Headlight Magazine : community

General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:34:22

หัวข้อ: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:34:22
ขอบอกก่อนว่า ยาวมากนะครับ แต่มีประโยขน์มาก ผมไม่ได้เขียนเองหรอกครับ ค้นหามาและรวบรวมให้อ่านกัน อยากส่งเสริมให้คนไทยอ่านหนังสือกันเยอะ ๆ ด้วยครับ...

1. เกรดคุณภาพของน้ำมันเครื่องมาตรฐาน API

API = American Petroleum Institute คือ สถาบันหรือหน่วยงานกลางที่ทำการทดสอบคุณสมบัติของน้ำมันเครื่องในด้านต่างๆ เช่น การหล่อลื่น การระบายความร้อน การป้องกันสนิม ความสามารถในการชะล้างทำความสะอาด ฯลฯ ซึ่งถ้าผ่านการทดสอบก็จะกำหนดเป็นเกรดชั้นคุณภาพมาตรฐานซึ่งนอกจากจะมีตัว อักษรย่อบ่งบอกถึงชั้นคุณภาพของน้ำมันเป็น API S.../C...แล้วยังต้องมีสัญลักษณ์วงกลมรูปโดนัทระบุรายละเอียดอีกด้วย
ถ้าไม่ มีสัญลักษณ์นี้หมายความว่าไม่ได้ผ่านการทดสอบจากทางสถาบัน แต่อาจเป็นการทดสอบโดยผู้ผลิตนั้นเองหรือสถาบันอื่นเป็นผู้ทดสอบให้โดยอ้าง อิงจากมาตรฐานAPI แล้วกำหนดมาเป็นตัวอักษร API S.../ C...
เกรด คุณภาพของน้ำมันเครื่องได้ถูกแบ่งไว้เป็น 2 กลุ่มหลัก คือ เกรดคุณภาพสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และ เกรดคุณภาพสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล

หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:34:58
เกรดคุณภาพสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน
 
ใช้ ตัวอักษรย่อS (Service-Spark Ignition) ตามหลังตัวอักษรย่อAPI แล้วตามด้วยตัวอักษรที่บอกเกรดคุณภาพของน้ำมันเครื่อง โดยเริ่มต้นจากชั้นคุณภาพแย่ที่สุดซึ่งใช้ตัวอักษร A แล้วไล่เรียงชั้นคุณภาพที่ดีกว่าขึ้นไปเรื่อยๆ คือ B, C, D......L เช่น API SG, API SH, API SJ เป็นต้น ซึ่งในขณะนี้ชั้นคุณภาพที่ดีที่สุดสำหรับเครื่องยนต์เบนซินในปัจจุบัน คือ ชั้นคุณภาพ API SL รองลงมา คือ API SJ และตามด้วย API SH และในประมาณกลางปีนี้ทาง API เตรียมประกาศใช้เกรดคุณภาพใหม่ล่าสุด คือ API SM ซึ่งจะมีชั้นคุณภาพที่ดีกว่า API SL และ SJ ส่วนชั้นคุณภาพต่ำๆก็จะยกเลิกไปเรื่อยๆอย่างเช่น API SA, API SB ในปัจจุบันได้ยกเลิกไปแล้วเนื่องจากไม่เหมาะที่จะใช้กับเครื่องยนต์เบนซิน รุ่นใหม่ๆ

รายละเอียดในแต่ละชั้นคุณภาพ

SA=เลิกใช้แล้ว เป็นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานล้วนๆไม่มีการเติมสารเพิ่มประสิทธิภาพใดๆทั้งสิ้น
 
SB=เลิก ใช้แล้ว มีการเติมสารเพิ่มประสิทธิภาพภาพบางชนิด เช่น สารป้องกันการสึกหรอ สารป้องกันการเกิดสนิม และสารป้องกันการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน
 
SC=เลิก ใช้แล้ว มีการเติมสารเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น สารป้องกันการสึกหรอ สารป้องกันการเกิดตะกอน และ สนิม เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ปี 1967 หรือเก่ากว่า

SD=เลิกใช้แล้ว มีสารเพิ่มประสิทธิภาพเหมือนกับ SC เหมาะสำหรับรถยนต์ในปี 1968-70

SE=เลิกใช้แล้ว มีการพัฒนาคุณภาพ และ การป้องกันที่เหนือกว่าชั้นคุณภาพ SD เหมาะสำหรับรถยนต์ในปี 1971-1972

SF=เลิก ใช้แล้ว มีการเติมสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพที่สูงกว่าSEในด้านการป้องกันการสึกหรอ และ การทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ใช้กับเครื่องยนต์ในปี 1988 หรือ เก่ากว่า

SG=เลิกใช้แล้ว มีการเติมสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพที่สูงกว่าSF เหมาะสำหรับรถยนต์ในปี1989-1993

SH=ยังพอที่จะใช้ได้ มีประสิทธิภาพเหนือกว่าSG พร้อมทั้งลดมลภาวะได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ในปี1996 หรือ เก่ากว่า

SJ=ยัง สามารถใช้ได้อยู่ในปัจจุบัน มีประสิทธิภาพเหนือกว่าSH มีอายุการใช้งานนานขึ้น ยืดอายุการใช้งานให้กับCatalytic Converter ช่วยลดมลพิษได้ดีขึ้น ลดการระเหย ลดการสึกหรอได้ดี กว่า ป้องกันการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนได้ดีกว่าเก่า และ มีสารป้องกันต่างๆที่ดีขึ้น เหมาะที่จะใช้กับรถยนต์ในปี 1996-2001

SL=เป็น เกรดคุณภาพที่สูงสุดในปัจจุบัน มีประสิทธิภาพสูงกว่าSJ ในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น การป้องกันการสึกหรอ การเกิดสนิม ป้องกันการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ลดการเกิดตะกอนที่อุณหภูมิสงได้ดีกว่า ลดการสิ้นเปลืองและช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ดีขึ้นเหมาะที่จะใช้กับ รถยนต์ตั้งแต่ปี 2001ขึ้นไป
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:35:35
เกรดคุณภาพสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล

