Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: T1k ที่ สิงหาคม 19, 2011, 07:48:18
-
ดูข่าวเมื่อเช้า มันเอาแน่ๆๆๆ ลดภาษีรถป้ายแดง100,000บาท (คนไม่เคยมีรถ)
รถ กทม ติดตายแน่ๆๆๆ
คนจะขายรถ โดนลูกหลง คนละ 100,000แหงๆๆๆ
และยันไปถึง เต๊นรถ จะเป็นยังไง T T
-
เพิ่มเติมครับ รถยนต์ราคาต้องไม่เกิน 1,000,000 บาทเท่านั้นนะครับ จะเป็นรถยนต์ประเภทไหนก็ได้
ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีนะ
และจะมีรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายให้ด้วย
ก็ให้คนกรุงฯ เลือกเอา ว่าจะซื้อรถยนต์ ไหนจะต้องเสียค่าบำรุงรักษา ค่าน้ำมัน รวมถึงค่าเสื่อมราคาของรถยนต์
หรือจะเลือกใช้รถไฟฟ้าครับ
-
ใช้ครับมันดี แต่คนที่จะขายในอณาคต แบบผมจะต้องโดน เต๊น หรือคนซื้อ ต่อรองไปคันละแสน แหงๆๆๆๆ
ราคาตกแบบ ไม่ได้ตั้งตัว และที่สำคัญ ประเทศไทย ไม่ใช้ Japan หรือ ยุโรป นะครับที่ ในซอยยังมีรถประจำทางมาถึง
หรือขับจักรยาน ไปจอดที่สถานี รถไฟ ได้โดยไม่ต้องกลัวหาย T T
เออถึงรถไฟฟ้สจะสร้างครบ (เอาทุกสีเลย) ผมยังไม่สามารถ ตอบสนองกะเส้นทางการทำงานของผมได้เลย T T
และที่สำคัญรถตอนนี้ก็ติดสุดๆๆแล้ว ผมว่าทำให้คนตัดสินใจซื้อรถได้ง่ายๆๆกว่าเดิมมากกกกกกกกกก
-
ผมว่าทำใจอย่างเดียวครับ ง่ายๆๆๆ ได้อย่าง ก็เสียอย่าง....
-
แล้วคนที่คิดจะซื้่อรถคันแรกของชีวิตหรือของครอบครัว เค้าจะคิดขายกันง่าย ๆ หรือครับ ?
กว่าจะตัดสินใจขายอาจจะผ่านไปสัก 3 - 5 ปี ถึงตอนนั้นความต่างของค่าเสื่อมราคาและตัวมูลค่าคงเหลือของรถคงเหลือพอ ๆ กัน
ไม่ต่างกันมากหรอกครับ
และถ้าออกนโยบายนี้มา รัฐบาลอาจจะมีข้อกำหนดตามมาก็ได้ เช่น ห้ามขายรถคันนี้ภายในระยะเวลากี่ปี ๆ อันนั้นก็ว่ากันไป
และด้วยราคาค่าตัวรถที่ห้ามเกิน 1 ล้านบาท ผมว่าตอนราคาตกยามขายต่อให้เต้นท์มันคงไม่มีผลต่างถึง 1 แสนหรอกครับ
อาจจะต่างกันนิดหน่อยสัก 3 - 5 หมื่นแบบเนี้ย แต่ถ้าเราใช้จนจะขายแล้วก็อย่าได้คิดมากไปเลย ผลต่างที่หายไปมันน้อยมาำก ;D
-
แล้ว รถทุกวันนี้ เวลาจะขายต่อ จะโดนกดราคา เป็นแสนรึป่าวครับ เริ่มกังวล
-
เอาเงินที่จะลดภาษี มาทำระบบขนส่งมวลชน ให้มันคล่องตัวราคาถูกน่าจะดีกว่า
-
ผมอดมานานแล้วครับ คันนี้คันที่ 2 แล้ว ;)
ไม่เห็นด้วย เพราะจะพังกันทั้งระบบ
นอกจากรถติดแล้ว
ยังมีเรื่องของที่จอดรถ
และราคารถมือ 2 นึกสภาพไม่ออกเลยว่า พวกราคาหลักหมื่นจะเป็นอย่างไร ทุกวันนี้ก็โดน Eco car กดจนแย่แล้ว
สงสัยได้ขายเป็นเศษเหล็กแน่ๆเลยครับ ;)
-
นโยบายนี้ ถ้าออกมาจริง
ให้ซื้อขายไปตามปกติ แต่เมื่อครบ 5 ปีแล้ว ค่อยมารับเงินแสนคืน
รัฐบาลก็ยังไม่ขาดรายได้ใน 5 ปีแรก เพื่อเน้นว่ารถมีการใช้งานมา 5 ปีเต็ม
โดยผู้ถือครองคนเดียว ตามนโยบายซื้อรถคันแรก (ใครขายต่ออด)
คนชั้นกลางที่สามารถซื้อรถเกินล้านน่าจะได้ประโยชน์ ในนโยบายนี้
-
ถ้าจะเอาจริง ๆ คงอีกนานละครับ ที่จะเริ่มใช้จริง เพราะมันมีผลกับเงินเข้าคลัง
อีกอย่างผลที่ตามมานอกจากรถจะติดแล้ว การใช้น้ำมันจะสูงขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่า
ใครใช้แก๊ส งานนี้ก็ระวังตัว เพราะถ้ายอดนำเข้าเยอะ ๆ มีหวังราคาไม่ต่างจากน้ำมัน
แต่สำหรับผมว่ามีผลดีกับเขานะครับ เพราะรถไฟฟ้า taxi ก็ไม่มี
จะมีก็สองแถว กับรถเมย์ข้ามจังหวัด ที่นาน ๆ โพล่มาที
วินมอไซ หรือรถเหมา เนี้ยถ้าไม่ได้อยู่ในเมืองละหมดสิทธิ์
แต่ที่แน่ 300 บาท กับ 15,000 ทำทันทียังไม่เห็นเลย
หรือยกเลิกกองทุนน้ำมันแค่ 6-7 บาท อันนี้ ก็ยังทำไม่ได้เลย
ง่าย ๆ แค่นี้ครับ ยังไม่เห็นแล้วเงินตั้ง แสน คงใกล้ ๆ จะยุบสภาเพื่อหาเสียงแล้วเลือกตั้งใหม่ นั้นแหล่ะครับ
-
เอารถไฟฟ้ามาก่อนละกัน
-
ก่อนที่จะใช้นโยบายนี้...ช่วยทำรถไฟฟ้าให้ครอบคลุม กทม. ก่อนดีไหมครับ เอิ๊กๆๆๆ
-
ขึ้นค่าแรงให้ได้ก่อนเถอะ ;)
-
เขาไม่ได้ลดราคาขายรถลง 1 แสนนี่ึครับ
เค้าให้เอาไปหักค่าใช้จ่ายในการเสียภาษีเงินได้ประจำปีไม่ใช่หรอ
หักได้แสนนึง
คนเสียภาษีฐาน10% ก็ ลดหย่อยภาษีได้ 1 หมื่นเอง
ผมเชื่อว่า พวกที่มีฐานเงินเดือนสูงกว่านี้ ที่เสียภาษีฐาน 20 หรือ37% มีรถกันหมดแล้วแหละ
-
เขาไม่ได้ลดราคาขายรถลง 1 แสนนี่ึครับ
เค้าให้เอาไปหักค่าใช้จ่ายในการเสียภาษีเงินได้ประจำปีไม่ใช่หรอ
หักได้แสนนึง
คนเสียภาษีฐาน10% ก็ ลดหย่อยภาษีได้ 1 หมื่นเอง
ผมเชื่อว่า พวกที่มีฐานเงินเดือนสูงกว่านี้ ที่เสียภาษีฐาน 20 หรือ37% มีรถกันหมดแล้วแหละ
มันมีด้วยหรือบนโลกนี่ ที่คนมีฐานภาษีสูงๆ ยังไม่ขับรถ ไม่มีรถขับ
;D
ผมว่ามีกันตั้งแต่ไม่เสียภาษีด้วยซ้ำไป
-
ถ้าเกิดมีเคส จะขายคันเก่าที่น่าจะได้ซัก 500,000
เกิดนโยบายนี้ขึ้นมา แล้วเต๊นท์ไปเทียบกับรถที่ได้ลดภาษี 100,000 แล้วกดราคาเราลงได้อีก
อาจอ้างว่ารถใหม่เค้าลด แสนนึง รถเก่าก็ต้องทำราคาลงอีก เป็นอย่างนี้ก็แย่
และคนนี้ จะไปซื้อรถใหม่ราคาเกินล้านอีก เสียทั้งขึ้นทั้งล่อง (เข้าข่ายตัวเองตอนนี้ด้วย)
อย่างนี้ มันแสบปอด จริง ๆ 555+ >:(
-
หักเงินได้ 100000 บาท เท่ากับลดลง 10000 บาท สำหรับคนเสียภาษี 10% เซ็งเลย
-
ผมว่าลองมองดูเงื่อนไขดีๆ ก่อนจะดีไหมครับ สำหรับผมรอความชัดเจนกว่านี้ดีกว่า
จะมองไปมันคือส่วนของภาษีนะครับ ไม่ใช่ราคาขายรถยนต์ แต่เราเอาค่าใช้จ่ายทุกอย่างไปรวมกันมากกว่า
ผมว่าอย่าโทษแค่เรื่องนี้เลย เอาแค่อีกไม่กี่ปีนี้ก็จะมี Ecocar เพิ่มเต็มท้องถนนไปก่อนแล้ว
ทุกคนล้วนมีสิ่งที่พาใจให้โน้มเอียงอยู่แล้ว คนชอบก็ชอบ คนเกลียดก็เกลียด
-
เอาเงินไปช่วยชาวนาก่อนดีไหม ?
เราแค่ไม่มีรถ แต่ชาวนาไม่มีกิน..
-
เอาเงินไปช่วยชาวนาก่อนดีไหม ?
เราแค่ไม่มีรถ แต่ชาวนาไม่มีกิน..
ถูก :)
-
เขาไม่ได้ลดราคาขายรถลง 1 แสนนี่ึครับ
เค้าให้เอาไปหักค่าใช้จ่ายในการเสียภาษีเงินได้ประจำปีไม่ใช่หรอ
หักได้แสนนึง
คนเสียภาษีฐาน10% ก็ ลดหย่อยภาษีได้ 1 หมื่นเอง
ผมเชื่อว่า พวกที่มีฐานเงินเดือนสูงกว่านี้ ที่เสียภาษีฐาน 20 หรือ37% มีรถกันหมดแล้วแหละ
มันมีด้วยหรือบนโลกนี่ ที่คนมีฐานภาษีสูงๆ ยังไม่ขับรถ ไม่มีรถขับ
;D
ผมว่ามีกันตั้งแต่ไม่เสียภาษีด้วยซ้ำไป
มีน่ะ ผมเคยเห็นระดับผู้บริหารของบริษัทยายักษ์ใหญ่ ที่ขายโอวัลตินด้วยน่ะ นั่งรถเมล์ไปกลับบ้าน มือถือใช้จอขาวดำ จนเขาไม่มีมือถือรุ่นนั้นขายแล้ว เลยเปลี่ยนเป็นจอสี รุ่นถูกสุดที่มี ส่วนเงินเดือนหกหลักของเขา ใช้ไปกับซื้อพันธบัตร ออมเงิน และซื้อหลักทรัพย์เท่านั้นครับ เห็นเขาทำแบบนี้มาเป็นสิบปีแล้วน่ะ ขอบอก
-
--
เขาไม่ได้ลดราคาขายรถลง 1 แสนนี่ึครับ
เค้าให้เอาไปหักค่าใช้จ่ายในการเสียภาษีเงินได้ประจำปีไม่ใช่หรอ
หักได้แสนนึง
คนเสียภาษีฐาน10% ก็ ลดหย่อยภาษีได้ 1 หมื่นเอง
ผมเชื่อว่า พวกที่มีฐานเงินเดือนสูงกว่านี้ ที่เสียภาษีฐาน 20 หรือ37% มีรถกันหมดแล้วแหละ
มันมีด้วยหรือบนโลกนี่ ที่คนมีฐานภาษีสูงๆ ยังไม่ขับรถ ไม่มีรถขับ
;D
ผมว่ามีกันตั้งแต่ไม่เสียภาษีด้วยซ้ำไป
--หักเงินได้ 100000 บาท จากภาษี ???????
