Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: SORry..sorry ที่ เมษายน 11, 2011, 12:57:03
-
ผมเพิ่งขับไปหัวหินมา วิ่งประมาณ 150kg พอถึงที่พักปุ๊ป ก็ดับเครื่องรถเลย แล้วรู้สึกถึงเสียงเครื่องยนต์ตอนจะดับมันแปลก เพราะตอนแรกเครื่องมันจะดัง (Tiida 1.6) มีพี่แนะนำว่า ถ้าขับรถไกลๆ อย่าไปดับรถทันที ต้องปล่อยเครื่อง run ไปซัก 10 นาทีเพื่อไม่ให้เครื่อง knock หรือเครื่องยนต์จะได้ไม่เสียหรือหลวมเนี่ยะแหล่ะครับ
ช่วยแนะนำทีครับ ว่าจริงรึเปล่า หรือผมปล่อยเครื่องก่อนดับซัก 1-2นาทีพอมั๊ยครับ? หรือถ้าเราขับทางไกล เราต้องทำยังไงครับ
-
ใช่พี่ไม่ควรดับครับ ของผมพักไว้สัก1-2 นาทีน่ะครับ
-
เครื่องยนต์ที่ไม่มีเทอร์โบ ไม่มีปัญหาครับก่อนหน้าที่จะจอด ถ้าวิ่งมาสัก80ก่อนหน้า1-2กม.แล้ว ดับได้เลยครับ
รถที่ไม่ควรดับเครื่องทันทีคือรถเครื่องเทอร์โบ เพระการดับทันทีจะทำให้เกิดตะกรันแช่แห้งอยู่ที่แกนเทอร์โบ
ทำบ่อยๆ ตะกรันนี้จะกัดแกนเทอร์โบจนขาดได้ครับ
-
3 นาที เต็มที่ครับ ไม่งั้นฉี่ราด ;D
-
ควรครับ ขับทางไกลเครื่องมันจะร้อนมากจึงควร Cool Down ก่อนดับเครื่องครับ 2-3 นาทีก็น่าจะพอครับ
-
โดยปกติ เราจะขับรถเข้าบ้านเข้าซอย จะใช้เวลาประมาณ 10-15นาที ช่วงนี้ผมคิดว่าเราท่านคงไม่ได้เหยียบเกิน 120-160 มาแน่
คงขับราวๆ 40-60 จนชะลอถึงหน้าบ้าน ผมว่าก็คงไม่ต้องจอดแช่พักเครื่องแล้วครับ
-
ในความคิดผมนะครับ เวลาช่วงเลี้ยวเข้าปั้มเพื่อจอดพัก ก่อนจะเลี้ยวเข้าปั้มคงจะชลอก่อนเข้าปั้มมาด้วยความเร็ว 120 ระยะเบรคคงต้องมี ขั้นต่ำ 200-300 เมตร
เพื่อเพือระยะเบรคอีก คงกินเวลาไป 10-20 วิ เพื่อตัดเข้าช่องทางเลี้ยว แล้วต้องไป ก่งก๊ง หาที่จอดอีก เกือบ30 วินาที ช่วงเวลาประมาณนี้ ก็น่าจะคูลดาวว์ได้แล้ว
(หรือเปล่า) แล้วผมก็ดับเครื่อง
แค่นี้ผมว่าก็น่าจะพอ น๊า แต่ที่จริง มันมีน้ำมันเครื่องปกป้องอยู่แล้วมันควรจะเคลือบลูกสูบกับเสื้อสูบอยู่ ไม่น่าจะมีปัญหาเท่าไรนะ
-
ถ้าไม่บรรทุกเต็มพิกัด ถ้าไม่ได้อัดมามิดไมล์มายาวๆ ไม่จำเป็นครับ
วิ่งทางไกล เครื่องมันร้อนน้อยกว่า รตติดกระดื๊บ กระดึ๊บๆ ในเมืองอีกครับ
-
เปงผมถ้าขับทางใกลๆเวลาจอดผมจะทิ้งไว้ซัก 2-3 นาทีก่อนครับ
-
ปกติ ตอนวนหาที่จอดก็เป็นการ Cool Down อยู่แล้ว
-
