Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Nut_K ที่ ธันวาคม 23, 2012, 22:27:39
-
ที่มา : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1356167530&grpid=02&catid=08&subcatid=0800 (http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1356167530&grpid=02&catid=08&subcatid=0800)
ค่ายรถอลหม่าน รับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ วงในชี้ "ปิกอัพ-ไฮบริด" อ่วม รถยนต์ไฮบริดเครื่องยนต์ 2,000 ซีซีขึ้นไป ภาษีเพิ่มขึ้นเท่าตัว หวั่น "โตโยต้า" ย้ายฐานซบมาเลย์ ภาษีจูงใจ 0% จับตาค่ายรถเร่งลงทุน พัฒนาเทคโนโลยี "มิตซูฯ" คาดต้นทุนเฉลี่ยเพิ่มไม่เกิน 10,000 บาท หลังปีใหม่ค่ายรถเข้าหารือขอความชัดเจนในรายละเอียดอีกรอบ
นางเพียงใจ แก้วสุวรรณ นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า ถือเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย โดยเฉพาะการกำหนดค่ามาตรฐานการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 และเงื่อนไขระยะเวลาที่ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งแน่นอนว่าบางค่ายรถอาจได้รับผลกระทบหรือสูญเสียผลประโยชน์มาก โดยเฉพาะค่ายรถปิกอัพที่เพิ่งเปิดตัวรุ่นใหม่ ๆ ออกสู่ตลาด หรือที่มีแผนจะเปิดตัวภายใน 1-2 ปีนี้ เนื่องจากอายุของรถปิกอัพมีช่วงเวลาค่อนข้างยาว 8-9 ปี เพราะหมายความว่าค่ายรถปิกอัพที่เพิ่งเปิดตัวรุ่นใหม่จะมีโอกาสทำตลาดได้เพียง 2-3 ปี ก็ต้องลงทุนเพิ่มเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อให้ได้มาตรฐาน CO2 สอดคล้องกับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่
"อย่างไรก็ตาม ภาครัฐก่อนที่จะเอาตัวเลขเหล่านี้มาได้มีการศึกษามาอย่างดี โดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาโซลูชั่นที่ใกล้เคียงกับโจทย์ของประเทศไทย และเชื่อว่าทุก ๆ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รู้เรื่องดังกล่าวมาก่อน อีกทั้งยังมีเวลาเตรียมตัวมาล่วงหน้าพอสมควร" นางเพียงใจกล่าว
ค่ายปิกอัพกระทบหนัก
แหล่งข่าวจากอุตสาหกรรมยานยนต์วิเคราะห์ว่า จากข้อมูลเบื้องต้นเชื่อว่ากลุ่มผู้ผลิตรถปิกอัพจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก โดยจะเห็นว่ารถปิกอัพโดยเฉพาะในส่วนของรถตอนครึ่ง หรือสเปซแค็บ มีการปรับขึ้นภาษีค่อนข้างสูง คือจาก 3% ขยับมาเป็น 5% หากสามารถจำกัดการปล่อย CO2 ได้ต่ำกว่า 200 กรัมต่อกิโลเมตร แต่หาก CO2 เกินกว่า 200 กรัมต่อกิโลเมตร ก็จะถูกจัดเก็บภาษีในอัตรา 7%
ขณะที่รถปิกอัพดัดแปลงหรือพีพีวี ที่เครื่องยนต์น้อยกว่า 2,250 ซีซี เดิมเสียภาษีที่ 20% แต่ภาษีใหม่ หากปล่อย CO2 ได้ต่ำกว่า 200 กรัมต่อกิโลเมตร ก็จะเสียภาษี 25% และหากขนาดเครื่องยนต์เกิน 3,250 ซีซี ภาษีจะขยับไปที่ 50% ส่วนปิกอัพ 4 ประตู หรือดับเบิลแค็บ ที่เครื่องต่ำกว่า 3,250 ซีซี ปล่อย CO2 ต่ำกว่า 200 กรัมต่อกิโลเมตร เสียภาษีเท่าเดิมที่ 12% แต่หาก CO2 เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จะต้องเสียภาษีที่ 15%
ทั้งนี้จะเห็นว่ารถปิกอัพขนาด 1 ตันนั้นมีการปรับโครงสร้างภาษีที่ค่อนข้างชัดเจน ทำให้ค่ายรถยนต์ที่มีรถประเภทนี้ ทั้งโตโยต้า, อีซูซุ, นิสสัน, มิตซูบิชิ, มาสด้า, เชฟโรเลต, ทาทา ฯลฯ จะต้องมีการปรับตัวและพัฒนาสินค้าเพื่อลดการปล่อย CO2 โดยเฉพาะค่ายอีซูซูที่มีสินค้าเฉพาะรถปิกอัพ และรถพีพีวี จึงต้องมีการปรับตัวค่อนข้างมาก
ไฮบริดเกิน 2,000 ซีซี เพิ่มเท่าตัว
นอกจากนี้ในส่วนของรถยนต์ไฮบริดถือเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างชัดเจน เพราะเดิมเสียภาษีในอัตรา 10% หากพิจารณาจากโครงสร้างใหม่จะเห็นว่า รถไฮบริดที่มีเครื่องต่ำกว่า 2,000 ซีซี และปล่อย CO2 ต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร ยังคงเสียภาษีในอัตราเท่าเดิมคือ 10% แต่ในส่วนของเครื่องยนต์ขนาด 2,001-2,500 ซีซี ปล่อย CO2 ระหว่าง 101-150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บในอัตรา 20% เครื่องยนต์ขนาด 2,501-3,000 ซีซี ปล่อย CO2 ที่ 151-200 กรัมต่อกิโลเมตร เสียภาษีที่ 25% และหากปล่อย CO2 เกินกว่า 200 กรัมต่อกิโลเมตร ต้องเสียภาษีที่ 30%
แหล่งข่าวกล่าวว่า หากพิจารณาโดยละเอียดจะเห็นว่า อัตราภาษีสรรพสามิตของรถไฮบริดถูกปรับขึ้นทั้งกระดาน ซึ่งค่ายรถยนต์ที่ดูจะได้รับผลกระทบหนักคือค่ายโตโยต้า ที่ได้เปิดตัวรถยนต์ไฮบริดออกสู่ตลาดประเทศไทย เมื่อประมาณ 3 ปีก่อนหน้านี้ กับโตโยต้า คัมรี่ ไฮบริด และตามมาด้วยโตโยต้า พริอุส ซึ่งทั้ง 2 รุ่นได้ขึ้นไลน์ผลิตที่โรงงานเกตเวย์ ฉะเชิงเทรา และโตโยต้ายังมีแผนที่จะแนะนำรถรุ่นใหม่ ๆ ที่ใช้เครื่องยนต์ไฮบริด สำหรับตลาดในประเทศไทยและภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง
ส่วนค่ายฮอนด้าที่เพิ่งมีการเปิดตัว ฮอนด้า แจ๊ซ ไฮบริด เครื่องยนต์ 1,300 ซีซี นั้นไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องเป็นเครื่องยนต์ขนาดเล็ก ทำให้การเสียภาษียังอยู่ในเกณฑ์เท่าเดิมที่ 10% หากปล่อย CO2 ต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร
"ในกรณีรถไฮบริดจะเห็นว่าโตโยต้าได้รับผลกระทบหนักที่สุด หลังจากเมื่อ 3 ปีก่อน รัฐบาลจูงใจให้ค่ายรถนำเครื่องยนต์ไฮบริดมาทำตลาด และโตโยต้าก็สนองนโยบาย มีการเปิดตัวรถและขึ้นไลน์ผลิตในประเทศไทย แต่จากโครงสร้างภาษีใหม่ถือว่ากระเทือนกับไฮบริดโดยตรง เราคงต้องจับตาว่าโตโยต้าจะทำอย่างไร เพราะในต่างประเทศอย่างญี่ปุ่น รัฐบาลจูงใจและสนับสนุนรถไฮบริดเป็นเวลาถึง 10 ปี หรืออย่างมาเลเซียก็สนับสนุนภาษีรถไฮบริด 0% ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าโตโยต้าอาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปมาเลเซียแทน" แหล่งข่าวกล่าว
อีโคคาร์ ภาษีลดลงอีก 3%
แหล่งข่าวกล่าวว่า ในส่วนของ "อีโคคาร์" ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากรัฐบาล การปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้ กลุ่มอีโคคาร์ถือว่าได้รับประโยชน์หรือมีแรงจูงใจค่อนข้างสูง คือเดิมเสียที่ 17% แต่หากปล่อย CO2 ได้ต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษีที่ 14% และหากพัฒนาให้รองรับการใช้น้ำมันอี 85 ได้จะลดลงเหลือ 12% และหากปล่อย CO2 ที่ระดับ 101-120 กรัมต่อกิโลเมตร ก็จะเสียภาษีในอัตราเท่าเดิมคือ 17%
โดยปัจจุบันมีค่ายรถยนต์เพียง 5 ค่ายเท่านั้นที่ได้รับการส่งเสริมอีโคคาร์ คือ นิสสัน, ฮอนด้า, ซูซูกิ, มิตซูบิชิ และโตโยต้า ทำให้เกิดคำถามว่าเมื่อโครงสร้างภาษีใหม่มีผลบังคับใช้แล้ว ภาครัฐจะเปิดโอกาสให้ค่ายรถอื่น ๆ นอกเหนือจาก 5 ค่ายเข้ารับสิทธิประโยชน์ในกลุ่มรถประเภทนี้เพิ่มเติมหรือไม่ หากค่ายอื่น ๆ สามารถพัฒนารถได้ตามเงื่อนไข
มิตซูฯขานรับเร่งลงทุนลด CO2
นายโนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การเปลี่ยนโครงสร้างภาษีตาม CO2 ถือเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะทั่วโลกก็ใช้แบบนี้ และแฟร์กับสิ่งแวดล้อม แม้จะไม่ได้เอาขนาดของเครื่องยนต์เป็นที่ตั้ง แต่การที่เครื่องยนต์จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อย ก็ย่อมหมายถึงการใช้เชื้อเพลิงที่น้อย
สำหรับโครงสร้างภาษีใหม่ที่ให้การสนับสนุนรถกลุ่มอีโคคาร์เป็นสิ่งที่เหมาะสม เพราะวัตถุประสงค์ในการทำโครงการนี้ นอกจากจะเป็นรถเพื่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นรถที่ประชาชนหาซื้อได้ง่าย และพอเหมาะกับความจำเป็น ไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือย รถยนต์ไม่จำเป็นต้องขนาดใหญ่ จึงไม่มีการปรับขึ้นภาษี บวกกับโครงสร้างภาษีที่สนับสนุนทั้งเอทานอล ซีเอ็นจี ถือว่ารัฐบาลจริงใจในการใช้พลังงานทดแทน มิตซูบิชิเห็นด้วยกับนโยบายที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจของประเทศไทย
