Headlight Magazine : community

General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: AMG GT ที่ พฤษภาคม 09, 2013, 23:12:35

หัวข้อ: รถที่เติม E85 ได้ จะทนแก๊สกว่ารถ ที่เติมไม่ได้ หรือเปล่าครับ
เริ่มหัวข้อโดย: AMG GT ที่ พฤษภาคม 09, 2013, 23:12:35
รถที่เติม E85 ได้ จะทนแก๊สกว่ารถ ที่เติมไม่ได้ หรือเปล่าครับ   เช่น civic fd เติมได้แค่ E20 แต่ FB เติมE85ได้   ประมานนี้   หรือไม่เกี๋ยวกันเลย
หัวข้อ: Re: รถที่เติม E85 ได้ จะทนแก๊สกว่ารถ ที่เติมไม่ได้ หรือเปล่าครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Emission-Tester ที่ พฤษภาคม 09, 2013, 23:52:11
หมายถึง "หัวฉีด" เหรอครับ

ที่ผมรู้คือ หัวฉีดน้ำมันของ FD มีแค่ 4 รู
แต่ หัวฉีดน้ำมันของ FB อาจมีมากกว่านี้ (เพื่อจ่ายน้ำมัน E85 ให้มากขึ้น)

จำนวนรู ของหัวฉีด ไม่น่าจะมีผลต่อการฉีดแก๊ส เพราะต้องจูนแก๊สให้ใกล้เคียงกับน้ำมันรึเปล่า?
หัวข้อ: Re: รถที่เติม E85 ได้ จะทนแก๊สกว่ารถ ที่เติมไม่ได้ หรือเปล่าครับ
เริ่มหัวข้อโดย: kreaninw ที่ พฤษภาคม 10, 2013, 00:04:33
ในแง่ของวิศวะกรรม ผมตอบไม่ได้ครับ

แต่ในทางความเป็นจริงแล้ว คนใช้รถเติม E85 ได้ คงไม่สนใจอยากเอารถไปติดแก๊สหรอกครับ และรถที่รองรับ E85 จากโรงงาน ยังถือเป็นเรื่องใหม่ในบ้านเรา และยังมีจำนวนไม่มาก ทำให้ไม่มีโมเดลจากการทดสอบจริงที่จะตอบคำถามข้อนี้ได้ครับ

รอผู้รู้มาตอบในทางทฤษฎีให้ฟังครับ ;D
หัวข้อ: Re: รถที่เติม E85 ได้ จะทนแก๊สกว่ารถ ที่เติมไม่ได้ หรือเปล่าครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Parinceo ที่ พฤษภาคม 10, 2013, 00:20:55
ผมว่าไม่น่าเกี่ยว เพราะ แก๊สต่างจากน้ำมันตรงที่ทำให้อุณหภูมิสูงกว่า สถานะเป็นแก๊ส ต้องมีแรงดัน และสมบัติอื่นๆต่างออกไป
E85 มีแอลกอฮอลล์มาก แต่สมบัติต่างๆ ก็ยังน่าจะใกล้เคียงกับน้ำมัน ต่างกันก็ตรงที่มันสามารถละลายชั้นปกป้อง และทำปฎิกิริยากับส่วนต่างๆได้ก็เท่านั้น

เพราะฉะนั้น รถที่ทนแก๊สคือ รถที่ทนความร้อน รองรับแรงดัน อะไรต่างๆ ได้มากกว่า
รถที่ทน E85 คือ รถที่ชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ทำปฏิกิริยากับเอทานอลครับ

อันที่จริงต้องดูพวก ค่าออกเทน จุดวาบไฟ ความจุความร้อนจำเพาะของแต่ละสาร แล้วนำมาวิเคราะห์ดูกับเครื่องแต่ละตัวอีก
เพราะ แก็สจะหัวฉีดไหนมันก็ออกมาเป็นแก๊ส ไหม้เร็วเท่ากันหมด แต่น้ำมันและ E85 ขึ้นอยู่กับขนาดที่หัวฉีดสามารถฉีดออกมาได้ด้วย หยดใหญ่กว่าก็น่าจะเผาไหม้ได้ช้ากว่า
ความร้อนที่เกิดขึ้น และแรงอัดก็ไม่เท่ากันละ