ใช้ ตัวอักษรย่อC (Commercial Service Compression Ignition) ตามหลังตัวอักษรย่อAPIเช่นกัน ต่อจากนั้นก็จะตามด้วยตัวอักษรที่บอกเกรดคุณภาพของน้ำมันเครื่องโดยเริ่ม จากเกรดคุณภาพต่ำสุด คือ A แล้วไล่เรียงชั้นคุณภาพขึ้นไปเรื่อยๆเหมือนกับเกรดคุณภาพสำหรับเครื่องยนต์ เบนซินทุกประการ เช่น API CE, API CF-4, API CG-4, API CH-4 ตัวเลข 4 ต่อท้ายหมายถึง เหมาะที่จะใช้กับเครื่องยนต์4จังหวะ เท่านั้น สำหรับเกรดคุณภาพที่สูงสุดในปัจจุบัน คือ CI-4 ซึ่งมีคุณภาพที่ดีกว่า API CG-4 และ CH-4 ส่วนเกรดคุณภาพต่ำๆก็จะเลิกใช้ไปโดยปริยาย
 
รายละเอียดในแต่ละชั้นคุณภาพ
 
CA=เลิกใช้แล้ว เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลงานเบา

CB=เลิกใช้แล้ว เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดปานกลาง ในปี1940-1960
 
CC=เลิกใช้แล้ว เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลในปี 1961
 
CD=เลิกใช้แล้ว เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลในปี 1965 สามารถใช้กับเครื่องเทอร์โบได้

CE=เลิกใช้แล้ว เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลในปี 1987 สามารถใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลที่มีรอบสูงและเครื่องยนต์เทอร์โบได้
 
CF=แนะ นำในปี 1994 ยังสามารถใช้ได้อยู่ เหมาะสำหรับรถยนต์off-road เครื่องยนต์ดีเซลชนิด indirect injectedและเครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมของกำมะถันมากกว่า 0.5%

CF-4=แนะนำในปี 1990 ยังสามารถใช้ได้อยู่ เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล 4 จังหวะที่มีรอบสูง และ เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ

CG-4=แนะ นำในปี 1995 ยังสามารถใช้ได้อยู่ เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล 4 จังหวะที่มีรอบสูงและใช้น้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของกำมะถันน้อยกว่า 0.5% นอกจากนี้ยังเหมาะที่จะใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลที่ผ่านมาตรฐานด้านมลพิษในไอ เสียปี 1994อีกด้วย
 
CH-4=แนะนำในปี 1998 ยังสามารถใช้ได้อยู่ เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล 4 จังหวะที่มีรอบสูง ใช้น้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของกำมะถันไม่เกิน 0.5% นอกจากนี้ยังเหมาะที่จะใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลที่ผ่านมาตรฐานด้านมลพิษในไอ เสียปี 1998ด้วย

CI-4=แนะนำในวันที่ 5 กันยายน ปี 2002 เป็นเกรดคุณภาพที่ดีที่สุดในปัจจุบัน สามารถใช้ได้กับเครื่องยนต์ดีเซล 4 จังหวะที่มีรอบสูงและผ่านมาตรฐานด้านมลพิษในไอเสียปี2004 เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่ติดตั้งระบบหมุนวนไอเสีย (EGR = Exhaust Gas Recirculation) และใช้น้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของกำมะถันไม่เกิน0.5%
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:36:07
*ความหมายของน้ำมันเครื่องเกรดคุณภาพรวม
 
API SL / CG-4=น้ำมันเครื่องชนิดนี้ใช้ได้ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลแต่เกรดคุณภาพของทางเบนซินเด่นกว่า
จึงนำมาไว้ข้างหน้า

API CI-4 / SH=น้ำมันเครื่องชนิดนี้ใช้ได้ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลเช่นกันแต่เกรดคุณภาพทางดีเซลเหนือกว่า
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:36:42
2. เกรดความหนืดของน้ำมันเครื่อง

SAE = Society of Automotive Engineer เป็นหน่วยงานที่ทำการวัดทดสอบความหนืดของน้ำมันแล้วกำหนดมาเป็นเกรดความ หนืดมาตรฐาน โดยจะมีตัวอักษรย่อของทางสถาบันนำหน้าแล้วตามด้วยตัวเลขเกรดความหนืด ตัวเลขมาก หมายความว่า มีความหนืดมาก ในทางกลับกัน ตัวเลขน้อย หมายถึง มีความหนืดน้อย กล่าวคือ ใสนั้นเอง เช่น SAE 20W-50 โดยมีการผลิตและวัดที่ 2 อุณภูมิ คือ
20W = W คือ Winter มีการวัดที่อากาศหนาวที่อุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส ได้ค่าความหนืด = 20
50 = วัดที่อากาศร้อนอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส ได้ค่าความหนืด = 50
หมายเหตุ ตัวเลขทั้ง 2 ตัวนี้ไม่ใช่อุณหภูมิแต่เป็นตัวเลขค่าความหนืด

เกรดความหนืดของน้ำมันเครื่องแบ่งเป็น 2เกรด คือ น้ำมันเครื่องเกรดความหนืดเดี่ยว และ น้ำมันเครื่องเกรดความหนืดรวม

น้ำมันเครื่องเกรดความหนืดเดี่ยว เช่น SAE 10W, SAE 15W, SAE 20W ซึ่งโดยส่วนใหญ่เหมาะที่จะใช้กับประเทศที่มีอากาศหนาว ส่วนถ้าเป็น SAE 20, SAE 30, SAE 40 ก็เหมาะที่จะใช้กับประเทศที่มีอากาศร้อนเป็นส่วนใหญ่

น้ำมันเครื่องเกรดความหนืดรวม เช่น SAE 5W-40, SAE 10W-40, SAE 20W-50 เป็นน้ำมันเครื่องที่ใช้ได้กับทุกสภาพอากาศ เพราะว่ามันสามารถปรับค่าความหนืดให้เหมาะสมได้กับทุกอุณหภูมิ กล่าวคือ เมื่ออุณหภูมิสูงมันก็จะปรับตัวให้หนืดขึ้น และ เมื่ออุณหภูมิต่ำลงมันก็จะปรับตัวให้ใส

แหล่งที่มาของข้อมูล www.rz-racingzone.com (http://www.rz-racingzone.com)
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:37:14
รวมความเข้าใจผิดเรื่องน้ำมันเครื่อง
โดย ผู้จัดการออนไลน์ วรพล สิงห์เขียวพงษ์