ผมฟังผิดหรือ เห็นข่าว3 กะ Nation ว่าเป็นส่วนลดไม่ใช้หรือผมว่าลองมองดูเงื่อนไขดีๆ ก่อนจะดีไหมครับ สำหรับผมรอความชัดเจนกว่านี้ดีกว่า
จะมองไปมันคือส่วนของภาษีนะครับ ไม่ใช่ราคาขายรถยนต์ แต่เราเอาค่าใช้จ่ายทุกอย่างไปรวมกันมากกว่า
ผมว่าอย่าโทษแค่เรื่องนี้เลย เอาแค่อีกไม่กี่ปีนี้ก็จะมี Ecocar เพิ่มเต็มท้องถนนไปก่อนแล้ว
ทุกคนล้วนมีสิ่งที่พาใจให้โน้มเอียงอยู่แล้ว คนชอบก็ชอบ คนเกลียดก็เกลียด
ผมไม่ได้เกลียดคุณปู นะแค่ห่วงรถติดจริงๆๆๆ และห่วงราคารถตัวเอง T T
-
เอาเงินไปช่วยชาวนาก่อนดีไหม ?
เราแค่ไม่มีรถ แต่ชาวนาไม่มีกิน..
กด Like !!! ชาวสวน ชาวไร่ด้วย
โดนน้ำท่วม พายุ ซัดที น้ำตานองหน้าาากันเป็นเเถบๆ
น่าสงสารมาก
-
เขาไม่ได้ลดราคาขายรถลง 1 แสนนี่ึครับ
เค้าให้เอาไปหักค่าใช้จ่ายในการเสียภาษีเงินได้ประจำปีไม่ใช่หรอ
หักได้แสนนึง
คนเสียภาษีฐาน10% ก็ ลดหย่อยภาษีได้ 1 หมื่นเอง
ผมเชื่อว่า พวกที่มีฐานเงินเดือนสูงกว่านี้ ที่เสียภาษีฐาน 20 หรือ37% มีรถกันหมดแล้วแหละ
มันมีด้วยหรือบนโลกนี่ ที่คนมีฐานภาษีสูงๆ ยังไม่ขับรถ ไม่มีรถขับ
;D
ผมว่ามีกันตั้งแต่ไม่เสียภาษีด้วยซ้ำไป
มีน่ะ ผมเคยเห็นระดับผู้บริหารของบริษัทยายักษ์ใหญ่ ที่ขายโอวัลตินด้วยน่ะ นั่งรถเมล์ไปกลับบ้าน มือถือใช้จอขาวดำ จนเขาไม่มีมือถือรุ่นนั้นขายแล้ว เลยเปลี่ยนเป็นจอสี รุ่นถูกสุดที่มี ส่วนเงินเดือนหกหลักของเขา ใช้ไปกับซื้อพันธบัตร ออมเงิน และซื้อหลักทรัพย์เท่านั้นครับ เห็นเขาทำแบบนี้มาเป็นสิบปีแล้วน่ะ ขอบอก
ในไทยหรือเปล่านะครับ ผู้ชายหรือผู้หญิงครับ ;)
-
ผมก็ไม่ได้บอกว่าคุณเกลียดคุณปูหรอก เดี๋ยวหาว่าผมเข้าข้างไหนอีก
แค่อยากให้ทุกๆ คนมีสติ เพราะทุกวันนี้การแสดงความเห้นทางการเมืองเรามักขาดสติ
โดยเลือกว่าเราอยู่ข้างไหนแล้ว เวลาอีกข้างทำอะไรมาก็จะผิดเสมอไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตาม
ไม่เชื่อก็ลองหันไปมองคนรอบข้างดูสิครับ ^^
เรื่องแก้ปัญหาเรื่องข้าวให้กับชาวนามันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากครับ ผลกระทบมากๆ
ชาวนากว่าจะทำข้าวออกมาได้เม็ดนึงนี่ก็แทบสายตัวขาด ต้องจ้างคน จ้างรถ อะไรต่อมิอะไรมาเพื่อทำนา
สุดท้ายก็ต้องนำข้าวมาขายเพื่อให้ได้เงิน แต่ว่า.....
ถ้ารัฐซื้อข้าวถูก ชาวนาไม่มีเงิน คนจะเลิกทำนาจะเข้าไปหางานอื่นทำหมด ผลกระทบคือ ประเทศไทยเราไม่มีข้าวกิน
สุดท้ายอาจต้องไปซื้อข้าวมาจากต่างประเทศ
ถ้ารัฐซื้อข้าวแพง ชาวนามีรายได้ดีขึ้น แต่ว่า.... ข้าวที่ขายให้พวกเราๆ ทั่วทั้งประเทศต้องจ่ายค่าข้างแพงขึ้น
ร้านกับข้าวขึ้นราคาข้าว เราเองจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อ
ลองมองในแง่สังสมสิ ถ้าเราเกลียดรัฐบาลชุดนี้เราก็ด่าได้ทุุกกรณีอยู่แล้ว ถ้าเพิ่มราคาให้ข้าวของชาวนา
เราก็จะด่าว่าซื้อเสียงให้กับรากหญ้า พอเขากดราคาก็จะด่าเขาว่าไม่เห็นใจชาวนาแถมดันมาทำให้ราคาค่าข้าวที่ตนกินเพิ่มขึ้นอีก
นีแหละครับที่เป็นจุดสมดุลที่หายากมากๆ ในการที่จะแก้ไขเรื่องปัญหาของชาวนา
++++++++++++++++++++++++++
ก็ขออภัยครับ ที่อาจจะแสดงความเห้นเนื้อหาสาระที่ไม่เกี่ยวกับหัวข้อ เพียงแค่อยากให้ใช้สติกันเยอะๆ ในทุกวันนี้เพียงเท่านั้นครับผม
-
จริงๆ ผมชอบนั่งของขนส่งมวลชนมากกว่านั่งรถส่วนตัวนะครับ ลองว่าถ้ามีแบบญี่ปุ่น มีรถไฟตรงเวลาเป๊ะๆ
อะไรแบบนั้นก็คงดี ไม่ว่ารถไฟฟ้าทั่วถึงเส้นหลักๆ หรือรถเมล์เร็ว หรือรถไฟเร็ว อะไรก็แล้วแต่ถ้ามันระบบดีๆ
ผมเองก็ไม่อยากขับรถนะครับ มันเหนื่อย บางทีผมมาเรียนผมก็จอดรถไว้ที่พักแล้วเดินมา เบื่อรถติดน่ะครับ
-
คนเค้ายังไม่เริ่มทำงาน ยังไม่มีอะไรออกมาเป็นรูปเป็นร่างก็มาโจมตีซะและ จากเท่าที่อ่านความกังวล จขกท. ก็มีอยุ่เรื่องเดียวเท่านั้นคือ กลัวราคาขายต่อรถตัวเองตกแค่นั้น ไม่มองถึงส่วนรวมว่ามันเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ หรือนักศึกษาที่เพิ่งเรียนจบและกำลังจะเริ่มทำงานแล้วมีความจำเป็นต้องใช้รถยังไง แล้วนโยบายเค้าก็มีการทำเรื่องรถไฟฟ้าควบคู่กันไปด้วย ไม่ใช่มีแต่อยากจะให้คนเป็นหนี้ด้วยการลดภาษีรถยนต์ ผมเชื่อว่าเมื่อโครงการรถไฟฟ้า สร้างเสร็จสมบูรณ์ทุกสาย จำนวนรถยนต์บนท้องถนนน่าจะมีปริมาณที่ลดลง แต่จำนวนคนซื้อรถใหม่จะลดลงหรือไม่ อันนี้อาจจะลดหรือไม่ลดก็ได้ แต่จำนวนผู้ใช้บริการสาธารณะจะมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอนถ้าสามารถกำหนดอัตราค่าโดยสารได้ตามที่หาเสียง เหมือนอย่างเมืองนอก คนส่วนใหญ่มีรถกันแทบทุกบ้าน แต่ในวันทำงานจะเดินทางกันด้วยบริการสาธารณะเป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่น่าคิดกว่าก็คือนิสัยความรับผิดชอบมากว่า กลัวว่าเมื่อลดภาษีรถยนต์ให้ จะทำให้นิสัยการซื้อรถยนต์เปลี่ยนไปซะมากกว่า จากเดิมแทนที่จะซื้อEco carหรือ B segment ก็อาจจะขยับขึ้นไปเป็น C segment ตรงนี้อาจจะเป้นแรงจูงใจให้คนเป้นหนี้นานขึ้นหรือมากขึ้น อยากให้ประเทศชาติเจริญ เริ่มจากตัวเองก่อนเลยก็ได้ครับ จะทำอะไรมองผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ถ้าคิดได้แบบนี้สัก50-60% ของจำนวนประชากร ประเทศคงพัฒนาอะไรได้มากกว่านี้
รถยนต์สมัยนี้ถ้าจะพูดไปก็เหมือนเป็น ปัจจัย5ไปแล้ว แต่ละบ้านอาจจะมีอย่างน้อย1คันขึ้นไป ส่วนจะนำมาใช้เพื่อเพิ่มประมาณรถยนต์บนท้องถนนรึไม่ก็อีกเรื่องนึง
-
แทนที่จะพัฒนาระบบขนส่งมวลชน
กลับทำอย่างงี้
ลดภาระภาษีรถ ลดราคาน้ำมัน
รถเต็มถนน
คิดอะไรตื้นๆ
คน ตจว. ได้ประโยชน์จริงหรือ??
กลับกลายเป็นสนับสนุนให้คนโลภมากยิ่งขึ้น
ผ่ิอนกันมากขึ้น ซื้อกันมากขึ้น ใช้กันมากขึ้น
ระบบเศรษฐกิจพอเพียง ค่อยๆหายไป...
