Headlight Magazine : community
General => User's Voice => ข้อความที่เริ่มโดย: Akeem-CLII ที่ ตุลาคม 06, 2009, 12:44:13
-
ขอโทษ ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาครับ เพราะคิดว่าว่างก็เลยทำซักหน่อย
กระทู้นี้ก็ตั้งมาเพื่อ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ honda city รุ่นปี 2003 - 2005 ครับ
รถรุ่นนี้ Hit พอสมควร และ เนื่องจาก มี User's Voice ของ รถคู่แข่งของเจ้ารุ่นนี้ โผล่มาให้เห็นแล้ว
ใครที่จะซื้อมือสอง หรือ กำลังตัดสินใจอยู่ จะได้มีข้อมูลและความรู้มากขึ้นน่ะครับ
รถรุ่นนี้ ไม่ใช่รถที่ดีเลิศประเสริฐอะไร แถมมีชื่อในวงการรถเต็นท์(ฉายา) ว่าแมลงสาป เสียอีก
คำร่ำลือต่าง ๆ เกี่ยวกับ CVT ก็มีมากมาย แต่ผมคิดว่า ตลาดมือสอง ยังนิยมรถรุ่นนี้ และราคามือสอง
เหมือนว่ายังจะราคาสูงกว่า toyota vios อยู่นิดนึงครับ เอาล่ะครับ เราย้อนกลับไปในช่วงปลายปี 2002 กัน
Honda City และ Toyota Soluna Vios ขณะนั้น เปิดตัวออกมาพร้อมกัน วันเดียวกัน และเป็นการ surprise
แก่สาธารณะชนอย่างมาก ที่จะได้เห็นเจ้ารถ sub-compact ของ 2 เจ้าตลาด เปิดตัว พร้อมหน้าตา อันบ่งบอกถึง
ยุคใหม่ และความเป็นศตวรรษที่ 21
Honda City มีพื้นฐานมาจาก Honda Fit โฉมแรก ซึ่งขายที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้ copy มาเด๊ะ ๆ นะครับ
ทั้ง 2 รุ่น (City และ Vios) ถูกสร้างมาเพื่อขายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ก็ยังเห็นได้ในตลาดจีนอีกด้วย
คิดว่าทาง Honda ไปทำการสำรวจมา และได้ผลสำรวจว่า ต้องสร้างรถที่มีความอเนกประสงค์ ประยุกต์ได้กับทุกชีวิตเมือง
แต่ทาง Toyota คงได้ผลสำรวจว่า ต้องสร้างรถที่มีสมรรถนะ ช่วงล่าง การขับขี่ ที่ไม่ต่างจากรถใหญ่ในรถ size เล็ก ๆ สิถึงจะดี
เราก็จะเห็นว่า รถทั้ง 2 รุ่น ก็มีความแตกต่างที่ถูกผลิตออกมา เนื่องจากการสำรวจตลาดนั่นแหละ
ถ้าจะย้อนไปอีก เปรียบเทียบกับ Honda City typeZ และ Toyota Soluna หยดน้ำ ถ้าจะให้ผมเลือก 2 คันนี้ ผมคงเลือก Honda แน่ ๆ
เพราะ City typeZ ได้ช่วงล่าง อิสระ ดูท่าทางเกาะ และเครื่องก็น่าจะแรงกว่า Soluna หยดน้ำ แต่ทำไมเมื่อไป 2002 Honda จึงเบนเข็ม(หรือเปล่า)
ผลิต Honda City ให้กลายเป็นรถที่เหมาะกับคนเมืองจริง ๆ ขึ้นมาซะได้ เพราะ City TypeZ เป็นรถเล็กจริง แต่เครื่องแรงสุด ๆ ไปเลย
-
เอาล่ะครับ มาเล่าประวัติศาสตร์ต่อครับ แต่ขอเหลือแค่ของ city แล้วนะ
ผมคิดว่า honda คงออกแบบ city ให้เหมาะกับคนเมืองจริง ๆ แหละครับ เพราะตอนเปิดตัวมาใหม่ ๆ มีแค่
เครื่อง 1,500 cc i-dsi 88 แรงม้าครับ และก็ ปี 2003 honda ซอยย่อยรุ่นที่ออกขายมาเยอะมาก ๆ ครับ ดังนี้นะครับ
A-MT A-AT A-MT(as) A-AT(as)
S-MT S-AT S-MT(as) S-AT(as)
E-MT(as) E-AT(as)
มีทั้งหมด 10 รุ่นย่อย 3 รุ่นหลักครับ
3 รุ่นหลัก ๆ แตกต่างกันดังนี้ คือ
A ตกแต่งภายในสีเทา ไม่มีเซ็นทรัลล๊อค ล้อกระทะฝาครอบ 14 นิ้ว วิทยุเทป ไม่มีกันกระแทกข้างประตู มือเปิดประตู และ กระจกมองข้างสีดำ
ไม่มียางสีดำใต้กันชน ไม่มี ที่ปัดน้ำฝนหน่วงเวลา ไม่มีไฟเบรคดวงที่ 3 เบาะหลังพับไม่ได้ เบาะคนขับปรับสูงต่ำไม่ได้
S ตกแต่งภายในสีเบจ มีเซ็นทรัลล๊อค ไม่มีรีโมท ล้อกระทะฝาครอบ 14 นิ้ว วิทยุเทป มีกันกระแทกข้างประตูสีเดียวกับตัวรถ มือเปิดและกระจกมองข้าง
สีเดียวกับตัวรถ มียางสีดำใต้กันชน มีที่ปัดน้ำฝนถ่วงเวลา แต่ ไม่มีไฟเบรคดวงที่ 3 เบาะหลังพับได้แล้ว และ ลายเบาะแบบตาข่ายช่อง ๆ สีเหลี่ยม
เบาะคนขับปรับสูงต่ำได้
E ตกแต่งภายในสีเบจ + ลายไม้ ล้อแม๊กซ์ 15 นิ้ว 7 ก้าน มีไฟเบรคดวงที่ 3 มีเหมือนที่รุ่น S มี และก็ ได้วิทยุ CD แล้ว ปี 2003 ยังไม่มีรีโมทเปิดปิดประตู
เบาะผ้าลายเส้น ๆ ขีด ๆ ครับ
หลัก ๆ ก็คงมีแค่นี้ล่ะครับ สำหรับปี 2003 (as) คือ มี ABS EBD Airbagคู่หน้า เข็มขัดนิรถัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ
นั่นก็คือ ให้เลือกว่าจะเอาในส่วนของความปลอดภัยมั้ย ในทุกรุ่นตั้งแต่รุ่นต่ำสุดเลยครับ ดังนั้น ถ้าเห็น city รุ่นต่ำสุด ปี 2003 มี ระบบความปลอดภัย
ก็จะได้ไม่เป็นเรื่องแปลกอะไรครับ
-
ต่อเลยครับ อ่านอยู่ครับผม