ส่วนการกำหนดค่า CO2 ในกลุ่มรถปิกอัพ โดยถือเกณฑ์ที่ 200 กรัมต่อกิโลเมตรเป็นหลักนั้น เหมาะสมและท้าทาย ซึ่งปัจจุบันมิตซูบิชิอาจยังไม่เข้าเกณฑ์และต้องพัฒนาจุดนี้ ส่วนการปรับภาษีในกลุ่มรถยนต์นั่งขึ้นนั้น เชื่อว่ารัฐบาลอาจต้องการแหล่งที่มาของรายได้เพื่อชดเชยจากการสนับสนุนรถอีโคคาร์และพลังงานทางเลือก และท้ายที่สุด มิตซูบิชิและค่ายรถยนต์ต้องยอมรับในเงื่อนไข สำหรับระยะเวลา 3 ปีนั้นถือว่าเพียงพอ
"การปรับทั้งระบบก็ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับและเข้าใจได้ ส่วนรถไฟฟ้าและรถปลั๊กอินไฮบริด มองว่าต้นทุนการผลิตค่อนสูง แต่รัฐบาลเก็บภาษีที่ 10% ก็ถือว่ายอมรับได้ในเบื้องต้น และที่สุดลูกค้าคือผู้ได้รับประโยชน์สูงสุด"
ขณะที่โครงสร้างภาษีรถปิกอัพถือว่าดีและน่าพอใจ และมิตซูบิชิอยู่ระหว่างศึกษาแนวทางว่าจะเลือกใช้วิธีใด จากที่ประเมินเบื้องต้น การลงทุนพัฒนาเครื่องยนต์เพื่อให้ได้มาตรฐาน CO2 มีต้นทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 2% หรือเฉลี่ยไม่เกิน 10,000 บาทต่อคัน
หนุนลูกค้าเลือกซื้อรถต้องดู CO2
นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากประกาศโครงสร้างภาษีใหม่ โดยใช้มาตรฐาน CO2 เป็นตัววัดนั้นถือเป็นทิศทางที่ถูกต้อง และเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมความรับผิดชอบของผู้ผลิตรถยนต์ รวมทั้งผู้ใช้รถต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกันกับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มรถปิกอัพที่ถือเป็นรถที่ปล่อย CO2 ค่อนข้างมาก และถือเป็นความท้าทายของผู้ผลิตรถยนต์ที่จะพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมออกสู่ตลาด และเชื่อว่าอนาคตลูกค้าก็จะได้ใช้รถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและราคาถูกลง และมาสด้าเชื่อว่าจะทำให้เกิดการแข่งขันที่เสรี
"จากนี้เราน่าจะได้เห็นค่ายรถแข่งกันพัฒนารถเพื่อให้ได้ตามข้อกำหนดค่า CO2 และเชื่อว่าไม่กระเทือนต่อราคาจำหน่าย เพราะท้ายที่สุดค่ายไหนทำไม่ได้ ก็ต้องขึ้นราคาขายตามโครงสร้างภาษีที่สูง ซึ่งก็จะส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน และลูกค้าก็จะปรับพฤติกรรมจากเดิมที่ซื้อรถโดยการเปรียบเทียบออปชั่นกับราคา แต่อนาคตจะมีเรื่องของ CO2 เข้ามามีส่วนในการตัดสินใจซื้อด้วย"
สำหรับมาสด้าเองก็ต้องพิจารณาในเรื่องของค่า CO2 และหากจำเป็นจะต้องปรับขึ้นราคาก็คงจะต้องขึ้นให้น้อยที่สุด เพื่อให้ผลกระทบไปถึงผู้บริโภคน้อยที่สุด
อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้ในส่วนของโปรดักต์แชมเปี้ยนของประเทศไทย ในส่วนรถปิกอัพขนาด 1 ตัน และรถอีโคคาร์ จะเห็นว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนที่สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง โดยรถปิกอัพมีการปรับขึ้นเกือบทั้งแผง ส่วนรถอีโคคาร์ให้แรงจูงใจค่อนข้างสูง สำหรับมาสด้าแม้จะไม่ได้เข้าร่วมโครงการอีโคคาร์ แต่หากพัฒนารถมาสด้า 2 ได้เท่าเกณฑ์อีโคคาร์ หรือต่ำกว่ารัฐบาล จะมีสิทธิประโยชน์อย่างไร
หวั่นนโยบายรัฐเปลี่ยนบ่อย
อย่างไรก็ตามมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงนโยบายการปรับโครงสร้างภาษีของรัฐบาลว่า เนื่องจากที่ผ่านมา 3 ปี รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมรถยนต์พลังงานทดแทน ทั้งไฮบริด อี 85 ซีเอ็นจี เมื่อภาคเอกชนมีการลงทุนพัฒนา แต่โครงสร้างภาษีใหม่ที่ออกมาก็มีการปรับขึ้นภาษี ทำให้กระทบกับแผนการลงทุนของค่ายรถ ทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่านโยบายดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกหรือไม่
นอกจากนี้แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมยานยนต์กล่าวเพิ่มเติมว่า จากมติ ครม.ยังมีบางประเด็นที่ยังเป็นข้อถกเถียงและไม่มีความชัดเจน อาทิ การกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย (Active Safety) สำหรับรถยนต์นั่ง ขณะนี้ยังไม่มีข้อกำหนดที่ชัดเจน คาดว่าสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม หรือ สศอ. จะเป็นผู้กำหนด คาดว่าหลังปีใหม่กลุ่มผู้ผลิตจะมีการรวมตัวกันเพื่อขอรับฟังความชัดเจนจากภาครัฐอีกครั้ง
-
ขาใหญ่แห่งวงการมีแววที่จะขยับแล้ว รอดูต่อไปว่านโยบายปรับอัตราภาษีสรรพสามิตใหม่จะยังมีเหมือนเดิมอีกหรือเปล่า
-
ย้ายเถอะโครงสร้างภาษีบ้าบอห่าเหวอะไร ปัจจุบันว่าแพงแล้ว อนาคตแม้งจะแพงกว่าอีก
-
จริงค่ามลพิษ ค่าสิ้นเปลืองห่าเหวอะไร เหมือนเดิมชัดๆ ถ้าเอาค่านั่นมาวัดจริงรถต้องราคาถูกลง แต่นี้แพงขึ้น เชียร์โต ;D ;D ;D
-
ถ้าได้ดูรายการที่คุยจิมมี่ไปออก ของเนชั่น เค้าพูดชัดถ้อยชัดคำแล้วนะ ว่าปัจจุบันคิดภาษีที่ซีซี กับแรงม้า แต่ต่อไปจะขึ้นอยู่กับการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ
ผมงงว่า ทำไมยังบอกว่าเครื่อง 1400 ต้องเสียภาษีเท่านั้น
เครื่อง 1600 ต้องเสียภาษีเท่านี้
ทำไมมันยังเอาซีซีมาคิด ?
ทีหลังประกาศออกทีวีทุกช่องพร้อมกันไปเลยว่า รัฐสูญเสียรายได้เพราะได้คืนภาษีให้กับประชาชนที่ซื้อรถคันแรก ตอนนี้มีผู้ใช้สิทธิ์เป็นล้านคนแล้ว เราเลยต้องหาทางเอาคืน เลยเก็บภาษีเพิ่ม
บอกตรงๆไปเลยครับ แมนๆหน่อย อย่างนี้เข้าใจง่าย ไม่ต้องมาทำเป็นอ้างรักษ์โลก
-
หนุนลูกค้าเลือกซื้อรถต้องดู CO2
ผมยังไม่รวยพอที่จะมองตรงนั้นเป็นอันดับแรก ถ้าซื้อรถผมมองที่ราคามาก่อน ดังนั้นถ้ารัฐต้องการลดมลพิษจริงๆต้องออกกฎมาบังคับผู้ผลิตอย่างนี้ถูกต้องแล้วครับ ส่วนอัตราภาษีที่เพิ่มส่วนตัวผมว่าเยอะไปหน่อยสุดท้ายภาระตกอยู่ที่ผู้บริโภคอยู่ดีถ้าไม่ราคาแพงขึ้นมากก็ลดต้นทุนในจุดอื่น
-
ถ้าได้ดูรายการที่คุยจิมมี่ไปออก ของเนชั่น เค้าพูดชัดถ้อยชัดคำแล้วนะ ว่าปัจจุบันคิดภาษีที่ซีซี กับแรงม้า แต่ต่อไปจะขึ้นอยู่กับการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ
ผมงงว่า ทำไมยังบอกว่าเครื่อง 1400 ต้องเสียภาษีเท่านั้น
เครื่อง 1600 ต้องเสียภาษีเท่านี้
ทำไมมันยังเอาซีซีมาคิด ?
ทีหลังประกาศออกทีวีทุกช่องพร้อมกันไปเลยว่า รัฐสูญเสียรายได้เพราะได้คืนภาษีให้กับประชาชนที่ซื้อรถคันแรก ตอนนี้มีผู้ใช้สิทธิ์เป็นล้านคนแล้ว เราเลยต้องหาทางเอาคืน เลยเก็บภาษีเพิ่ม
บอกตรงๆไปเลยครับ แมนๆหน่อย อย่างนี้เข้าใจง่าย ไม่ต้องมาทำเป็นอ้างรักษ์โลก
+ 1 ครับ
เอาค่า CO2 มาเป็นตัววัดแล้วทำไมยังเอา CC มาคิดภาษีอีก ผมว่างานนี้พี่ใหญ่ 2 ค่ายไม่ชอบแน่
-
แล้วทำไมไม่สนับสนุนรถไฮบริด+ไฟฟ้าหละเนี่ย :'(
-
ก็ดีนะ สิ่งแวดล้อมจะได้ดีขึ้น ถ้าพี่โตจะทำ ไฮบริดส์ ก็เอาเครื่องตำกว่า2000 ซีซี มาเล่นซะเลยซิ ยังไงยี่ห้อ โตโยตาก็ขายได้อยู่แล้ว ขนาดยังไม่เห็นยังจองกันได้เลย
อีกหหน่อย รถคงเติมe 85 คงมีมากขึ้น คงเหมาะกับประเทศเกษรกรรมอย่างไทย (เอ หรือไทยไม่ใช่ประเทศเกษตรกรรมละนะ)
-
เรื่องของเรื่องคือ ทำดีที่สุดคือเสียภาษีเท่าเดิม แต่ถ้าทำไม่ได้คือเสียเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าเค้าจะเก็บภาษีเพิ่ม โดยเอาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาอ้าง
-
ที่สำคัญคือ ทำไมต้องเอา CC มาเป็นประเด็นจัดเก็บเหมือนเดิม สรรพสามิตรมันโง่เง่าขนาดไม่รู้ว่ารถ CC เยอะประหยัดกว่ารถ CC น้อยก็เยอะไป
แต่ก็อย่าให้พูดองค์กรของรัฐ หมาม่ายแหลกแบบไหนก็แบบนั้นแหละคือคิดไม่ได้ ประเทศนี้ไม่เหมาะกับระบบราชการแบบนี้เลยให้ตายเถอะ
-
ถ้าได้ดูรายการที่คุยจิมมี่ไปออก ของเนชั่น เค้าพูดชัดถ้อยชัดคำแล้วนะ ว่าปัจจุบันคิดภาษีที่ซีซี กับแรงม้า แต่ต่อไปจะขึ้นอยู่กับการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ
ผมงงว่า ทำไมยังบอกว่าเครื่อง 1400 ต้องเสียภาษีเท่านั้น
เครื่อง 1600 ต้องเสียภาษีเท่านี้
ทำไมมันยังเอาซีซีมาคิด ?
