Headlight Magazine : community

General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: aksrisawat ที่ พฤศจิกายน 22, 2012, 22:23:03

หัวข้อ: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: aksrisawat ที่ พฤศจิกายน 22, 2012, 22:23:03
รถยนต์รุ่นก่อนๆมีคนบอกว่าช่วง1,000 กิโลแรกห้ามขับเร็ว ห้ามใช้รอบสูงๆ แต่เมื่อวานถามเซลล์เค้าบอกว่าขับไปเลยรถยนต์รุ่นใหม่สมัยนี้เค้ารันอินมาจากโรงงานแล้ว จริงเท็จอย่างไรรบกวนผู้รู้ด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pongisra ที่ พฤศจิกายน 22, 2012, 22:34:33
คำถามโลกแตกครับผมว่าคำถามนี้

บางคนบอกต้อง บางคนบอกไม่ต้อง

แล้วคนที่บอกต้อง ก็มี run in หลายวิธีอีก......


ส่วนตัวก็อยากรู้เหมือน จขกทครับ แต่ตอนนี้ส่วนตัวผมรู้สึกปรงกับการหาคำตอบของคำถามนี้

รอผู้รู้ท่านอื่นให้ความเห็นครับ

หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Slipknot` ที่ พฤศจิกายน 22, 2012, 22:35:07
ผมก็ไม่รู้แน่ชัดนะครับ

แต่ทำไว้ก็ไม่เสียหายนะ

หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Svn359 ที่ พฤศจิกายน 22, 2012, 22:42:45
แสดงว่าหลังพ้นพันโลแล้ว จัดเต็ม เพื่อลองประสิทธิภาพเครื่องยนต์ได้เลยใช่มั้ยครับ
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: toonze ที่ พฤศจิกายน 22, 2012, 22:54:13
รันอิน จริงๆจำเป็นมากครับ เขาให้ขับอย่างระมัดระวัง ในช่วงแรก เพื่อเป็นการเช็คความเรียบร้อยของรถ ทุกระบบ ไม่ใช้เฉพาะเครื่อง

เป็นการให้คนขับปรับตัวให้เข้ากับรถด้วย
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: KAKASHII ที่ พฤศจิกายน 22, 2012, 22:56:54
ช่ายครับ run in เพื่อทดลองระบบต่างๆ ให้มันรู้สึกว่าใช้งานไม่มีปัญหา ให้แน่ชัดหลังจากนั้นก็แล้วแต่  ;D
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: joufo ที่ พฤศจิกายน 22, 2012, 22:59:57
ถ้าจำไม่ผิด ในคู่มือรถ แทบจะทุกยี่ห้อ จะมีบอกนะครับว่า
ควรจะต้องทำอย่างไรบ้าง เมื่อได้รับรถมาใหม่


ได้รับรถมา แนะนำให้อ่านคู่มือรถ ก่อนที่จะใช้งานรถครับ

คู่มือของบางค่าย ก็มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะคาดไม่ถึงด้วย

เช่นของมาสด้า (2) ในคู่มือ มีบอกด้วยครับว่า ทำไมสัญญาณวิทยุบางครั้งถึงรับได้ไม่ชัดเจน (อธิบายละเอียดและชัดเจนดีมาก)

คนใช้มาสด้า 2 หลายท่านเข้าใจผิดว่า กระจกด้านคนขับทำงานผิดปกติ
แต่ถ้าได้อ่านคู่มือ ในนั้นจะบอกไว้ชัดเจนว่า เพราะอะไรกระจกด้านคนขับถึงมีจังหวะการลงไม่เหมือนรถคันอื่นเค้า

ครับ
 ;D

ปล. อย่าเชื่อเซลมากครับ
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: boyce ที่ พฤศจิกายน 22, 2012, 23:01:39
เอาตามเอกสารดีกว่าไหมครับ
อ่านคู่มือรถ ว่าต้อง Run in ไหม ถ้าต้องทำ
ทำอย่างไร ที่ระยะเท่าไร