เดาตามหลักวิศวะล้วนๆครับ ไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้ มีแค่ทฤษฎีรวมๆ ผิดถูกยังไงขออภัยครับ
หัวข้อ: Re: รถที่เติม E85 ได้ จะทนแก๊สกว่ารถ ที่เติมไม่ได้ หรือเปล่าครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Eddy5659 ที่ พฤษภาคม 10, 2013, 05:38:12
ไม่น่าเกี่ยวยังแรง
Limo/Altis เติม E85 ไม่ได้ซักคัน แต่ taxi ทุกคันเติมแก๊สหมด ทนโคตร
หัวข้อ: Re: รถที่เติม E85 ได้ จะทนแก๊สกว่ารถ ที่เติมไม่ได้ หรือเปล่าครับ
เริ่มหัวข้อโดย: holahola66 ที่ พฤษภาคม 10, 2013, 07:59:39
ในแง่ของวิศวะกรรม ผมตอบไม่ได้ครับ

แต่ในทางความเป็นจริงแล้ว คนใช้รถเติม E85 ได้ คงไม่สนใจอยากเอารถไปติดแก๊สหรอกครับ และรถที่รองรับ E85 จากโรงงาน ยังถือเป็นเรื่องใหม่ในบ้านเรา และยังมีจำนวนไม่มาก ทำให้ไม่มีโมเดลจากการทดสอบจริงที่จะตอบคำถามข้อนี้ได้ครับ

รอผู้รู้มาตอบในทางทฤษฎีให้ฟังครับ ;D

เพื่อนผมออก CR-V G4 ได้สองวันก้อติดแก๊ซเลยครับ. มันยุ ตจว. หาE85 เติมไม่ได้ แต่ปั๊มLPG นี่หาง่ายยัง 7-11 เลยครับ
หัวข้อ: Re: รถที่เติม E85 ได้ จะทนแก๊สกว่ารถ ที่เติมไม่ได้ หรือเปล่าครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Larry ที่ พฤษภาคม 10, 2013, 10:08:17
ในแง่ของวิศวะกรรม ผมตอบไม่ได้ครับ

แต่ในทางความเป็นจริงแล้ว คนใช้รถเติม E85 ได้ คงไม่สนใจอยากเอารถไปติดแก๊สหรอกครับ และรถที่รองรับ E85 จากโรงงาน ยังถือเป็นเรื่องใหม่ในบ้านเรา และยังมีจำนวนไม่มาก ทำให้ไม่มีโมเดลจากการทดสอบจริงที่จะตอบคำถามข้อนี้ได้ครับ

รอผู้รู้มาตอบในทางทฤษฎีให้ฟังครับ ;D
แต่ก็มีคนทำนะครับ ติดชุดคิท E85 แล้วไม่พอ ยังติดแก๊สถังโดนัทอีก ฮ่าฮ๋า
หัวข้อ: Re: รถที่เติม E85 ได้ จะทนแก๊สกว่ารถ ที่เติมไม่ได้ หรือเปล่าครับ
เริ่มหัวข้อโดย: SitdownstrikE ที่ พฤษภาคม 10, 2013, 10:22:38
ผมว่าไม่น่าเกี่ยว เพราะ แก๊สต่างจากน้ำมันตรงที่ทำให้อุณหภูมิสูงกว่า สถานะเป็นแก๊ส ต้องมีแรงดัน และสมบัติอื่นๆต่างออกไป
E85 มีแอลกอฮอลล์มาก แต่สมบัติต่างๆ ก็ยังน่าจะใกล้เคียงกับน้ำมัน ต่างกันก็ตรงที่มันสามารถละลายชั้นปกป้อง และทำปฎิกิริยากับส่วนต่างๆได้ก็เท่านั้น