เขียนดี ละเอียดๆ ดีละก็ อาจได้ลง User's VOICE รายการต่อไป แน่ๆ
-
เห็นว่า honda จะพยายามทำให้ city เป็นรถที่ perfect ในการขายเลยก็ว่าได้ แต่ทว่า ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น
เพราะมันขายไม่ค่อยออก เนื่องจาก รูปร่างหน้าตา อันแปลกประหลาด และ ไม่ค่อยถูกใจคนหลาย ๆ คนครับ
อ่อ แล้วก็ เครื่องไม่แรงด้วย 88 แรงม้า มันน้อยไป แม้ขับในเมืองจะได้แรงบิดในรอบต่ำก็เถอะครับ
สักกลางปี 2003 มีรุ่นตกแต่งพิเศษคือรุ่น Sport โดยจะตกแต่งชุดแต่งรอบคันในรุ่น S และ E ครับ
ในรุ่น S จะได้ ล้อแม็กซ์ 14 นิ้วเพิ่มมา แต่รุ่น E จะใช้ล้อ 15 นิ้วลายเดิม
ต้นปี 2004 honda ก็ได้มีการปรับสเปคให้กับรถรุ่นนี้ครับ โดยเปลี่ยนไฟท้ายจากใส ให้ออกเหลือบชมพู ตามแนวของ
Fit ที่ญี่ปุ่นครับ อ่อ แต่ปี 2004 เนี่ย Jazz เมืองไทยได้ออกขายแล้วนะครับ และก็ที่เห็นเปลี่ยน ๆ อีกก็คือ มีขอบสีดำ
ที่ใต้กันชนหลังครับ ดูจากรถผมก็ได้ ซึ่งเป็นปี 2004 เดิม ๆ ครับ
(ประตูหลังขวา ยอมรับว่าสีไม่เนียน เพราะรถผมทำสีมาครับ แต่สีส่วนอื่น ๆ เดิมหมดครับ)
แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือ เพิ่มเครื่อง VTEC 110 แรงม้า มาออกขายแล้วครับ เพื่อกระตุ้นยอดขาย
และลบคำพูดที่ว่าเป็นรถแรงม้าน้อยออกไปครับ
การตลาดของ honda city น่าจะกระเตื้องขึ้นครับ แต่ยังไงก็สู้ vios ไม่ได้อยู่ดีครับ honda จึงต้องเพิ่มอุปกรณ์ให้เจ้า city ด้วยครับ
โดยในรุ่น top ก็มีการ ใส่ ที่บุฝากระโปรงหลัง และ ที่บุภายในกระโปรงหลังเพิ่มครับ รวมถึง ใส่ รีโมท โรงงานให้ในรุ่น top ครับ
(อย่าลืมว่า vios top มี กันขโมย TVSS)รวมถึงตัดรถบางรุ่นออก อาจจะเป็นเพราะขายไม่ดี หรือเพราะ เป็นหลักการตลาดให้คนซื้อ
รุ่นสูงขึ้นไปเลยก็ได้ครับ
ปี 2004 honda city ก็ประกอบด้วย 10 รุ่นย่อยเหมือนเดิม แต่มี 4 รุ่นหลักครับ คือ
A-MT A-AT A-AT(as)
S-MT S-AT
E-AT(as)
EV-MT EV-AT EV-MT(as) EV-AT(as)
EV คือรุ่น VTEC ครับ การตกแต่งภายในใช้ผ้าลายเดียวกับรุ่น E แต่ ไม่มีลายไม้ครับ (ได้แผงเมทัลลิกแบบรุ่น S แทน) และก็ ล้อ 8 ก้าน
รุ่น E-AT(as) และ EV(as) จะได้พนักพิงศีรษะหลัง ปรับสูง-ต่ำได้ครับ ซึ่งรุ่น ปี 2003 ปรับไม่ได้ และรุ่นอื่น ๆ ก็ปรับไม่ได้
และก็ที่จะต่างกับปี 2003 อีกคือ ที่บุฝากระโปรงหลัง กับ ที่บุภายในกระโปรงหลัง ไฟท้ายเหลือบชมพู
และก็มีรีโมทเปิดปิดประตู (ไม่ใช่กันขโมย) มาให้ครับ
รุ่นอื่น ๆ spec เหมือน ๆ เดิม แต่ไฟท้ายเหลือบชมพู และ มีสีดำล่างกันชนหลัง
รถของผม ที่คุณเห็นในรูปคือ รุ่น EV-AT(as) ราคามือ 1 ตอนนั้นคือ 628,000 บาทครับ
พอปี 2005 ก็กระตุ้นโดยการ มีรุ่น Aภายในสีเบจ , A-smart และ City Sports ครับ
Aภายในสีเบจคือ รุ่น A ที่ภายในสีเบจ มือจับประตู และกระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ
Asmart คือรุ่น Aภายในสีเบจ ที่เพิ่มอุปกรณ์ตกแต่งเช่น ไฟตัดหมอกหน้า เครื่องเล่นวิทยุCD แบบรุ่น top
คิ้วบันได พรมปูพื้น ปลอกท่อไอเสียสแตนเลส
City Sports คือรุ่น top VTEC ที่มีชุดตกแต่งรอบคัน พร้อมเพิ่มรุ่นสีขาวในรุ่น Sport มุกเดิม ๆ เหมือนปี 2003 แต่
ใช้ในรุ่น VTEC ครับ อ่อ รุ่น Sports ปี 2004 จะได้กระจังหน้าแบบที่ใช้ตกแต่งด้วยครับ
-
ลืมบอกไปว่า รุ่น EV เครื่อง VTEC จะได้ disc brake หลังด้วยครับ ในขณะที่รุ่นอื่น ๆ เป็น drum brake เพิ่มความมั่นใจ
ในการเบรคได้เยอะขึ้นครับ
ลืมบอกอีก ราคาของคู่แข่ง Toyota Soluna Vios S top เบาะผ้าภายในสีดำ อยู่ที่ 621,000 บาท
และ Toyota Soluna Vios S top เบาะหนังสี ivory อยู่ที่ 641,000 บาท ครับ แต่ city ได้ Airbagคู่ vios ได้อันเดียว
มาดูอัตราส่วนขนาดกันบ้างครับ
กว้าง 1690 mm
ยาว 4310 mm
สูง 1485 mm
ฐานล้อ 2450 mm (น้อยกว่าคู่แข่งนิดนึง)
ระยะห่างระหว่างล้อคู่หน้า/คู่หลัง 1440/1440 mm ในรุ่น ล้อ 15 นิ้ว และ 1455/1455 mm ในรุ่นล้อ 14 นิ้ว
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 4.9 เมตร
ล้อ 14 นิ้วมีขนาด 14x5.5 JJ ใส่ยาง 175/65R14
ล้อ 15 นิ้วมีขนาด 15x6 JJ ใส่ยาง 185/55R15 (ทั้ง2 ขนาดยาง เท่ากับขนาดยางของคู่แข่งเลย สงสัย เตี๊ยมกัน)