ส่วนตัวผม รอเปลี่ยน น้ำมันเครื่อง+กรอง+เช็คระยะครั้งแรก
ก่อน จึงจัดเต็ม...
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: boyce ที่ พฤศจิกายน 22, 2012, 23:03:26
ถ้าจำไม่ผิด ในคู่มือรถ แทบจะทุกยี่ห้อ จะมีบอกนะครับว่า
ควรจะต้องทำอย่างไรบ้าง เมื่อได้รับรถมาใหม่


ได้รับรถมา แนะนำให้อ่านคู่มือรถ ก่อนที่จะใช้งานรถครับ

คู่มือของบางค่าย ก็มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะคาดไม่ถึงด้วย

เช่นของมาสด้า (2) ในคู่มือ มีบอกด้วยครับว่า ทำไมสัญญาณวิทยุบางครั้งถึงรับได้ไม่ชัดเจน (อธิบายละเอียดและชัดเจนดีมาก)

คนใช้มาสด้า 2 หลายท่านเข้าใจผิดว่า กระจกด้านคนขับทำงานผิดปกติ
แต่ถ้าได้อ่านคู่มือ ในนั้นจะบอกไว้ชัดเจนว่า เพราะอะไรกระจกด้านคนขับถึงมีจังหวะการลงไม่เหมือนรถคันอื่นเค้า

ครับ
 ;D

ปล. อย่าเชื่อเซลมากครับ

เห็นด้วยครับ ตามนั้นน่าจะดี
(แต่ มาสด้า BT50-Pro คู่มือทำได้แย่มาก ๆ อ่านไม่รู้เรื่อง มีที่ผิดเยอะ...)
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ake210 ที่ พฤศจิกายน 22, 2012, 23:11:28
ในคู่มือรถจะบอกให้ต้องrun in แต่ไม่ต้องเปลี่ยนของเหลวที่1000โลครับ
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: gunz13096 ที่ พฤศจิกายน 22, 2012, 23:12:18
ตอนผมได้วีออสผมก็รันอินนะ แต่เซลล์บอกไม่ต้องรันอิน เหอะผมไม่เชื่อปากเซลล์หรอก! ตอนรันอินต้องขับช้าๆไม่เกิน80อยู่เลนซ้ายตลอด อึดอัดมาเกือบเดือนกว่า จนเช็คระยะ1,000โล หลังจากนั้น ขยี้กันยาวเลย ;D
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: aksrisawat ที่ พฤศจิกายน 22, 2012, 23:16:21
คำถามโลกแตกครับผมว่าคำถามนี้

บางคนบอกต้อง บางคนบอกไม่ต้อง

แล้วคนที่บอกต้อง ก็มี run in หลายวิธีอีก......


ส่วนตัวก็อยากรู้เหมือน จขกทครับ แต่ตอนนี้ส่วนตัวผมรู้สึกปรงกับการหาคำตอบของคำถามนี้

รอผู้รู้ท่านอื่นให้ความเห็นครับ
ช่ายครับคำถามโลกแตกจริงๆ ทุกวันนี้ก็ยังสงสัยอยู่ อยากรู้จริงๆ


หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: secrecyguy ที่ พฤศจิกายน 22, 2012, 23:18:47
ตามหลักวิศวกรรมการบำรุงรักษา แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้เเก่ burn in, ช่วงปกติ, ช่วงที่เครื่องจักรหมดอายุ