เพราะฉะนั้น รถที่ทนแก๊สคือ รถที่ทนความร้อน รองรับแรงดัน อะไรต่างๆ ได้มากกว่า
รถที่ทน E85 คือ รถที่ชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ทำปฏิกิริยากับเอทานอลครับ


อันที่จริงต้องดูพวก ค่าออกเทน จุดวาบไฟ ความจุความร้อนจำเพาะของแต่ละสาร แล้วนำมาวิเคราะห์ดูกับเครื่องแต่ละตัวอีก
เพราะ แก็สจะหัวฉีดไหนมันก็ออกมาเป็นแก๊ส ไหม้เร็วเท่ากันหมด แต่น้ำมันและ E85 ขึ้นอยู่กับขนาดที่หัวฉีดสามารถฉีดออกมาได้ด้วย หยดใหญ่กว่าก็น่าจะเผาไหม้ได้ช้ากว่า
ความร้อนที่เกิดขึ้น และแรงอัดก็ไม่เท่ากันละ

เดาตามหลักวิศวะล้วนๆครับ ไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้ มีแค่ทฤษฎีรวมๆ ผิดถูกยังไงขออภัยครับ


ตามนี้เลยครับ  ;)
หัวข้อ: Re: รถที่เติม E85 ได้ จะทนแก๊สกว่ารถ ที่เติมไม่ได้ หรือเปล่าครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Slipknot` ที่ พฤษภาคม 10, 2013, 10:32:00
ในแง่ของวิศวะกรรม ผมตอบไม่ได้ครับ

แต่ในทางความเป็นจริงแล้ว คนใช้รถเติม E85 ได้ คงไม่สนใจอยากเอารถไปติดแก๊สหรอกครับ และรถที่รองรับ E85 จากโรงงาน ยังถือเป็นเรื่องใหม่ในบ้านเรา และยังมีจำนวนไม่มาก ทำให้ไม่มีโมเดลจากการทดสอบจริงที่จะตอบคำถามข้อนี้ได้ครับ

รอผู้รู้มาตอบในทางทฤษฎีให้ฟังครับ ;D

เพื่อนผมออก CR-V G4 ได้สองวันก้อติดแก๊ซเลยครับ. มันยุ ตจว. หาE85 เติมไม่ได้ แต่ปั๊มLPG นี่หาง่ายยัง 7-11 เลยครับ

นี่แหละครับปัญหา หาที่เติมไม่ได้ ติดแก๊สซะเลย ประหยัดสุดๆ
หัวข้อ: Re: รถที่เติม E85 ได้ จะทนแก๊สกว่ารถ ที่เติมไม่ได้ หรือเปล่าครับ
เริ่มหัวข้อโดย: AMG GT ที่ พฤษภาคม 10, 2013, 12:30:49
ขอบคุณ มากๆครับ ได้ความรู้เยอะเลย ;D
หัวข้อ: Re: รถที่เติม E85 ได้ จะทนแก๊สกว่ารถ ที่เติมไม่ได้ หรือเปล่าครับ
เริ่มหัวข้อโดย: kendo393 ที่ พฤษภาคม 10, 2013, 12:44:47
รถผมเติมE85ได้. ยังติดแก๊สเลยครับ. ออกตจว.บ่อยLPGดีที่สุด
หัวข้อ: Re: รถที่เติม E85 ได้ จะทนแก๊สกว่ารถ ที่เติมไม่ได้ หรือเปล่าครับ
เริ่มหัวข้อโดย: sukhontha ที่ พฤษภาคม 10, 2013, 17:20:57
ทั้งเกี่ยวและไม่เกี่ยวครับ  ส่วนที่เกี่ยวคือ รถประเภทนี้สามารถปรับแคมไอดี ไอเสียให้สัมพันธ์กับ อ็อกเทนเชื้อเพลิงได้  ทำให้ค่าการเผาใหม้พอดี..แต่ อี 85 ค่าอ็อกเทนต่ำกว่า 95  แทนที่จะปรับไฟแก่ก็เป็นปรับไฟให้อ่อน lpg  ปรับไฟให้แก่กว่า 95 ซึ่งอยู่ที่แคมคุณปรับไฟได้ถึงหรือไม่....หากถึงก็สุดยอด ....ส่วนบ่าวาล์ว อยู่ที่การออกแบบ ของแต่ละยี่ห้อครับ  (คิดต่อเอาเอง)
หัวข้อ: Re: รถที่เติม E85 ได้ จะทนแก๊สกว่ารถ ที่เติมไม่ได้ หรือเปล่าครับ
เริ่มหัวข้อโดย: popdemonic ที่ พฤษภาคม 10, 2013, 19:47:13
ทั้งเกี่ยวและไม่เกี่ยวครับ  ส่วนที่เกี่ยวคือ รถประเภทนี้สามารถปรับแคมไอดี ไอเสียให้สัมพันธ์กับ อ็อกเทนเชื้อเพลิงได้  ทำให้ค่าการเผาใหม้พอดี..แต่ อี 85 ค่าอ็อกเทนต่ำกว่า 95  แทนที่จะปรับไฟแก่ก็เป็นปรับไฟให้อ่อน lpg  ปรับไฟให้แก่กว่า 95 ซึ่งอยู่ที่แคมคุณปรับไฟได้ถึงหรือไม่....หากถึงก็สุดยอด ....ส่วนบ่าวาล์ว อยู่ที่การออกแบบ ของแต่ละยี่ห้อครับ  (คิดต่อเอาเอง)