-
ทุกวันนี้รถติดแม้กระทั้งทางด่วน ;D
-
ผมว่าลองมองดูเงื่อนไขดีๆ ก่อนจะดีไหมครับ สำหรับผมรอความชัดเจนกว่านี้ดีกว่า
จะมองไปมันคือส่วนของภาษีนะครับ ไม่ใช่ราคาขายรถยนต์ แต่เราเอาค่าใช้จ่ายทุกอย่างไปรวมกันมากกว่า
ผมว่าอย่าโทษแค่เรื่องนี้เลย เอาแค่อีกไม่กี่ปีนี้ก็จะมี Ecocar เพิ่มเต็มท้องถนนไปก่อนแล้ว
ทุกคนล้วนมีสิ่งที่พาใจให้โน้มเอียงอยู่แล้ว คนชอบก็ชอบ คนเกลียดก็เกลียด
คิดเหมือนผมเลย ตอนแรกที่ผมได้ยิน นโยบายข้อนี้ ผมค่อนข้างจะรู้สึกเฉยๆนะ
เพราะผมยังไม่ได้ทราบรายละเอียดเงื่อนไขของนโยบายนี้ทั้งหมด
เลยจึงไม่รู้ว่า ผมควรจะรู้สึก ยินดี หรือ ยินร้าย มากกว่ากัน
ขนาดโปรโมชั่นมือถือ (ค่าใช้บริการหลักร้อยบาท) ผมยังต้องไปอ่านให้ละเอียดก่อนเลย
แล้วนี้จะซื้อรถเสียตังค์เป็นแสนๆ จะไม่ให้ผมศึกษารายละเอียดทั้งหมดก่อนได้ยังไง
-
จริงจริง ผมมีความคิดเห็นมากมายต่อผู้ที่เห็นด้วยกับนโยบาย และไม่เห็นด้วยกับนโยบาย
แต่ที่นี่คือเวบบอร์ดของ Headlightmag.com ไว้พูดคุยเรื่องวงการรถยนต์ และสัพเพเหระ
ผมจึงขอสงวนการแสดงความคิดเห็นของผมไว้ดีกว่า
กฎระเบียบมีชัดเจนครับ คือ ไม่นำเรื่องการเมืองมาพูดคุยที่นี่
ไม่ใช่เพราะจะปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น แต่มันนำพาไปให้เกิดการทะเลาะกันได้ง่าย
ก็อย่างที่ท่านบอกแหละ ใครชอบก็ชอบ ใครเกลียดก็เกลียด
เรื่องเศรษฐกิจและโครงสร้างการบริหารประเทศ มันเป็นเรื่องซับซ้อนมาก
จะถกให้แก่นและข้อเท็จจริงว่าอะไรดีอะไรไม่ดี คงต้องพูดกันยาว ทำการบ้านการเยอะ
และที่สำคัญ ไม่ใช่ในบริบทของเวบบอร์ดลักษณะนี้ ที่ตอบกันคนละทีสองที ยาวบ้างสั้นบ้าง
ผมหวังว่า ทุกท่านจะร่่วมกันรักษากฎระเบียบ เพื่อความสงบสุขของเวบบอร์ดแห่งนี้นะครับ
ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
==================================
เพิ่มเติม
ถ้าหากจะถกกันต่อ ผมว่ามาคุยกันเรื่องปัญหาจราจรดีมั้ย
ว่าประเทศอื่นอื่นเค้ามีการบริหารจัดการจราจรกันยังไง รถถึงได้ไม่ติด
ปัญหามันเป็นเพราะปริมาณรถที่เยอะเกินบนท้องถนน หรือ
ปัญหามันอยู่ที่การบริหารจัดการจราจรที่ไม่เป็นระบบระเบียบ
เพราะจะว่าไปแล้ว การจราจร ผมมองว่ามีต้นตออยู่แค่สองเรื่อง
คุณจะควบคุมปริมาณรถบนถนนไม่ให้รถติด หรือ
คุณจะบริหารจัดการ "Flow" ให้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อรองรับรถได้มากขึ้น
ลองถกกันได้ตามสะดวกครับ ***แต่ไม่เอาการเมืองนะ***
-
คุณจะบริหารจัดการ "Flow" ให้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อรองรับรถได้มากขึ้น
ผมว่าถนนเมืองไทยก็ไม่เล็กนะครับ แต่ว่าใครจะมองเห็นข้อนี้บ้าง คิดแล้วปวดตับจริงๆ
ไม่ต้องไรมากหรอกครับ ทางด่วนขั้นที่หนึ่ง ทุกวันติดทั้งๆที่ถนนข้างหน้าโล่ง
-
อย่าการเมืองเลยยยย
สำหรับผม
เก็บรถคันเก่าใช้ต่อไป
หนีไปขี่ บิ๊กไบค์ดีกว่า 555
ขอไปหัดขี่มอไซต์ธรรมดาให้เป็นก่อนนะ :P :P :P
-
ไม่เกินล้าน
แต่ในกรนีมือ2 นี่เขานับป้ายแดงไม่เกินล้าน หรือราคา ณ ตอนนั้น ไม่เกินล้าน ????
ไม่อยากเข้าเรื่อง แต่ยังไงผมก็ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ รถเต็มถนนกรุงเทพแล้ว!!!
-
เด็กในไลน์ที่มาปรึกษาเรื่องซื้อไตรตันยังชะลอการซื้อเลยครับ รอเงินโบนัสปลายปีจะได้ผ่อนน้อยๆกับรอความชัดเจนเรื่องนโยบายด้วยครับ แต่คงไม่ได้ผมประโยชน์อะไรมั้งครับ เพราะรายได้ไม่ถึงที่จะเสียภาษี
-
เด็กในไลน์ที่มาปรึกษาเรื่องซื้อไตรตันยังชะลอการซื้อเลยครับ รอเงินโบนัสปลายปีจะได้ผ่อนน้อยๆกับรอความชัดเจนเรื่องนโยบายด้วยครับ แต่คงไม่ได้ผมประโยชน์อะไรมั้งครับ เพราะรายได้ไม่ถึงที่จะเสียภาษี
เด็กใน line ผลิต เดี่ยวนี้เงินเดือนเท่าไรนะครับ รู้สึกเดียวนี้คนเงินเดือน 7000-8000 พัน ยังออกรถมือ 2 กันได้เลย
นึกไม่ออก ถ้ามีนโยบายนี้ จะหนักกว่าเดิมหรือเปล่า
;)
-
จริงจริง ผมมีความคิดเห็นมากมายต่อผู้ที่เห็นด้วยกับนโยบาย และไม่เห็นด้วยกับนโยบาย
แต่ที่นี่คือเวบบอร์ดของ Headlightmag.com ไว้พูดคุยเรื่องวงการรถยนต์ และสัพเพเหระ
ผมจึงขอสงวนการแสดงความคิดเห็นของผมไว้ดีกว่า
กฎระเบียบมีชัดเจนครับ คือ ไม่นำเรื่องการเมืองมาพูดคุยที่นี่
ไม่ใช่เพราะจะปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น แต่มันนำพาไปให้เกิดการทะเลาะกันได้ง่าย
ก็อย่างที่ท่านบอกแหละ ใครชอบก็ชอบ ใครเกลียดก็เกลียด
เรื่องเศรษฐกิจและโครงสร้างการบริหารประเทศ มันเป็นเรื่องซับซ้อนมาก
จะถกให้แก่นและข้อเท็จจริงว่าอะไรดีอะไรไม่ดี คงต้องพูดกันยาว ทำการบ้านการเยอะ
และที่สำคัญ ไม่ใช่ในบริบทของเวบบอร์ดลักษณะนี้ ที่ตอบกันคนละทีสองที ยาวบ้างสั้นบ้าง
ผมหวังว่า ทุกท่านจะร่่วมกันรักษากฎระเบียบ เพื่อความสงบสุขของเวบบอร์ดแห่งนี้นะครับ
ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
==================================
เพิ่มเติม
ถ้าหากจะถกกันต่อ ผมว่ามาคุยกันเรื่องปัญหาจราจรดีมั้ย
ว่าประเทศอื่นอื่นเค้ามีการบริหารจัดการจราจรกันยังไง รถถึงได้ไม่ติด
ปัญหามันเป็นเพราะปริมาณรถที่เยอะเกินบนท้องถนน หรือ
ปัญหามันอยู่ที่การบริหารจัดการจราจรที่ไม่เป็นระบบระเบียบ
เพราะจะว่าไปแล้ว การจราจร ผมมองว่ามีต้นตออยู่แค่สองเรื่อง
คุณจะควบคุมปริมาณรถบนถนนไม่ให้รถติด หรือ
คุณจะบริหารจัดการ "Flow" ให้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อรองรับรถได้มากขึ้น
ลองถกกันได้ตามสะดวกครับ ***แต่ไม่เอาการเมืองนะ***
ครับผม รับทราบครับ ขออภัยจริงๆ ยังไงเดี๋ยวผมจะลบข้อความของผมแล้วกัน
-
เพิ่มเติม
ถ้าหากจะถกกันต่อ ผมว่ามาคุยกันเรื่องปัญหาจราจรดีมั้ย
ว่าประเทศอื่นอื่นเค้ามีการบริหารจัดการจราจรกันยังไง รถถึงได้ไม่ติด
ปัญหามันเป็นเพราะปริมาณรถที่เยอะเกินบนท้องถนน หรือ
ปัญหามันอยู่ที่การบริหารจัดการจราจรที่ไม่เป็นระบบระเบียบ
เพราะจะว่าไปแล้ว การจราจร ผมมองว่ามีต้นตออยู่แค่สองเรื่อง
คุณจะควบคุมปริมาณรถบนถนนไม่ให้รถติด หรือ
คุณจะบริหารจัดการ "Flow" ให้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อรองรับรถได้มากขึ้น
ลองถกกันได้ตามสะดวกครับ ***แต่ไม่เอาการเมืองนะ***
พูดตรงๆ นะ เกิดจากทั้งการบริหารจัดการและ เกิดจาก ความไม่มีมารยาท + ความเห็นแก่ตัว + ทักษะ ของคนใช้รถใช้ถนน(ไม่ใช่แค่คนขับรถนะครับ)ในบ้านเราเนี่ยแหละ ที่ทำให้รถติดมาก บางคนไปขวางทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองไปต่อไม่ได้ แต่ไปขวางทำให้คนอื่นไปไม่ได้ก็มี จะเลี้่ยวขวานี่กินเลนออกมาเลย คือต้องการให้รถตรงต้องหยุดให้ ไม่งั้นก็ไม่ต้องไปกันเลย หรือจอดรถในจุดที่ไม่น่าจอด (ห้ามจอดก็ใช้ไฟฉุกเฉินเนี่ยแหละ) ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันทำให้การจราจรไม่ flow ทั้งนั้นแหละครับ
-
เด็กในไลน์ที่มาปรึกษาเรื่องซื้อไตรตันยังชะลอการซื้อเลยครับ รอเงินโบนัสปลายปีจะได้ผ่อนน้อยๆกับรอความชัดเจนเรื่องนโยบายด้วยครับ แต่คงไม่ได้ผมประโยชน์อะไรมั้งครับ เพราะรายได้ไม่ถึงที่จะเสียภาษี
เด็กใน line ผลิต เดี่ยวนี้เงินเดือนเท่าไรนะครับ รู้สึกเดียวนี้คนเงินเดือน 7000-8000 พัน ยังออกรถมือ 2 กันได้เลย
;)
ถ้าเริ่มสตาร์ทก็ 7000-7500 ครับ ผ่านโปรแล้วจะเพิ่มมาอีกหน่อยแล้วแต่ฝีมือและการพิจารณาครับ ส่วนพนักงานคนที่มาคุยกะผมได้ประมาณ 9500+700 ค่าตำแหน่ง นอกจากนี้จะมีค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร ค่ากะ เบี้ยขยัน โอที ค่ายอดการผลิต ค่า safety โดยรวมๆก็ประมาณ 13000-18000 ล่ะครับแล้วแต่จะขยันทำโอมั๊ย นอกจากนี้แล้วปลายปียังได้เงินก้อนจากโบนัสเข้ามาอีก อิงจากปีที่แล้วก็ 4.8 เท่าของฐานเงินเดือน+18000
ดังนั้นเด็กที่โรงงานผมทุกต้นปีจะมีคนออกกระบะป้ายแดงกันหลายคันเลย ผมระดับ Assist Sup ยังขับแค่สามห่วงอยู่เลย หุ้งเฟ้อจริงๆ เด็กพวกนี้ เคยถามอยู่ เค้าบอกว่าถ้าไม่ซื้อรถเค้าก็เอาเงินไปทำอย่างอื่น เที่ยว กินเหล้า หมดอยู่ดี อย่างน้อยซื้อรถแต่ไม่ค่อยเหลือตัง สุดท้ายพอผ่อนหมดเค้าก็มีสมบัติเป็นรถ 1 คัน ไม่งั้นจะไม่เหลืออะไรเลย
ก็จริงของเค้าน่ะ
-
ผมว่าลองมองดูเงื่อนไขดีๆ ก่อนจะดีไหมครับ สำหรับผมรอความชัดเจนกว่านี้ดีกว่า