Run in หรือ burn in เป็นช่วงระยะเวลาที่มีโอกาสที่เครื่องจักรจะเกิดเสียหายมากกว่าปกติ เนื่องจากชิ้นส่วนของเครื่องจักรชิ้นต่างๆอาจจะยังไม่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม หรืออาจเกิดการตี กระเเทรก ขบ ของชิ้นส่วนต่างๆจนเเตกหักได้ ดังนั้นจึงเเนะนำให้เมื่อผ่านช่วง run in ควรถ่ายน้ำมันเครื่องออกมาเพื่อนำเศษโลหะที่เเตกออกจากเครื่องจักรครับ เศษโลหะเป็นจุดเริ่มของความเสียหายของเครื่องจักรครับ
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pongisra ที่ พฤศจิกายน 22, 2012, 23:25:10
ถ้าจำไม่ผิด ในคู่มือรถ แทบจะทุกยี่ห้อ จะมีบอกนะครับว่า
ควรจะต้องทำอย่างไรบ้าง เมื่อได้รับรถมาใหม่


ได้รับรถมา แนะนำให้อ่านคู่มือรถ ก่อนที่จะใช้งานรถครับ

คู่มือของบางค่าย ก็มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะคาดไม่ถึงด้วย

เช่นของมาสด้า (2) ในคู่มือ มีบอกด้วยครับว่า ทำไมสัญญาณวิทยุบางครั้งถึงรับได้ไม่ชัดเจน (อธิบายละเอียดและชัดเจนดีมาก)

คนใช้มาสด้า 2 หลายท่านเข้าใจผิดว่า กระจกด้านคนขับทำงานผิดปกติ
แต่ถ้าได้อ่านคู่มือ ในนั้นจะบอกไว้ชัดเจนว่า เพราะอะไรกระจกด้านคนขับถึงมีจังหวะการลงไม่เหมือนรถคันอื่นเค้า

ครับ
 ;D

ปล. อย่าเชื่อเซลมากครับ

หายสงใสแล้วเรื่องสวิชกระจก auto แปลกๆของ mazda 2 ว่ามีไว้ระบายอากาศนี่เอง

สงใสจนต้องไปหาคู่มือใน net มา ฮาๆๆๆๆ ตอนนี้เข้าใจแล้ว ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Entropy ที่ พฤศจิกายน 22, 2012, 23:37:15
คู่มือรถมีบอกว่าต้อง Run in ลองอ่านดู
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: -Anonymous- ที่ พฤศจิกายน 23, 2012, 00:53:48
ช่วงRun in สำหรับผมเป็นช่วงลองใช้งานทุกอย่างนะครับ ที่เราจะเผื่อใจหรือเตรียมตัวไว้ ดีกว่าไปเกิดในอนาคต ขับนี่ผมขับทุกความเร็วนะครับ แต่ไม่เค้นเครื่อง จะกดน้อยตลอด แต่ความเร็วจะขึ้นเอง รอบเครื่องจะแค่ไหนก็ปล่อย แต่กดน้อยมากๆตลอด จนกว่าจะพ้น1000โล พอใกล้ๆ1000โลก็เพิ่มความเร็ว160-180 หลังจากนั้นจะขับเท่าไหร่ก็ขับครับ
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: elite ที่ พฤศจิกายน 23, 2012, 01:23:59
ยกคำตอบของพี่จิมมี่มาให้นะครับ

อ้างถึง
ยืนยันว่า ยังจำเป็นครับผม

ผู้ผลิต จะสุ่มตรวจรถมาให้ ในบางคัน แต่ไม่ทุกคันที่ทำเช่นนั้น
http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,25453.0.html (http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,25453.0.html)
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: YenChar ที่ พฤศจิกายน 23, 2012, 07:14:14
ถ้ารู้อยู่แล้วว่าต้องทำ ทำเถอะครับ
เพื่อความสบายใจ

บางคนชอบถามว่า 1 พันโลแรก ต้องถ่ายน้ำมันเครื่องทิ้งมั้ย
บางคนทำ บางคนไม่ทำ ทำเพราะสบายใจก็ทำเถอะครับ
แต่ไม่ทำ รถมันก็วิ่งได้อยู่ (ผมไม่ทำ)
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: NineKlao ที่ พฤศจิกายน 23, 2012, 10:17:29
ดูจากในคู่มือครับ แต่บ้างครั้งก็ต้องปรับบ้าง เช่น 1,000 กม.แรก นี้ แบบว่า ขับไม่ถึงสัปดาห์มันก็เกินแล้ว