ลองเช็คข้อมูลใหม่ดูครับ E85=Ron 105 ,E100=RON115  ส่วนLPG=RON100-105 จากการใช้งานจริง E85 สามารถAdvance องศาไฟได้มากกว่าLPG ส่วนหนึ่ง

อาจมาจากE85 มันเย็นกว่าLPG ครับ LPG ถ้าตั้งAdvance ไฟแก่ๆมากๆมีโอกาสน๊อคได้เหมือนกัน(E85 ถ้าไปตั้งให้มันRetardมากๆคุณก็จะไม่ได้ประโยชน์

ผลพลอยได้ของการใช้เชื้อเพลิงที่มีการต้านการชิงจุดมากขึ้นเลยครับ) จุดที่เป็นจุดอ่อนของน้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอลคือ

มันAttractความชื้น รถยนต์ที่มีถังน้ำมันเป็นโลหะ(น่าจะรุ่นหลาย10ปีที่แล้ว) หากแช่น้ำมันเชื้อเพลิงประเภทนี้นานๆ จะมีโอกาสเกิดสนิมได้ครับ แต่รถปัจจุบัน

ถังน้ำมันเป็นพลาสติก หมดแล้วครับเพราะฉะนั้นปัญหานี้ก็จบไป ในบราซิลใช้น้ำมันที่มีเอทานอลมา30ปีแล้วครับ  
หัวข้อ: Re: รถที่เติม E85 ได้ จะทนแก๊สกว่ารถ ที่เติมไม่ได้ หรือเปล่าครับ
เริ่มหัวข้อโดย: sukhontha ที่ พฤษภาคม 11, 2013, 05:41:47

ทั้งเกี่ยวและไม่เกี่ยวครับ  ส่วนที่เกี่ยวคือ รถประเภทนี้สามารถปรับแคมไอดี ไอเสียให้สัมพันธ์กับ อ็อกเทนเชื้อเพลิงได้  ทำให้ค่าการเผาใหม้พอดี..แต่ อี 85 ค่าอ็อกเทนต่ำกว่า 95  แทนที่จะปรับไฟแก่ก็เป็นปรับไฟให้อ่อน lpg  ปรับไฟให้แก่กว่า 95 ซึ่งอยู่ที่แคมคุณปรับไฟได้ถึงหรือไม่....หากถึงก็สุดยอด ....ส่วนบ่าวาล์ว อยู่ที่การออกแบบ ของแต่ละยี่ห้อครับ  (คิดต่อเอาเอง)