จะมองไปมันคือส่วนของภาษีนะครับ ไม่ใช่ราคาขายรถยนต์ แต่เราเอาค่าใช้จ่ายทุกอย่างไปรวมกันมากกว่า
ผมว่าอย่าโทษแค่เรื่องนี้เลย เอาแค่อีกไม่กี่ปีนี้ก็จะมี Ecocar เพิ่มเต็มท้องถนนไปก่อนแล้ว
ทุกคนล้วนมีสิ่งที่พาใจให้โน้มเอียงอยู่แล้ว คนชอบก็ชอบ คนเกลียดก็เกลียด
เห็นด้วยครับก็เป็นข้อดีสำหรับคนที่จะซื้อรถคันแรกละกันจะได้มีกำลังใจในการทำงาน
ส่วนจะรถเต็มไม่เต็มถนนทุกวันนี้มันก็ติดตลอดอยู่แล้วตราบใดที่ขนส่งมวลชนยังไม่พัฒนา
-
เด็กในไลน์ที่มาปรึกษาเรื่องซื้อไตรตันยังชะลอการซื้อเลยครับ รอเงินโบนัสปลายปีจะได้ผ่อนน้อยๆกับรอความชัดเจนเรื่องนโยบายด้วยครับ แต่คงไม่ได้ผมประโยชน์อะไรมั้งครับ เพราะรายได้ไม่ถึงที่จะเสียภาษี
เด็กใน line ผลิต เดี่ยวนี้เงินเดือนเท่าไรนะครับ รู้สึกเดียวนี้คนเงินเดือน 7000-8000 พัน ยังออกรถมือ 2 กันได้เลย
;)
ถ้าเริ่มสตาร์ทก็ 7000-7500 ครับ ผ่านโปรแล้วจะเพิ่มมาอีกหน่อยแล้วแต่ฝีมือและการพิจารณาครับ ส่วนพนักงานคนที่มาคุยกะผมได้ประมาณ 9500+700 ค่าตำแหน่ง นอกจากนี้จะมีค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร ค่ากะ เบี้ยขยัน โอที ค่ายอดการผลิต ค่า safety โดยรวมๆก็ประมาณ 13000-18000 ล่ะครับแล้วแต่จะขยันทำโอมั๊ย นอกจากนี้แล้วปลายปียังได้เงินก้อนจากโบนัสเข้ามาอีก อิงจากปีที่แล้วก็ 4.8 เท่าของฐานเงินเดือน+18000
ดังนั้นเด็กที่โรงงานผมทุกต้นปีจะมีคนออกกระบะป้ายแดงกันหลายคันเลย ผมระดับ Assist Sup ยังขับแค่สามห่วงอยู่เลย หุ้งเฟ้อจริงๆ เด็กพวกนี้ เคยถามอยู่ เค้าบอกว่าถ้าไม่ซื้อรถเค้าก็เอาเงินไปทำอย่างอื่น เที่ยว กินเหล้า หมดอยู่ดี อย่างน้อยซื้อรถแต่ไม่ค่อยเหลือตัง สุดท้ายพอผ่อนหมดเค้าก็มีสมบัติเป็นรถ 1 คัน ไม่งั้นจะไม่เหลืออะไรเลย
ก็จริงของเค้าน่ะ
รวมๆแล้วน้องเขาได้มากกว่าผมอีกนะครับ ผมเงินเดือน 15000 กว่าๆ เพียวๆ โบนัส 1 เดือน เป็น พนักงาน(แต่โดย line จริงผมเป็น ผู้ช่วยผู้จัดการ) อาศัยว่าอยู่กับพ่อแม่ ไม่ต้องจ่ายอะไรมีแต่ค่าน้ำมันกับค่ารถ เก็บอย่างเดียว
เบื่อจริงๆ เงินเดือนน้อยกว่าเด็ก line อีก ทำงานเยอะหลายตำแหน่ง ได้เท่านี้เอง
-
ถ้าจะปรับเกี่ยวกับรถยนต์ ผมว่าน่าจะแก้ในเรื่องของภาษีรถ ซะมากกว่า
ที่ควรจะปรับลดในเรื่องของการใช้พลังงานทางเลือก
เช่นถ้าใช้ hybrid ก็จะลดให้ อารายประมาณนี้ เพราะต่างประเทศเขาก็ทำกัน
ไม่ใช้วัดกันแค่ CC รถ
-
ถ้าปรับโครงสร้างภาษีใหม่
ตามการปล่อยมลพิษ จะเวริค์มากๆ
-
ประเทศไทยมีแค่กรุงเทพรึเปล่า??
นโยบายนี้ผมว่าดีต่อคนทั้งประเทศ ที่กำลังสร้างตัว สร้างฐานะ แสนบาทนี่ถือว่าเยอะมาก
อย่าอคติกันเลย พี่น้องทั้งหลาย >:(
-
ถ้าปรับโครงสร้างภาษีใหม่
ตามการปล่อยมลพิษ จะเวริค์มากๆ
ผมขอยกมืออีก 1 เสียงครับ
-
ดีครับออกมาเยอะๆติดให้หนักๆ คนจะได้หนีไปขึ้นรถไฟฟ้าแทนไง
-
ต้องราคาต่ำกว่า 1 ลบ. ???
น่าจะหันไปสนใจกับเรื่องภาษีน้ำมันมากกว่า :)
ภาระค่าน่ำมันได้ลดน้อยลง
-
คนมีรถกับคนไม่มีรถ จุดยืนและมุมมองต่างกัน
-
เขาไม่ได้ลดราคาขายรถลง 1 แสนนี่ึครับ
เค้าให้เอาไปหักค่าใช้จ่ายในการเสียภาษีเงินได้ประจำปีไม่ใช่หรอ
หักได้แสนนึง
คนเสียภาษีฐาน10% ก็ ลดหย่อยภาษีได้ 1 หมื่นเอง
ผมเชื่อว่า พวกที่มีฐานเงินเดือนสูงกว่านี้ ที่เสียภาษีฐาน 20 หรือ37% มีรถกันหมดแล้วแหละ
มันมีด้วยหรือบนโลกนี่ ที่คนมีฐานภาษีสูงๆ ยังไม่ขับรถ ไม่มีรถขับ
;D
ผมว่ามีกันตั้งแต่ไม่เสียภาษีด้วยซ้ำไป
กด Like คับ
-
ยังไงรถมันก็ติดเท่าเดิมนั่นแหละครับ ยังไงก็ไม่มีใครเอารถออกมาใช้พร้อมกันได้อยู่แล้ว คนที่ซื้อรถคันแรกส่วนใหญ่ก็ต้องขับรถในบ้านตนเองมาก่อนทั้งนั้น ดังนั้นยังไงก็รถบนถนนก็เท่าเดิมไม่เพิ่มหรอก เพียงแค่อาจเห็นรถใหม่มากขึ้น
มันก็เหมือนตรรกะที่รถขายในงานมอเตอร์เอ็กโป หลายหมื่นคันแล้วคนมันชอบพูดว่าเอาถนนที่ไหนวิ่ง ถามจริงเถอะ คนนึงสามารถขับได้ครั้งละกี่คัน มันก็ขับได้แค่คนเดียวต่อคัน รถเก่าก็เก็บไว้ที่บ้าน รถบนถนนก็ไม่ต่างจากเดิม
-
ประเทศไทยนะครับ ไม่ใช่ประเทศ กรุงเทพมหานคร จะได้มีอยู่จังหวัดเดียว
ต่างจังหวัดนี่ถ้าไม่ใช่ช่วงเช้า กับเลิกงาน ถนนเงียบเหงามากๆครับ
-
กระทู้นี้ เค้าก็บอกว่า กรุงเทพ ครับ ไม่ใช่ต่างจังหวัด
เพิ่งคุยกับผู้บริหารรถยี่ห้อหนึ่งไป ไม่นานมานี้ ไม่ขอระบุละกันว่าค่ายไหน เป็นมุมมองที่น่าสนใจ
มุมของคนทำบริษัทรถ ถ้าให้ออกมาพูดในฐานะบริษัท แน่นอน เขาเห็นด้วย เพราะเขาขายรถได้เยอะขึ้น
แต่ ถ้าลองให้ผู้บริหารแต่ละค่ายรถยนต์ ถอดหมวกบริษัทรถ แล้วสวมหมวกส่วนตัว น่าจะมีไม่น้อย ที่ไม่เห็นด้วย
กับนโยบายนี้ เพราะถือเป็นการแก้ปัญหาที่มองภาพแค่การกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไมได้มองถึงการแก้ปัญหาอื่นๆ
ทั้งเรื่องการจราจร และผลกระทบทางสังคมที่จะตามมาอีกมาก
มุมมองของผม ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้เลยครับ
เพราะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผิดที่ผิดทาง
ถ้าคุณต้องการจะช่วยคนกลุ่มล่างสุดของสังคม ให้มีรายได้มากขึ้น
พอจะซื้อรถได้ คุณควร ให้ความรู้ ให้การศึกษา พัฒนาการทำมาหากินของเขา
ให้ดีขึ้น มันอาจใช้เวลาหน่อย แต่มันจะเห็นผลระยะยาว
ไม่ใช่มาทำนโยบายแบบนี้ เพื่อกระตุ้นในระยะสั้น แล้วก่อปัญหาอื่นๆตามมาในระยะยาว
แต่ทุกรัฐบาล ทุกพรรค ไม่กล้าให้ความรู้กับประชาชนมากนัก
เหตุผลที่ง่ายที่สุดคือ กลัวประชาชนรู้มาก แล้วจะรู้เยอะเกินไป
ซึ่งเมื่อนั้น ก็อาจถึงคราวซวยของตน
เฮ้อออออออออออออออ! ทุกประเทศก็เป็นแบบนี้หมดละครับ
-
ฮ่าๆ ขออภัยครับ ใส่อารมณ์ไปหน่อย :'(
-
nissan march รุ่นล่างสุด จะเหลือราคา 275,000 หรอครับ ถ้าเป็นแบบนี้
-
รัฐบาลยังไม่แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเลยครับ เอาให้แน่ก่อนว่ายังไง อย่าตื่นตูมไปก่อนะดีกว่าไหม
-
ด้วยความเคารพต่อความคิดเห็นทุกท่านครับ ต่อให้ประเทศไทย พัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้ดีเทียบเท่าญี่ปุ่น หรือดีมาก ขนาดไหน
ผมเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า คนไทยก็ยังต้องการมีรถเป็นของตัวเองอยู่ดี น้อยคนที่จะใช้ระบบขนส่งมวลชนของรัฐ ด้วยจิตสำนึก แต่ใช้เพราะความจำเป็น
เมื่อก่อนตอนที่ผมไม่มีรายได้อะไร ผมก็นั่งรถเมล์ ขี่มอเตอร์ไซด์ แล้วก็หวังไว้สักวันหนึ่ง ว่าจะมีรถขับ จับพลัดจับผลู พอมีงานมั่นคงผมก็ไม่รอช้าที่จะซื้อรถเป็นของตัวเอง
ไม่ว่าจะด้วยความสบายกว่า หรือ อยากมีหน้ามีตาอย่างเพื่อนๆ เพราะฉะนั้น ประเทศไทยก็ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ว่าประเทศเราจะพัฒนาไปขนาดไหนก็ตาม ฟันธง !!
-
ไม่ขอพูดถึงนโยบาย แต่อยากให้มองถึงคนอื่นในภาพรวม
ต้องยอมรับว่าระบบขนส่งมวลชนไทยยังต้องพัฒนาอีกมาก ทั้งเรื่องของคุณภาพยานพาหนะ รอนาน ความปลอดภัย มลพิษ ฯลฯ
ทุกคนอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง ประหยัดเวลาในการเดินทางเพื่อการทำงานและถึงจุดหมายปลายทาง
ดังนั้นเมื่อระบบขนส่งมวลชนไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ คนส่วนใหญ่จึงคิดซื้อรถเพื่อตอบสนองความต้องการ
ทีนี้ถ้าคุณมองว่าคนอื่นออกรถมา แล้วคุณจะมีพื้นที่ให้รถของคุณวิ่งในถนนสาธรณะน้อยลง
อยากให้คิดว่า คุณเองก็เป็นรถ 1 คัน ที่ทำให้การจราจรบนถนนติดขัดเหมือนกัน รวมทั้งผมด้วย
ผมว่าเมื่อถึงจุดๆ หนึ่่ง อาจจะ 10 หรือ 20 ปี ระบบขนส่งมวลชนสามารถตอบสนองความต้องการได้ระดับหนึ่ง คนก็จะหันมาใช้บริการสาธารณะมากขึ้น
อาจจะวันทำงานใช้บริการสาธารณะ เสาร์ - อาทิตย์ใช้รถส่วนตัว
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น คุณอาจจะนอนเร็วขึ้น 1 ชม. ออกจากบ้านเร็วขึ้น 1 ชม. เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดในตอนสาย
หรือถ้าพักอาศัยอยู่ในแนวรถไฟฟ้า ก็ลองหันมาใช้บริการสาธารณะมากขึ้น
ไม่อยากให้มองว่าผมมีรถ แล้วคุณอย่ามีนะ รถเยอะอยู่แล้ว เดี๋ยวทำผมติดมากขึ้น
เพราะถึงจะมีนโยบายหรือไม่มี ปริมาณรถบนถนนก็ต้องเพิ่มขึ้น รองรับกับประชากรที่เพิ่มจำนวนขึ้น
ถึงเวลาก็ต้องปรับตัวกันไป.................