ผมเลยเอาทางสายกลาง 5,000 กม.  ;D ดูแล้วผมว่ากำลังดี เพราะได้ 1 เดือนพอดี

แต่ที่ตามคู่มือคือ ไม่ขับแช่ความเร็ว ไม่รอบสูงเกินที่กำหนด ไม่กระชากรถ และอื่นๆ ในช่วงแรกครับ ;)
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: NONT4477 ที่ พฤศจิกายน 23, 2012, 12:08:12
ผมทำอ่ะ
แฟนเพิ่งออก Vios ช่วงแรกออกรถใหม่มา เหม็นไหม้ เร่งอืด กินน้ำมัน10-11โลลิตร(ตกใจ กินพอกับAltis1.6)
ตอนนี้2,000โลละ มันลื่นขึ้นจริงแฟนก็บอกว่าความเร็วมันขึ้นไวกว่า ช่วงแรกจะหนืดนิดๆ กลิ่นเหม็นไหม้ไม่มีแล้ว
อัตราสิ้นเปลืองวิ่งเส้นทางประจำเลยนะได้ขึ้นมา 12โลลิตร
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Lhorn ที่ พฤศจิกายน 23, 2012, 13:18:59
ตามหลักวิศวกรรมการบำรุงรักษา แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้เเก่ burn in, ช่วงปกติ, ช่วงที่เครื่องจักรหมดอายุ

Run in หรือ burn in เป็นช่วงระยะเวลาที่มีโอกาสที่เครื่องจักรจะเกิดเสียหายมากกว่าปกติ เนื่องจากชิ้นส่วนของเครื่องจักรชิ้นต่างๆอาจจะยังไม่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม หรืออาจเกิดการตี กระเเทรก ขบ ของชิ้นส่วนต่างๆจนเเตกหักได้ ดังนั้นจึงเเนะนำให้เมื่อผ่านช่วง run in ควรถ่ายน้ำมันเครื่องออกมาเพื่อนำเศษโลหะที่เเตกออกจากเครื่องจักรครับ เศษโลหะเป็นจุดเริ่มของความเสียหายของเครื่องจักรครับ


อ้างอิงตามนี้ได้ครับ   มันเป็นช่วงการทำงานของเครื่องจักร หรืออุปกรณ์ทางกล ( ไม่อ้างอิงรวมอุปกรณ์ electronic นะครับ ใช้กันไม่ได้ )
ถ้าอุปกรณ์ Electronic นี่ ถ้าเสียแล้วเสียเลยครับ

(http://www.empf.org/empfasis/2010/Jan10/images/reliability_fig1.gif)


ในช่วงแรกจะเป็น early failure rate. ครับ เป็นช่วงที่มีการตัวของเครื่องจักร หรือเครื่องกล  อัตราการสึกหรอ จะค่อนข้างสูง และเป็นช่วง ที่มีการเสียหาย พอๆกันกับช่วง Ware out failure rate ครับ  แต่.. อัตรา Failure มันจะค่อยๆลดลงเรื่อยๆ จนเข้าสู่ช่วง Constant Failure ครับ


ทั้งนี้วิธีการดูง่ายๆว่า รถเราอยุ่ในช่วงใด   ก็อ้างอิงตาม ระยะประกันของตัวรถ หรือระยะทางครับ
ยกตัวอย่างเช่น   ประกัน3 ปี หรือ 100,000 Km.