ทีหลังประกาศออกทีวีทุกช่องพร้อมกันไปเลยว่า รัฐสูญเสียรายได้เพราะได้คืนภาษีให้กับประชาชนที่ซื้อรถคันแรก ตอนนี้มีผู้ใช้สิทธิ์เป็นล้านคนแล้ว เราเลยต้องหาทางเอาคืน เลยเก็บภาษีเพิ่ม
บอกตรงๆไปเลยครับ แมนๆหน่อย อย่างนี้เข้าใจง่าย ไม่ต้องมาทำเป็นอ้างรักษ์โลก
+ 1 ครับ
เอาค่า CO2 มาเป็นตัววัดแล้วทำไมยังเอา CC มาคิดภาษีอีก ผมว่างานนี้พี่ใหญ่ 2 ค่ายไม่ชอบแน่
เค้าไม่ได้เอาซีซีมาคิดคับ เค้าเอาภาษีในอีก 3 ปีข้างหน้า มาครอบกับรถที่่มีขายในปัจจุบันน่ะครับ มันเลยออกมาเป็นแบบนี้ อีก 3 ปีข้างหน้า เราคงได้เห็นซีวิคเครื่อง 1500 ติดเทอร์โบ ก็ได้
-
จริงๆ ไฮบริดควรจะเป็น 10% ตามเดิมนะ เหอๆ แต่ถ้า CO2 เกิน 150 ก็เก็บเพิ่มเป็น 15% ง่ายๆ จบ ไม่ต้องมาอะไรมากมาย :P
ไม่เห็นจะต้องมา 3000 CC อะไรเล้ย :P แถมยังเป็นการเร่งให้บริษัทพัฒนาได้นิดหน่อยด้วย
CO2 100 มันเกินไปหน่อยมั้งครับ ตอนนี้แทบไม่มีรถคันไหนที่ต่ำกว่า 100 เลย อีก 3 ปีผมก็ว่ายาก อย่างมากก็ CO2 120/KM
เยอะแยะไปครับ
ไฮบริดน่าจะได้หมดแล้วหละ
ขนาด a class a180 CDI ยัง 98g/km เอง
-
ถ้าได้ดูรายการที่คุยจิมมี่ไปออก ของเนชั่น เค้าพูดชัดถ้อยชัดคำแล้วนะ ว่าปัจจุบันคิดภาษีที่ซีซี กับแรงม้า แต่ต่อไปจะขึ้นอยู่กับการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ
ผมงงว่า ทำไมยังบอกว่าเครื่อง 1400 ต้องเสียภาษีเท่านั้น
เครื่อง 1600 ต้องเสียภาษีเท่านี้
ทำไมมันยังเอาซีซีมาคิด ?
ทีหลังประกาศออกทีวีทุกช่องพร้อมกันไปเลยว่า รัฐสูญเสียรายได้เพราะได้คืนภาษีให้กับประชาชนที่ซื้อรถคันแรก ตอนนี้มีผู้ใช้สิทธิ์เป็นล้านคนแล้ว เราเลยต้องหาทางเอาคืน เลยเก็บภาษีเพิ่ม
บอกตรงๆไปเลยครับ แมนๆหน่อย อย่างนี้เข้าใจง่าย ไม่ต้องมาทำเป็นอ้างรักษ์โลก
+ 1 ครับ
เอาค่า CO2 มาเป็นตัววัดแล้วทำไมยังเอา CC มาคิดภาษีอีก ผมว่างานนี้พี่ใหญ่ 2 ค่ายไม่ชอบแน่
เค้าไม่ได้เอาซีซีมาคิดคับ เค้าเอาภาษีในอีก 3 ปีข้างหน้า มาครอบกับรถที่่มีขายในปัจจุบันน่ะครับ มันเลยออกมาเป็นแบบนี้ อีก 3 ปีข้างหน้า เราคงได้เห็นซีวิคเครื่อง 1500 ติดเทอร์โบ ก็ได้
สรุปแล้วยังงงๆ ครับ
ทำไมเขาเอาการปล่อย CO2 มาครอบกับ segment/cc ได้ละครับ หรือเป็นแค่ค่าประมาณ?
-
ถ้าได้ดูรายการที่คุยจิมมี่ไปออก ของเนชั่น เค้าพูดชัดถ้อยชัดคำแล้วนะ ว่าปัจจุบันคิดภาษีที่ซีซี กับแรงม้า แต่ต่อไปจะขึ้นอยู่กับการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ
ผมงงว่า ทำไมยังบอกว่าเครื่อง 1400 ต้องเสียภาษีเท่านั้น
เครื่อง 1600 ต้องเสียภาษีเท่านี้
ทำไมมันยังเอาซีซีมาคิด ?
ทีหลังประกาศออกทีวีทุกช่องพร้อมกันไปเลยว่า รัฐสูญเสียรายได้เพราะได้คืนภาษีให้กับประชาชนที่ซื้อรถคันแรก ตอนนี้มีผู้ใช้สิทธิ์เป็นล้านคนแล้ว เราเลยต้องหาทางเอาคืน เลยเก็บภาษีเพิ่ม
บอกตรงๆไปเลยครับ แมนๆหน่อย อย่างนี้เข้าใจง่าย ไม่ต้องมาทำเป็นอ้างรักษ์โลก
+ 1 ครับ
เอาค่า CO2 มาเป็นตัววัดแล้วทำไมยังเอา CC มาคิดภาษีอีก ผมว่างานนี้พี่ใหญ่ 2 ค่ายไม่ชอบแน่
เค้าไม่ได้เอาซีซีมาคิดคับ เค้าเอาภาษีในอีก 3 ปีข้างหน้า มาครอบกับรถที่่มีขายในปัจจุบันน่ะครับ มันเลยออกมาเป็นแบบนี้ อีก 3 ปีข้างหน้า เราคงได้เห็นซีวิคเครื่อง 1500 ติดเทอร์โบ ก็ได้
ถ้าให้พูดจริงๆถ้าผมเป็นเจ้าของบริษัทรถ ผมจะคิดว่าทำไมต้องแคร์ประเทศไทย ทำไมต้องผลิตเครื่องใหม่ให้มาขายในไทย ผมว่ามันไม่ใช่เรื่อง ประเทศไทยควรทำตามเทรนด์โลก ไม่ใช่ให้โลกมาทำตามประเทศนี้ ประเทศไทยก็แค่ฐานผลิตส่งออกไม่ใช่ประเทศอย่างจีนหรือ USA ที่ต้องผลิตป้อนเข้าไป แบบนั้นสิถึงจะแคร์ประเทศเค้าว่าเค้าต้องการอะไร แต่นี้จะให้ไทยเป็นที่ตั้ง แล้วให้บริษัทรถทำเพื่อประเทศๆเดียวที่หาหลักยึดอะไรไม่ได้
ประเทศนี้ควรเอาประเทศอื่นมาเป็นแบบไม่ใช่เป็นแบบซะเองโดยที่ตัวแบบนั้นไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
-
ถ้าจะคิดภาษี ตามปริมาณการปล่อยก๊าซ ตั้งตารางมาเลย
ถ้าปล่อยก๊าซ ต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร เสียภาษีเท่านี้
ถ้ามากกว่า 100 กรัมแต่ไม่ถึง 150 กรัม เสียภาษีเท่านี้
ถ้าเกิน 200 กรัม แต่ไม่ถึง 250 กรัม เสียภาษีเท่านี้
ถ้าเกิน 250 กรัม แต่ไม่เกิน 300 กรัมเสียภาษีเท่านี้
300-400 กรัมเสียภาษีเท่านี้
โดยไม่คำนึงว่า มันจะเป็นกี่ที่นั่ง จะมีกี่ซีซี ช่างมัน ก็มาบอกเองนิ ว่าคิดตามปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์
มันควรจะมาในรูปนี้ หรืออะไรที่คล้ายๆแบบนี้ไม่ใช่หรอ ?
บางรุ่นซีซี เท่ากัน แต่ปล่อยก๊าซ ไม่เท่ากัน มันมีมั้ย ?
-
ถ้าจะคิดภาษี ตามปริมาณการปล่อยก๊าซ ตั้งตารางมาเลย
ถ้าปล่อยก๊าซ ต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร เสียภาษีเท่านี้
ถ้ามากกว่า 100 กรัมแต่ไม่ถึง 150 กรัม เสียภาษีเท่านี้
ถ้าเกิน 200 กรัม แต่ไม่ถึง 250 กรัม เสียภาษีเท่านี้
ถ้าเกิน 250 กรัม แต่ไม่เกิน 300 กรัมเสียภาษีเท่านี้
300-400 กรัมเสียภาษีเท่านี้
โดยไม่คำนึงว่า มันจะเป็นกี่ที่นั่ง จะมีกี่ซีซี ช่างมัน ก็มาบอกเองนิ ว่าคิดตามปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์
มันควรจะมาในรูปนี้ หรืออะไรที่คล้ายๆแบบนี้ไม่ใช่หรอ ?
บางรุ่นซีซี เท่ากัน แต่ปล่อยก๊าซ ไม่เท่ากัน มันมีมั้ย ?
+1 แต่ก็คงต้องยกเว้นภาษีให้กับพวกกระบะหละนะไม่งั้นเกิดจราจลแน่ :D
-
ถ้าได้ดูรายการที่คุยจิมมี่ไปออก ของเนชั่น เค้าพูดชัดถ้อยชัดคำแล้วนะ ว่าปัจจุบันคิดภาษีที่ซีซี กับแรงม้า แต่ต่อไปจะขึ้นอยู่กับการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ
ผมงงว่า ทำไมยังบอกว่าเครื่อง 1400 ต้องเสียภาษีเท่านั้น
เครื่อง 1600 ต้องเสียภาษีเท่านี้
ทำไมมันยังเอาซีซีมาคิด ?