-
ไม่ขอพูดถึงนโยบาย แต่อยากให้มองถึงคนอื่นในภาพรวม
ต้องยอมรับว่าระบบขนส่งมวลชนไทยยังต้องพัฒนาอีกมาก ทั้งเรื่องของคุณภาพยานพาหนะ รอนาน ความปลอดภัย มลพิษ ฯลฯ
ทุกคนอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง ประหยัดเวลาในการเดินทางเพื่อการทำงานและถึงจุดหมายปลายทาง
ดังนั้นเมื่อระบบขนส่งมวลชนไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ คนส่วนใหญ่จึงคิดซื้อรถเพื่อตอบสนองความต้องการ
ทีนี้ถ้าคุณมองว่าคนอื่นออกรถมา แล้วคุณจะมีพื้นที่ให้รถของคุณวิ่งในถนนสาธรณะน้อยลง
อยากให้คิดว่า คุณเองก็เป็นรถ 1 คัน ที่ทำให้การจราจรบนถนนติดขัดเหมือนกัน รวมทั้งผมด้วย
ผมว่าเมื่อถึงจุดๆ หนึ่่ง อาจจะ 10 หรือ 20 ปี ระบบขนส่งมวลชนสามารถตอบสนองความต้องการได้ระดับหนึ่ง คนก็จะหันมาใช้บริการสาธารณะมากขึ้น
อาจจะวันทำงานใช้บริการสาธารณะ เสาร์ - อาทิตย์ใช้รถส่วนตัว
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น คุณอาจจะนอนเร็วขึ้น 1 ชม. ออกจากบ้านเร็วขึ้น 1 ชม. เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดในตอนสาย
หรือถ้าพักอาศัยอยู่ในแนวรถไฟฟ้า ก็ลองหันมาใช้บริการสาธารณะมากขึ้น
ไม่อยากให้มองว่าผมมีรถ แล้วคุณอย่ามีนะ รถเยอะอยู่แล้ว เดี๋ยวทำผมติดมากขึ้น
เพราะถึงจะมีนโยบายหรือไม่มี ปริมาณรถบนถนนก็ต้องเพิ่มขึ้น รองรับกับประชากรที่เพิ่มจำนวนขึ้น
ถึงเวลาก็ต้องปรับตัวกันไป.................
สุดยอดครับ
-
ผมว่าไม่ใช่ลด 100,000 บาท ทุกรุ่นแน่นอน แต่ลิมิตสูงสุดอยู่ที่ 100,000 บาท ครับ
นโยบาย พท. ก็แบบนี้แหล่ะครับ เน้นประชาชนนิยม หรือที่เรียกกันว่า ประชานิยม
ทำอะไรที่ ปชช. ส่วนใหญ่ของประเทศต้องการ ทำให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย หรือไม่ก็ชี้นำตลาดซะเอง การตลาดเขาดี เลือกตั้ง 100 ครั้ง ชนะ 100 ครั้ง
ส่วนนโยบาย ปชป. ไม่ใช่ไม่ดี ไม่ใช่ไม่เก่ง ไม่ใช่ไม่มีผลงาน แต่ผลงานของเขาไม่เป็นที่นิยมของประชาชน หรือ ไม่โดนใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้
ทำอะไรที่ ปชช. ส่วนใหญ่ของประเทศไม่ต้องการ หรือต้องการแต่ก็น้อย ถ้าพรรคยังไม่เปลี่ยนทัศนคติก็คงยากในครั้งหน้า
ส่วนระบบขนส่งมวลชน ดูเหมือน พท. จะเน้นรถไฟฟ้า(บนดิน, ใต้ดิน, BTS)
รถไฟฟ้าในประเทศไทย(กรุงเทพฯ)นั้นทำยากมากครับ ยากเพราะการเวนคืนที่ดินครับ
บางทีคุยตัวต่อตัวรู้เรื่อง แต่พอมาคุยเป็นกลุ่มไม่รู้เรื่องล่ะ ไม่เอาอย่างเดียว
และเห็นว่าจะมีรถไฟฟ้าเชื่อมไปยังหัวเมืองต่างๆ ทั่วประเทศด้วย
ใน ขณะที่ สนามบิน สุวรรณภมูิขยาดเฟส 2 ไม่ทัน
จะมีการปรับปรุงสนามบินดอนเมือง และสนามบินทหารให้กลับมาใช้ทางเชิงพาณิชย์
ข่าวแววๆ ว่า ถ้ารถไฟฟ้าในกรุงเทพมันขยายยากนัก
จะทำเป็นรถไฟวงแหวน วิ่งเป็นวงกลมรอบกรุงเทพฯ แทน ผมชอบแนวคิดนี้จัง
แต่สุดท้ายอยากให้ทุกคนเลิกทะเลาะกันสักที มาช่วยกันทำให้ประเทศเงียบสงบกันดีกว่า
เพื่อเงินทุนจากตลาดอเมริกาหรือยุโรปรวมทั้งจีนจะไหลเข้าประเทศไทยกันมากขึ้น ประเทศเราต้องจับจังหวะนี้ให้ดี
อเมริกายังวิกฤตอีกนาน จนกว่า อเมริกาจะจับธุรกิจใหม่ๆ ได้ วิกฤตหนี้ในยุโรปก็เช่นกัน
อย่าปล่อยให้โอกาศดีๆ แบบนี้ หลุดลอยไป เพราะคนในประเทศทะเลาะกันเอง จนประเทศขาดเสถียรภาพเลย
-
ผมชอบนโยบายหลายอย่างของรับบาลนี้นะครับ แต่เรื่อง
ลดราคารถ 100,000 บาท
ผมไม่เห็นด้วยเลย
-
ไม่ขอพูดถึงนโยบาย แต่อยากให้มองถึงคนอื่นในภาพรวม
ต้องยอมรับว่าระบบขนส่งมวลชนไทยยังต้องพัฒนาอีกมาก ทั้งเรื่องของคุณภาพยานพาหนะ รอนาน ความปลอดภัย มลพิษ ฯลฯ
ทุกคนอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง ประหยัดเวลาในการเดินทางเพื่อการทำงานและถึงจุดหมายปลายทาง
ดังนั้นเมื่อระบบขนส่งมวลชนไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ คนส่วนใหญ่จึงคิดซื้อรถเพื่อตอบสนองความต้องการ
ทีนี้ถ้าคุณมองว่าคนอื่นออกรถมา แล้วคุณจะมีพื้นที่ให้รถของคุณวิ่งในถนนสาธรณะน้อยลง
อยากให้คิดว่า คุณเองก็เป็นรถ 1 คัน ที่ทำให้การจราจรบนถนนติดขัดเหมือนกัน รวมทั้งผมด้วย
ผมว่าเมื่อถึงจุดๆ หนึ่่ง อาจจะ 10 หรือ 20 ปี ระบบขนส่งมวลชนสามารถตอบสนองความต้องการได้ระดับหนึ่ง คนก็จะหันมาใช้บริการสาธารณะมากขึ้น
อาจจะวันทำงานใช้บริการสาธารณะ เสาร์ - อาทิตย์ใช้รถส่วนตัว
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น คุณอาจจะนอนเร็วขึ้น 1 ชม. ออกจากบ้านเร็วขึ้น 1 ชม. เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดในตอนสาย
หรือถ้าพักอาศัยอยู่ในแนวรถไฟฟ้า ก็ลองหันมาใช้บริการสาธารณะมากขึ้น
ไม่อยากให้มองว่าผมมีรถ แล้วคุณอย่ามีนะ รถเยอะอยู่แล้ว เดี๋ยวทำผมติดมากขึ้น
เพราะถึงจะมีนโยบายหรือไม่มี ปริมาณรถบนถนนก็ต้องเพิ่มขึ้น รองรับกับประชากรที่เพิ่มจำนวนขึ้น
ถึงเวลาก็ต้องปรับตัวกันไป.................
สุดยอดครับ
+1 สมัครมาตอบกระทู้นี้กระทู้แรกเลย ถูกใจผมมาก คหนี้ ;D
ผมคิดว่าถ้าหากคนที่คิดว่านโยบายนี้จะทำให้รถติดขึ้น มันก็อาจจะจริง แต่ก็อย่าลืมว่าคุณก็เป็นคนนึงที่ใช้รถส่วนตัว ดังนั้นถ้าจะให้คำพูดของผู้พูดฟังน่าเชื่อถือขึ้นก็ต้องให้ผู้พูดเลิกใช้รถส่วนตัวแล้วไปใช้ขนส่งมวลชนแทน
-
ด้วยความเคารพต่อความคิดเห็นทุกท่านครับ ต่อให้ประเทศไทย พัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้ดีเทียบเท่าญี่ปุ่น หรือดีมาก ขนาดไหน
ผมเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า คนไทยก็ยังต้องการมีรถเป็นของตัวเองอยู่ดี น้อยคนที่จะใช้ระบบขนส่งมวลชนของรัฐ ด้วยจิตสำนึก แต่ใช้เพราะความจำเป็น
เมื่อก่อนตอนที่ผมไม่มีรายได้อะไร ผมก็นั่งรถเมล์ ขี่มอเตอร์ไซด์ แล้วก็หวังไว้สักวันหนึ่ง ว่าจะมีรถขับ จับพลัดจับผลู พอมีงานมั่นคงผมก็ไม่รอช้าที่จะซื้อรถเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยความสบายกว่า หรือ อยากมีหน้ามีตาอย่างเพื่อนๆ เพราะฉะนั้น ประเทศไทยก็ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ว่าประเทศเราจะพัฒนาไปขนาดไหนก็ตาม ฟันธง !!