น้ำมันเครื่องมีความสำคัญต่อความทนทานและกำลังของเครื่องยนต์ จำเป็นต้องมีการเลือกและใช้อย่างมีหลักการ แต่หลายคนยังมีความเข้าใจผิด
บทความนี้รวบรวมความเข้าใจผิดเรื่องน้ำมันเครื่อง
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:37:46
-เน้นแค่ยี่ห้อดัง
หลายคนซื้อน้ำมันเครื่องโดยเน้นเลือกยี่ห้อเดียวกับที่มีปั๊มน้ำมัน
เพราะคิดว่าจะมีคุณภาพดี ตามความโด่งดังของยี่ห้อ ทั้งที่ในยี่ห้อเดียวก็มีให้เลือกหลายระดับคุณภาพ
ความจริงแล้วมีน้ำมันเครื่องคุณภาพดีอีกนับสิบยี่ห้อ ที่ไม่มีปั๊ม น้ำมันในไทย และจำหน่ายในราคาไม่แพง
ไม่ควรเห็นแค่ยี่ห้อแล้วเลือกใช้ ต้องดูที่เกรดคุณภาพตามมาตรฐานของ API (www.api.org (http://www.api.org)) ในสหรัฐอเมริกา ที่ระบุไว้ข้างกระป๋อง จำไม่ยากเลย เครื่องยนต์เบนซิน เกรดคุณภาพสูงสุด API SL รองลงมาคือ SJ SH SG ตามลำดับ
ปัจจุบันนี้ API SL และ SJ น่าใช้ที่สุด   (สงสัยบทความนี่จะเก่าหน่อย ตอนนี้ สูงสุด เป็น SM แล้ว)
ส่วนเครื่องยนต์ดีเซล เกรดคุณภาพสูงสุด API CI-4 รองลงมาคือ CH-4 CG CF ตามลำดับ ปัจจุบันนี้ API CI-4 และ CH-4 น่าใช้ที่สุด
น้ำมันเครื่องยิ่งมีเกรดคุณภาพต่ำ ก็ยิ่งมีราคาถูก และลดการปกป้องเครื่องยนต์ลงไป ควรเลือกเกรดคุณภาพอย่างน้อยรองจากสูงสุด

นอกจากนั้นยังต้องดูความหนืดตามมาตรฐานของ SAE (www. sae.org) สหรัฐอเมริกา ว่าเลข 2 ตัวท้าย เช่น 30 40 หรือ 50 ตรงตามการแนะนำในคู่มือประจำรถหรือไม่ โดยไม่ต้องสนใจตัวเลขหน้า W เพราะนั่นเป็นค่าที่ได้การวัดความหนืดที่18 องศาเซลเซียสไม่ใช่สภาพของไทย
ชนิดของน้ำมันเครื่องก็ต้องสนใจ ธรรมดา กึ่งสังเคราะห์ และสังเคราะห์ ดีจากน้อยมามากตามลำดับ
เลือกยี่ห้ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องเลือกเกรดคุณภาพ ระดับความหนืด และชนิด ให้ครบครัน

หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:38:19
-ดูแค่ข้างกระป๋องว่า เบนซิน/ดีเซล

ข้างกระป๋องน้ำมันเครื่องหลายยี่ห้อหลายรุ่น นอกจากจะระบุรายละเอียดอื่นๆ ข้างต้นไว้ครบครันแล้ว ก็อาจจะมีประโยคบอกเพิ่มว่า เหมาะสำหรับเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซล หรือเหมาะทั้ง 2 อย่างเลย หลายคนเห็นประโยคนั้นก็เลือกใช้ โดยไม่ได้สนใจดูว่ามีเกรดคุณภาพตาม API เป็นอย่างไร
จริงๆ แล้ว ไม่ต้องระบุเพิ่มก็ได้ เพราะเกรดคุณภาพตามท้ายตัวย่อ API ก็มีระบุไว้อยู่แล้วว่าใช้กับเครื่องยนต์ประเภทใดได้ดีเพียงไร และบางครั้งระบุว่าเหมาะสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน แต่มีมาตรฐานแค่ API SH ห่างจากมาตรฐานสูงสุดตั้ง 2 ระดับก็ยังมี
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:38:53
-หมดสภาพเพราะดำ หรือนิ้วแตะ

น้ำมันเครื่องที่ดำ อาจเป็นเพราะมีสารชะล้างที่ดี หรือภายในเครื่องยนต์สกปรก และเมื่อดำแล้ว คุณสมบัติอื่นๆ เช่น การหล่อลื่น การลดความร้อน รวมถึงการชะล้างเอง อาจไม่ได้หมดลงตามสีที่เปลี่ยนไป
บางคนใช้นิ้วแตะๆ น้ำมันเครื่องจากก้านวัด แล้วตัดสินว่าหมดอายุ หรือยัง ในความเป็นจริง หากจะทราบว่าน้ำมันเครื่องหมดอายุหรือยัง จะต้องนำน้ำมันเครื่องนั้นเข้าห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ ไม่งั้นก็ต้องตัดสินจากระยะทางหรืออายุที่ใช้งานตามที่ปฏิบัติกัน จะเดาจากสีหรือความเหนียวหลังจากแตะกับปลายนิ้วไม่ได้
  
 