ทีหลังประกาศออกทีวีทุกช่องพร้อมกันไปเลยว่า รัฐสูญเสียรายได้เพราะได้คืนภาษีให้กับประชาชนที่ซื้อรถคันแรก ตอนนี้มีผู้ใช้สิทธิ์เป็นล้านคนแล้ว เราเลยต้องหาทางเอาคืน เลยเก็บภาษีเพิ่ม
บอกตรงๆไปเลยครับ แมนๆหน่อย อย่างนี้เข้าใจง่าย ไม่ต้องมาทำเป็นอ้างรักษ์โลก
+ 1 ครับ
เอาค่า CO2 มาเป็นตัววัดแล้วทำไมยังเอา CC มาคิดภาษีอีก ผมว่างานนี้พี่ใหญ่ 2 ค่ายไม่ชอบแน่
เค้าไม่ได้เอาซีซีมาคิดคับ เค้าเอาภาษีในอีก 3 ปีข้างหน้า มาครอบกับรถที่่มีขายในปัจจุบันน่ะครับ มันเลยออกมาเป็นแบบนี้ อีก 3 ปีข้างหน้า เราคงได้เห็นซีวิคเครื่อง 1500 ติดเทอร์โบ ก็ได้
ถ้าให้พูดจริงๆถ้าผมเป็นเจ้าของบริษัทรถ ผมจะคิดว่าทำไมต้องแคร์ประเทศไทย ทำไมต้องผลิตเครื่องใหม่ให้มาขายในไทย ผมว่ามันไม่ใช่เรื่อง ประเทศไทยควรทำตามเทรนด์โลก ไม่ใช่ให้โลกมาทำตามประเทศนี้ ประเทศไทยก็แค่ฐานผลิตส่งออกไม่ใช่ประเทศอย่างจีนหรือ USA ที่ต้องผลิตป้อนเข้าไป แบบนั้นสิถึงจะแคร์ประเทศเค้าว่าเค้าต้องการอะไร แต่นี้จะให้ไทยเป็นที่ตั้ง แล้วให้บริษัทรถทำเพื่อประเทศๆเดียวที่หาหลักยึดอะไรไม่ได้
ประเทศนี้ควรเอาประเทศอื่นมาเป็นแบบไม่ใช่เป็นแบบซะเองโดยที่ตัวแบบนั้นไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
เห็นด้วยครับ ยอดขายรถ C & D Segment + SUV ในไทยปีนึงยังได้แค่ยอดขายที่ USA หรือที่จีนแค่เดือนเดียวเอง เพราะฉะนั้นเรื่องปากเสียงยังไงบริษัทรถก็มองข้าไมอยู่ดี
สู้พัฒนารถสมรรถนะสูงๆ เครื่องยนต์ความจุเดิมไว้เจาะตลาดในประเทศใหญ่ๆดีกว่า
-
ถ้าจะคิดภาษี ตามปริมาณการปล่อยก๊าซ ตั้งตารางมาเลย
ถ้าปล่อยก๊าซ ต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร เสียภาษีเท่านี้
ถ้ามากกว่า 100 กรัมแต่ไม่ถึง 150 กรัม เสียภาษีเท่านี้
ถ้าเกิน 200 กรัม แต่ไม่ถึง 250 กรัม เสียภาษีเท่านี้
ถ้าเกิน 250 กรัม แต่ไม่เกิน 300 กรัมเสียภาษีเท่านี้
300-400 กรัมเสียภาษีเท่านี้
โดยไม่คำนึงว่า มันจะเป็นกี่ที่นั่ง จะมีกี่ซีซี ช่างมัน ก็มาบอกเองนิ ว่าคิดตามปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์
มันควรจะมาในรูปนี้ หรืออะไรที่คล้ายๆแบบนี้ไม่ใช่หรอ ?
บางรุ่นซีซี เท่ากัน แต่ปล่อยก๊าซ ไม่เท่ากัน มันมีมั้ย ?
ดีใจจังที่มีคนคิดเหมือนผมด้วย
ถ้า Hybrid ใช้ขนาดเครื่องยนต์มาเป็นเกณฑ์ด้วย งานนี้ Honda Accord Hybrid ยิ้มเลย เพราะเครื่องยนต์แค่ 2.0 ลิตรเองในขณะที่ Toyota Camry Hybrid เครื่องใหญ่กว่าที่ 2.5 ลิตร
-
ถ้าจะคิดภาษี ตามปริมาณการปล่อยก๊าซ ตั้งตารางมาเลย
ถ้าปล่อยก๊าซ ต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร เสียภาษีเท่านี้
ถ้ามากกว่า 100 กรัมแต่ไม่ถึง 150 กรัม เสียภาษีเท่านี้
ถ้าเกิน 200 กรัม แต่ไม่ถึง 250 กรัม เสียภาษีเท่านี้
ถ้าเกิน 250 กรัม แต่ไม่เกิน 300 กรัมเสียภาษีเท่านี้
300-400 กรัมเสียภาษีเท่านี้
โดยไม่คำนึงว่า มันจะเป็นกี่ที่นั่ง จะมีกี่ซีซี ช่างมัน ก็มาบอกเองนิ ว่าคิดตามปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์
มันควรจะมาในรูปนี้ หรืออะไรที่คล้ายๆแบบนี้ไม่ใช่หรอ ?
บางรุ่นซีซี เท่ากัน แต่ปล่อยก๊าซ ไม่เท่ากัน มันมีมั้ย ?
+1 แต่ก็คงต้องยกเว้นภาษีให้กับพวกกระบะหละนะไม่งั้นเกิดจราจลแน่ :D
ก็ออกมาในรูปนี้น่ะครับ รถกระบะก็แยกออกมาแล้ว พวกรถตู้ ไม่เกียว เพราะกำหนดแค่ไม่เกิน 10 ที่นั่ง รถเก๋งก็ปกติก็เข้าอยู่แล้ว ซีซีไม่เกิน 3000 ซีซีอยู่แล้ว พวกเกินนี้ ก็ไปเสียอัตราเก่า ซึ่งเท่าไหร่ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ค่อยเกียวกับพวกเรามั้ง
ถ้าได้ดูรายการที่คุยจิมมี่ไปออก ของเนชั่น เค้าพูดชัดถ้อยชัดคำแล้วนะ ว่าปัจจุบันคิดภาษีที่ซีซี กับแรงม้า แต่ต่อไปจะขึ้นอยู่กับการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ
ผมงงว่า ทำไมยังบอกว่าเครื่อง 1400 ต้องเสียภาษีเท่านั้น
เครื่อง 1600 ต้องเสียภาษีเท่านี้
ทำไมมันยังเอาซีซีมาคิด ?
ทีหลังประกาศออกทีวีทุกช่องพร้อมกันไปเลยว่า รัฐสูญเสียรายได้เพราะได้คืนภาษีให้กับประชาชนที่ซื้อรถคันแรก ตอนนี้มีผู้ใช้สิทธิ์เป็นล้านคนแล้ว เราเลยต้องหาทางเอาคืน เลยเก็บภาษีเพิ่ม
บอกตรงๆไปเลยครับ แมนๆหน่อย อย่างนี้เข้าใจง่าย ไม่ต้องมาทำเป็นอ้างรักษ์โลก
+ 1 ครับ
เอาค่า CO2 มาเป็นตัววัดแล้วทำไมยังเอา CC มาคิดภาษีอีก ผมว่างานนี้พี่ใหญ่ 2 ค่ายไม่ชอบแน่
เค้าไม่ได้เอาซีซีมาคิดคับ เค้าเอาภาษีในอีก 3 ปีข้างหน้า มาครอบกับรถที่่มีขายในปัจจุบันน่ะครับ มันเลยออกมาเป็นแบบนี้ อีก 3 ปีข้างหน้า เราคงได้เห็นซีวิคเครื่อง 1500 ติดเทอร์โบ ก็ได้
สรุปแล้วยังงงๆ ครับ
ทำไมเขาเอาการปล่อย CO2 มาครอบกับ segment/cc ได้ละครับ หรือเป็นแค่ค่าประมาณ?
ใช่แล้วครับ ประมาณมาจากข้อมูลที่หาได้น่ะครับ เพราะว่าอัตรการปล่อย CO2 หาได้จากตปท เคยเห็ฯบางที่กำหนดเอาไว้น่ะครับ รุ่นที่ขายบ้านเราก็มีขายต่างประเทศด้วย ก็เลยเอามาใช้เลยครับ
ปล เท่าที่อ่านมานะ ยังหาอ้างอิงไม่ได้เหมือนกัน
-
เอามติครม ตัวเต็มมาให้ดูอีกทีครับ จากกระทู้นี้ครับ http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,27067.0.html (http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,27067.0.html)
มติครม.ปรับภาษีสรรพสามิตรถยนต์
ครม.มีมติเห็นชอบปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ เพื่อแก้ไขการบิดเบือน-สร้างความเป็นธรรม โดยจัดเก็บภาษีตามอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
18 ธ.ค. 55 ครม.มีมติเห็นชอบปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาการบิดเบือนโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีรถยนต์ และเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ของโลก ซึ่งจะเปลี่ยนภาษีสรรพสามิตรถยนต์ทั้งระบบ โดยจัดเก็บภาษีตามอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ โดยคิดตามอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะเป็นการคิดภาษีจะแบ่งตามประเภทรถยนต์ 7 ประเภท ประกอบด้วย
1. รถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 30% ปล่อยก๊าซ 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 35% และปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 40%
2. รถยนต์นั่งประเภทอี 85 และรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี ปล่อยก๊าซฯไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 25% ปล่อยก๊าซ 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 30% และปล่อยก๊าซฯเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 35%
3. รถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี ปล่อยก๊าซฯไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 10% กรณีปล่อยก๊าซเกิน 100-150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 20% และปล่อยก๊าซเกิน 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 25% และปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 30%
4. รถยนต์กระบะที่ไม่มีพื้นใส่สัมภาระด้านหลังคนขับ มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 3% และปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 5%
5. รถยนต์กระบะที่มีพื้นใส่สัมภาระด้านหลังคนขับ มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี ปล่อยก๊าซฯไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 5% และปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 7%
6. รถยนต์นั่งที่มีกระบะ (ดับเบิ้ลแคป) มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250ซีซี ปล่อยก๊าซฯไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 12% และปล่อยก๊าซฯเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 15%
7. รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี ปล่อยก๊าซฯไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 25% และปล่อยก๊าซฯเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 30%
จะเห็นว่ารถเก๋งปัจจุบันจะเข้าข้อ 1 แทบทั้งหมด ยกเว้น
e85 เข้าข้อ 2
ไฮบริด เข้าข้อ 3
ก็กระบะ เข้าข้อ 4 กับ 5
กระบะ 4 ประตุ เข้าข้อ 6
ส่วนข้อ 7 ไม่รู้แฮะ นึกไม่ออก ส่วนเบนซินหรือดีเซล ไม่เกี่ยวแล้วครับ มีแค่นี้ แรงม้าสูงไม่สูง กก็ไม่เกี่ยวแล้วเหมือนกัน มีคนมาตอบว่า PPV ผมก็ว่าน่าจะใช่นะ
รูปที่เห็นๆ กัน เป็นรูปที่ หนังสือพิมพ์ ถ้าจำไม่ผิดคือกรุงเทพธุรกิจทำขึ้นเองครับ
-
ถ้าจะคิดภาษี ตามปริมาณการปล่อยก๊าซ ตั้งตารางมาเลย
ถ้าปล่อยก๊าซ ต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร เสียภาษีเท่านี้
ถ้ามากกว่า 100 กรัมแต่ไม่ถึง 150 กรัม เสียภาษีเท่านี้
ถ้าเกิน 200 กรัม แต่ไม่ถึง 250 กรัม เสียภาษีเท่านี้
ถ้าเกิน 250 กรัม แต่ไม่เกิน 300 กรัมเสียภาษีเท่านี้
300-400 กรัมเสียภาษีเท่านี้
โดยไม่คำนึงว่า มันจะเป็นกี่ที่นั่ง จะมีกี่ซีซี ช่างมัน ก็มาบอกเองนิ ว่าคิดตามปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์
มันควรจะมาในรูปนี้ หรืออะไรที่คล้ายๆแบบนี้ไม่ใช่หรอ ?