ล้ออะไหล่ 13 นิ้ว ขนาดยาง 165/80R13 ซึ่งเพราะยางอะไหล่แบนลงนิดนึงเลยทำให้การพับเบาะราบเรียบ
ถังน้ำมัน จุ 42 ลิตร อยู่กลางลำรถ
ช่วงล่างหน้าแบบ แม๊กเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง
ช่วงล่างหลังเป็น Torsion beam H-shape
ความจุท้ายรถ 500 ลิตร
ดูจากขนาดแล้ว ก็พอ ๆ กับคู่แข่ง (Soluna Vios) แต่อย่างไรก็ตาม ส่งผลให้ ห้องโดยสารตอนหลัง เหมือนจะเล็กกว่า
คู่แข่งอยู่สักเล็กน้อย (สงสัยว่าเบาะของคู่แข่งมันเล็กด้วยมั้ง แต่ city นั่งสบายกว่านิดนึง)
-
เมื่อมองดูรถจากรูปแล้ว พบว่าอัตราส่วนมันคงแปลก ๆ จริง ๆ หล่ะครับ
้ท้ายโด่งสูงเกินไปนิดนึง ทำให้ ดูรถจากท้ายรถแล้วไม่สมส่วน แต่เพราะรูปทรงแบบนี้
เลยทำให้มี ความจุท้ายรถถึง 500 ลิตรล่ะครับ
เอาล่ะ มาดูห้องโดยสารภายในกันดีกว่าครับ
เริ่มจากเปิดประตูมา จะเห็นเบาะผ้า ทรงโอบกระชับ น่านั่ง สีสันดูหรูหราแต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่
เบาะนั่ง ดูสูงจากคอลโซล และระดับของเบาะนั่ง ก็ถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับรถรุ่นอื่น ๆ หรือรถที่เก่ากว่า
แต่เนื่องจากทรวดทรงของเบาะนั้น ทำให้เบาะโอบกระชับกับตัวผู้นั่งอย่างมาก โอบกระชับกว่า jazz รุ่นเดิม แต่พอ ๆ กับ jazz ใหม่
(เบาะมันไม่เหมือนกับ jazz รุ่นที่แล้วแบบเด๊ะ ๆ นะครับ)
ในรูป ผมปรับเบาะคนขับให้ต่ำที่สุดแล้ว และ เบาะคนนั่ง ที่ปรับไม่ได้ จะมีระดับความสูง เท่ากับเบาะคนขับที่ปรับต่ำสุดครับ
พื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า ถือว่าพอมีครับ และจะเยอะเว่อร์มากเมื่อปรับเบาะถอยหลังสุด แต่ตามรูปผมปรับให้มาข้างหน้าหน่อย
เวลามองไปด้านหลังจะได้ไม่บังกระจกหลังซ้ายครับ
มีครั้งนึง ผมปรับเบาะหน้าให้ถอยอยู่หลังสุด แล้วให้ลุงนั่ง ลุงไม่ค่อยรู้เรื่องรุ่นรถเท่าไร จึงถามว่า คันนี้รุ่นอะไร
พอผมตอบว่า City ลุงแกสวนทันทีว่า "จริงเหรอ นึกว่า accord ซะอีก กว้างจัง" อ่อ แต่ที่บ้านลุงแกใช้ soluna หยดน้ำกับ Isuzu Dragon eye ครับ
-
ลืมบอกไปอีกว่า รุ่น top อันได้แก่ รุ่น E และ EV จะมี ที่วางแขนเบาะคนขับด้วยครับ แต่การใช้งานจริง มันวางได้แค่ศอกครับ
แม้จะเบาะผ้าสีเบจ แต่ผมว่า มันไม่ได้เปื้อนง่ายเท่าไร(แต่ดำง่ายเหมือนกัน) และ เนื้อผ้า มีคุณสมบัติติดกับเสื้อผ้าด้วยอะครับ
ทำให้เวลานั่ง ตัวจะไม่ค่อยไถล Fix กับเบาะเลย คิดว่า ถ้าคนนั่งข้างนั่งหลับ แล้วเบรคกระทันหัน คงไม่ไหลพรวดมาชนคอลโซลหน้าได้ง่าย ๆ ล่ะครับ
เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบปรับสูงต่ำได้ การใช้งานจริงก็ดีครับ เพราะมันไม่ไปเฉือนคอดีครับ
ที่วางแขนข้างประตู วางได้อย่างเหมาะสมอย่างมาก และวางได้สบายกว่า jazz ใหม่ครับ
-
มาดูเบาะหลังกันครับ เริ่มจากประตูทางเข้า ผมว่าจุดนี้เป็นปัญหาเหมือนกันครับ เพราะเวลาเข้าออก
ผมมักจะต้องเบี่ยงขาหลบซุ้มประตูทุกทีเลยครับ พื้นห้องโดยสารด้านหลังจะอยู่ต่ำกว่าด้านหน้า
เพราะด้านหน้าจะมีถังน้ำมันตรงกลางครับ
พื้นที่วางขา ก็มีค่อนข้างเยอะอยู่ครับ ทำให้ดูแล้วค่อนข้างกว้าง
ตัวเบาะมีส่วนรองรับต้นขาที่ดีครับ แถมพนักพิงศีรษะหลังปรับสูงต่ำได้ด้วย รับหัวพอดี ๆ ครับ (เฉพาะรุ่น top ปี 2004 ขึ้นไป)
แต่ผมว่าเบาะหลังเหมาะกับคนสูง 160-170 cm จะนั่งสบายครับ เพราะ ขาแนบกับเบาะได้พอดี
แต่ถ้าสูงน้อยกว่ามาก ๆ ขาอาจจะมีลอย ๆ บ้างครับ แต่ถ้าสูงมากกว่า เบาะมันรองรับต้นขาไม่หมด ทำให้ต้องงอเข่ามากไปนิดนึง
ทำให้ต้องใช้พื้นที่วางขามากขึ้น นั่งนาน ๆ จะเมื่อยครับ (สำหรับคนสูงกว่า 170 cm ไปนั่งเบาะหลังรถคู่แข่งอาจจะสบายกว่า
เพราะ เบาะมันเตี้ย ยุบต่ำดี และเหมือนว่าในรถคู่แข่ง จะเหยียดขาได้มากกว่า)
สูงเกิน 175 หัวอาจจะติดถ้านั่งเบาะหลังนะครับ
ถ้าพูดถึงตัวเบาะจริง ๆ ก็ ทั้งส่วนรองนั่ง และ พนักพิง ในรุ่นเบาะพับได้ จะแข็งกว่ารุ่นที่พับเบาะไม่ได้ครับ
แข็งได้ใจมากครับ ไม่ช่วยซับแรงกระเทือนจากถนนสักเท่าไร นั่งนาน ๆ อาจจะเป็นแผลกดทับ หรือ ก้นด้านชา ได้ 55+
อ่อ แต่เบาะรุ่นพับไม่ได้ มันสบายกว่าจริง ๆ ล่ะครับ นุ่มนิ่มน่านั่งกว่ารุ่นพับได้เยอะเชียวล่ะ แถมยังโอบกว่า่ด้วย
แต่โดยรวมแล้ว ถ้านั่งไม่นานเท่าไร ก็นั่งสบายดีครับ (ผมสูง 174 cm นะั) อ่อ เบาะหน้าก็ปรับไว้สำหรับคนขับสูง 174 cm ด้วยครับ