 
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:39:40
-กลัวปลอม ซื้อในปั๊ม

มีคำถามคาใจว่า ดูน้ำมันเครื่องปลอมได้อย่างไร? คำตอบก็คือ ตัวเนื้อน้ำมันเครื่องต้องส่งเข้าห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น จะชิม ดม แตะไม่ได้
นอกนั้นต้องดูที่ตัวกระป๋องว่ามีสภาพปกติ มีสีสันปกติ รวมถึงฝาปิดมีการซีลตามที่คุ้นเคยหรือไม่
แน่นอนว่ามีน้ำมันเครื่องปลอมอยู่ในตลาดอยู่ไม่น้อย จึงต้องระวัง แต่ถ้าจะซื้อตามปั๊มเท่านั้นก็จะมีราคาแพง เสียโอกาสเลือกน้ำมันเครื่องตาม ร้านทั่วไป ที่มีสารพัดยี่ห้อ และก็ไม่ได้ปลอมไปทั้งหมด
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:40:34
-ต้องเต็มขีดบนเสมอ
หลายคนเน้นว่าเครื่องยนต์ต้องมีน้ำมันเครื่องเต็มขีดบนเสมอ ในความเป็นจริง เครื่องยนต์จะสามารถทำงานได้ปกติ หากระดับน้ำมันเครื่อง อยู่ในช่วงขีดบนและล่าง ไม่จำเป็นต้องเต็มขีดบนเท่านั้น
ถ้าเติมครั้งใหม่ เติมให้เต็มขีดบนก็ดี แต่ถ้าผ่านการใช้งานมาแล้ว อีกไม่นานจะครบกำหนดเปลี่ยน และน้ำมันพร่องลงไปบ้าง หากยังไม่ต่ำกว่าขีดล่างสุด ก็ไม่จำเป็นต้องเติมเพิ่มให้สิ้นเปลือง
ยกเว้นกรณีขึ้นลงทางลาดชันมากบ่อยๆ น้ำมันเครื่องควรเต็มขีดบนอยู่เสมอ เพราะผิวน้ำมันจะเอียงไม่ได้ระดับขนานกับขอบอ่างน้ำมันเครื่องอยู่เสมอ
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:41:07
-เปลี่ยนบ่อยไว้ก่อน
น้ำมันเครื่องยุคใหม่มีคุณภาพและความทนทานขึ้น แต่หลายคนยังเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามกำหนดดั้งเดิม 3,000-5,000 กิโลเมตร ด้วยแนวคิดปลอดภัยไว้ก่อน ห่วงเครื่องยนต์ แต่เปลืองเงินไม่สน สบายใจเข้าว่า
ในความเป็นจริง น้ำมันเครื่องทุกชนิด ไม่เฉพาะแต่สังเคราะห์ ถ้าเป็นเกรดคุณภาพตาม API 2-3 ระดับสูงๆ สามารถใช้งานได้เป็นระยะทาง 10,000 กิโลเมตร หรือถ้าการจราจรติดขัดมาก รวมถึงมีฝุ่นในเส้นทางเยอะ ก็ค่อยลดระยะทางลงมาจากเดิมสัก 1,000-2,000 กิโลเมตร
การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเร็วเกินไป นอกจากสิ้นเปลืองเงินแล้วยังเป็น การเพิ่มขยะพิษให้กับโลกอีกด้วย แม้จะมีการนำน้ำมันเครื่องเก่าไปรีไซเคิล กับงานอื่น แต่สำหรับในไทย ต้องถือว่าการป้องกันน้ำมันเครื่องเก่าไม่ให้กระจายสู่ธรรมชาติเป็นไปอย่าง ไม่รัดกุมเลย
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:41:47
-รถไม่แพง ใช้น้ำมันเครื่องราคาถูกหรือคุณภาพต่ำ
ถ้าเครื่องยนต์ปกติดี ไม่กินน้ำมันเครื่อง จะเป็นรถราคาแพงถูก-แพง เก่า-ใหม่ ก็ควรใช้น้ำมันเครื่องคุณภาพดี และเปลี่ยนตามกำหนดที่เหมาะสม เครื่องยนต์จะได้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและทนทาน
ความเข้าใจผิดถูกลบล้างได้ด้วยการหาความรู้เพิ่มเติม และคิดทบทวนด้วยหลักวิทยาศาสตร์
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:42:24
ทิ้งน้ำมันเครื่องเก่าและเก็บน้ำมันเครื่องใหม่อย่างไร?

โดย ผู้จัดการออนไลน์ วรพล สิงห์เขียวพงษ์
น้ำมันเครื่องเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมลพิษหรือขยะของโลกเราในหลายด้าน การถ่ายน้ำมันเครื่องออก ทั้งที่น้ำมันเครื่องยังไม่หมดสภาพ ทั้งจากการหวาดระแวงไปเองหรือกลัวเครื่องยนต์โทรม เร็ว เช่น เปลี่ยนที่ 3-5 พันกิโลเมตร ทั้งที่น้ำมันเครื่องเกรดคุณภาพ ตามเอพีไอสูงๆ ในปัจจุบันนี้สามารถใช้งานได้ในระดับ 1 หมื่นกิโลเมตรได้อย่างสบาย
น้ำมันเครื่องใช้แล้วในโลกนี้ ไม่ได้ถูกกำจัดอย่างมีระบบที่รัด กุมเสมอไปในประเทศที่เจริญแล้วมักมีการจัดการไม่ให้เป็นพิษแก่โลก แต่ในประเทศเล็กๆ อย่างไทย ไม่ถือว่ามีความรัดกุมในเรื่องนี้ แต่อย่างไร
การกำจัดน้ำมันเครื่องใช้แล้วที่ถูกต้อง คือ ไม่ทิ้งลงในธรรมชาติ พื้นดิน ท่อระบายน้ำ คูคลองแม่น้ำ เพราะการย่อยสลาย จะเป็นไปอย่างช้ามาก การใส่กระป๋องแล้วปิดแน่นทิ้งในขยะ ก็น่าจะแตกรั่วผสมไปกับขยะอื่น เพราะพนักงานไม่ได้สนใจจะจัดการอย่างถูกต้อง บางคนกลับไปสนใจขยะที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้
ผมไม่ถือว่าไทยมีระบบการจัดการน้ำมันเครื่องใช้แล้วได้ดี ต่างจากบางประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา ที่กำหนดเลยว่าภาชนะที่ใส่น้ำมันเครื่องใช้แล้วต้องมีความชัดเจน มีกระป๋องขาย ต้องเสียเงินซื้อกระป๋องมาอีก ใส่ในกระป๋องน้ำมันเครื่องปกติไม่ได้ หรือได้ แต่ก็ต้องเขียนระบุไว้อย่างชัดเจน หากจะให้พนักงานเก็บขยะจัดเก็บไป
การกำจัดน้ำมันเครื่องใช้แล้วด้วยการนำไปหมุนเวียนใช้ใหม่หลังจากปรับสภาพ แล้วเป็นเรื่องที่ดี คือ นำไปกรองและไปฟอกสี แล้วนำไปใช้กับเครื่องจักรกลเล็กหมุนรอบต่ำ โดยจะมีคนมารับซื้อจากอู่ต่างๆ ในราคาลิตรละไม่กี่บาท อู่ทั่วไปจึงมีการเก็บน้ำมันเครื่องใช้แล้วรวบรวมไว้รอการขายต่อ จึงไม่ต้องห่วงเรื่องทำลายสิ่งแวดล้อม แต่จะน่ากังวลกับการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามบ้าน เพราะไม่รู้จะทิ้งที่ไหน และปริมาณก็ไม่มากพอที่จะมีใครมารับซื้อ หากห่วงเรื่องมลพิษก็ให้ใส่กระป๋องไปให้ตามอู่ เขายินดีที่จะรวบรวมให้อยู่แล้ว
ส่วนน้ำมันเครื่องใหม่ที่เติมแล้วเหลือ การจัดเก็บไม่ยาก ให้ปิดฝากระป๋องให้แน่น หากซ้อนด้วยถุงพลาสติกที่ปากกระป๋องก่อน ปิดฝาก็ยิ่งดี เพื่อไม่ให้ความชื้นเล็ดลอดเข้าไปได้ง่าย วางในที่ร่มไม่ร้อนไม่ชื้นไม่โดนน้ำ เก็บไว้ได้ไม่ต่ำกว่า 1 ปี แต่ในทางที่ดีควรรีบใช้ให้เร็วที่สุด เพราะถึงไม่ได้ใช้งาน น้ำมันเครื่องก็เสื่อมสภาพเองได้ ไม่ใช่เก็บไว้ได้เป็นสิบๆ ปีแต่อย่างไร
ถ้าใช้น้ำมันเครื่องยี่ห้อและรุ่นเดิมตลอด ก็ให้นำส่วนที่เหลือในครั้งก่อนเติมลงไป แล้วค่อยเติมน้ำมันเครื่องใหม่ให้ได้ระดับ ส่วนที่เหลือก็เก็บไว้ตามที่แนะนำ ก็จะมีน้ำมันเครื่องใหม่ๆ เหลือเก็บไว้ไม่นานจนเกินไป
 