ลองเช็คข้อมูลใหม่ดูครับ E85=Ron 105 ,E100=RON115  ส่วนLPG=RON100-105 จากการใช้งานจริง E85 สามารถAdvance องศาไฟได้มากกว่าLPG ส่วนหนึ่ง

อาจมาจากE85 มันเย็นกว่าLPG ครับ LPG ถ้าตั้งAdvance ไฟแก่ๆมากๆมีโอกาสน๊อคได้เหมือนกัน(E85 ถ้าไปตั้งให้มันRetardมากๆคุณก็จะไม่ได้ประโยชน์

ผลพลอยได้ของการใช้เชื้อเพลิงที่มีการต้านการชิงจุดมากขึ้นเลยครับ) จุดที่เป็นจุดอ่อนของน้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอลคือ

มันAttractความชื้น รถยนต์ที่มีถังน้ำมันเป็นโลหะ(น่าจะรุ่นหลาย10ปีที่แล้ว) หากแช่น้ำมันเชื้อเพลิงประเภทนี้นานๆ จะมีโอกาสเกิดสนิมได้ครับ แต่รถปัจจุบัน

ถังน้ำมันเป็นพลาสติก หมดแล้วครับเพราะฉะนั้นปัญหานี้ก็จบไป ในบราซิลใช้น้ำมันที่มีเอทานอลมา30ปีแล้วครับ 


   ขอบคุณครับที่ให้ความรู้  แต่ที่ผมจะอธิบาย ไม่ใช่โต้เถียง แแต่อยากให้มองอีกมุมหนึ่ง...
    1.  สิ่งที่คุณอธิบายมา ถูกต้องเกือบหมด ยกเว้นค่า อี 85 กับ แก๊ส สลับกัน  ค่าวิ่งคือ อี 85 ครับ
    2.  เหตุผลที่ผมบอกว่า อี 85 อ๊อกเทนต่ำกว่า ก็ไม่ใช่เรื่องของข้างบนแต่เป็นเรื่องที่ต้องตอบ(ในทางปฏิบัติ ไม่ใช่ทฤษฎี) ดังนี้
        -  ทำไม ค่าอ๊อกเทนไม่นิ่ง...
        -  คุณสมบัติของแอลกอฮอล์ที่ไม่ต้องการคืออะไร
        -  ทำไมเมื่อเติมน้ำมันตัวนี้ไว้ในถังนานๆ ...ไม่เติมเพิ่ม แล้วเวลาสตาร์ท จึงลากยาว  และเหมือนกับวิ่งอืดลงกว่าเดิม
          ฯลฯ...
     เหตุผลหลาย ๆ อย่างทำให้ค่าอ๊อกเทน มันแปรเปลี่ยนไป มีอยู่สาเหตุเดียว คือ ไอน้ำในอากาศ..
     หาก คุณยิ่งเก็บไว้นานเท่าไร  อ๊อกเทนจะยิ่งต่ำลง  ๆ เนื่องจากน้ำที่ถูกดูดเข้าไปอยู่ในตัวมันเองทำให้ค่าแปรเปลี่ยนไปเป็นเลวลง  แต่หากเมื่อไรวันสองวัน เติม คุณจะไม่รู้สึกถึงเรื่องนี้ แต่หากคุณเติมททีหนึ่งข้ามสัปดาห์  ต้นสัปดาห์ กับปลายสัปดาห์ มันจะแสดงความแตกต่างให้คุณเห็น
     แล้วทำไม  อี 85 จึงมีค่าอ๊อเทนแปรผัน?   คำตอบก็คือ แอลกอฮอล์ที่กลั่นออกมา บริสุทธิ์ก็จริงอยู่  แต่การสต็อค ทำให้มีการสะสมไอน้ำบ้าง จึงทำให้ค่าไม่คงที่
    แล้วคุณไม่คิดหรือว่าเมื่อถึงผู้ใช้ จะเหลืออ็อกเทนเท่าไร?