มีพื้นที่วางขาหลังเหลือเท่านี้ผมก็ว่าถือว่าเยอะอยู่ครับ
ความเอนของเบาะหลัง จะมากกว่า jazz รุ่นเดิมนิดนึงครับ ทำให้นั่งเบาะหลังสบายกว่า jazzรุ่นเดิม
แต่ถ้าเทียบกับ jazz รุ่นใหม่แบบปรับเอนสุด ๆ แล้ว jazz รุ่นใหม่จะเอนกว่าครับ
เหมือนเจ้า city จะอยู่ที่จุดกึ่งกลางของ jazz รุ่นเก่า และ jazz รุ่นใหม่น่ะครับ
-
เบาะหลังมีที่ดึงเวลาจะพับเบาะด้วย ซึ่งรุ่นปี 2003 จะไม่มีที่ดึงนี้นะครับ
และก็ มีที่เก็บเข็มขัดนิรภัยคนนั่งกลางด้วย
ในส่วนของที่วางแขนข้างประตู สามารถวางแขนได้พอดี ๆ เลยครับ
อ่อ ถ้านั่งหลับนาน ๆ หัวอาจจะโขกกับเสา C ได้ครับ เพราะความกระเทือน และทรงเบาะหลัง
ที่ไม่ช่วยกระชับตัวเท่าไร แต่เนื้อผ้าของเบาะก็ทำให้ไม่ลื่นไปกับเบาะนะครับ
เสา C ค่อนข้างใหญ่ครับ หนา บังทัศนวิสัย เวลามองไปจากที่นั่งคนขับ
แต่ jazz ใหม่ และ เก่า บังกว่าครับ ท้ายรถค่อนข้างสูงครับทำให้กะระยะลำบากเวลาถอย
-
ทีนี้ก็มาถึงคอลโซลหน้าละครับ
คอลโซลหน้าเรียบง่ายครับ คล้าย ๆ กับของ jazz รุ่นเดิมเลย ก็แหงล่ะ ลอกการบ้านมาส่งลูกค้า
แต่จะเหมือนก็เฉพาะส่วนบนนะครับ คอลโซลหน้าส่วนล่างจะไม่เหมือนกัน โดยจะมีที่เก็บของต่าง ๆ
ลายการขึ้นรูปพลาสติก ก็ไม่เหมือนกับ jazz รุ่นเดิมครับ เรียกว่าคงเป็นพิมพ์เขียวคนละตัวล่ะครับ
การที่ BMW Z4 ออกแบบให้ มีแผงสีเงิน เพื่อให้คนขับมองเฉพาะปุ่มควบคุมบริเวณนั้น ๆ
ผมว่าเจ้า city ก็คงออกแบบให้เป็นแบบนี้เหมือนกันล่ะครับ
ทีเมืองนอก วิทยุจะเป็นแบบ built in ครับ แต่สำหรับเมืองไทย เป็นแบบ 1din พร้อมช่องเก็บของครับ
ปุ่มควบคุมแอร์ ใช้งานง่ายดีครับ ส่วนที่เหลือก็ไม่ค่อยมีรายละเอียดอะไรหรอกครับ
-
เป็นกำลังใจ ให้ครับ
จาก
แฟนวอลโว่่ เช่นกัน อิๆ
-
มาดูหน้าตาเครื่องเสียงกันครับ ถ้ามองไกล ๆ นี่เหมือน วิทยุรถเก่า ๆ เลยครับ
ถัดลงมาก็เป็นที่ปรับแอร์
การใช้งานก็คงไม่ยากหรอกครับ ปรับช่องแอร์ได้หลายแบบดี ซึ่งเจ้าคู่แข่ง ปรับได้แค่ 2 แบบครับ
แต่คอมแอร์ ซานเด็น อะไรเนี่ย สู้ เด็นโซ่ ไม่ได้ครับ (ทำไมชอบเทียบกับ vios จังฟะเรา)
ถัดลงมาก็เป็นกล่องเก็บเหรียญ(ที่ดับเบ้า เอ้ยที่เขี่ยบุหรี่)
แล้วก็ที่วางแก้วครับ (รถรุ่นเก่าเนอะ มีตัวจุดบุหรี่ให้อยู่เลย)
ที่วางแก้วน้ำ สามารถดันแท่งกั้นกลางเข้าไปเก็บได้ครับ กลายเป็นที่เก็บของอีกอันนึง
-
ต่อมาก็ ที่เก็บของคอลโซลกลางครับ ก็มีเบรคมือ ที่วางของจุกจิก และที่วางแก้ว 2 ที่ครับ
มาดู ที่เก็บของตรงฝั่งคนนั่งบ้างครับ ตรงนี้ก็แบ่งเป็น 2 ชั้น ผมว่าชั้นบนเก็บของได้เยอะดี
แต่ชั้นล่าง ยัดคู่มือก็เต็มแล้วครับ แต่ city รุ่นใหม่ มีแค่อันเดียว เฮ้อ
มา รีวิวเครื่องเสียงหน่อยครับ เครื่องเสียง โรงงาน เป็น วิทยุ CD 1 แผ่นครับ 4 ลำโพง
เหมือนของ jazz รุ่นเก่าทุกประการครับ
ปรับ เพิ่มเบส เพิ่มแหลม เฟเดอร์หน้าหลัง และ Balanceซ้ายขวา ได้
เสียงเบสมาแบบ ตึ้บ ๆ ๆ เลยครับ ถ้าไม่ได้หูเทพมากนักนะครับ (ต้องปรับให้เป็นด้วยอะครับ
ผมปรับ เบสระดับเกือบสูงสุด แหลมสูงสุด เฟเดอร์ไปหลังนิดนึง)
เสียงที่ออกมา ดีว่า jazz เก่า และ ใหม่ อย่างมากครับ อาจเป็นเพราะลำโพงหลังไม่ได้อยู่ที่แผงประตู
เสียงจากเครื่องเสียงดีกว่าวิทยุของคู่แข่ง 55+ แต่ตอนนั้นวิทยุ vios เป็นแบบ 2din วิทยุ CDmp3 + เครื่องเล่นเทป
ซึ่งมันใช้ได้หลากหลายมาก แต่ให้เสียงบี้แบนสุด ๆ ครับ
เสียดายอีกอย่างคือ ดันให้นาฬิกาแบบติดกับวิทยุ(honda มันเป็นอย่างนี้แหละ)
ซึ่ง รถคู่แข่ง(vios) มีนาฬิกาแบบแยกออกมาเลย
-
มาดูภายในฝั่งคนขับกันครับ ผมว่า เจ้า city เนี่ย ทำแป้นเบรค และคันเร่ง ไว้ตรงกลางเกินไปอะครับ
ซึ่งไม่ถูกกับสรีระของบางคนที่มาขับแล้ว จะปวดเข่า หรือ เมื่อยขา ซึ่งสำหรับผมก็มีปัญหาเรื่องปวดเข่าเหมือนกัน
แต่ก็แก้ไขโดย ปรับเบาะถอยไปอีกนิดนึงให้เหยียดขาได้ หรือไม่ก็สำหรับบางคน ปรับเบาะให้สูงขึ้นก็จะหายครับ
(รถคู่แข่งก็เป็นครับ แต่สำหรับรุ่นใหม่ ได้แก่ jazz ใหม่ city ใหม่ แป้นคันเร่งและเบรคผมว่าอยู่ในตำแหน่งที่
เหมาะสมดีมากแล้วครับ และไม่ก่อให้เกิดปัญหาเมื่อยหรือปวดด้วย)
ไม่มีที่พักเท้า ทำให้เวลาเดินทางไกลจะเมื่อยส้นเท้าหน่อย ๆ (แต่ไม่ได้อยากเอาไปกวนใครนะ)