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:43:02
....อายุการใช้งานของน้ำมันเครื่อง...

...น้ำมันเครื่องเมื่อถูกใช้งานจะเริ่มเสื่อมคุณภาพลงเรื่อยๆ เนื่องจากการสะสมของกรด ที่เข้ามาทำลายด่างในน้ำมันเครื่อง การสะสมของน้ำ การปะปนกับฝุ่นผงที่เล็ดลอดมาจากไส้กรองอากาศ คราบเขม่าในการเผาไหม้ และเศษโลหะจากการสึกหรอของเครื่องยนต์ ดังนั้นน้ำมันเครื่องจึงต้องได้รับการเปลี่ยนถ่าย ก่อนที่คุณสมบัติในการหล่อลื่น และคุณสมบัติอื่นจะเสื่อมสภาพ เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดกับเครื่องยนต์ แต่ด้วยคุณสมบัติ และชนิดของน้ำมันเครื่องที่แตกต่างกัน...

...น้ำมันเครื่องที่ไม่ได้ใช้มีอายุหรือไม่...
น้ำมันเครื่องส่วนมากมีวัตถุดิบ มาจากน้ำมันแร่ที่ได้มาจากธรรมชาติ แม้จะมีสารเพิ่มคุณสมบัติต่างๆ แต่ก็สามารถบูดเสียได้ น้ำมันเครื่องที่บรรจุอยู่ในแกลลอนวางขาย และยังไม่ได้เปิดใช้ จะมีอายุการคงสภาพอยู่ที่ 1- 3 ปี ส่วนน้ำมันเครื่องที่เปิดฝาแล้ว จะมีอายุการใช้งานอยู่หลักเดือน ราว 2 – 6 เดือน ส่วนน้ำมันเครื่องที่เปิดฝา แล้วไม่ได้ปิดฝาจะถือว่าใช้งานไม่ได้

...สังเกตอย่างไรว่าน้ำมันเครื่องที่ใช้อยู่เริ่มหมดสภาพ...
การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้งต้องมีการจดบันทึก วันที่ เดือน ปี และเลขไมล์กิโลเมตร ไว้ด้วยทุกครั้ง เพื่อใช้เป็นการคำนวณกำหนดการเปลี่ยนถ่าย แต่เราเองยังสามารถสังเกตการณ์ทำงานที่เปลี่ยนไปของ ความหล่อลื่นน้ำมันเครื่องที่เริ่มเสื่อมสภาพได้เช่น
...1 เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น
...2. อัตราเร่งแย่ลง อืดลงอย่างต่อเนื่อง
...3. กินน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น
...4. สีของน้ำมันเครื่องเปลี่ยนไป
...5. น้ำมันเครื่องมีลักษณะข้นขึ้น หรือใสขึ้น
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:43:39
- ข้อควรระวังในการเปลี่ยถ่ายน้ำมันเครื่อง -
หากท่านนำรถในเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่ใดก็แล้วแต่ ให้ตรวจสอบหรือสังเกตุเสียก่อนว่า  ศุนย์หรือร้าน หรือคาร์แคร์ ที่เราไปใช้บริการนั้น
เค้าใช้นำมันเครื่องที่เป็นแกลลอนเล็ก หรือว่าเค้าใช้แบบถังใหญ่ขนาด 200 ลิตรนะครับ
บางแห่ง เพื่อเป็นการลดต้นทุนของเค้า เค้าอาจจะใช้ น้ำมันเครื่องที่ซื้อมาแบบ 200 ลิตร เวลาลูกค้ามาใช้บริการก็เปิดฝาตวงเอา
ซึ่ง ถ้าเป็นช่วงที่เปิดฝาใหม่ ๆ ก็ ไม่มีปัญหาครับ แต่ถ้าเกิดเราไปใช้บริการและโดนเอาถังที่เปิดฝามาแล้ว ไม่ดีแน่ครับ
ถ้าจะให้แน่ใจและดีที่สุดกับรถเราก็ต้องตรวจสอบก่อน และถ้าให้ดีกว่านั้นอีก ในเมื่อเรามีความรู้เรื่องน้ำมันเครื่อง ที่เราจะใช้ให้เหมาะกับรถเราแล้ว
เราหาซื้อไปเองดีกว่าครับ

อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเรามีน้ำมันเครื่อง ที่เหลือจากการเติมแล้ว จำไว้ว่าอายุของมันไม่เกิน 6 เดือนนะครับ ถ้าเกินก็ตัดใจซื้อใหม่ดีกว่านะ
แต่น้ำมันที่เราไม่ได้ใช้แล้ว ก็ควรหาที่ทำลายให้ดี หรือเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่น จะได้ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมครับ
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:44:15
กำหนดการเปลี่ยนถ่ายของน้ำมันเครื่องที่ปลอดภัย

น้ำมันเครื่องธรรมดา เกรด SA – SC / CA – CE
...จะมีกำหนดการเปลี่ยนถ่ายที่ 3,000 กิโลเมตร แต่ไม่เกิน 5,000 กิโลเมตร...