    หากคุณอธิบายเรื่องนี้ให้ผมเข้าใจได้ผมยอมรับครับ

     เหตุผลตามข้างบนนี้ทำให้  ผมเชื่อว่า น้ำมันที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ที่น่าใช้ที่สุด ค่าอ๊อกเทนสูงที่สุด มีค่าแปรผันน้อยที่สุด คือ  อี 20 เท่านั้น ซึ่งใกล้เคียงกับ  95 และเก็บไว้ได้นานกว่า  ครับ
   
หัวข้อ: Re: รถที่เติม E85 ได้ จะทนแก๊สกว่ารถ ที่เติมไม่ได้ หรือเปล่าครับ
เริ่มหัวข้อโดย: popdemonic ที่ พฤษภาคม 11, 2013, 08:39:14

ทั้งเกี่ยวและไม่เกี่ยวครับ  ส่วนที่เกี่ยวคือ รถประเภทนี้สามารถปรับแคมไอดี ไอเสียให้สัมพันธ์กับ อ็อกเทนเชื้อเพลิงได้  ทำให้ค่าการเผาใหม้พอดี..แต่ อี 85 ค่าอ็อกเทนต่ำกว่า 95  แทนที่จะปรับไฟแก่ก็เป็นปรับไฟให้อ่อน lpg  ปรับไฟให้แก่กว่า 95 ซึ่งอยู่ที่แคมคุณปรับไฟได้ถึงหรือไม่....หากถึงก็สุดยอด ....ส่วนบ่าวาล์ว อยู่ที่การออกแบบ ของแต่ละยี่ห้อครับ  (คิดต่อเอาเอง)

ลองเช็คข้อมูลใหม่ดูครับ E85=Ron 105 ,E100=RON115  ส่วนLPG=RON100-105 จากการใช้งานจริง E85 สามารถAdvance องศาไฟได้มากกว่าLPG ส่วนหนึ่ง

อาจมาจากE85 มันเย็นกว่าLPG ครับ LPG ถ้าตั้งAdvance ไฟแก่ๆมากๆมีโอกาสน๊อคได้เหมือนกัน(E85 ถ้าไปตั้งให้มันRetardมากๆคุณก็จะไม่ได้ประโยชน์

ผลพลอยได้ของการใช้เชื้อเพลิงที่มีการต้านการชิงจุดมากขึ้นเลยครับ) จุดที่เป็นจุดอ่อนของน้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอลคือ

มันAttractความชื้น รถยนต์ที่มีถังน้ำมันเป็นโลหะ(น่าจะรุ่นหลาย10ปีที่แล้ว) หากแช่น้ำมันเชื้อเพลิงประเภทนี้นานๆ จะมีโอกาสเกิดสนิมได้ครับ แต่รถปัจจุบัน

ถังน้ำมันเป็นพลาสติก หมดแล้วครับเพราะฉะนั้นปัญหานี้ก็จบไป ในบราซิลใช้น้ำมันที่มีเอทานอลมา30ปีแล้วครับ 