ถ้าไม่บรรทุกเต็มพิกัด ถ้าไม่ได้อัดมามิดไมล์มายาวๆ ไม่จำเป็นครับ
วิ่งทางไกล เครื่องมันร้อนน้อยกว่า รตติดกระดื๊บ กระดึ๊บๆ ในเมืองอีกครับ
+1 ครับ รถวิ่ง ตจว. อากาศไหลผ่านเครื่องระบายความร้อนดีมาก เย็นกว่าเคลื่อนด้วยความเร็ว 15 km/hr ติดแถวลาดพร้าว สยาม แจ้งวัฒนะ ซะอีก
-
ถ้าไม่มีเทอร์โบหรือไม่อัดมา ผมว่าคงไม่ต้องฟรีเครื่องยนต์ไว้ก็ได้มั่งครับ
-
ติด Timer ครับ ;D
ล้อเล่นนะ ... แต่ได้ก็ดี ;)
ถ้าเป็นเครื่องธรรมดา 1 นาที เต็มที่ 2 นาทีก็โอเคแล้วครับ (หากวิ่งยาว ๆ มานะ)
ส่วนเครื่องเทอร์โบ ให้ดีติด Timer ดีกว่ามานั่งรอครับ
เพราะชีวิตจริงต้องมานั่งรอ 3-5 นาที มันก็ยังไงอยู่นะ
-
ไม่เคยทำเลยครับถึงก็ดับเลยครับ ผมว่าไม่จำเป็นครับ
;D ;D ;D
-
อ้างอิงจากบทความยานยนต์ที่เคยอ่านมานะครับ รถบ้านๆทั่วไปไม่จำเป็นต้องหยุดสักพักก่อนแล้วค่อยดับเครื่องเพราะการใช้งานยังไม่หนักหนามาก ยกเว้นว่าคุณแล่นด้วยความเร็วสูงสุดหรือเกือบจะมาติดต่อกันเป็นว่าหลายนาที นั่นถึงจะเป็นกรณีที่เครื่องยนต์ทำงานหนักต้องการเวลาที่จะให้ระบบหล่อเย็นทำงานเต็มที่เสียก่อนจะดับเครื่อง
รถยนต์ที่สมควรจะต้องรอสางถึงสามนาทีก่อนดับเครือบคือรถยนต์ที่มีการติดตั้งเทอร์โบ ไม่ว่าจะมาจากโรงงานหรือใส่เองทีหลัง เพราะว่าเวลาเทอร์โบมันปั่นทำงานที่ความเร็วสูงมันอาจหมุนถึงแสนรอบเลยทีเดียว หากว่าแล่นด้วยความเร็วสูงแล้วดับเครื่องทันทีแกนเทอร์โบที่ร้อนๆจัดจะขาดการหล่อเย็นที่เหมาะสมส่งผลให้เสียหายได้ มันจะไม่เสียในครั้งเดียวแต่พังสะสมไปเรื่อยๆ จึงเป็นที่มาของการติดตั้งเทอร์โบไทเมอร์นั่นเอง
ในกรณีของรถดีเซลเทอร์โบนั้นการใช้งานไม่หนักหนารอบจัดควารมเร็วสูงเท่ากับเบนซินเทอร์โบ การที่ชลอความเร็วก่อนเข้าซอยเข้าบ้าน เปิดประตูรั้ว ชลอความเร็วก่อนเข้าปั๊ม หาที่จอดใกล้ห้องน้ำ รอจนถึงคิวเติมน้ำมัน กรณีเหล่านี้ก็ใช้เวลานานหลายนาทีเพียงพอที่จะให้เครื่องยนต์และเทอร์โบได้คลายความร้อนลงไปได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องพักสองสามนาทีก่อนหรือติดตั้งเทอร์โบไทมเมอร์แต่อย่างใด
สิ่งที่ควรจะใส่ใจมากกว่าคือการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะทางหรือเวลาที่เหมาะสมและน้ำสำหรับระบบหล่อเย็น อย่าให้เก่าเกินอายุใช้งาน ถ้ามันตกตะกอนหรือเปลี่ยนสีก็ดูดออกใส่ของใหม่ซะ :)