และก็จะเห็นปุ่มปรับกระจกมองข้างซึ่งจะมีใน city ทุกรุ่นไม่เว้นรุ่นต่ำสุดครับ
แต่พวกเมื่อยเอว เมื่อยหลังใน city เนี่ยไม่เคยเป็นครับ เบาะทำมาดีอยู่ครับ มีแค่ เมื่อยขา ปวดเข่า แค่นั้นเอง
ส่วนที่รองรับต้นขา ผมว่าทำมาดีครับ แต่เพราะเบาะผ้าที่ฝืดกับเนื้อผ้าที่เราใส่ ทำให้ขยับแข้งขาด้านซ้าย ลำบากนิดนึง
-
มาดูความอเนกประสงค์ของเบาะหลังกันครับ
เบาะสามารถดึงฐานรองมาแนบกับพนักได้ครับ ซึ่งก็ช่วยในการขนของ ต่าง ๆ ทั้ง ของสูง ๆ เก้าอี้ โต๊ะเล็ก ๆ
รวมถึงต้นไม้ครับ
เบาะสามารถพับได้ครับ และพับได้ราบเรียบทะลุสู่ท้ายรถได้ดีอีกด้วย
-
เมื่อพับเบาะลงมาแล้วนั้น ผมว่า พื้นที่มันมากพอที่จะนอนหลับคนเดียวแบบสบาย ๆได้เลยล่ะครับ
เอาหัวไว้ในตัวรถ เอาขาใส่ในท้ายรถ มีหมอน ผ้าห่ม ที่รองนอนหนา ๆ หน่อย ติดกันสาด แง้มกระจกนิด ๆ
แค่นี้ก็คงไม่ต้องนอนโรงแรมเวลาต้องเดินทางไกลแล้วต้องการพักผ่อน 55+
แต่ถ้าใครคิดจะมีกิจกรรม....ในรถล่ะก็ อาจจะคับแคบไปหน่อยนะครับ(ติดฝาท้าย) และก็ ระวังโครงรถเสียด้วยล่ะ
-
ฝาปิดกระโปรงหลัง บุมาเรียบร้อยครับ เพราะเป็นรุ่น top
และถึงแม้ไม่พับเบาะ ที่เก็บของท้ายรถก็กว้างครับ เพราะมีความจุ 500 ลิตร (คู่แข่งขณะนั้นมี 430 ลิตรแถมฟิวเจอร์บอร์ด)
ที่เก็บของเยอะก็จริงครับ แต่ ฝามันเล็กไปหน่อยอะครับ เอาของเข้ายากมาก ๆ ดูพื้นที่แล้วเอา TV 29 นิ้วเก่า ๆ ใส่ได้ครับ
แต่เพราะฝามันเล็กมากครับ เลยยัด TV ไม่ลงครับ (ใส่ของจุกจิกได้ แต่ของใหญ่ ๆ เนี่ยยัดไม่ลงจริง ๆ)
ยกความดีความชอบให้ยางอะไหล่ขนาด 165/80R13 ครับ
-
มาดูแผงหน้าปัทม์ กันบ้างครับ ลืมเปิดประตู กับกดให้เห็นตัวเลข 7speedmode จะเห็นว่า รถผมไมล์น้อยจริง ๆ 55
ไมล์ไม่สามารถปรับแสงสว่างได้ครับ แถมรูปทรงยังบ้าน ๆ โบราณนิดนึง แต่ผมว่าก็อ่านง่ายดีนะ ที่เห็นในหน้าจอเป็นหมวด Odometer ครับ
สามารถกดให้เป็น TripA และ TripB ได้ซึ่งแต่ละ Trip ก็ไม่เกิน 1,000km อะครับ ถ้าเกินมันจะเป็น 0 ใหม่ ไม่ค่อยมีลูกเล่นเท่าไร
แล้วก็ เจ้า city คงเป็นรุ่นแรก ๆ ของ honda ไทย ที่ไม่มีเข็มวัดความร้อนแต่ใช้สัญญานเตือนแทนครับ
ส่วน EPS ย่อมาจาก Electric Power Steering ครับ คือพวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฟฟ้า ถ้าพวงมาลัยผิดปกติตอนขับขี่ ไฟเตือนจะขึ้น
แต่ใน Jazz City รุ่นใหม่ ๆ ใช้สัญญาณเตือนเป็นรูปพวงมาลัยหมดแล้วครับ CityZX กับ Jazz07 บางคันก็เห็นเป็นรูปพวงมาลัยแทนครับ
อ่อ แผงหน้าปัด วิทยุ และที่ควบคุมแอร์ ตอนกลางคืนเป็นสีส้ม สปอร์ตเหมือน BMW เลยครับ
พวงมาลัย มีปุ่มให้เลือกเป็น 7speedmode และมีปุ่ม + - 2 ข้างไว้ให้เพิ่มและลดเกียร์ครับ
โดยปกติก็ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไร แต่ตอนขับคันนี้ใหม่ ๆ ก็ชอบเอามือไปโดนบ้าง และเพื่อนผมบางคนก็เข้าใจผิด คิดว่า
เป็นปุ่มควบคุม volume เครื่องเสียง ตอนผมขับอยู่มันมากดใหญ่เลยครับ พวงมาลัย 3 ก้าน รูปทรงมาตรฐาน
มี Airbag อยู่ตรงกลาง ผมว่าจับง่ายนะครับ และให้ความรู้สึกหรูหราเหมือนกัน
พวงมาลัยปรับได้เฉพาะระดับขึ้นลง แต่หาจุดที่เหมาะสมในการขับได้ง่ายครับ
แล้วก็อีกอย่างนึง คือพลาสติกที่เป็นกระจกครอบแผงหน้าปัทม์อะครับ มันเป็นรอยขีดข่วนง่ายมากครับ
-
มาดูทัศนวิสัยในการขับขี่บ้างนะครับ
เจ้า city คันนี้ก็มาพร้อม เสา A อันลือชื่อนะครับ บังสุด ๆ จะบังไปไหนเนี่ย
เวลาขับขี่ โค้ง เลี้ยว ต้องระวังกันอีกนิดอะครับ (จุดนี้ เจ้าคู่แข่งทำได้ดีกว่ามาก ๆ ๆๆ)
ตัวรถสูงพอควรครับ ถ้าขับตามหลังรถรุ่นเ่ก่า ๆ เนี่ย บางครั้งก็มองข้ามไปได้เลยครับ
เห็นถนนล่วงหน้า และคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดในอนาคตได้
ฝากระโปรงหน้า และฝากระโปรงหลัง ไม่ต้องพยายามมองครับ ยังไงก็ไม่เห็น
แต่ขับไปสักพักแล้วผมว่ามันกะง่ายกว่ารถที่เห็นฝากระโปรงอีกนะ
-
กระจกมองข้าง ซ้ายและขวา แม้จะขนาดเล็ก แต่ก็ให้มุมมองที่กว้างดีครับ
ช่วยลดจุดบอดไปได้เยอะเหมือนกันขณะเปลี่ยนเลน แต่ก็ต้องมองกระจกมองหลังช่วยน่ะครับ
มุมมองจากกระจกมองหลังเหมือนจะเป็นมุมที่อยู่สูงอะครับ มันเห็นกว้างไกลดี (แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา)
ไม่ค่อยหลอกตาเท่าไร