อยากจะบอกว่า ประเทศไหนเมืองไหน ใครใครก็อยากมีรถส่วนตัวทั้งนั้นแหละครับ
ทั้งเรื่องความสะดวกสบายในการเดินทาง และภาพลักษณ์และฐานะทางสังคม
มีที่ไหนบ้างล่ะ ที่ไม่ว่าจะขับ Merc, Ferrari, หรือ Tata ก็จะมีภาพลักษณ์เท่ากัน ไม่มีซะหรอกครับ
แต่ที่คนหลายประเทศนิยมใช้ขนส่งมวลชนมากกว่า ก็เพราะต้นทุนการนำรถ "ออกมาวิ่ง" มันแพงครับ
ยกตัวอย่างง่ายง่าย New York ถามว่าทุกคนที่มีรายได้ มีรถเป็นของตัวเองหรือไม่ คำตอบคือ "มี" แทบทุกคนครับ
แต่วันทำงานปกติ เอารถออกมาใช้หรือเปล่า ส่วนใหญ่ไม่ได้เอาออกมา เพราะค่าจอดรถแพงมหาศาล
จอดทั้งวันนี่ Early Bird เข้าจอดก่อน 9 โมงเช้า ก็ค่าจอดปาเข้าไปวันละ 20-30 เหรียญแล้ว
แถมสถานที่จอดรถก็ไม่ค่อยมี ดังนั้น ข้อจำกัดมันมีมากโข ก็เลยไม่นำรถออกมาใช้กัน
ย้ายเมืองมาดู Philadelphia ซึ่งเป็นเมืองที่เล็กกว่ามาก ทุกคนที่นี่นิยมขับรถมากกว่าใช้ขนส่งมวลชน
ก็เพราะต้นทุนการใช้รถต่ำ จอดทั้งวัน 9.99 เหรียญ ถ้ามาสายก็ 14 เหรียญ ถูกกว่ากันเยอะ
แถมถนนทุกสายใน Philadelphia จอดรถได้สองข้างทางหมด ถูกแสนถูก รถก็วิ่งกันเต็มเมือง
ทีนี้ การที่ New Yorkers สามารถเปลี่ยนไปใช้ขนส่งมวลชนได้ ก็เพราะมัน Reliable ครับ
รถเมล์ขับอย่างมีระเบียบ สะอาดเรียบร้อย มาบ่อยถี่และตรงเวลา (ถึงจะเพี้ยนบ้างก็ตามเหอะ)
หรือเมืองต่างต่างที่ ระบบขนส่งแบบราง ทำออกมาดี คนก็นิยมใช้กัน เพราะถึงจะสะดวกสบายน้อยกว่า
รถยนต์ส่วนตัวบ้าง แต่มันก็ยังทำให้การเดินทางไปถึงจุดหมายเป็นไปอย่างสบาย และเข้าถึงจุดหมาย
แบบไม่ได้ต้องเดินเยอะกว่าขับรถส่วนตัว หรือต้องต่อสองต่อสามต่อ กว่าจะถึงที่หมายได้
หรืออย่าง สิงคโปร์ ถนนขาเข้าทุกสายที่วิ่งเข้าใจกลางเมือง Singapore City ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมใช้ถนน
วิ่งผ่านไอ้เสานี่ที ก็จ่าย 2 เหรียญสิงคโปร์ ไอ้แบบนี้ล่ะทำได้ เพราะขนส่งมวลชนดี รถไฟฟ้าถึงทั้งเกาะ
คนก็ไม่อยากขับรถไปโดยปริยาย จะไปไหนทีก็วางแผนจะได้ไม่ต้องขับผ่านเสานี่ซ้ำซ้ำ เสียเงินซ้ำซาก
แต่ถ้าขนส่งมวลชนเป็นแบบไทย รถเมล์ขับแบบจะพาคนไปตายอย่างนี้ ก็คงลำบากครับ
ผมถึงคิดว่า หากต้องการจะแก้ไขปัญหาจราจรอย่างจริงจัง ต้องรีบสร้างระบบขนส่งมวลชนให้เป็นโครงข่าย
เข้าถึงหลายจุด ครอบคลุมให้มากพื้นที่ แทนที่คนจะขับรถเข้าไปติดในเมือง หาที่จอดอีกชั่วโมงนึง
ก็เปลี่ยนเป็นนั่งรถไฟฟ้า รถใต้ดิน รถไฟบนดิน เพื่อไปถึงที่หมายได้อย่างรวดเร็ว ประหยัด และสะดวกสบาย
ผมกลับจากอเมริกามานี่ แรกแรกไม่อยากขับรถเลยครับ พอดีบ้านใกล้รถไฟฟ้าก็เลยโหนไปใจกลางเมืองบ่อยบ่อย
แต่พอกลับมาอยู่นาน ธุระปะปังเริ่มมากขึ้น วันวันต้องไปหลายแห่ง ขนส่งมวลชนที่มีมันรองรับไม่ได้ทั้งหมด
ก็ต้องเอารถออกมาขับกันล่ะ ช่วยไม่ได้นี่นา
-
ผมอยากไปทำงานบ้านนอกก็เพราะตรงนี้แหละครับ ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องค่าจอดรถ ขับไกลๆหน่อย แต่สบายใจดี รถไม่ติดครับ ;)
-
ถ้าคุณต้องการจะช่วยคนกลุ่มล่างสุดของสังคม ให้มีรายได้มากขึ้น
พอจะซื้อรถได้ คุณควร ให้ความรู้ ให้การศึกษา พัฒนาการทำมาหากินของเขา
ให้ดีขึ้น มันอาจใช้เวลาหน่อย แต่มันจะเห็นผลระยะยาว
ในอดีตรัฐบาลชุดนี้ก็เคยทำแล้วนิครับ พวก OTOP ไงครับ เดียวคงสานต่อเองละ
ส่วนเรื่องคืนภาษี 100,000 บาท
ไม่ได้หมายความว่า ซื้อรถราคา 1,000,000 ลบ 100,000 เหลือ 900,000 นะครับบบบ !!
2 ปีที่แล้วก็มีนโยบายแบบนี้ออกในวงการอสังหา คืนภาษีสูงสุด 300,000 บาท
ทุกคนจะตีความว่าซื้อบ้านแล้วจะได้ลด 300,000 บาท แต่มัน !! ไม่ใช่ !!
สมมุติถ้าคุณจ่ายภาษีเงินได้ต่อปี 1,000,000 บาท คุณจะได้คืนภาษี
เต็มๆ 300,000 บาทแน่นอน
แต่ !! ถ้าคุณจ่ายภาษีเงินได้ต่อปีแค่ 10,000 บาท คุณก็จะได้คืนภาษีแค่ 10,000 บาทครับ
-
ส่วนลด หนึ่งแสน บาท สำหรับ รถคันแรก โดยส่วนตัวผมมีรถเป็นของตัวเองแล้ว เพราะฉนั้นนโยบายนี้ ผมอดครับ แต่ผมเห็นด้วยนะครับ ผมมองว่า มันเป็นการเปิดโอกาสให้คนที่มีรายได้น้อยได้มีรถนะครับ เพราะคนที่มีเงินแล้ว มีรถแล้ว จะไม่ได้ประโยชน์จากนโยบายนี้ แต่ จะได้รับผลเสียเช่น มีรถเยอะขึ้นบนถนน รถต้องติดกว่าเดิมแน่ๆ ราคาขายต่อรถฉันน้อยลงแน่ๆ แต่ในมุมมองกลับกัน คนรายได้น้อยในต่างจังหวัด ก็จะสามารถมีโอกาสมีรถเป็นของตัวเองไว้ใช้งาน ชาวนา ชาวสวน มีรถนำ พืชผลเข้ามาขายในตลาด ไม่ต้องไปเสียเปรียบให้แก่พ่อค้าคนกลางที่ไปรับหน้าสวน และหากเจ็บป่วยก็มีรถไปหาหมอไปโรงพยาบาล ซึ่งตรงนี้ผมมองว่าดีครับ ส่วนคนรวยแล้ว หนึ่งคือ มีรถแล้วแน่นอน ซื้ออีกก็ไม่ได้ส่วนลด หรือ ถ้ารวยแล้วจะซื้อรถจริง จะซื้อรถราคาต่ำกว่าหนึ่งล้านบาทเหรอครับ เจ้าของธุรกิจ หรือ ผู้บริหารองค์กรใหญ่โต จะซื้อลดราคาต่ำกว่าล้านหรอครับ คนที่ทำธุรกิจเค้าซื้อรถมาเป็นชื่อบริษัทได้ลดภาษีอยู่แล้ว ทำไมตรงนี้ไม่เห็นมีใครไปคัดค้าน แต่กลับคนมีรายได้น้อย ไม่เคยมีรถเป็นของตัวเอง คนรากหญ้า ชาวสวน ชาวไร่ จะได้ส่วนลดภาษีบ้าง กลับโดนคิดค้านกันใหญ่โต สำหรับคนในกรุงเทพนะครับ ตัวผมเองและเพื่อนๆคนรอบข้างผม ที่มีรถแล้ว กลับเลือกที่จะใช้บริการขนส่งมวลชนนะครับ โดยเฉพาะชั่วโมงเร่งด่วน ขับรถส่วนตัวไป จะถึงที่หมายกี่โมงก็ไม่ทราบได้ จะมีที่จอดรถหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะฉนั้น เลือกบริการรถไฟฟ้าครับ ถึงแม้รถไฟฟ้าไทย จะแน่นมาก ช้ามาก และ เสียบ่อยมากๆก็ตามที
ขอโทษนะครับ ถ้าข้อความนี้ยาวไป หรือ ทำให้ใครรำคาน แต่ผมเห็นใจคนรายได้น้อยครับ จาก คนรายได้น้อยเช่นกัน
-
ผมว่าดีครับ แต่ทุกวันนี้ผมปั่นจักรยานนั่งรถเมล์กับรถไฟฟ้าอยู่ ซึ่งตอนนี้ผมว่ามัน "พอใช้ได้" อยู่ ไม่ถึงกับแย่แต่ก็ไม่ใช่ว่าดี
แต่ถ้าถามว่าให้ออกจากบ้านไปใจกลางเมืองผมจะไปยังไง ผมเลือกรถเมล์คือคำตอบ ขี้เกียจมองซ้ายมองขวา ขึ้นรถ ปอ. ใส่หูฟังนั่งตากแอร์หลับยาววววว
สบายดีด้วยเงินก็ไม่จ่าย ล้อเล่น (เคยโลกส่วนตัวนั่งรถเมล์ไปเลี้ยงบาสไปยังได้เลย แต่ต้องรถเมล์พื้นไม้นะ ;D)
ผมว่ามันก็ดีนะ เป็นทางเลือกถ้าผมจะซื้อรถเป็นขอตัวเองสักคัน แต่คงอาจจะซื้อเก็บไว้บ้าน นานๆใช้ที เดือนละ 2 ครั้ง - 3 ครั้งออก ตจว. เผื่อฉุกเฉินคนที่บ้านป่วยหามส่งโรงบาลก็ว่าไป
ยังไงซะ ผมว่านโยบายนี้ออกมามันก็ไม่ต่างจากทุกวันนี้เท่าไหร่หรอกครับ เพราะผมเห็นลูกชายคนข้างบ้านเข้า ป.ตรี ได้ แม่ก็ซื้อรถให้ขับแล้วละ :(
-
ส่วนลด หนึ่งแสน บาท สำหรับ รถคันแรก โดยส่วนตัวผมมีรถเป็นของตัวเองแล้ว เพราะฉนั้นนโยบายนี้ ผมอดครับ แต่ผมเห็นด้วยนะครับ ผมมองว่า มันเป็นการเปิดโอกาสให้คนที่มีรายได้น้อยได้มีรถนะครับ เพราะคนที่มีเงินแล้ว มีรถแล้ว จะไม่ได้ประโยชน์จากนโยบายนี้ แต่ จะได้รับผลเสียเช่น มีรถเยอะขึ้นบนถนน รถต้องติดกว่าเดิมแน่ๆ ราคาขายต่อรถฉันน้อยลงแน่ๆ แต่ในมุมมองกลับกัน คนรายได้น้อยในต่างจังหวัด ก็จะสามารถมีโอกาสมีรถเป็นของตัวเองไว้ใช้งาน ชาวนา ชาวสวน มีรถนำ พืชผลเข้ามาขายในตลาด ไม่ต้องไปเสียเปรียบให้แก่พ่อค้าคนกลางที่ไปรับหน้าสวน และหากเจ็บป่วยก็มีรถไปหาหมอไปโรงพยาบาล ซึ่งตรงนี้ผมมองว่าดีครับ ส่วนคนรวยแล้ว หนึ่งคือ มีรถแล้วแน่นอน ซื้ออีกก็ไม่ได้ส่วนลด หรือ ถ้ารวยแล้วจะซื้อรถจริง จะซื้อรถราคาต่ำกว่าหนึ่งล้านบาทเหรอครับ เจ้าของธุรกิจ หรือ ผู้บริหารองค์กรใหญ่โต จะซื้อลดราคาต่ำกว่าล้านหรอครับ คนที่ทำธุรกิจเค้าซื้อรถมาเป็นชื่อบริษัทได้ลดภาษีอยู่แล้ว ทำไมตรงนี้ไม่เห็นมีใครไปคัดค้าน แต่กลับคนมีรายได้น้อย ไม่เคยมีรถเป็นของตัวเอง คนรากหญ้า ชาวสวน ชาวไร่ จะได้ส่วนลดภาษีบ้าง กลับโดนคิดค้านกันใหญ่โต สำหรับคนในกรุงเทพนะครับ ตัวผมเองและเพื่อนๆคนรอบข้างผม ที่มีรถแล้ว กลับเลือกที่จะใช้บริการขนส่งมวลชนนะครับ โดยเฉพาะชั่วโมงเร่งด่วน ขับรถส่วนตัวไป จะถึงที่หมายกี่โมงก็ไม่ทราบได้ จะมีที่จอดรถหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะฉนั้น เลือกบริการรถไฟฟ้าครับ ถึงแม้รถไฟฟ้าไทย จะแน่นมาก ช้ามาก และ เสียบ่อยมากๆก็ตามที
ขอโทษนะครับ ถ้าข้อความนี้ยาวไป หรือ ทำให้ใครรำคาน แต่ผมเห็นใจคนรายได้น้อยครับ จาก คนรายได้น้อยเช่นกัน
เห็นด้วยครับ +1 มันอาจจะดีกว่าที่พวกคุณคิดก็ได้เศรษฐกิจอาจจะดีขึ้นเพราะชาวนาชาวสวนจะได้มีรถขับไปขายของ
แต่ถ้าเรามองในอีกมุมหนึ่งคนที่มีรถแล้วอาจจะเสียเปรียบในเรื่องนี้
-
คุณเองก็เป็นรถ 1 คัน ที่ทำให้การจราจรบนถนนติดขัดเหมือนกัน รวมทั้งผมด้วย
ไม่อยากให้มองว่าผมมีรถ แล้วคุณอย่ามีนะ รถเยอะอยู่แล้ว เดี๋ยวทำผมติดมากขึ้น
เพราะถึงจะมีนโยบายหรือไม่มี ปริมาณรถบนถนนก็ต้องเพิ่มขึ้น รองรับกับประชากรที่เพิ่มจำนวนขึ้น
ถึงเวลาก็ต้องปรับตัวกันไป.................