-
เราก็ขับที่ความเร็วไม่เกิน 90 ซิครับประหยัดน้ำมันด้วย
-
เราก็ขับที่ความเร็วไม่เกิน 90 ซิครับประหยัดน้ำมันด้วย
ทำได้นี่ซูฮกเลยครับ
ผมเชื่อว่าการชะลอความเร็วก่อนเข้าจอดเพียงพอสำหรับการคลายเครียดของเครื่องยนต์แล้วครับ
แต่ถ้าเหยียบเบรคมาจากท๊อปสปีดแล้วดับเครื่องทันทีนั่นล่ะจะดูแปลกๆ :-X :-X
-
วิ่งมาหนักมากนะครับ 150 kg เลย
-
ผมเห็นว่า
ถ้ารถไม่ได้ใช้ระบบอัดอากาศที่ใช้น้ำมันเครื่องหล่อเย็นแกนใบพัดอะไรเทือกนี้ .... สามารถดับเครื่องได้ทันที .... ติดเครื่อง cool down รังแต่จะเปลืองน้ำมัน .... รถยนต์นะไม่ใช่นักกีฬาบาสเก็ตบอล
เพราะ ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำของเครื่องยนต์ มันยังทำงานอยู่หลังดับเครื่องครับ ... ถ้าอุณหภูมิยังไม่ลดต่ำลงจนวาล์วน้ำปิด น้ำหล่อเย็นมันก็ยังหมุนเวียนระบายความร้อนได้ตลอดครับ ....
ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำในเครื่องยนต์เป็นระบบปิด มีสภาพความกดดันอากาศมากกว่าบรรยากาศภายนอก น้ำจะเดือดที่อุณหภูมิสูงกว่า 100 องศา ... เมื่อดับเครื่อง อุณหภูมิที่ถูกรักษาไว้ที่อุณหภูมิทำงาน (อาจจะประมาณ 85-95 องศา) อาจจะสูงได้อีก (คนติดเกจคงเห็นชัด) แต่เมื่อมันอยู่ในระบบที่มีความกดดันสูง จึงยังไม่เดือดเป็นไอ การถ่ายเทความร้อนไปยังหม้อน้ำก็ยังทำงานได้ผ่านของเหลวตามปกติ .... จนอุณหภูมิต่ำลงเรื่อย ๆ จนวาล์วน้ำปิด ซึ่งจุดนี้จะระบายความร้อนได้ช้ากว่าเดิม นัยหนึ่งเป็นการรักษาความร้อนให้เครื่องยนต์ ให้พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น ....
รถที่มีระบบอัดอากาศ ก็มีเรื่องของระบบอัดอากาศให้พิจารณาแยกอีกทีครับ
-
ถ้าไม่บรรทุกเต็มพิกัด ถ้าไม่ได้อัดมามิดไมล์มายาวๆ ไม่จำเป็นครับ
วิ่งทางไกล เครื่องมันร้อนน้อยกว่า รตติดกระดื๊บ กระดึ๊บๆ ในเมืองอีกครับ
+1 ครับ รถวิ่ง ตจว. อากาศไหลผ่านเครื่องระบายความร้อนดีมาก เย็นกว่าเคลื่อนด้วยความเร็ว 15 km/hr ติดแถวลาดพร้าว สยาม แจ้งวัฒนะ ซะอีก
ขออนุญาตเห็นต่างครับ รถวิ่งยาวๆซัก 110-120 km/h ขึ้นไป ถึงแม้ว่าอากาศไหลผ่านมาระบายความร้อนได้เยอะและเร็วกว่ารถติดๆในเมือง
แต่มันเป็นการระบายความร้อนของน้ำในหม้อน้ำ แต่กรณีนี้อุณหภูมิน้ำมันเครื่องมันไม่ได้ต่ำเหมือนอุณหภูมิน้ำครับ