-
รายละเอียดแบบว่าสุดยอดเลย รอชมต่อคร้าบ :D
-
เอาละครับ มาดูเรื่องเครื่องยนต์กันต่อเลย
ตัวเลขสมรรถนะเครื่องยนต์ ผมไม่ได้ทำไว้หรอกครับ เพราะ ส่วนมากขับแต่ในเมือง วิ่ง 80 ได้ก็เต็มที่ละครับ
ขอเอ่ยสเปคเครื่องยนต์ พร้อมตัวเปรียบเทียบนะครับ
L15A1 VTEC L15A2 i-dsi L15A7 i-vtec (ของ jazz city รุ่นใหม่)
ความจุ 1497 cc SOHC 4 สูบ 16 วาล์ว ความจุ 1497 cc SOHC 4 สูบ 8 วาล์ว ความจุ 1497 cc SOHC 4 สูบ 16 วาล์ว
110 แรงม้าที่ 5,800 รอบต่อนาที 88 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที 120 แรงม้าที่ 6,600 รอบต่อนาที
143 นิวตันเมตร ที่ 4,800 รอบต่อนาที 131 นิวตันเมตร ที่ 2,700 รอบต่อนาที 145 นิวตันเมตร ที่ 4,800 รอบต่อนาที
รถของผมเป็นรุ่น VTEC นะครับ ซึ่งก็ดูจากตัวเลขจะมีแรงมากกว่า i-dsi พอสมควรครับ
ดูจากสเปคเรื่องยนต์แล้ว honda พัฒนาเครื่องยนต์ได้เก่งดีนะครับ
เครื่อง i-dsi แรงบิดรอบต้นเยอะ ๆ ทำให้ใช้ในเมืองได้ดีครับ แต่ออกทางไกล ถ้าเกิน 120 เหมือนแรงจะไม่ค่อยมี
เครื่อง VTEC มีแรงบิดที่รอบสูงมากขึ้น การใช้ในเมืองนั้นอาจจะด้อยกว่า i-dsi เล็กน้อยครับ แต่ถ้าจะขับเร็ว ๆ ก็ทำได้ดีครับ
แต่อย่างไรก็ตาม ผมว่า ถ้าจะทำความเร็วสูงสุดก็คงต้องลุ้นพอสมควรครับ
รูปห้องเครื่่องนั้น สกปรกไปหน่อย อ่อ แล้วผมเปลี่ยนแบตเป็นลูกใหญ่กว่าเดิมด้วยครับ
พูดถึงเกียร์ CVT นั้น เป็นเรื่องที่หลายคนหลีกเลี่ยงที่จะใช้งานมันครับ เพราะกลัวเจ๊ง แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่หรอกครับ
เกียร์ CVT ก็มีข้อดีเยอะแยะครับ แต่เกียร์ CVT ก็ต้องการการบำรุงรักษาและการใช้งานที่ถูกต้องครับ
ตัวผมนั้นก็ไม่ได้เป็นโปรด้านเกียร์ CVT ครับ และการใช้เกียร์ CVT ของผมจะถูกต้องหรือไม่ ผมก็ไม่รู้หรอกครับ
มาพูดถึงข้อดีของเกียร์ CVT กันก่อนครับ
1. เกียร์ CVT มี engine brake ในทุกรอบความเร็วครับ (ไม่ใช่ว่าพอปล่อยคันเร่งแล้วเข้า N หรือ เกียร์สูงสุดให้เหมือนรถบางรุ่น)
2. เกียร์ CVT รักษารอบได้คงที่ประหยัดน้ำมัน ไม่สูญเสียแรงบิด ไม่ต้องกวาดรอบ
3. รถที่ใช้เกียร์ CVT สูญเสียกำลังไปกับเกียร์น้อยกว่า ทำให้ได้อัตราเร่งที่ดีขึ้น ทั้งยังปล่อยมลพิษน้อยกว่า
4. ใช้พื้นที่ไม่เยอะ รายละเอียดอุปกรณ์ไม่มาก
ข้อเสียของเกียร์ CVT
1. ถ้ากระทืบบ่อย ๆ ตอนออกตัวเกียร์จะพังได้ง่าย
2. ถ้าใช้น้ำมันเกียร์ผิดเกรดเกียร์ก็พังได้ง่ายอีก (ย้ำว่าน้ำมันเกียร์ต้องใช้ CVTF เท่านั้น ไม่ใช้ ATF-Z1)
3. ถ้าเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ไม่ตรงเวลาก็มีสิทธิ์เจ๋ง (ควรเปลี่ยนทุก 1 ปี หรือ 20,000 km ด้วยซ้ำ)
4. อาจไม่สะใจสำหรับคนที่ลากรอบ
เกียร์ CVT เหมาะกับคนที่ขับรถในเมืองครับ โดยอาจจะมีการเร่งเบรคบ่อย ๆ หรือต้องเร่งความเร็วแบบช้า ๆ
แต่ถ้าขับทางไกลด้วยความเร็วคงที่ เกียร์ CVT ก็รักษารอบได้ดีและรอบเครื่องอาจจะต่ำกว่ารถที่ใช้เกียร์ทั่วไป
-
การใช้รถยนต์คันนี้ นั้นทุกวันธรรมดา ผมจะขับจากบ้าน ไปเรียนครับ ระยะทางประมาณ 3 km
รวม 1 วันไปกลับก็ประมาณ 6 km แต่ผมมักจะใช้รถมากกว่านั้น คือ 1 วันจะใช้ไปประมาณ 10กว่า ๆ km
ผมเพิ่งใช้รถคันนี้จริง ๆ จัง ๆ แค่ 1 เทอมครับ เดิมทีนั้น คุณแม่เป็นคนใช้รถคันนี้ ซึ่งก็ขับไปทำงานประมาณ
วันละ 13 km รวมไปกลับแล้วน่ะครับ
จะเห็นว่ารถใช้น้อย และใช้ในเมืองจริง ๆ เลยนับว่า CVT เป็นข้อดีอย่างมากสำหรับการใช้ในเมืองครับ
แต่ก็มีบ้างที่ต้องขับรถด้วยความเร็วออกนอกเมือง ซึ่งปกติ ผมจะขับออกนอกเมืองด้วยความเร็วประมาณ 90-120 km/h ครับ
การขับขี่นอกเมืองด้วยความเร็วสูงนั้น ไม่ค่อยเหมาะกับ city เท่าไรหรอกครับ (vios เจ๋งกว่าจริง ๆ อะ)
เพราะ
1. พวงมาลัย ค่อนข้างเบา เมื่อขับด้วยความเร็วสูง แต่พวงมาลัยหนักตอนขับช้า ๆ นะ (ไม่รู้ honda ออกแบบ พวงมาลัย
พาวเวอร์ให้ทำงานแบบนี้เพื่ออะไร ซึ่งใน jazz ใหม่ ได้มีการปรับปรุงแล้วครับ)
2. ช่วงล่างเวลาเจอถนนที่ไม่สมดุล มักจะให้ความรู้สึกวูบวาบ ซึ่งรถที่ใหญ่กว่า และ vios ทำได้ดีกว่านี้
3. เข้าโค้งบนถนนด้วยความเร็วสูง ทำได้ไม่แพ้คันอื่น ๆ ครับ แต่เสียวกว่าเท่านั้นเอง
4. เหนื่อยเวลาขับเร็ว ๆ นาน ๆ หากขับรถมาหลายคันจะสังเกตได้ครับ มันต้องจับพวงมาลัยแน่น ๆ เพราะเสียวด้วย