บางรุ่นซีซี เท่ากัน แต่ปล่อยก๊าซ ไม่เท่ากัน มันมีมั้ย ?
ดีใจจังที่มีคนคิดเหมือนผมด้วย
ถ้า Hybrid ใช้ขนาดเครื่องยนต์มาเป็นเกณฑ์ด้วย งานนี้ Honda Accord Hybrid ยิ้มเลย เพราะเครื่องยนต์แค่ 2.0 ลิตรเองในขณะที่ Toyota Camry Hybrid เครื่องใหญ่กว่าที่ 2.5 ลิตร
แต่ว่าภาษีใหม่ของไฮบริด เค้าคุมไว้ที่ 3000 ซีซี เค้าไม่ได้แยกตามซีซีตามเนื้อข่าวด้านบนนิ แบ่งตามคาร์บอนที่ปล่อย เสีย 10-30%
แต่ถ้าเป็นไฮบริด แล้วซีซีเกิน 3000 คุณโดน 50 % โดยไม่สนใจคาร์บอน
ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบครับ วัดกันที่ฝีมือล้วนๆ
-
ขูดรีดประชาชนแบบเนียนๆ - เอามั้ยยยคร้าาาา
-
มือสองยุ่นจะตามมาแหงๆ (แต่ทางไหนดีล่ะ)
-
แปลว่าถ้าหากในอนาคต บริษัทรถยนต์ สามารถทำให้รถลดการปล่อย CO2 ลงมาได้ตามเกณฑ์ ภาพรวมภาษีทั้งตลาดก็จะถูกลงกว่าตอนนี้ใช่ไหมครับ
แต่เท่าที่ดู ผมยังสงสัยว่าจะผ่านหรือครับ เพราะท่าทางขาใหญ่ 2-3 เจ้า อาจจะโวยวายได้
แต่อาจจะดีก็ได้ เพราะเราอาจจะเห็นเครื่อง Diesel Commonrail ฉีดตรงขนาดเล็ก หรือ Turbo ฉีดตรง เหมือนในยุโรปเสียที
-
แปลว่าถ้าหากในอนาคต บริษัทรถยนต์ สามารถทำให้รถลดการปล่อย CO2 ลงมาได้ตามเกณฑ์ ภาพรวมภาษีทั้งตลาดก็จะถูกลงกว่าตอนนี้ใช่ไหมครับ
แต่เท่าที่ดู ผมยังสงสัยว่าจะผ่านหรือครับ เพราะท่าทางขาใหญ่ 2-3 เจ้า อาจจะโวยวายได้
แต่อาจจะดีก็ได้ เพราะเราอาจจะเห็นเครื่อง Diesel Commonrail ฉีดตรงขนาดเล็ก หรือ Turbo ฉีดตรง เหมือนในยุโรปเสียที
เอาง่ายๆครับ 1.0 ลิตรฟอร์ดต้องเสียภาษีเท่ากับ 1.4 บ้ามั้ยเพราะแค่ไม่ได้เข้าลงทุน Eco car
-
ไม่ได้อ่านข่าวข้างบนอย่างละเอียด ขอแก้ใหม่
มันไม่ได้เป็นไปตามข้างบนซะหน่อยครับ Hybrid มันคิดแค่ถ้าเกิน 3000 CC. จ่าย 50%
แต่ถ้าต่ำกว่า 3000 CC. ก็คิดตาม CO2
ต่ำกว่า 100 คิด 10% (คือพริอุสก็ได้อยู่แล้ว 80 กว่าๆ เอง)
100-150 คิด 20%
150-200 คิด 30%
ที่ซวยคือ แคมรี่ตะหาก CO2 ประมาณ 120 ซึ่งไปโดนตรง 20% นั่นคือ แตะเลขสองครับ :P
เรื่องนี้ผมเห็นใจโตโยต้ามากๆ เลย เพราะแค่ไฮบริดเองก็นับว่าใหม่และทันสมัยมากแล้ว ลงทุนผลิตในไทยไปแล้วด้วย ...
-
แปลว่าถ้าหากในอนาคต บริษัทรถยนต์ สามารถทำให้รถลดการปล่อย CO2 ลงมาได้ตามเกณฑ์ ภาพรวมภาษีทั้งตลาดก็จะถูกลงกว่าตอนนี้ใช่ไหมครับ
แต่เท่าที่ดู ผมยังสงสัยว่าจะผ่านหรือครับ เพราะท่าทางขาใหญ่ 2-3 เจ้า อาจจะโวยวายได้
แต่อาจจะดีก็ได้ เพราะเราอาจจะเห็นเครื่อง Diesel Commonrail ฉีดตรงขนาดเล็ก หรือ Turbo ฉีดตรง เหมือนในยุโรปเสียที
มันไม่อย่างนั้นนะสิ ไม่ใช่ว่าทำคาร์บอนได้น้อยลงแล้วรถจะถูกลง
เท่าที่ผมนั้งดูของหมวดปิคอัพนะ
ตอนเดียวกับแคป ไม่ว่าจะลดคาร์บอนได้ระดับเทพ ยังไงรถก็แพงขึ้น จากเดิมเสีย 3 ของใหม่โดน 5 -7
ส่วน 4 ประตู ถ้าทำคาร์บอนได้น้อยกว่า 200 ก็ำเสียเท่าเดิมที่ 12 แต่ถ้าทำไม่ได้ก็โดน 15
ส่วน PPV ทั้งหลาย เดิมเสีย 20 อันนี้แพงขึ้นเพราะโดน 25-30
แต่จะว่าไป ผมว่ารถนะทำได้ แต่น้ำมันบ้านเราพร้อมขนาดไหนอย่างที่พี่จิมมี่ว่าไว้นะแหละ
อย่าง D-max ตัวที่ส่งยุโรป ผ่าน euro 5 ตัวเกียร์ธรรมดา ปล่อยคาร์บอน 194g/km ส่วนเกียร์ออโต้ ปล่อย 220g/km
พัฒนาอีกหน่อยน่าจะต่ำกว่า 200g/km ได้่อยู่
-
ผมว่าเวลาอีก 3 ปี ยังพอมีเวลาตั้งหลักอีกนิด (สำหรับผู้บริโภค แต่ผู้ผลิตไม่แน่)
ผมยังเชื่อว่า เรื่องนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงอีกแน่นอน ทั้งบนเวที นอกเวที หรือหลังเวที
ผมว่าค่อยๆ ประเมินสถานการณ์ไปทีละนิดก็ได้ครับ
-
ทันสมัยแล้วครับ ใครๆก็คิดถึงปริมาณคาร์บอนกันทั่วโลก
-
ใจเย็น ๆ ครับ อนาคตอะไรก้เกิดขึ้นได้ อะไรที่ออกมาได้ก็เปลี่ยนแปลงได้เช่นกันครับ
-
เอ่อ... แล้วถ้ามีคนทำกระบะดีเซลไฮบริดออกมา มันจะไปอยู่ในหมวดไหน
ถ้าไปตกอยู่ในหมวดรถไฮบริด ภา๊ษีแพงกว่าหมวดกระบะ อันนี้คงไม่มีใครเอาแน่
-
เอามติครม ตัวเต็มมาให้ดูอีกทีครับ จากกระทู้นี้ครับ http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,27067.0.html (http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,27067.0.html)
มติครม.ปรับภาษีสรรพสามิตรถยนต์
ครม.มีมติเห็นชอบปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ เพื่อแก้ไขการบิดเบือน-สร้างความเป็นธรรม โดยจัดเก็บภาษีตามอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
18 ธ.ค. 55 ครม.มีมติเห็นชอบปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาการบิดเบือนโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีรถยนต์ และเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ของโลก ซึ่งจะเปลี่ยนภาษีสรรพสามิตรถยนต์ทั้งระบบ โดยจัดเก็บภาษีตามอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ โดยคิดตามอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะเป็นการคิดภาษีจะแบ่งตามประเภทรถยนต์ 7 ประเภท ประกอบด้วย
1. รถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 30% ปล่อยก๊าซ 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 35% และปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 40%
2. รถยนต์นั่งประเภทอี 85 และรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี ปล่อยก๊าซฯไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 25% ปล่อยก๊าซ 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 30% และปล่อยก๊าซฯเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 35%
3. รถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี ปล่อยก๊าซฯไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 10% กรณีปล่อยก๊าซเกิน 100-150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 20% และปล่อยก๊าซเกิน 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 25% และปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 30%
4. รถยนต์กระบะที่ไม่มีพื้นใส่สัมภาระด้านหลังคนขับ มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 3% และปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 5%
5. รถยนต์กระบะที่มีพื้นใส่สัมภาระด้านหลังคนขับ มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี ปล่อยก๊าซฯไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 5% และปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 7%
6. รถยนต์นั่งที่มีกระบะ (ดับเบิ้ลแคป) มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250ซีซี ปล่อยก๊าซฯไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 12% และปล่อยก๊าซฯเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 15%
7. รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี ปล่อยก๊าซฯไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 25% และปล่อยก๊าซฯเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 30%
จะเห็นว่ารถเก๋งปัจจุบันจะเข้าข้อ 1 แทบทั้งหมด ยกเว้น
e85 เข้าข้อ 2
ไฮบริด เข้าข้อ 3
ก็กระบะ เข้าข้อ 4 กับ 5
กระบะ 4 ประตุ เข้าข้อ 6
ส่วนข้อ 7 ไม่รู้แฮะ นึกไม่ออก ส่วนเบนซินหรือดีเซล ไม่เกี่ยวแล้วครับ มีแค่นี้ แรงม้าสูงไม่สูง กก็ไม่เกี่ยวแล้วเหมือนกัน มีคนมาตอบว่า PPV ผมก็ว่าน่าจะใช่นะ
รูปที่เห็นๆ กัน เป็นรูปที่ หนังสือพิมพ์ ถ้าจำไม่ผิดคือกรุงเทพธุรกิจทำขึ้นเองครับ
คือผมพอจะสรุปได้ว่าข่าวของจขกท.มีข้อมูลไม่ถูกต้องนะครับ ของจริงน่าจะเป็นอันนี้ คือถ้าไม่เกิน3000CCนี่ ความจุไม่เกี่ยวนะครับ วัดที่ก๊าซอย่างเดียว
-
ถ้าได้ดูรายการที่คุยจิมมี่ไปออก ของเนชั่น เค้าพูดชัดถ้อยชัดคำแล้วนะ ว่าปัจจุบันคิดภาษีที่ซีซี กับแรงม้า แต่ต่อไปจะขึ้นอยู่กับการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ
ผมงงว่า ทำไมยังบอกว่าเครื่อง 1400 ต้องเสียภาษีเท่านั้น
เครื่อง 1600 ต้องเสียภาษีเท่านี้
ทำไมมันยังเอาซีซีมาคิด ?