เห็นด้วยสุดๆ ประทับใจความเห็นแบบนี้มากๆครับ
บางคน รถก็มี แต่พอคนที่เขามีได้ยาก ได้มีโอกาสจะมีบ้างดันออกมาโวยวาย มาแย่งถนนใช้ แถมไม่อยากให้นโยบายนี้เกิด เพราะตัวเองไม่ได้ประโยชน์ แถมเสียผลประโยชน์เพราะจะขายรถได้ถูกลง แล้วเราจะอยู่กันยังไงครับ คนอื่นดีกว่าตัวเองไม่ได้ คิดกันแบบนี้ ชาวนาถึงไม่ได้ผุดได้เกิดซักที ตัวเองมีแล้วก็มีน้ำใจให้คนอื่นที่เขาด้อยกว่าเราเถอะครับ ลดแค่ไม่เท่าไรเองเอาเข้าจริงๆ
-
เมื่อไหร่นโยบาบตัวจริงจะออกเสียทีครับ ได้แต่ให้ข่าว เสนอหน้าออกสื่อรายวัน คนนั้นพูดทีคนนี้พูดที
แต่ถ้าในความเห็นผมนะครับ มีเงื่อนไขที่พูดถึงคือคำว่า
"ไม่เกินล้าน ลดแสนนึง"
"ลดภาษี"
"ต้องเป็นรถคันแรก"
"ห้ามโอนห้าปี"
ถ้าสมมติว่าลดหนึ่งแสน คือการหักส่วนลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งถ้าคนมีรายได้น้อยก็แทบจะไม่เสียภาษีอยู่แล้ว หรือเสียก็เสียไม่ถึงแสนหรอก อาจจะแค่1-2หมื่นแบบความเห็นต้นๆพูดไว้
แต่ว่ามันมีเงื่อนไขคำว่าห้ามโอน 5 ปี ถ้าแค่หักส่วนลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มันดูจะหนักไปนะครับกับการได้ส่วนลดภาษีไม่กี่บาท หรืออาจจะไม่เลย เพราะรายได้ยังไม่มากพอที่จะต้องเสียภาษี
ถ้าออกแบบนี้จริง คงมีคนเข้าเกณฑ์แค่หยิบมือ และถึงเข้าเกณฑ์จริงแต่ห้ามโอน5ปี คงไม่มีใครอยากจะเข้าร่วมแน่ๆ
ลึกๆแล้ว ผมเลยเห็นว่า ภาษีตัวนี้มันน่าจะมีอะไรที่น่าสนใจพอควร เช่นลดภาษีสรรพสามิตร ที่เก็บหน้าโรงงาน ถ้าเทียบกับการห้ามโอน 5 ปี ผมว่ามันน่าจะสมเหตุสมผลมากกว่านะครับ
-
ผมว่ามันคงไม่ทำให้รถติดหรอกครับ
เพราะสาเหตุสำคัญที่กรุงเทพรถติดก็แค่ 'ผังเมือง' กับ 'จอดรถริมถนน'
แต่นโยบายที่ผมคิดว่าควรจะมีได้แล้วก็คือ
'การซื้อรถต้องมีเอกสารแสดงที่จอดรถ'
'ผู้มีใบขับขี่หนึ่งคนสามารถมีรถได้คันเดียว'
เท่านี้ผมว่ารถก็คงหายไปเกือบครึ่งประเทศเลยทีเดียว
-
แหล่มเลยยย ครับบบบ
-
เดี๋ยวก็มีคนมาบอกอีกว่า บีทีเอส 20 บาท ตลอดสาย คนเเน่น ตายเเน่ๆ ไปทำอย่างอื่นดีกว่าไหม
เเล้วก็ คนบางคน ที่ทำเขาไกล เขาจำเป็นต้องใช้รถก็มีนะครับ
คุณจะไปบอกว่า ซื้อมาทำไม ทุกวันนี้รถก็ติดจะเเย่อยู่เเล้ว มันดูไม่ดีนะครับ
-
นโยบายบางตัว ต้องการผลทางด้านจิตวิทยาเป็นหลักครับ
ผลทางด้านเศรษฐกิจ หรือการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนเป็นเรื่องรอง
หรือบางครั้ง ผู้ออกนโยบายอาจประเมินแล้วว่า มันไม่มีผลต่อคนกลุ่มใหญ่ด้วยซ้ำไปครับ
นโยบายที่ จขกท. กล่าวถึง ไม่ว่ามันจะอยู่ในรูปของการให้ส่วนลดราคาสินค้า หรือการลดหย่อนภาษีก็ตามแต่
ผมมองว่า ถ้ามันจะมามีผลต่อการเพิ่มขึ้นของจำนวนรถยนต์
มันต้องมีนโยบายด้านอื่นๆมาสนับสนุนอีกครับ เช่น นโยบายเพิ่มค่าแรง โครงการลดค่าครองชีพ
หรือ นโยบายอำนวยความสะดวกสินเชื่อรถยนต์ เป็นต้นครับ
ผมมองว่า นโยบาย ลดหนึ่งแสนนี้ จะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อจำนวนรถยนต์ครับ
โดยเฉพาะในกรุงเทพ
เพราะสาเหตุที่กรุงเทพมีสภาวะจราจรแออัด ปัญหานี้มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับอีกสองปัญหา
คือ การไหลเข้าของประชากรอันเนื่องมาจากความเจริญของเศรษฐกิจ และปัญหาระบบขนส่งมวลชนไม่ครอบคลุมพื้นที่ครับ
ดังนั้น ตราบใดความเจริญทางเศรษฐกิจยังไม่กระจายตัวออกไปจากรุงเทพ
และ ยังไม่มีนโยบายพัฒนาระบบคมนาคมอย่างจริงจัง ที่ไม่ใช่แค่บรรเทาปัญหา อย่างในทุกวันนี้
ตราบนั้น รถก็ยังติด มากขึ้นและมากขึ้น ครับ คงไม่ใช่เพราะนโยบายใดๆหรอกครับ :D
ความเห็นส่วนตัวล้วนๆนะครับผม
-
ผมเห็นด้วยกับนโยบายนี้อีกคนครับ ผมว่าดีนะครับ เพราะคนที่ทำงานเก็บเงินมาทั้งชีวิตจะได้มีรถเป็นตัวเอง ไม่มีปัญหา ผมอยากมองว่า เค้าเพิ่งจะมารับตำแหน่งได้ไม่นานมานี้ อยากให้ใจเย็นๆครับ ส่วนนโยบายเรื่อง ชาวนา อุทกภัย เค้าทำอยู่แล้วครับ แต่มันต้องใช้เวลาสักนิดนะครับ แต่แน่ๆ เลยคือ วันที่ 1 กันยายน นี้ ราคาน้ำมันลดตามที่นโยบายบอกด้วยครับ และขอกด like ให้กับสมาชิกที่บอกว่า คุณเองก็มีส่วนทำให้รถติดเหมือนกัน อันนี้ดีมากๆครับ ขอชื่นชม
อยากให้ทุกคนอย่าพึ่งตื่นตูมครับ รอไปก่อน ครับ
-
พูดถึงรถติดในกรุงเทพหน่อยนึง
ผมว่าต่อให้ไม่ต้องมีรัฐบาลเลยสัก 10 ปี ไม่ต้องมีนโยบายอะไรเลย รถก็จะติดต่อไปในกรุงเทพ...