รถผมมี Oil temp และ Water temp ขับในสองสถานการณ์
- รถติด ไหลช้าๆในเมือง w.t. อยู่ที่ 90-100 c ส่วน o.t. ก็จะอยู่ที่ 90-100 c เช่นกัน
- รถวิ่งโล่งๆ motorway ขนาดผมขับชิลๆที่ 120 km/h ไม่ได้ซัดรอบสูงเท่าไหร่ (รอบอยู่ที่ประมาณ 3500 รอบ)
w.t. อยู่ที่ 90-95 c ในขณะที่ o.t. อยู่ที่ 110-115 c ครับ
ผมว่า Oil temp เป็นตัวบอกถึงอุณหภูมิที่แท้จริงของชิ้นส่วนในเครื่องยนต์ได้ดีกว่า Water temp นะครับ
เพราะว่าน้ำมันเครื่องเป็นตัวที่คอยหล่อลื่นเครื่องยนต์และระบายความร้อนให้ชิ้นส่วนต่างๆในเครื่องยนต์
ในขณะที่น้ำหล่อเย็นในหม้อน้ำทำหน้าที่ลดความร้อนเสื้อสูบเท่านั้น
ดังนั้น รถที่ขับทางไกลยาวๆมา อุณหภูมิเครื่องยนต์จึงควรสูงกว่ารถที่ไหลช้าๆในเมืองครับ
ผิดถูกประการใด รบกวนผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยครับ ผมไม่แน่ใจจริงๆ แต่แค่ตั้งข้อสังเกตุจากการใช้งานจริงเท่านั้น
-
ผมเห็นว่า
ถ้ารถไม่ได้ใช้ระบบอัดอากาศที่ใช้น้ำมันเครื่องหล่อเย็นแกนใบพัดอะไรเทือกนี้ .... สามารถดับเครื่องได้ทันที .... ติดเครื่อง cool down รังแต่จะเปลืองน้ำมัน .... รถยนต์นะไม่ใช่นักกีฬาบาสเก็ตบอล
เพราะ ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำของเครื่องยนต์ มันยังทำงานอยู่หลังดับเครื่องครับ ... ถ้าอุณหภูมิยังไม่ลดต่ำลงจนวาล์วน้ำปิด น้ำหล่อเย็นมันก็ยังหมุนเวียนระบายความร้อนได้ตลอดครับ ....
ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำในเครื่องยนต์เป็นระบบปิด มีสภาพความกดดันอากาศมากกว่าบรรยากาศภายนอก น้ำจะเดือดที่อุณหภูมิสูงกว่า 100 องศา ... เมื่อดับเครื่อง อุณหภูมิที่ถูกรักษาไว้ที่อุณหภูมิทำงาน (อาจจะประมาณ 85-95 องศา) อาจจะสูงได้อีก (คนติดเกจคงเห็นชัด) แต่เมื่อมันอยู่ในระบบที่มีความกดดันสูง จึงยังไม่เดือดเป็นไอ การถ่ายเทความร้อนไปยังหม้อน้ำก็ยังทำงานได้ผ่านของเหลวตามปกติ .... จนอุณหภูมิต่ำลงเรื่อย ๆ จนวาล์วน้ำปิด ซึ่งจุดนี้จะระบายความร้อนได้ช้ากว่าเดิม นัยหนึ่งเป็นการรักษาความร้อนให้เครื่องยนต์ ให้พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น ....
รถที่มีระบบอัดอากาศ ก็มีเรื่องของระบบอัดอากาศให้พิจารณาแยกอีกทีครับ
สงสัยเพิ่มเติมครับ...