เรื่องของการเก็บเสียงภายนอกนั้น ดีกว่า jazz เก่า และ ใหม่ พอ ๆ กับ คู่แข่งแหละ
แต่เมื่อขับที่ความเร็วสูง ๆ เสียงเครื่อง เสียงลม เสียงยาง ดังมากพอสมควรครับ
ลืมบอก ลักษณะการใช้เกียร์ CVT ของผมครับ คือ ปกติ ผมจะ่ค่อย ๆ เร่งตอนออกตัว และพยายามเหยียบคารอบไว้ครับ
ให้รอบคงที่ เช่นถ้าต้องการเร่งใ้ห้ได้ความเร็ว 80 ก็เหยียบสัก 2,500 รอบต่อนาทีครับ พอความเร็วได้ที่ก็ผ่อนคันเร่งนิดนึง
รอบจะตกมาที่ประมาณ 2,000 รอบต่อนาทีครับ แต่ถ้าต้องการเร่งให้ได้ความเร็ว 100 ก็เหยียบไป 3,000 รอบต่อนาทีเลยครับ
พอความเร็วได้ แล้วผ่อนคันเร่งจะอยู่ที่รอบประมาณ 2,500 รอบต่อนาทีครับ
ถ้า้ต้องการ 120 ก็ออกตัวช้า ๆ พอช่วงนึงก็เหยียบครับ ให้รอบขึ้นมาประมาณ 3,500 อะครับ
เหยียบรอบมาก ๆ ก็จะเร่งเร็วขึ้นอะครับ แต่พอความเร็วได้ที่แล้วผมจะเน้นขับความเร็วคงที่มากกว่า
แต่ถ้าคลาน ๆ ในเมือง ก็ลองดูคลิปนี้ครับ เมื่อเผชิญกับรถคันหน้าที่ออกตัวแบบติ๋ม ๆ เกียร์ CVT ก็รักษารอบได้คงที่ดีครับ
[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=jxoQCy1u8nM[/youtube]
-
สรุปครับ
รถ honda city ก็เหมาะกับคนใช้รถในเมืองที่ไม่รีบเร่งมากนักครับ แต่ถ้าเดินทางไกล
เครื่อง VTEC ก็ให้อัตราเร่งที่ดีพอสมควรครับ ส่วนเครื่อง i-dsi ก็เดิืนทางไกลได้ แต่อัตราเร่งที่ความเร็วสูงอาจจะด้อย
รถ honda city มีการบำรุงรักษาที่ไม่สูงมากนัก แค่เปลี่ยนถ่ายของเหลวตามระยะทาง
ปัญหาจุกจิก ก็ไม่ค่อยมีเท่าไรครับ นับว่าเป็นรถที่ทนทานพอสมควรครับ
เรื่องของเกียร์ CVT นั้น ถ้าใช้งานอย่างถูกต้องก็ขับสนุกล่ะครับ มี engine brake และรักษารอบและแรงบิดได้ดี
ไม่มีความรู้สึกตอนเปลี่ยนเกียร์ แต่ก็ต้องบำรุงรักษาอย่างถูกต้อง เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ที่ได้มาตรฐานและควรจะ
เป็นของศูนย์เท่านั้น
ความอเนกประสงค์ในรถ honda city ก็มีพอสมควรครับ แต่บางอย่างมันก็ไม่ได้ใช้ทุกวันหรอกครับ
รถที่อเนกประสงค์ดี แต่สมรรถนะ และการขับขี่ ไม่เหมาะกับบุคลิกลักษณะของคน ก็ไม่ใช่จะขับดี
ดังนั้น ควรเลือกรถที่วัตถุประสงค์การใช้งานครับ รวมถึงความพึงพอใจในการขับขี่ครับ
honda city ก็ขับสนุกได้เหมือนกันครับ โดยเฉพาะออกตัวไฟแดงและซัดกับ vigo 55+
เพราะสมรรถนะขณะออกตัวก็พอ ๆ กันแหละครับ เคยลองมาแล้ว (แต่ก็ยอมแพ้เค้าไปเถอะ เค้ามี turbo)
เรื่องเข้าโค้ง ผมว่าไว้ใจได้มากกว่า jazz ใหม่นิดนึง
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณ ท่านผู้อ่าน ที่อ่านรีวิว มีสาระ(อาจจะน้อยนิด) นี้นะครับ และหวังว่า จะเป็น
ความรู้ และ เป็นข้อมูล ในการตัดสินใจเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับคนที่กำลังจะซื้อรถรุ่นนี้ครับ
-
Review ดีครับ อ่านแล้วได้ข้อมูลตามไปด้วยเลย ;)
-
ระเอียดดีครับ
ขอบคุณครับ
-
ดีครับๆๆๆ
ข้อมูลเยอะดี
: )
-
อ่านสนุกดีครับ
พวงมาลัยของ CITY VTEC รุ่นนี้
เห็นคนที่เคยขับ เขาว่ามีการปรับในตัว software ให้มันทำงานได้ดีขึ้นจากรุ่น i-DSI ซึ่งก็ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่า ;D
-
IDSI เห็นมี88แรงม้า แต่ผมว่ามันเร่งแซงใช้ได้เลยนะครับ
ผมใช้อยู่ (ZX นะครับ)
ลืมบอกไป ว่าค่าหัวเทียนนี่ก็ไม่ได้แพงอะไรมากเลยครับ
-
อ่านสนุกดีครับ
พวงมาลัยของ CITY VTEC รุ่นนี้
เห็นคนที่เคยขับ เขาว่ามีการปรับในตัว software ให้มันทำงานได้ดีขึ้นจากรุ่น i-DSI ซึ่งก็ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่า ;D
ไม่เคยขับ city i-dsi อะครับ เลยไม่รู้ว่าดีขึ้นมั้ย แต่ที่แน่ ๆ คือ ตอนความเร็วต่ำ หนักมาก ๆ ครับ แต่พอความเร็วสูง ๆ ดันเบาไปหน่อย
เคยขับแต่ Jazz i-dsi ซึ่งรอบต้น ๆ ก็แรงดีครับ
-
ก่อนอื่นต้องชมว่า รีวิวได้ดีมาก ละเอียดมากมาย
รุ่นเดียวกันเลย ของเราสีน้ำเงิน แมงสาบวีเทค
รุ่นนี้มักจะไม่ถูกกับน้ำ ลุยน้ำทีไร ไฟเครื่องยนต์โชว์ทุกทีเลย
อีกอย่าง คอมแอร์ตัดทีไรไฟตกทุกที
คอมแอร์ก็เสียงดังได้อีก แอบกลับบ้านมาดึกๆ หมาชอบเห่า แม่รู้ทุกที -*-
-
ป้าผมใช้ i-DSI E AT (AS) ซื้อมาตั้งแต่ มิ.ย. 2003
จนตอนนี้ใช้ไปแค่ 25,000 กม. เท่าันั้น!!
เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งจะได้ลองขับอย่างจริงจัง (สมัยก่อนนั่งตักขับ ;D)
ผมว่าตีนต้น 0-60 เร่งดีใช้ได้เลยนะ สู้ Teana 2.0 ได้เลยแหละ
เร็วกว่านั้นคงเริ่มโดนทิ้ง แต่ก็ถือว่าดีครับ เหมาะกับการขับในเมืองอย่างยิ่ง
เกียร์ CVT ก็ให้ฟิลลิ่งเหมือนๆ Teana แต่มีโหมด 7 สปีดให้ด้วย เบี่ยๆ ก็กดปุ่มเล่น สนุกดี
พวงมาลัยเบามากกกก เบาชนิดใช้นิ้วเดียวก็ถอยจอดได้สบาย
แต่ผมรู้สึกว่ามันหนักขึ้นกว่าสมัยซื้อมาใหม่ๆ (ป้าผมก็สังเกตว่ามันหนักขึ้นเหมือนกัน)
โดยรวมชอบภายในที่ถือว่าใหญ่เทียบกับขนาดรถ ชอบที่เก็บของท้ายรถที่ใหญ่มาก ชอบเบาะพับได้ ใช้งานได้จริง
ชอบความคล่องตัวในเมือง ชอบหน้าทู่ๆ กะระยะง่ายดี แล้วก็ชอบความประหยัด
-
ขอบคุณครับ ;)
ปล.ท้ายรถรุ่นนี้สะใจสุดๆครับ ใหญ่มากกกกกก
-
ได้อ่านแล้วก็คิดถึงรถน้องชาย (ตอนนี้ใช้แทนซีวิคของผมอยู่) รู้สึกประทับใจกับเครื่องและเกียร์ ผมว่าผมใช้แค่เจ้าคันนี้ ก็พอนะ
-
ขอบคุณมากครับ
ทำออกมาอย่างตั้งใจ งานจะออกมาดีครับอย่างนี้แหละครับผม
คิดว่า น่าจะมีรายการต่อไป ที่จะเอาขึ้น User's Voice ้าเคลียร์คิวของเก่าได้หมดแล้ว
แพนว่าไง?
-
ข้อมูลแน่นดีครับ....บางครั้งก็ได้ขับของน้องสาวบ้างแต่เป็นเครื่อง i-DSi นะครับก็โอเคนะครับ
แต่ไม่ชอบทรงของรถเท่านั้นแหละ....ที่มันขัดูขัดตา....อิอิ
-
ข้อมูลปึ้กๆมากเลยครับ
-
ก่อนอื่นก็ขอบคุณครับ ที่ทำรีวิว ออกมาให้ได้ชมกัน
ข้อมูลค่อนข้างดีเลยนะครับ ลักษณะการเขียนก้อแสดงออกถึงว่าเป็น User Voice จิงๆ ตามคอนเซป ของพี่จิมมี่
อ่านตามแล้วสนุกครับ ไม่พลาดซักบรรทัด แต่น่าจะมีในส่วนของเรืองความประหยัดแถมมาอีกนิสนึงนะครับ เช่น ถึงนึงไป ได้กี่โล เมื่อเวลาผ่านไป หลายปี เทียบกะตอนยังป้าย แดง อ่ะคับ แนะนำเล็กๆน้อยๆอ่ะครับ
โดยรวมแล้วทำออกมาดีครับ ชอบ
-
ก่อนอื่นก็ขอบคุณครับ ที่ทำรีวิว ออกมาให้ได้ชมกัน
ข้อมูลค่อนข้างดีเลยนะครับ ลักษณะการเขียนก้อแสดงออกถึงว่าเป็น User Voice จิงๆ ตามคอนเซป ของพี่จิมมี่
อ่านตามแล้วสนุกครับ ไม่พลาดซักบรรทัด แต่น่าจะมีในส่วนของเรืองความประหยัดแถมมาอีกนิสนึงนะครับ เช่น ถึงนึงไป ได้กี่โล เมื่อเวลาผ่านไป หลายปี เทียบกะตอนยังป้าย แดง อ่ะคับ แนะนำเล็กๆน้อยๆอ่ะครับ
โดยรวมแล้วทำออกมาดีครับ ชอบ
การวัดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไม่ค่อยได้ทำแล้วอะครับ เพราะส่วนมากจะไม่ได้เติมเต็มถัง เติมทีก็ 300.- 500.- 700.- อะครับ
ถังนึงเคยลองวิ่งในเมืองได้ประมาณ 380 กิโลเมตรอะครับ ไฟเตือนขึ้นแล้ว
-
รีวิวดีมากครับ
ขอบคุณครับ
-
ผมขับแล้วผมก็โคตรชอบเลย
เป็นรถที่ใช้งานได้คล่องตัวมาก คันเร่งเบา พวงมาลัยเบา ขับง่าย
ถ้ามองข้ามหน้าตามันซะ จะเป็นรถที่น่าใช้จริงๆ
-
ขอบคุณมากครับ ;)
-
ตอนไปนครสวรรค์ เคยลองพับเบาะหลังแล้วนอน มันก็สบายดีนะครับ วันนั้นหลับยาวเลย
-
รถแบบพี่จิมเวอชั่นเก่า