Tiida หรือ NX ของผมเองซะอีก
การบำรุงรักษาเท่าที่ผ่านมาก็เช็คตามระยะ มีปัญหากับการประกอบพวกคอนโซลไม่แน่นและส่งเสียงน่ารำคาญในคันปี 02 ส่วนคันปี 05 นั้น ในวันส่งมอบรถตอนป้ายแดง ผมขับไป 130โลเพื่อที่จะรู้ว่าฝาถังน้ำมันเปิดไม่ได้ เซ็งเป็ดมาก ดีว่ามีเพื่อนที่รื้อ ES มาแล้วทั้งคันเลยโทรไปถามวิธีเปิดฝาถังฉุกเฉินได้ ไม่งั้นล่ะได้ลากกลับบ้าน
-
civic es นี่เกียร์สูงสุด 5 เกียร์ หรือ 4 เกียร์อ่าคับ เพราะถ้า 5 เกียร์จะถือว่าเป็นรถที่ เจ๋งมาก ๆ ในสมัยนั้นอ่า
ถ้าจำไม่ผิดตัว 1.7 จะเป็น 4 speed ครับ
แต่ตัว 2.0 จะเป็น 5 speed
-
ตายล่ะหว่า ใช้รถมาจนหกปีแล้วเพิ่งรู้ว่าหน้าปัดปรับความสว่างได้!!!!!!!!!!!!!
ไม่เห็นมันมีปุ่มหมุนๆแยกออกมาเหมือน mz3 นี่นา ที่ปรับไปอยู่ตรงที่เซตค่าวัดระยะทางซะได้
ขอบคุณคุณแพนมากครับ เดี๋ยวจะลองไปปรับดู
-
อยากลองเล่นอะไรสนุกๆดูกับหน้าปัด
ก็ลองทำตามนี้ดูครับ
เอามือขวา บิดกุญแจไป 1 กิ๊ก
แล้วเอามือซ้ายกดเซ็ตระยะทางค้างไว้ ค้างไว้ตลอดเลยนะ
เอามือขวาเปิดไฟหรี่
เอามือขวาบิดกุญแจต่อไปยังตำแหน่ง On
เอามือขวาปิดไฟหรี่ แล้วก็เปิดไฟหรี่ แล้วก็ปิดไฟหรี่ ..ทำติดๆกันเลยนะครับ
พอเสร็จปุ๊บ มือซ้ายที่กดปุ่มรีเซ็ตระยะทางอยู่ ปล่อยออกแล้วกดลงไปอีก 3 ครั้ง ปั้ก ปั้ก ปั้ก
แล้วลองดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับหน้าปัด
ถ้าชอบ ก็กดปุ่มรีเซ็ตซ้ำอีกที ถ้าเล่นพอแล้วก็บิดกุญแจดับ ดึงกุญแจออก
ไม่รู้ผมไล่ลำดับถูกหรือเปล่านะครับ จำมาจากเพื่อน
-
ทุกขั้นตอนห้ามเกิน 5 วินาทีคับ
1. ก่อนอื่นก็เสียบกุญแจรถก่อน
2. ตามด้วยเปิดไฟหรี่
3. กดปุ่มรีเซ็ตเลขกิโลเมตรค้างไว้
4. บิดกุญแจ on (II) อีกมือก็ยังกดปุ่มรีเซ็ตเลขกิโลเมตรค้างอยู่
5. ทำ 3 จังหวะตามนี้ภายใน 5 วินาทีคับ ปิดไฟ เปิดไฟ ปิดไฟ อีกมือก็ยังกดปุ่มรีเซ็ตเลขกิโลเมตรค้างอยู่
6. ปล่อยปุ่มรีเซ็ตเลขกิโลเมตร แล้วกดซ้ำไปอีก 3 ครั้งภายใน 5 วินาที อย่ารัวเร็วนักคับ เว้นจังหวะซักครึ่งวินาทีค่อยกดซ้ำอ่ะ
7. ถ้าสำเร็จ ไฟทุกดวงจะกระพริบ เข็มทุกเข็มจะสวิงสุด แล้วสวิงกลับ จากนั้นไฟทุกดวงจะค้างจนกว่าจะดับกุญแจ
และ หลังจากเข็มสวิงกลับมาแล้ว หากเรากดปุ่มรีเซ็ตเลขกิโลเมตรซ้ำ(กดค้างก็ได้ กดแล้วปล่อยก็ได้) มันจะ Test เสียง และเข็มจะสวิงอีกครั้งคับ
ที่มา http://www.accordclubthailand.com/webboard/index.php?topic=68219.0
-
ชอบคุณครับ