ทีหลังประกาศออกทีวีทุกช่องพร้อมกันไปเลยว่า รัฐสูญเสียรายได้เพราะได้คืนภาษีให้กับประชาชนที่ซื้อรถคันแรก ตอนนี้มีผู้ใช้สิทธิ์เป็นล้านคนแล้ว เราเลยต้องหาทางเอาคืน เลยเก็บภาษีเพิ่ม
บอกตรงๆไปเลยครับ แมนๆหน่อย อย่างนี้เข้าใจง่าย ไม่ต้องมาทำเป็นอ้างรักษ์โลก
+ 1 ครับ
เอาค่า CO2 มาเป็นตัววัดแล้วทำไมยังเอา CC มาคิดภาษีอีก ผมว่างานนี้พี่ใหญ่ 2 ค่ายไม่ชอบแน่
หวยเด้น เอ้ย! เห็นด้วย ;D บอกเก็บตามค่าco2 แล้วทำไมต้องเอา cc มาคิดอีกล่ะ เท่าที่ดูส่วนใหญ่ถ้าค่าco2ผ่านก็แค่ได้อัตราภาษีเดิม ถ้าไม่ผ่านโดนเก็บเพิ่มอีก มองได้ว่ามันคือการขึ้นภาษีสรรพสามิตรอย่างแนบเนียนโดยอ้างสิ่งแวดล้อมให้มันดูดีแค่นั้นเอง
-
บางคนที่ออกตัวแรงมานี่ ยังไม่รู้ข้อมูลแท้จริงเลยนะครับ ดันไปสรุปตามภาพสื่อ (ซึ่งเขาแค่เอา C.C. มาสื่อเฉยๆ ประมาณจากราคารถ ถ้าเขาใช้ Segment คนคงจะงง)
ที่ผมเจอ ต่ำกว่า 3 พันซีซี มันวัดจาก CO2 อย่างเดียวนะครับ
ใจเย็นๆก่อนเหอะครับ ยังไงรถมันก็ราคาขึ้นอยู่แล้ว
ทำไม Ranger ตัวทอป ราคา ขึ้นมา 5 หมื่น ทั้งที่ออพชั่นเดิม อัตราภาษีเดิมด้วย ไม่เห็นมีใครมาด่าฟอร์ดมั่ง
ถึงเวลาจริงๆ มันก็แก้กันได้เองแหละครับ จะไปเห็นใจบริษัทรถมันทำไม ของคนไทยก็ไม่ใช่ ให้มันโดนบีบจนต้องหาทางปรับตัว พัฒนา เพื่อจะได้ขายในไทยได้น่ะดีแล้ว
อากาศในไทยจะได้สะอาดขึ้น (แต่ช่วยจัดการพวกรถเมลควันดำหน่อยเหอะนะ)
ทุกวันนี้ โรงงานนั่นนี่ มาตั้งฐานการผลิตในไทย อย่าลืมนะครับว่า มันมาเพิ่มมลพิษให้เราทั้งนั้น ตังมันก็ได้ไป คนไทยก็ไปทะเลาะกันเพื่อมันอีก
คนไทย(โดยเฉพาะพวก Gen-X) กลัวการเปลี่ยนแปลง ทั้งทีในประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง มีแต่ทำให้ประเทศเจริญขึ้น
ตั้งแต่เปลี่ยนการปกครอง หรืออย่างน้ำมัน ก็มาใช้ไร้สารตะกั่ว
ถ้าตอนนั้น รัฐกลัวคำขู่โรงงาน ป่านนี้ก็ดมตะกั่วกันอยู่ล่ะครับ
-
บางคนที่ออกตัวแรงมานี่ ยังไม่รู้ข้อมูลแท้จริงเลยนะครับ ดันไปสรุปตามภาพสื่อ (ซึ่งเขาแค่เอา C.C. มาสื่อเฉยๆ ประมาณจากราคารถ ถ้าเขาใช้ Segment คนคงจะงง)
ที่ผมเจอ ต่ำกว่า 3 พันซีซี มันวัดจาก CO2 อย่างเดียวนะครับ
ใจเย็นๆก่อนเหอะครับ ยังไงรถมันก็ราคาขึ้นอยู่แล้ว
ทำไม Ranger ตัวทอป ราคา ขึ้นมา 5 หมื่น ทั้งที่ออพชั่นเดิม อัตราภาษีเดิมด้วย ไม่เห็นมีใครมาด่าฟอร์ดมั่ง
ถึงเวลาจริงๆ มันก็แก้กันได้เองแหละครับ จะไปเห็นใจบริษัทรถมันทำไม ของคนไทยก็ไม่ใช่ ให้มันโดนบีบจนต้องหาทางปรับตัว พัฒนา เพื่อจะได้ขายในไทยได้น่ะดีแล้ว
อากาศในไทยจะได้สะอาดขึ้น (แต่ช่วยจัดการพวกรถเมลควันดำหน่อยเหอะนะ)
ทุกวันนี้ โรงงานนั่นนี่ มาตั้งฐานการผลิตในไทย อย่าลืมนะครับว่า มันมาเพิ่มมลพิษให้เราทั้งนั้น ตังมันก็ได้ไป คนไทยก็ไปทะเลาะกันเพื่อมันอีก
คนไทย(โดยเฉพาะพวก Gen-X) กลัวการเปลี่ยนแปลง ทั้งทีในประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง มีแต่ทำให้ประเทศเจริญขึ้น
ตั้งแต่เปลี่ยนการปกครอง หรืออย่างน้ำมัน ก็มาใช้ไร้สารตะกั่ว
ถ้าตอนนั้น รัฐกลัวคำขู่โรงงาน ป่านนี้ก็ดมตะกั่วกันอยู่ล่ะครับ
ใช่ครับ...เห็นด้วยอย่างแรง
-
เล่น10 เอา1 เลยให้ดิ้นตายยังไงพวกยุ่น มันก็ไม่ย้ายหรอก ลงทุนตั้งเยอะ แล้ว อีกอย่าง กว่าจะตั้งโรงงานผลิตแทนที่ในประเทศไทยได้ ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า5ปีแน่ๆ ไหนจะก่อสร้างตึก ไหนจะขนเครื่องจักรเข้า ทดลองการผลิต ฝึกพนักงาน ยังไงๆมันก็ไม่กล้าย้ายหลอก
-
ถ้าภาษีเพิ่มจนคนที่ไม่จำเป็นต้องใช้รถเพื่อบรรทุกของเลิกเล่นรถกระบะหรือ PPV จะดีใจมาก
ทุกวันนี้บนถนนมีกระบะบ้าพลังเยอะเกินไปแล้ว
-
นี่แสดงว่ารัฐบาลไม่ได้สนับสนุนรถประเภท ใช้พลังงา่นไฟฟ้าล้วน ๆ หรือเปล่า
เพราะถ้าสนับสนุน ก็น่าจะมี อัตราภาษี ข้อ 8 เพิ่มขึ้นมา เกี่ยวกับรถประเภทนี้
แต่ถ้าสนับสนุนรถประเภทนี้จริง ก็อาจมีปัญหา การผลิตไฟฟ้ามารองรับอีก
โดยส่วนตัวแล้ว ผมอยากใช้มากมาย แต่ถ้าราคาขาย สูงมาก ก็รักโลกไม่ไหวเหมือนกัน
-
ไม่ต้องไปห่วงค่ายรถหรอก เค้ามีเทคโนโลยีที่จะทำให้ผ่านมาตรฐานนี้อยู่แล้ว
แต่ยังไม่ถึงเวลาปล่อยของ
กว่าจะถึงวันที่บังคับใช้ มกราคม 2559 ยุโรปเค้าใช้มาตรฐาน Euro 6 ตั้งแต่ September 2014 => กันยายน 2557 ซึ่งเข้มงวดกว่าของเราเยอะ
ประเทศเรานั่นแหละที่ตามโลกเค้าไม่ทัน
เรื่องการใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตนะสำคัญ
อยากให้กลับมาคำนึงถึงสุขภาพของเรา ของลูกหลานเราด้วย
และเค้าไม่ย้ายด้วยเรื่องแค่นี้หรอก
-
โตโยต้าพรีอุส เครื่อง 1800
ที่มีปัญหาคงจะเป็นแคมรี่ไฮบริดซิน่ะเนี่ย เหอะๆ ขายดีซะด้วย
เรื่อง cc กับ co2 ทำคู่กันถูกแล้วครับ ค่อยๆอ่านดีๆ
เค้ากำลังให้ผู้ผลิต ทำเครื่อง cc น้อย ปล่อย co 2 น้อยๆ
ค่อยๆอ่านครับ รถเจนใหม่ ที่กำลังมาทำตลาดก็ผ่านเกณอยู่แล้ว จะได้เห็น 1.0 ecoboots ไวๆครับ คิด +++
-
ต้องรอดูกันต่อไปครับ :o
-
ค่ายรถต้องลดมาร์ฺจิ้นในตัวรถลง เพื่อรักษาระดับราคารถไว้แหละครับ
เพราะุ้ถุ้าไม่ลด CO2 แถมยังเอามารฺ์จิ้นเท่าเดิม
ราคาคงทะลุไปไกล
-
แสดงว่า ปี 2559 รถเบนซิน จะไม่รองรับน้ำมัน E20 แล้วสินะครับ
เพราะ อัตราภาษีเดิม รถที่ใช้ E20 ได้ส่วนลดถาษีอีก 5%
หลังปี 2559 ไป รถทุกคัน ราคาแพงขึ้นอย่างน้อย 5% ถึง 10% เลยนะครับ นี้ยังไม่รวมภาษี VAT อีก 7%
ไฮบริด อาจจะ ป่วนได้ครับ toyota
กระบะก็ด้วย
รถแพงขึ้นจริงๆ
ปีหน้า ผมว่า ยอดขาย ตกฮวบแน่นอน มาฟื้นอีกก็ ปี 2558 เหอะๆ ถ้าคนมีปัญญาซื้อรถใหม่ อีกนะครับ
-
ISUZU กับ TOYOTA ไม่เอาเห็นทีจะผ่านยาก ผมก็ไม่เอา จะให้เสียจากพันกว่าเป็นแปดพันก็ไม่ไหวนะ ขายทิ้งแง่มๆรถตรู
-
ใครไม่ตามเทรนด์รักโลกระวังอีก 18 ปีข้างหน้าจะไม่มีน้ำมันให้ใช้นะครับ... :P
อีก 3 ปีผมว่าทันนะ ถ้าหันมาใช้ downsizing กันหมดผมว่าราคารถจะลงได้อีกหน่อยด้วยซ้ำ แต่ราคาตรงนั้นคงต้องไปถมกับการลงทุนเปิดผลิตเครื่องไหม่ๆ ส่วนใครที่งกเทคโนโลยีนัก ปล่อยแม่มไปเถอะ
อยากเห็นเครื่อง DIG-s กับ Ecoboost แบ้วว
-
แสดงว่า ปี 2559 รถเบนซิน จะไม่รองรับน้ำมัน E20 แล้วสินะครับ
เพราะ อัตราภาษีเดิม รถที่ใช้ E20 ได้ส่วนลดถาษีอีก 5%
หลังปี 2559 ไป รถทุกคัน ราคาแพงขึ้นอย่างน้อย 5% ถึง 10% เลยนะครับ นี้ยังไม่รวมภาษี VAT อีก 7%
ไฮบริด อาจจะ ป่วนได้ครับ toyota
กระบะก็ด้วย
รถแพงขึ้นจริงๆ