กรณีรถ n.a. ผมว่าก็น่าจะต้อง warm down ซักหน่อยนะครับ
ใช่ครับว่าไม่มีเทอร์โบที่ต้องระวังเรื่องแกนเทอร์โบร้อนจนน้ำมันเครื่องไหม้
แต่...ถ้าจะบอกว่าระบบระบายความร้อนด้วยน้ำของเครื่องยนต์ยังทำงานต่อหลังดับเครื่อง
สงสัยตรงนี้ครับว่า...ถ้าดับเครื่อง พัดลมก็ไม่ทำงาน รถก็ไม่วิ่ง แล้วจะเอาลมที่ไหนมาเป่าให้หม้อน้ำมันลดอุณหภูมิน้ำได้ล่ะครับ
ปกติถ้าผมดับเครื่องแล้วต้องการให้พัดลมพัดเพื่อลดอุณหภูมิน้ำ ผมก็ใช้วิธีบิดกุญแจไปยังตำแหน่ง on
แล้วกดเปิด a/c เพื่อให้พัดลมคอมแอร์ทำงานเอาแทน เพื่อเป่าระบายความร้อนจากหม้อน้ำออกมาน่ะครับ
แต่ถ้าเราดับเครื่องแล้วลงไปทำธุระเลย พัดลมไม่ทำงาน มันก็ไม่มีอะไรมาระบายความร้อนให้น้ำในหม้อน้ำอยู่ดี
ผิดถูกรบกวนผู้รู้อีกแล้วครับ
-
ถ้ารถยังมีระบบไฟสมบูรณ์ ระบบหล่อเย็นยังทำงานอยู่หลังจากดับเครื่องครับ
วาล์วน้ำเปิดให้น้ำมีการไหลเวียนไปตามแรงดันที่เหลืออยู่ในระบบ
แต่มันก็ไม่ได้ไหลเร็วมาก เพราะปั๊มน้ำไม่ได้หมุนแล้ว
ส่วนเรื่องการระบายความร้อนนั้น ถ้าอุณหภูมิเกินจริงจริง
พัดลมไฟฟ้าจะติดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติครับ ไม่ต้องเสียบกุญแจก็ติดได้
ถ้าใครเคยเปิดฝากระโปรงรถสมัยก่อนบ่อยบ่อย
จะมีสติ๊กเกอร์สีเหลืองแปะไว้ตรงคานหม้อน้ำว่า อย่าเอามือแหย่ลงไปใกล้พัดลม
เพราะพัดลมสามารถติดและทำงานได้โดยอัตโนมัติ ตลอดเวลา แม้กระทั่งดับเครื่องแล้วครับ
-
หลายตำรามากเลยครับ
แต่ที่ผมปฏิบัติ รถดีเซล วอร์มไว้แล้วค่อยดับสัก 1-2 นาทีหรือมากกว่า แล้วแต่สะดวกครับ ถ้านานมาก อาจฉีราดได้ ครับ
เบ็นซิน จอดแล้วดับได้เลยครับ ไม่เคยวอร์มตอนจอดเลยครับ พอจอดแล้วสตาร์ทเครื่องไว้ ความร้อนขึ้นมาอีกนิดครับ
แต่ถ้าอาการสะสมอันอื่น ๆ นั้นไม่ทราบจริง ๆ
-
โดยปกติ เราจะขับรถเข้าบ้านเข้าซอย จะใช้เวลาประมาณ 10-15นาที ช่วงนี้ผมคิดว่าเราท่านคงไม่ได้เหยียบเกิน 120-160 มาแน่
คงขับราวๆ 40-60 จนชะลอถึงหน้าบ้าน ผมว่าก็คงไม่ต้องจอดแช่พักเครื่องแล้วครับ
ใช่ครับ ผมก็เคยอ่านมาว่าไม่ต้องจอดแช่ เพราะแค่ขับช้าก่อนเข้าบ้านก็เป็นการระบายอากาศแล้ว
แล้วก็ก่อนออกจากบ้านก็แค่ขับช้าๆ ให้เครื่องร้อนค่อยๆ ไหลเรื่อยๆจนถึงหน้าหมู่บ้านเข้าถนนใหญ่ก็ค่อยเหยียบ
เพราะถ้าจอดอุ่นเครื่องตอนเช้าอยู่กับที่เป็นการปล่อยมลพิษทำให้คนที่อยู่บ้านสูดดมเข้าไปเป็นพิษต่อร่างกายครับ :)