ในระยะประกันนี้จะครอบครุมไป ระหว่าง Early Failure --->>  Constant Failure    โดยที่วิศวกรต้องทำการคำนวณอายุการใช้งานของตัวผลิตภัณฑ์ให้มีความเสถียร ( Reliability )   เพื่อที่จะให้ผลิตภัณฑ์หรือสินค้า มีอัตราการเสียหายน้อยที่สุด  ( ถ้าเสียหายมาก ต้นทุนก็จะสูงมากเช่นกัน )


แต่ในช่วงท้ายของอายุผลิตภัณฑ์ จะเรียกว่า Ware-Out failure rate. ครับ  ในช่วงนี้ ระยะจะมากหรือจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษารถยนต์ของแต่ละคน
ถ้าหากใครมีการ PM ที่ดี ช่วงระยะเวลา Constant Failure ก็จะยาวนานมากกว่าเดิม และ Slope ของ Ware-out Failure  มันก็จะไม่ชัน มันก็จะค่อยๆ Ware-out นั่นเอง   เราจึงเห็นว่า รถบางคันอายุการใช้งานเป็น 10 ปี นั่นเอง



สำหรับในเรื่องของการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ในช่วง Run-in นั้น จริงๆแล้ว  รถแต่ละคันอัตราการสึกหรอจะไม่เท่ากัน
Factor  มันไม่สามารถจะบอกได้ว่า เราควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ที่ระยะทางกี่ Km.
บางคน 1,000 Km.
บางคน 3,000 Km.
บางคน 5,000 Km.


ทั้งนี้ในเรื่องของการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องนั้น อาจจะดูจากระยะทางโดยตรงไม่ได้   ( ถ้าดูเป็น )
ต้องดูจากค่าของน้ำมันต่างๆ เช่น  สี , กลิ่น , สภาพความหนืด   ( ทดสอบจาก  Paper test โดยการหยดน้ำมันเครื่อง และ ดูจากกระดาษว่า มันหนืดไปหรือไม่)


แต่สำหรับประชาชนทั่วไป ที่สามารถดูแลรถคุณเองได้นั้น  ผมอยากจะให้ลองสังเกตุจากสีของน้ำมันเครื่องเป็นหลัก
ถ้าหากว่าสีน้ำมันเครื่องเปลี่ยนไป หรือ ในช่วง  run-in ครั้งแรก  อาจจะต้องเปลี่ยนกรอกน้ำมันเครื่องไปด้วย เพราะว่าโลหะหนัก ต่างๆจะอยู่ที่ตัวกรอกน้ำมันเครื่อง
ถ้าแค่ตัวเหล็กทดสอบปริมาณน้ำมัน  มันไม่สามารถบอกได้ว่า มันสกปรกขนาดไหนครับ

ด้านล่างเป็นภาพน้ำมันเครื่อง ใหม่ และ เก่า  ลองสังเกตุกันดูก็ได้ครับ

(http://www.sunandski.net/Service%20Tips/Service%20Pictures/Dirty%20oil1.jpg)
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: No Trespassing ที่ พฤศจิกายน 23, 2012, 13:34:12
รันอิน ไม่ใช่เฉพาะเครื่องนะครับ แต่หมายถึงทุกชี้นส่วน

ยาง - เบรค - ช่วงล่าง - โช้คอัพ รวมถึงระบบไฟฟ้าต่างๆ ก็ต้องการรันอินเหมือนกัน

ขนาดในคู่มือยังบอกเลยว่าในห้ามกระทำรุนแรงกับเบรคในระยะแรก เพราะผ้าเบรค + จานเบรคยังไม่เข้าที่นั้นเอง

--------------------------------------------

ช่วงแรกๆของการใช้งานก็เหมือนเป็นการนวดให้เข้าที่ พอได้ระยะเราก็สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพครับ
หัวข้อ: Re: รถยนต์สมัยนี้ยังต้อง Run in อยู่หรือไม่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Action ที่ พฤศจิกายน 23, 2012, 17:35:15
ช่างบอก 10,000 โลค่อยเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ผมขอครึ่งทาง 5,000 โลก็พอแล้วครับ ;D