-
กระทู้นี้ เค้าก็บอกว่า กรุงเทพ ครับ ไม่ใช่ต่างจังหวัด
เพิ่งคุยกับผู้บริหารรถยี่ห้อหนึ่งไป ไม่นานมานี้ ไม่ขอระบุละกันว่าค่ายไหน เป็นมุมมองที่น่าสนใจ
มุมของคนทำบริษัทรถ ถ้าให้ออกมาพูดในฐานะบริษัท แน่นอน เขาเห็นด้วย เพราะเขาขายรถได้เยอะขึ้น
แต่ ถ้าลองให้ผู้บริหารแต่ละค่ายรถยนต์ ถอดหมวกบริษัทรถ แล้วสวมหมวกส่วนตัว น่าจะมีไม่น้อย ที่ไม่เห็นด้วย
กับนโยบายนี้ เพราะถือเป็นการแก้ปัญหาที่มองภาพแค่การกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไมได้มองถึงการแก้ปัญหาอื่นๆ
ทั้งเรื่องการจราจร และผลกระทบทางสังคมที่จะตามมาอีกมาก
มุมมองของผม ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้เลยครับ
เพราะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผิดที่ผิดทาง
ถ้าคุณต้องการจะช่วยคนกลุ่มล่างสุดของสังคม ให้มีรายได้มากขึ้น
พอจะซื้อรถได้ คุณควร ให้ความรู้ ให้การศึกษา พัฒนาการทำมาหากินของเขา
ให้ดีขึ้น มันอาจใช้เวลาหน่อย แต่มันจะเห็นผลระยะยาว
ไม่ใช่มาทำนโยบายแบบนี้ เพื่อกระตุ้นในระยะสั้น แล้วก่อปัญหาอื่นๆตามมาในระยะยาว
แต่ทุกรัฐบาล ทุกพรรค ไม่กล้าให้ความรู้กับประชาชนมากนัก
เหตุผลที่ง่ายที่สุดคือ กลัวประชาชนรู้มาก แล้วจะรู้เยอะเกินไป
ซึ่งเมื่อนั้น ก็อาจถึงคราวซวยของตน
เฮ้อออออออออออออออ! ทุกประเทศก็เป็นแบบนี้หมดละครับ
+ 1000000000000000000
คิดเหมือนกันครับ ทุกวันนี้ไปไหนใน กทม ผมต้องวางแผนการเดินทางมากๆๆ
กว่าเมื่อก่อน และถนนที่ไม่เคยรถติด มันก็ติดแบบว่าไม่มีเหตุผล ครับ T T
-
กระทู้นี้ เค้าก็บอกว่า กรุงเทพ ครับ ไม่ใช่ต่างจังหวัด
เพิ่งคุยกับผู้บริหารรถยี่ห้อหนึ่งไป ไม่นานมานี้ ไม่ขอระบุละกันว่าค่ายไหน เป็นมุมมองที่น่าสนใจ
มุมของคนทำบริษัทรถ ถ้าให้ออกมาพูดในฐานะบริษัท แน่นอน เขาเห็นด้วย เพราะเขาขายรถได้เยอะขึ้น
แต่ ถ้าลองให้ผู้บริหารแต่ละค่ายรถยนต์ ถอดหมวกบริษัทรถ แล้วสวมหมวกส่วนตัว น่าจะมีไม่น้อย ที่ไม่เห็นด้วย
กับนโยบายนี้ เพราะถือเป็นการแก้ปัญหาที่มองภาพแค่การกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไมได้มองถึงการแก้ปัญหาอื่นๆ
ทั้งเรื่องการจราจร และผลกระทบทางสังคมที่จะตามมาอีกมาก
มุมมองของผม ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้เลยครับ
เพราะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผิดที่ผิดทาง
ถ้าคุณต้องการจะช่วยคนกลุ่มล่างสุดของสังคม ให้มีรายได้มากขึ้น
พอจะซื้อรถได้ คุณควร ให้ความรู้ ให้การศึกษา พัฒนาการทำมาหากินของเขา
ให้ดีขึ้น มันอาจใช้เวลาหน่อย แต่มันจะเห็นผลระยะยาว
ไม่ใช่มาทำนโยบายแบบนี้ เพื่อกระตุ้นในระยะสั้น แล้วก่อปัญหาอื่นๆตามมาในระยะยาว
แต่ทุกรัฐบาล ทุกพรรค ไม่กล้าให้ความรู้กับประชาชนมากนัก
เหตุผลที่ง่ายที่สุดคือ กลัวประชาชนรู้มาก แล้วจะรู้เยอะเกินไป
ซึ่งเมื่อนั้น ก็อาจถึงคราวซวยของตน
เฮ้อออออออออออออออ! ทุกประเทศก็เป็นแบบนี้หมดละครับ
นี่หละครับ สิ่งที่ทุกคนรู้และโดนกระทำอยู่ทุกวี่ทุกวัน คนที่บอกว่าช่างมันนี่แหละครับ คือคนที่เป็นเหยื่อของเจ้าพวกนี้แหละ
-
นโยบายบางตัว ต้องการผลทางด้านจิตวิทยาเป็นหลักครับ
ผลทางด้านเศรษฐกิจ หรือการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนเป็นเรื่องรอง
หรือบางครั้ง ผู้ออกนโยบายอาจประเมินแล้วว่า มันไม่มีผลต่อคนกลุ่มใหญ่ด้วยซ้ำไปครับ
นโยบายที่ จขกท. กล่าวถึง ไม่ว่ามันจะอยู่ในรูปของการให้ส่วนลดราคาสินค้า หรือการลดหย่อนภาษีก็ตามแต่
ผมมองว่า ถ้ามันจะมามีผลต่อการเพิ่มขึ้นของจำนวนรถยนต์
มันต้องมีนโยบายด้านอื่นๆมาสนับสนุนอีกครับ เช่น นโยบายเพิ่มค่าแรง โครงการลดค่าครองชีพ
หรือ นโยบายอำนวยความสะดวกสินเชื่อรถยนต์ เป็นต้นครับ
ผมมองว่า นโยบาย ลดหนึ่งแสนนี้ จะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อจำนวนรถยนต์ครับ
โดยเฉพาะในกรุงเทพ
เพราะสาเหตุที่กรุงเทพมีสภาวะจราจรแออัด ปัญหานี้มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับอีกสองปัญหา
คือ การไหลเข้าของประชากรอันเนื่องมาจากความเจริญของเศรษฐกิจ และปัญหาระบบขนส่งมวลชนไม่ครอบคลุมพื้นที่ครับ
ดังนั้น ตราบใดความเจริญทางเศรษฐกิจยังไม่กระจายตัวออกไปจากรุงเทพ
และ ยังไม่มีนโยบายพัฒนาระบบคมนาคมอย่างจริงจัง ที่ไม่ใช่แค่บรรเทาปัญหา อย่างในทุกวันนี้
ตราบนั้น รถก็ยังติด มากขึ้นและมากขึ้น ครับ คงไม่ใช่เพราะนโยบายใดๆหรอกครับ :D
ความเห็นส่วนตัวล้วนๆนะครับผม
ขออนุญาตนะครับ ชอบข้อความนี้จริงๆครับ
ความเจริญกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพมาก และระบบขนส่งมวลชนกลับไม่พัฒนาตาม
ประมาณ1ปีที่ผ่านมาผมได้ใช้รถเมล์น้อยมาก เนื่องจากใช้รถส่วนตัวกับรถไฟฟ้า จนเมื่อไม่นานนี้ได้ไปนั่งรถเมล์สาย73ครับ
ผลคือรอรถนานมากกกกกก จากเดิมปีที่แล้วไม่เกิน20นาทีบางที5นาทีมาแล้ว
ปรากฎว่ารอไปเกินครึ่งชมครับ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว สองสามวันที่ได้รอ นานเหมือนกันหมด แทนที่จะพัฒนารู้สึกว่ารอบน้อยลง รอนานขึ้น
อีกด้านที่กลับกันคือจิตสาธารณะครับไปขึ้นรถไฟฟ้าถ้าช่วงที่แน่นๆก็จะได้เห็นครับ พวกไม่ยอมขยับเข้าใน แทนที่จะแบ่งให้คนอื่นเข้าไปด้วย
เพราะช่วงแน่นๆนี่สองสามขบวนครับกว่าจะขึ้นได้ หน้าประตูอัดกันแทบตาย กลางขบวนยืนกดบีบี ไอโฟน
อีกส่วนก็คือนิสัยบนถนนครับ ขับเว้นช่วงเกินไม่ยอมตามกระแส หรือจอดข้างทางในที่ห้ามจอด
ทำให้การจราจรมันไม่ไหลต่อเนื่องเป็นสาเหตุของรถติดในช่วงที่ไม่ควรจะติดอีกครับ
-
ยังไม่ได้อ่านรายละเอียด
แต่ส่วนตัว มีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย
ที่ไม่เห็นด้วยคือ มันน่าจะเอารายได้จากภาษีที่คุณจะไปหักลบ ไปพัฒนาระบบขนส่งมวลชนมากกว่า เพราะนั่นคือทางออกระยะยาว โดยเฉพาะกรุ่งเทพ และเมืองใหญ่ต่างๆ เดี๋ยวนี้ โคราช อุดร ขอนแก่น ก็รถติดนะครับ
แต่ที่เห็นด้วยคือ ผมเชื่อว่า คนที่มีครอบครัว สมควรจะมีรถครับ (ถึงตรงนี้คงมีคนโห่)
ผมเชื่อว่า รถยนต์ เป็นสิ่้งที่พัฒนาคุณภาพชีวิตขึ้นมาแบบทันตาเห็น มันทำให้คุณทำงานง่ายขึ้น สามารถไปเที่ยวกับครอบครัวได้มากขึ้น ทุกอย่างมันจะดีขึ้นไปหมด (ยกเว้นรถติด)
แต่
เราก็มี Eco Car ทีเป็นรถราคาถูกสำหรับคนกลุ่มนี้แล้วนี่ สำหรับผม การลดภาษีรถ 1 แสน มันจะทันซ้อนกับ Eco Car ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไร มากไปกว่าจิตวิทยามวลชนครับ
-
เอาเงินที่จะลดภาษี มาทำระบบขนส่งมวลชน ให้มันคล่องตัวราคาถูกน่าจะดีกว่า
เป็นความรู้สึกเดียวกับผมตอนเห็นป้ายหาเสียงนโยบายนี้ครับ
แทนที่จะ่ช่วยเหลือคน ด้วยระบบขนส่งที่ทันสมัย รวดเร็ว
กลับสนับสนุน ให้คนเป็นหนี้ "ง่ายขึ้น"
-
ตจว ยังติด เวน ข้าวขึ้นราคาแต่คนทำนายังจนสิตาย ยางรถยนต์แพงขึ้นแต่ยางพารายังถูก สนใจแต่ภาษีรถ และรถไฟ กทม เมิงช่วย repair รถไฟ ตจว ใหม่หน่อยเถอะ หมาจะวิ่งแซงรถไฟแล้วเวน
-
ผมขอเสนอ MOD ให้พิจารณาหยุดการออกความคิดเห็นแต่เพียงเท่านี้ครับ
เนื่องจากมันหมิ่นเหม่ เข้าใกล้เรื่องการเมืองซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของสมาชิก
ซึ่งพาลจะทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพรวมของเว็บได้ครับ อย่างผมนี่แทบจะไม่เคยตอบเลยนะครับ
ปกติจะอ่านอย่างเดียว หลังๆรู้สึกว่าการแสดงความคิดเห็นของแต่ละท่าน ใช้อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวมากเกินไป
อย่างเช่นกระทู้นี้ ยิ่งกระทู้ท้ายๆนี่ เริ่มมีคำหยาบคายมาแล้ว แม้ว่าจะเลี่ยงพิมพ์ให้ไม่ถูกก็ตาม
ขอแสดงความคิดเห็นครับ
-
เห็นด้วยครับว่าจะเริ่มไปกันใหญ่แล้ว ถ้าเรื่องมันจะปลายบานขึ้นไปอีก ก็หยุดก่อนดีกว่าครับ
-
กระทู้นี้ เค้าก็บอกว่า กรุงเทพ ครับ ไม่ใช่ต่างจังหวัด
เพิ่งคุยกับผู้บริหารรถยี่ห้อหนึ่งไป ไม่นานมานี้ ไม่ขอระบุละกันว่าค่ายไหน เป็นมุมมองที่น่าสนใจ
มุมของคนทำบริษัทรถ ถ้าให้ออกมาพูดในฐานะบริษัท แน่นอน เขาเห็นด้วย เพราะเขาขายรถได้เยอะขึ้น
แต่ ถ้าลองให้ผู้บริหารแต่ละค่ายรถยนต์ ถอดหมวกบริษัทรถ แล้วสวมหมวกส่วนตัว น่าจะมีไม่น้อย ที่ไม่เห็นด้วย
กับนโยบายนี้ เพราะถือเป็นการแก้ปัญหาที่มองภาพแค่การกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไมได้มองถึงการแก้ปัญหาอื่นๆ
ทั้งเรื่องการจราจร และผลกระทบทางสังคมที่จะตามมาอีกมาก
มุมมองของผม ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้เลยครับ
เพราะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผิดที่ผิดทาง
ถ้าคุณต้องการจะช่วยคนกลุ่มล่างสุดของสังคม ให้มีรายได้มากขึ้น
พอจะซื้อรถได้ คุณควร ให้ความรู้ ให้การศึกษา พัฒนาการทำมาหากินของเขา
ให้ดีขึ้น มันอาจใช้เวลาหน่อย แต่มันจะเห็นผลระยะยาว
ไม่ใช่มาทำนโยบายแบบนี้ เพื่อกระตุ้นในระยะสั้น แล้วก่อปัญหาอื่นๆตามมาในระยะยาว
แต่ทุกรัฐบาล ทุกพรรค ไม่กล้าให้ความรู้กับประชาชนมากนัก
เหตุผลที่ง่ายที่สุดคือ กลัวประชาชนรู้มาก แล้วจะรู้เยอะเกินไป
ซึ่งเมื่อนั้น ก็อาจถึงคราวซวยของตน
เฮ้อออออออออออออออ! ทุกประเทศก็เป็นแบบนี้หมดละครับ
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
-
ผมขอโทษมากๆๆครับที่ทำให้มันไปกันใหญ่ กรุณาอย่าเข้าการเมืองเลยครับ
เพราะทุกวันนี้ผมอยู่ตจว กะ กทม อย่างละครึ่ง พอกลับ กทม แทบจะบ้าตาย
อยู่ อยุธยา ขับรถสบายๆมีความสุขมากๆๆ เลยเบื่อการทำให้รถใน กทม มากขึ้นเท่านั้นครับ ผมLock แล้วนะครับ T T