น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ เกรด SG – SM / CF4 – CG4
...จะมีกำหนดการเปลี่ยนถ่ายที่ 5,000 กิโลเมตร ถึง 10,000 กิโลเมตร แต่ไม่เกิน 15,000 กิโลเมตร
น้ำมันเครื่องธรรมดา และกึ่งสังเคราะห์ + หัวเชื้อน้ำมันเครื่องเกรดสูง
น้ำมันเครื่องที่ผสมหัวเชื้อ อาจมีค่าสูงกว่ามาตรฐาน อายุน้ำมันเครื่องจะเพิ่มจาก 5,000 กิโลเมตร ได้เป็นกว่า 10,000 กิโลเมตร หรือถ้าเป็นกึ่งสังเคราะห์จะเพิ่มอายุการเปลี่ยนถ่าย ที่ 10,000 กิโลเมตร เป็นได้กว่า 20,000 กิโลเมตร แต่ด้วยอายุของไส้กรอง จึงมีค่าเฉลี่ยการเปลี่ยนถ่ายที่ 10,000 – 15,000 กิโลเมตร...

น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ เกรด SJ - SM / CH4 - CI4
...จริงแล้วน้ำมันเครื่องสังเคราะห์จะมีอายุการใช้งานยาวนานนับแสนกิโลเมตร แต่อายุการใช้งานของไส้กรองน้ำมันเครื่องแบบมาตรฐานทั่วๆไป จะอยู่ได้ราว 15,000 กิโลเมตร ถึง 20,000 กิโลเมตร จึงทำให้กำหนดการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์ควรอยู่ที่ 10,000 กิโลเมตร ถึง 20,000 กิโลเมตร...

ค่าเฉลี่ยกำหนดการเปลี่ยนถ่ายของน้ำมันเครื่อง อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงให้เร็วกว่ากำหนด ตามสภาพการใช้งานดังนี้
...1.ขับรถลุยน้ำในระดับที่สูง ซึ่งอาจคาดว่าจะมีน้ำปะปนเข้าสู่เครื่องยนต์ได้
...2.ใช้งานประเภทสมบุกสมบัน รถยนต์ในที่ใช้ในทางฝุ่น อยู่เป็นประจำ
...3.ในหน้าฝน ที่ต้องใช้รถขับลุยสายฝนอยู่เป็นประจำ หรือขับรถลุยน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ
...4.เครื่องยนต์หลวม ซึ่งมีการระเหยของน้ำมันเครื่องสูง และมีเขม่าเล็ดลอดเข้ามาปะปนอยู่มาก
...5.เครื่องยนต์รอบจัด ที่ต้องใช้งานรอบจัดอยู่เสมอ ความร้อนสูง และต้องการให้ชิ้นส่วนสึกหรอน้อยที่สุด
...6.เครื่องยนต์ที่ติดตั้งกรองเปลือย ที่คาดว่าจะฝุ่นผงปะปนเข้าสู่เครื่องยนต์ได้มากกว่าปกติ
...7.เครื่องยนต์ที่ต้องการความเร็วสูงสุด อย่างพวกรถแข่ง ซึ่งต้องมั่นใจได้ว่า คุณสมบัติของน้ำมันเครื่องต้องไม่ลดลงแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว

เครดิทข้อมูลจากRcweb ครับ
 
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:44:54
...คำอธิบาย..การอ่านฉลากข้างกระป๋องน้ำมันเครื่อง..

...Fully Synthetic = น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แบบเต็มขั้น...
...PREMIUM GRADE SEMI – Synthetic = เป็นน้ำมันเครื่องแบบกึ่งสังเคราะห์ เกรดดีเยี่ยม...
...FOR NGV, LPG & GASOLINE = ใช้ได้กับเครื่องยนต์ แบบใช้แก๊ส NGV หรือ LPG และเครื่องยนต์เบนซิลทั่วไป...

...SAE 5W-30 = มาตรฐานความข้นใส รับรองโดยสถาบัน SAE เบอร์ 30 ค่าต้านทานความเป็นไข 5W หรือ – 30 องศาเซลเซียส...
...SAE 10W-40 = มาตรฐานความข้นใสจากสถาบัน SAE เบอร์ 40 ค่าต้านทานความเป็นไขที่ 10W หรือ -20 องศาเซลเซียส...

...API SM/CF = ค่ามาตรฐานรับรองโดยสถาบัน API ในการใช้กับเครื่องยนต์เบนซิล ในระดับ SM ส่วนถ้าใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลในระดับ CF เท่านั้น.
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:45:29
....ค่า W คืออะไร ...

น้ำมันเครื่องในเขตเมืองหนาว จะมีการวัดต่างออกไปอีกแบบ คือการวัดความต้านทานการเป็นไข โดยวัดตั้งแต่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส ต่ำลงมาจนถึงจุดเยือกแข็งตั่งแต่ 0 องศา จนถึงต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยมีตัวอักษรระบุไว้เป็นตัวอักษร W หรือ WINTER เช่น
0W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
10W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
15W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
20W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:46:07
....เบอร์น้ำมันเครื่อง (เบอร์ 0 – 60)...