ปีหน้า ผมว่า ยอดขาย ตกฮวบแน่นอน มาฟื้นอีกก็ ปี 2558 เหอะๆ ถ้าคนมีปัญญาซื้อรถใหม่ อีกนะครับ
น่าจะอย่างนั้น แต่ผมว่าคงไปรองรับ e85 แทนน่ะครับ
-
เอามติครม ตัวเต็มมาให้ดูอีกทีครับ จากกระทู้นี้ครับ http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,27067.0.html (http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,27067.0.html)
มติครม.ปรับภาษีสรรพสามิตรถยนต์
ครม.มีมติเห็นชอบปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ เพื่อแก้ไขการบิดเบือน-สร้างความเป็นธรรม โดยจัดเก็บภาษีตามอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
18 ธ.ค. 55 ครม.มีมติเห็นชอบปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาการบิดเบือนโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีรถยนต์ และเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ของโลก ซึ่งจะเปลี่ยนภาษีสรรพสามิตรถยนต์ทั้งระบบ โดยจัดเก็บภาษีตามอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ โดยคิดตามอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะเป็นการคิดภาษีจะแบ่งตามประเภทรถยนต์ 7 ประเภท ประกอบด้วย
1. รถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 30% ปล่อยก๊าซ 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 35% และปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 40%
2. รถยนต์นั่งประเภทอี 85 และรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี ปล่อยก๊าซฯไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 25% ปล่อยก๊าซ 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 30% และปล่อยก๊าซฯเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 35%
3. รถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี ปล่อยก๊าซฯไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 10% กรณีปล่อยก๊าซเกิน 100-150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 20% และปล่อยก๊าซเกิน 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 25% และปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 30%
4. รถยนต์กระบะที่ไม่มีพื้นใส่สัมภาระด้านหลังคนขับ มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 3% และปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 5%
5. รถยนต์กระบะที่มีพื้นใส่สัมภาระด้านหลังคนขับ มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี ปล่อยก๊าซฯไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 5% และปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 7%
6. รถยนต์นั่งที่มีกระบะ (ดับเบิ้ลแคป) มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250ซีซี ปล่อยก๊าซฯไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 12% และปล่อยก๊าซฯเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 15%
7. รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี ปล่อยก๊าซฯไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 25% และปล่อยก๊าซฯเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บ 30%
จะเห็นว่ารถเก๋งปัจจุบันจะเข้าข้อ 1 แทบทั้งหมด ยกเว้น
e85 เข้าข้อ 2
ไฮบริด เข้าข้อ 3
ก็กระบะ เข้าข้อ 4 กับ 5
กระบะ 4 ประตุ เข้าข้อ 6
ส่วนข้อ 7 ไม่รู้แฮะ นึกไม่ออก ส่วนเบนซินหรือดีเซล ไม่เกี่ยวแล้วครับ มีแค่นี้ แรงม้าสูงไม่สูง กก็ไม่เกี่ยวแล้วเหมือนกัน มีคนมาตอบว่า PPV ผมก็ว่าน่าจะใช่นะ
รูปที่เห็นๆ กัน เป็นรูปที่ หนังสือพิมพ์ ถ้าจำไม่ผิดคือกรุงเทพธุรกิจทำขึ้นเองครับ
คือผมพอจะสรุปได้ว่าข่าวของจขกท.มีข้อมูลไม่ถูกต้องนะครับ ของจริงน่าจะเป็นอันนี้ คือถ้าไม่เกิน3000CCนี่ ความจุไม่เกี่ยวนะครับ วัดที่ก๊าซอย่างเดียว
บางคนที่ออกตัวแรงมานี่ ยังไม่รู้ข้อมูลแท้จริงเลยนะครับ ดันไปสรุปตามภาพสื่อ (ซึ่งเขาแค่เอา C.C. มาสื่อเฉยๆ ประมาณจากราคารถ ถ้าเขาใช้ Segment คนคงจะงง)
ที่ผมเจอ ต่ำกว่า 3 พันซีซี มันวัดจาก CO2 อย่างเดียวนะครับ
ใจเย็นๆก่อนเหอะครับ ยังไงรถมันก็ราคาขึ้นอยู่แล้ว
ทำไม Ranger ตัวทอป ราคา ขึ้นมา 5 หมื่น ทั้งที่ออพชั่นเดิม อัตราภาษีเดิมด้วย ไม่เห็นมีใครมาด่าฟอร์ดมั่ง
ถึงเวลาจริงๆ มันก็แก้กันได้เองแหละครับ จะไปเห็นใจบริษัทรถมันทำไม ของคนไทยก็ไม่ใช่ ให้มันโดนบีบจนต้องหาทางปรับตัว พัฒนา เพื่อจะได้ขายในไทยได้น่ะดีแล้ว
อากาศในไทยจะได้สะอาดขึ้น (แต่ช่วยจัดการพวกรถเมลควันดำหน่อยเหอะนะ)
ทุกวันนี้ โรงงานนั่นนี่ มาตั้งฐานการผลิตในไทย อย่าลืมนะครับว่า มันมาเพิ่มมลพิษให้เราทั้งนั้น ตังมันก็ได้ไป คนไทยก็ไปทะเลาะกันเพื่อมันอีก
คนไทย(โดยเฉพาะพวก Gen-X) กลัวการเปลี่ยนแปลง ทั้งทีในประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง มีแต่ทำให้ประเทศเจริญขึ้น
ตั้งแต่เปลี่ยนการปกครอง หรืออย่างน้ำมัน ก็มาใช้ไร้สารตะกั่ว
ถ้าตอนนั้น รัฐกลัวคำขู่โรงงาน ป่านนี้ก็ดมตะกั่วกันอยู่ล่ะครับ
เห็นด้วยนะ คือพอสื่อทำภาพมาเทียบมันดันชวนให้คนเข้าใจผิดไปเยอะเลยนะนั่น ลองอ่านดีๆแล้วมาดูเงื่อนไขกันดีๆแล้วมันก็ไม่ได้ว่าเอาCC มากำหนดอะไรซะหน่อย คือขอแค่ ต่ำกว่า3000CC ก็พอ นอกนั้น ภาษีคุณจะโดนเท่าไหร่มันก็เหลือแค่เทคโนโลยีของคุณแล้ว ว่าจะปล่อย คาบอนเท่าไหร่ ถ้าเกิดมีใครเฮี้ยนทำรถเก๋งเครื่องเบนซิน 2999CC แล้วปล่อยคาบอนต่ำกว่า 150 คุณก็โดนภาษีที่ 25% แต่ถ้าคุณทำเครื่องแค่1500C แต่ดันปล่อยคาบอนเยอะกว่า 150 คุณก็โดนที่ 30% คือนอกจากข้อกำหนดเรื่องเครื่องห้ามเกิน3000CC นอกนั้นไม่ได้มีตรงไหนเขียนไว้เลยว่า เรทมัน มันFixกะขนาดเครื่อง หรืออย่าง Camry Hybrid เอง ขอแค่คุณลดคาบอนได้ต่ำกว่า 100 คุณก็ได้เรทภาษีเท่าเดิมแล้ว ไม่ได้มีตรงไหนบอกซักคำว่า ต่ำกว่า 2000 โดนเท่าไหร่ ผมว่าตามหลักเกณนี้ ถือว่าโคตรจะแฟร์เลยนะ จะทำเครื่องอะไรขนาดไหนก็แล้วแต่คุณ ตามสบาย อยากได้ภาษีถูกก็ปล่อยCo2 ให้น้อยลง จบ. แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ คนไทยบางคนเนี่ยนะ ไอ้ตอนที่ผู้ผลิตรถในบ้านเรามันขายรถoption น้อยๆ เทคโนโลยี่เก่าๆ แต่ราคาเดิม+ปรับขึ้นทุกปีๆ ก็ไปด่าเขาว่า ไม่แคร์คนไทย ไม่เห็นหัวคนไทย ไม่ใส่ใจประเทศไทยนึกจะทำอะไรก็ทำ แต่พอรัฐบาล(ที่หลายคนไม่ชอบขี้หน้าเขา)ออกเรทภาษีแบบนี้มา ดันมาบอกว่าประเทศไทยสำคัญตัวผิด? ทำไมเขาต้องง้อเรา ทำไมเขาต้องมาปรับตัวตามประเทศเรา ประเทศเราต้องไปปรับตัวตามบ.เขาต่างหาก เราไม่ควรจะไปขัดใจเขาไม่งั้นเกิดเขาย้ายฐานเราจะซวย? ถ้าจำไม่ผิดสมัยก่อนช่วงที่เขาบังคับเรื่องน้ำมันไร้สาร ก็เห็นบ.ผลิตรถมันก็มาขู่แบบนี้นี่แหละ แล้วเป็นไง? ทุกวันนี้เห็นยังตั้งกันอยู่ที่เดิมหน้าสลอน