...การวัดค่าความหนืดจะวัดกันที่ 100 องศาเซลเซียส ได้เป็นออกมาเป็นค่าความหนืด แทนค่าออกมาเป็นตัวเลขเรียกว่า เบอร์ของน้ำมันเครื่อง (Number) เพื่อให้เป็นมาตรฐานสากลเหมือนกันทั่วโลก ทุกๆสถาบันจึงได้แทนค่าความหนืด ออกมาเป็นตัวเลขในรูปของเบอร์ของน้ำมันเครื่อง เช่น 60, 50, 40, 30, 20, 10 และ 5 ค่าตัวเลขยิ่งมากยิ่งมีความหนืดมาก ตัวเลขน้อยยิ่งมีความหนืดน้อยตามลำดับ
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:47:47
จบครับ...
ใครอ่านจบแล้วมาลงชื่อด้วยนะครับ 55555

หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: [J]e[w] ที่ ตุลาคม 19, 2012, 09:52:07
ขอบคุณครับ  กดF5 รัวๆ  รอดูจะจบเมื่อไหร่   ความรู้แน่นดีครับ  :D
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: 12ay13an ที่ ตุลาคม 19, 2012, 10:09:59
ขอลงชื่อก่อนอ่านละกันครับ  ขอบคุณครับ ;D
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: NINENOI ที่ ตุลาคม 19, 2012, 10:10:07
ขอบคุณครับ ความรู้เรื่องนี้ผมไม่ค่อยมีเลยรู้แต่ว่าเติมสังเคราะห์น่าจะดีที่สุดและไม่ใช้ของ ปตท
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: J!MMY ที่ ตุลาคม 19, 2012, 10:54:33
1. ขอบคุณครับ
2. จริงๆ ถ้าจะให้ดี น่าจะใส่ชื่อคนเขียนสักนิดนึงนะครับ
แต่ถ้าไม่ทราบ ก็ไม่เป็นไร ระบุว่ามาจาก Racing Web ก็โอเค
เพราะอันนี้เป็นข้อมูลพื้นฐานที่หลายๆคนยังไม่เคยทราบมาก่อน

ส่วนผม สมัยตอบรายการรถยนต์ในวิทยุ เมื่อหลายปีก่อน ฟังเรื่องพวกนี้จนแทบจะท่องได้เลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Nuzz ที่ ตุลาคม 19, 2012, 11:05:00
ขอบคุณครับ มประโยชน์มากๆเลยครับ
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chat120912 ที่ ตุลาคม 19, 2012, 11:25:06
สุดยอดเลย ขอบคุณครับ  ;D
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: myalexxp ที่ ตุลาคม 19, 2012, 11:48:02
มำคำถามที่โนถามมากที่สุดเลยครับ ว่า

น้ำมันเครื่อง ปัจจุบัน สามารถใช้แทนกันได้ไหม ระหว่า เครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล

ใครตอบได้มั้งครับ

โดยส่วนตัวผมเคยเอาน้ำมันเครื่อง 0 อีซูสุ ใส่กะรถเบนซิน มันก้ใช้งานได้  ;D

เพราะ มันได้มาฟรี  ;D

หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 12:22:41
มำคำถามที่โนถามมากที่สุดเลยครับ ว่า

น้ำมันเครื่อง ปัจจุบัน สามารถใช้แทนกันได้ไหม ระหว่า เครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล

ใครตอบได้มั้งครับ

โดยส่วนตัวผมเคยเอาน้ำมันเครื่อง 0 อีซูสุ ใส่กะรถเบนซิน มันก้ใช้งานได้  ;D

เพราะ มันได้มาฟรี  ;D


ถ้าเป็นชนิดเกรดรวมก็ใช้ได้ครับ แต่ก็ต้องดูรหัสประกอบไปด้วย เช่น API SL/CG  ก็ใช้ได้ทั้งเบนซินและดีเซล แต่จะให้คุณภาพที่ดีต่อเบนซินมากกว่า
แต่ถ้ารหัส API CG/SH ก็ตรงข้าม เป้นต้น ครับ
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: keanetona ที่ ตุลาคม 19, 2012, 12:26:03
ขอบคุณสำหรับบทความครับ
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 12:33:46
1. ขอบคุณครับ
2. จริงๆ ถ้าจะให้ดี น่าจะใส่ชื่อคนเขียนสักนิดนึงนะครับ
แต่ถ้าไม่ทราบ ก็ไม่เป็นไร ระบุว่ามาจาก Racing Web ก็โอเค
เพราะอันนี้เป็นข้อมูลพื้นฐานที่หลายๆคนยังไม่เคยทราบมาก่อน

ส่วนผม สมัยตอบรายการรถยนต์ในวิทยุ เมื่อหลายปีก่อน ฟังเรื่องพวกนี้จนแทบจะท่องได้เลยทีเดียว

ขอบคุณท่าน J!MMY รวมทั้งทีมงานด้วยเช่นกันครับ ขอถือโอกาสในที่นี้เสียเลย
ก็เพราะว่ามีเวป headlight นี่ล่ะครับ ที่ทำให้ผมได้ความรู้และสนใจเรื่องรถ การดูแลรถ การเลือกซื้อรถ มากขึ้นมาเยอะ
ได้รู้ในสิ่งที่ไม่รู้มาก่อน แล้วก็ได้รถที่ถูกใจมาใช้ด้วยครับ
ปล. ผมก็อยากทราบว่าคนเขียนเรื่องน้ำมันเครื่องนี่คือใครเหมือนกัน หาไม่เจอว่าใครครับ อยากจะขอบคุณเค้าล่ะครับ เพราะทำให้ผมมีความรู้เรื่องน้ำมันเครื่องที่ถูกต้อง ( ใช้มาผิด ๆ นานแล้วครับ )
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Slipknot` ที่ ตุลาคม 19, 2012, 12:40:53
ยาวๆเลย ขอบคุณฮะ
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: i-din ที่ ตุลาคม 19, 2012, 14:04:28
มีประโยชน์มากเลยครับ ขอเอาไปสอนนักเรียนนะครับผม
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: puo ที่ ตุลาคม 19, 2012, 14:16:04
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ กด LIKE ให้เลยครับ... ^ ^
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: applebees ที่ ตุลาคม 19, 2012, 15:12:09
สุดยอดเลยครับ นั่งอ่านจนหมด

ขอบพระคุณมากครับ

**แต่ก็ยัง งง ว่า สรุป 0W-30 40 50 กับ 10W-30 40 50

อันไหนมันดีกว่ากัน

555+
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: The plant ที่ ตุลาคม 19, 2012, 15:31:21
ขอบคุณครับ ได้ทวนความจำครับ
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 19, 2012, 15:48:29
สุดยอดเลยครับ นั่งอ่านจนหมด

ขอบพระคุณมากครับ

**แต่ก็ยัง งง ว่า สรุป 0W-30 40 50 กับ 10W-30 40 50

อันไหนมันดีกว่ากัน

555+

เลขหน้า w ไม่ต้องไปสนใจเลยครับ ไม่มีผลอะไรเพราะบ้านเราไม่ใช่เมืองหนาว
ส่วนเลขตัวหลัง 30 40 50 ( เดี๋ยวนี้มี 20 ด้วยนะ ) อันนี้ถ้ารถใหม่ เครื่องยังแน่น ก็ควรใช้ 20 หรือ 30 แต่ถ้ารถเก่า อายุเยอะ ก็ควรใช้ 40 เก่ามาก เครื่องหลวม
ก็ใช้ 50 ให้ดูตารางในคู่มือรถอีกทีครับ ส่วนใหญ่จะบอกไว้แล้วครับ
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: johnlee ที่ ตุลาคม 19, 2012, 20:05:42
วิธีเลือกความหนืด สามารถกำหนดได้ด้วยตัวเราเอง(เจ้าของรถ)นี่แหละครับ

รถใหม่ๆไม่น่ากังวลเท่าไร เลือกความหนืด 20-30ได้เลย ถ้าพร่องเร็วคงมีรั่วแล้วล่ะ อาจจะขันกรองไม่แน่นรั่วที่กรอง หรือรั่วที่อื่น ปกติรถใหม่ๆ ไม่เกิน 8 หมื่นกม. ไม่มีปัญหา

พอใช้มาสักพัก (แล้วแต่ว่าใครขับรุนแรงกว่ากัน) ชักก้านวัดน้ำมันเครื่องมาดู เดิมใส่30 มันพร่อง มันหาย(แต่ไม่มีการรั่วที่มองเห็นได้นะ เช่นรั่ว ซีลฝาครอบวาล์ว)

ถ้าน้ำมันเครื่องหายไปเองอย่างนี้ ขยับมาใช้ 40 ก็ได้ คิดว่าเพียงพอ


ส่วนรถที่ใช้งานมานานโข เกรด 40 ไม่อาจทนต่อการพร่องหาย และอายุที่เยอะของรถ อาจจะมีการรั่วซึมที่ซีลต่างๆ การเลือกใช้เบอร์50ก็ป้องกันการรั่วซึมได้ดี

จะเลือกเบอร์อะไร ก้อยู่ที่การใช้งานของรถแต่ละคน ไม่ตายตัวว่า 1 แสนกม.ต้องขยับไป40 แล้ว2แสนกม.ต้องขยับไป50 ไม่เลย

สรุปว่า เติมใสที่สุดแล้วไม่พร่อง ถ้าพร่องขยับขึ้นไปทีละ1เบอร์

เครือง SR20 ของผม เติม30ก็เยิ่มทั่วเลย ว่าจะขยับมาเบอร์ 40 ละ
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: popdemonic ที่ ตุลาคม 19, 2012, 21:33:44
Article Courtesy of ?? น่าจะมีเครดิตให้เจ้าของบทความสักนิดนะจ้ะ
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: KhunTon ที่ ตุลาคม 19, 2012, 22:43:41
มาลงชื่อครับ ขอบคุณสำหรับความรู้เต็มๆครับ
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: boykung ที่ ตุลาคม 20, 2012, 12:51:26
ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ


สงสัยเพิ่มเติมครับว่า เราเอาแต่พูดถึงการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องดีๆ ใช้แบบดีที่สุด

แต่ผมว่า น้ำมันเกียร์ก็สำคัญนะ เกียร์รับแรงจากเครื่องส่งไปล้อ แต่ทำไมน้ำมันเกียร์ถึงนานๆเปลี่ยนทีละครับ

แถมน้ำมันเกียร์ก็ไม่ได้มีเกรด หรือรุ่นใหม่ๆออกมาเยอะแยะมากขนาดน้ำมันเครื่อง

หรือว่าเป็นแผนการตลาดล้วนๆ น้ำมันเครื่องเปลี่ยนบ่อยกว่า ขายได้ถี่กว่าน้ำมันเกียร์ที่นานๆเปลี่ยนที จำนวนที่เปลี่ยนก็น้อยลิตรกว่า
หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้เรื่อง น้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: adis ที่ ตุลาคม 20, 2012, 13:26:16
ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ


สงสัยเพิ่มเติมครับว่า เราเอาแต่พูดถึงการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องดีๆ ใช้แบบดีที่สุด

แต่ผมว่า น้ำมันเกียร์ก็สำคัญนะ เกียร์รับแรงจากเครื่องส่งไปล้อ แต่ทำไมน้ำมันเกียร์ถึงนานๆเปลี่ยนทีละครับ

แถมน้ำมันเกียร์ก็ไม่ได้มีเกรด หรือรุ่นใหม่ๆออกมาเยอะแยะมากขนาดน้ำมันเครื่อง

หรือว่าเป็นแผนการตลาดล้วนๆ น้ำมันเครื่องเปลี่ยนบ่อยกว่า ขายได้ถี่กว่าน้ำมันเกียร์ที่นานๆเปลี่ยนที จำนวนที่เปลี่ยนก็น้อยลิตรกว่า
น้ำมันเกียร์ให้ดูตามคู่มือเลยครับ สำคัญมาก ๆ ครับ แล้วเปลี่ยนตามคู่มือเลย แต่ถ้ารถใช้งานหนักเช่นการจราจรติดขีดมาด หรือถนนมีฝุ่นเยอะก็ควรเปลี่ยนก่อนระยะในคู่มือ
อย่าพลาดนะ เราต้องดูตามคู่มือเองแล้วก็บอกช่างที่ศูนย์
เคยมีประสบการณ์ว่า ช่างไม่ได้เปลี่ยนตามระยะให้ เกียร์ผมเลยมีปัญหาครับ 

แต่รถบางรุ่น บางยี่ห้อ เค้าก็ไม่มีการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์นะครับ