-
อุ้ย แรงงงงหงะ
เกณฑ์กำหนดรถ 3000cc จริงๆรถเครื่อง 3000cc จริงๆก็ 29xx อยู่ดี ต้องรถที่เครื่องใหญ่กว่านั้นถึงจะโดนเช่น 3500-4000cc
-
ถ้าภาษี เป็นแบบนั้นจริงๆ คงต้องบอกว่า "สงสัยจะกินไม่อิ่ม" :)
-
ก็ถูกแล้วน่ะครับ ผมว่าเก็บภาษีจาก การปล่อยของเสียจากรถ
แต่ก็คงไม่มีผลอะไรกับบ้านเรานักเรื่องมลพิษเนี่ย เพราะรถเค้า
ทำมาดี มี EGR ก็ยังอุตส่าห์ไปเอาออกกันได้ คิดเห็นแก่ได้อยู่
ฝ่ายเดียว
-
คุณดาวหลอกผม
เเหม่ๆ ๆๆ ให้เค้ามา ตั้งโรงงาน โน้นนี่นั้น เยอะเยะ เเล้วจะมา ตลบหลัง กัด เบาๆ บ่อยๆ ก็ไม่เป็นไร หลอก
นี่เล่น กัดที เเรง เลย นะ เค้าลงทุนไปเท่าไร เจอ อย่างนี้ ก็ เจ็บทุกราย
-
ผมว่าก็แฟร์ๆดีนะ ออกกฎมาแบบนี้ เพียงแต่ว่าถ้ามองๆแล้ว ภาพรวมคือรถที่ทำได้ ปล่อยคาบอนต่ำๆ ราคาจะเท่าเดิม แต่ที่ทำไม่ได้ ปล่อยคาร์บอนมาก (แนวโน้มก็คือรถเครื่องใหญ่ น้ำหนักตัวมากๆ) ราคาก็จะกระโดดขึ้นไปมาก
และอ่านๆมาหลายท่านยังไม่เข้า่ใจ ภาษีสรรพสามิต คือภาษีที่เก็บตอนเราซื้อรถครั้งแรกครั้งเดียว ไม่ใช่ภาษีรายปี แต่จะว่าไปรถแพงขึ้น 50000 ก็พอค่าต่อทะเบียนไปกว่า 10 ปีเหมือนกันนิ (รัฐบาลก็ฉลาดดี)
แต่ก็เอาเถอะ คนไทยซื้อรถแพง แต่ภาษีรายปีถูก ต่างประเทศรถถูก แต่ภาษีรายปีแพง เห็นบริษัทรถมันก็ยังอยู่ได้
-
เรื่องนี้มีอิงการเมืองนิดๆครับ
ที่ผ่านมา มีแค่ ฟอร์ดและเชพวี่ ที่ไฟท์เรื่อง ควรคิดภาษีตามปริมาณคาร์บอน ไม่ใช่ขนาดความจุ ส่วนค่ายญี่ปุ่น ไม่เคยต่อสู้เรื่องนี้
หลายๆกรณีในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่เมกันยอมกลืนเสมหะตัวเอง โดยยินยอมให้รัฐบาลไทย นำไปขยายผลต่อได้โดยไม่ทักท้วงใดๆ
จะแปลกใจอะไร ถ้าจะมีนโยบายที่เข้าเท้าค่ายเมกันให้หวดเต็มๆบ้าง...แต่ก็นะ มีแอบเอาใจคู่ขาเก่า กว่าจะบังคับใช้ อีกตั้งหลายปีโน่นแนะ
-
ผมเห็นด้วยกับการเริ่มคิดอัตราภาษีแบบคำนึงถึง CO2 นะ
แต่จะดีกว่านี้มากๆ ถ้าคิดเฉพาะ CO2 เพียวๆ ไม่นึกถึง cc อีก (อาจจะยกเว้น 3000cc up)
ต่ำกว่า 3000cc ก็คิดเฉพาะ CO2 เลย อย่างเดียว ;D
-
ปล่อยคาบอนต่ำๆ ภาษีก็ยังเท่าเดิม
แต่ถ้าทำไม่ได้ ปล่อยคาร์บอนมาก เสียภาษีแพงขึ้น
คือสรุปกระบวนการนี้แล้ว
มีอยู่สองอย่าง
1. ต้องปรับปรุงทำเครื่องให้ปล่อยคาร์บอนน้อยลงจึงจะเสียภาษีเท่าเดิม ในขนาดเครื่องเดิม (ไม่พูดเรื่องลดขนาดเครื่องนะ)
2. หรือถ้าไม่ทำก็เสียแพงขึ้น
มีสองช็อยแพงขึ้นกะเท่าเดิม
อีก option เอาเครื่องเล็ก แต่แรงม้าเยอะมาลง ต้องดูเสียงตอบรับว่าคนไทยจะนิยมมั๊ย
-
ผมเห็นด้วยกับการเริ่มคิดอัตราภาษีแบบคำนึงถึง CO2 นะ
แต่จะดีกว่านี้มากๆ ถ้าคิดเฉพาะ CO2 เพียวๆ ไม่นึกถึง cc อีก (อาจจะยกเว้น 3000cc up)
ต่ำกว่า 3000cc ก็คิดเฉพาะ CO2 เลย อย่างเดียว ;D
เขาก็ไม่ได้กำหนด CC นิครับ ไอ้ที่ว่าเป้น CC นั้นบริษัทหนังสือพิมพ์เขาทำออกมาเปรียบเทียบกับปริมาณการปล่อยคาร์บอนของรถตามขนาดซีซีในปัจจุบัน
ตอนแรกผมก็นึกว่าจะกำหนด CC เช่นกันแหละ
ซึ่งอนาคตก็คงทำ
เครื่องเดิมให้ปล่อย CC น้อยลง ใส่กรองบลาๆๆเข้าไปมากขึ้นในระบบคายไอเสีย (เดี๋ยวก็ไปถอดกันอีก เหอๆ)
อีกแบบก็ดาวน์ไซส์ใส่เทอโบแบบเช่น Ecoboost 1.0 - 1.2 DIG-S (มันจะมาแหล่วๆๆ)
หรือจะไปใช้เครื่องดีเซลกันหมดหว่า อิอิ
-
ผมเห็นด้วยกับการเริ่มคิดอัตราภาษีแบบคำนึงถึง CO2 นะ
แต่จะดีกว่านี้มากๆ ถ้าคิดเฉพาะ CO2 เพียวๆ ไม่นึกถึง cc อีก (อาจจะยกเว้น 3000cc up)
ต่ำกว่า 3000cc ก็คิดเฉพาะ CO2 เลย อย่างเดียว ;D
เขาก็ไม่ได้กำหนด CC นิครับ ไอ้ที่ว่าเป้น CC นั้นบริษัทหนังสือพิมพ์เขาทำออกมาเปรียบเทียบกับปริมาณการปล่อยคาร์บอนของรถตามขนาดซีซีในปัจจุบัน
ตอนแรกผมก็นึกว่าจะกำหนด CC เช่นกันแหละ
ซึ่งอนาคตก็คงทำ
เครื่องเดิมให้ปล่อย CC น้อยลง ใส่กรองบลาๆๆเข้าไปมากขึ้นในระบบคายไอเสีย (เดี๋ยวก็ไปถอดกันอีก เหอๆ)
อีกแบบก็ดาวน์ไซส์ใส่เทอโบแบบเช่น Ecoboost 1.0 - 1.2 DIG-S (มันจะมาแหล่วๆๆ)
หรือจะไปใช้เครื่องดีเซลกันหมดหว่า อิอิ
1.2 DIG-S ไม่ผ่านด้านความประหยัดอีโคคาร์ UN/ECE ครับ
ถ้าเอามาใส่คงรอ เครื่องเจนใหม่ที่เป็นเทอร์โบจะดีกว่า
ผมคิดว่ารอเครื่อง 1.2 โบ ที่จะลงในฝั่งยุโรปว่าเป็นพื้นฐานจาก HR12 ไหมนะ
-
รณรงค์ลดการปล่อยก๊าซลดโลกร้อนนะดีนะครับ แต่ผมว่านโยบายมันไม่ค่อยสอดคล้องปัจจุบันเท่าไร ต้องรอดูว่าจะปรับอีกไหมครับ
-
อันนี้ของประชาชาติธุรกิจทำเอาไว้ครับ เอามาจาก http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1356421067&grpid=00&catid=08 (http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1356421067&grpid=00&catid=08)
(http://www.prachachat.net/news-photo/prachachat/2012/12/car04241255p1.jpg)
น่าจะตรงกับมติครม ด้านบนๆ ที่สุดแล้วครับเท่าที่หาได้
-
ถ้าต้องการลดมลภาวะจาก CO2 โดยเอามาเป็นตัวอ้างอิงมากำหนดภาษีเป็นตัวควบคุมคงไม่ได้ผลจริง มีกฎหมายกำหนดค่า CO2 ของรถอยู่แล้ว จึงมีการลดมลภาวะจากต้นทางจากสายพานการผลิตแล้วโดยโรงงานผู้ผลิตได้ทำการไหลเวียนการใช้ไอเสียจากการเผาไหม้ที่เรียกว่า EGR ไปใช้งานอีกรอบก่อนปล่อยทิ้งทำให้ค่า CO2 ไม่เกินกำหนดแต่ในทางเป็นจริงมีผู้ใช้งานไปอุด EGR โดยให้ปล่อยออกทิ้งไปเลยไม่ต้องไหลเวียนไปใช้งานอีกเพราะมันไปทำให้วาวด์ลิ้นปีกผีเสื้อตันความเข้าใจและเห็นสภาพจริงหลังถอดออกมา สุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยให้ลดมลภาวะทางอากาศจริง ดังนั้นน่าจะมีการออกกฎหมายห้ามดัดแปลงเรื่องการอุด EGR ด้วยจะช่วยได้จริงๆ การเก็บภาษีตามซีซีของเครื่องยนต์น่าจะเป็นการยุติธรรมกว่า ซีซีมากเสียมากเพราะปล่อยไอเสียมากกว่า ซีซีน้อยเสียน้อยเพราะปล่อยไอเสียน้อยกว่า
-
ผมว่าคิดตาม CC น้ำหนัก ขนาดตัวถังไปเหอะครับ แฟร์ๆกันกับทุกฝ่ายดี
รถหนัก CC เยอะ แรงม้าเยอะ ปล่อยไอเสียเยอะ ราคาขายแพง จ่ายภาษีเยอะ เอาทุกๆมิติมาคิดภาษี แฟร์ๆดีกับทุกฝ่าย