   ขอบคุณครับที่ให้ความรู้  แต่ที่ผมจะอธิบาย ไม่ใช่โต้เถียง แแต่อยากให้มองอีกมุมหนึ่ง...
    1.  สิ่งที่คุณอธิบายมา ถูกต้องเกือบหมด ยกเว้นค่า อี 85 กับ แก๊ส สลับกัน  ค่าวิ่งคือ อี 85 ครับ
    2.  เหตุผลที่ผมบอกว่า อี 85 อ๊อกเทนต่ำกว่า ก็ไม่ใช่เรื่องของข้างบนแต่เป็นเรื่องที่ต้องตอบ(ในทางปฏิบัติ ไม่ใช่ทฤษฎี) ดังนี้
        -  ทำไม ค่าอ๊อกเทนไม่นิ่ง...
        -  คุณสมบัติของแอลกอฮอล์ที่ไม่ต้องการคืออะไร
        -  ทำไมเมื่อเติมน้ำมันตัวนี้ไว้ในถังนานๆ ...ไม่เติมเพิ่ม แล้วเวลาสตาร์ท จึงลากยาว  และเหมือนกับวิ่งอืดลงกว่าเดิม
          ฯลฯ...
     เหตุผลหลาย ๆ อย่างทำให้ค่าอ๊อกเทน มันแปรเปลี่ยนไป มีอยู่สาเหตุเดียว คือ ไอน้ำในอากาศ..
     หาก คุณยิ่งเก็บไว้นานเท่าไร  อ๊อกเทนจะยิ่งต่ำลง  ๆ เนื่องจากน้ำที่ถูกดูดเข้าไปอยู่ในตัวมันเองทำให้ค่าแปรเปลี่ยนไปเป็นเลวลง  แต่หากเมื่อไรวันสองวัน เติม คุณจะไม่รู้สึกถึงเรื่องนี้ แต่หากคุณเติมททีหนึ่งข้ามสัปดาห์  ต้นสัปดาห์ กับปลายสัปดาห์ มันจะแสดงความแตกต่างให้คุณเห็น
     แล้วทำไม  อี 85 จึงมีค่าอ๊อเทนแปรผัน?   คำตอบก็คือ แอลกอฮอล์ที่กลั่นออกมา บริสุทธิ์ก็จริงอยู่  แต่การสต็อค ทำให้มีการสะสมไอน้ำบ้าง จึงทำให้ค่าไม่คงที่
    แล้วคุณไม่คิดหรือว่าเมื่อถึงผู้ใช้ จะเหลืออ็อกเทนเท่าไร?

    หากคุณอธิบายเรื่องนี้ให้ผมเข้าใจได้ผมยอมรับครับ

     เหตุผลตามข้างบนนี้ทำให้  ผมเชื่อว่า น้ำมันที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ที่น่าใช้ที่สุด ค่าอ๊อกเทนสูงที่สุด มีค่าแปรผันน้อยที่สุด คือ  อี 20 เท่านั้น ซึ่งใกล้เคียงกับ  95 และเก็บไว้ได้นานกว่า  ครับ
   

-น้ำมันเชื้อเพลิง 95 หรือE10 ก็มีส่วนผสมของน้ำและดูดน้ำได้เช่นกัน
-E85 จะต้องAdvance /Retard ทำไมจึงต้องAdvance ไม่ใช่Retard คำตอบมันมาจากอ๊อกเทนในตัวมันเอง
-เรื่องสตาร์ทลากยาว ผมไม่เคยเจอครับ เพื่อนๆกันก็ไม่มีใครเคยเจอครับ การที่มันลากยาวไม่ได้มีผลมาจาก
  น้ำมันE85 มีอ๊อกเทนที่ต่ำกว่า การจุดสตาร์ทเครื่องยนต์ จุดที่สำคัญคือ E85 ต้องการปริมาณน้ำมาณมากขึ้น
   Cranking Volumetric Efficiency จึงจำเป็นต้องมีมากขึ้น เป็นเรื่องปกติ สมมติ Crank VE ของE10 คือ 100
   Crank VE ของ E85ควรจะมี120-130 เป็นเรื่องปกติ
-จุดที่สังเกตง่ายๆ หากคุณเชื่อว่า E85 มีค่าอ๊อกเทน ไม่นิ่ง ตรงนี้ผมเห็นด้วย แต่จุดที่ผมไม่เห็นด้วยคือยังไงก็ตาม
  ค่าอ๊อกเทนของE85 ก็ยังสูงกว่า Gasohol95 ว่ายังไงมันต้องสูงกว่า
  เพราะถ้ามันมีอ๊อกเทนน้อยกว่า ผมคงไม่ใช้มันเพราะbenefits ที่ผมต้องการจากน้ำมันE85 คือ
  ความเย็นและค่าอ๊อกเทนของมัน และป่านนี้เครื่องยนต์ผมพังไปนานโขแล้วครับ
-ตารางองศาไฟของจริงๆของน้ำมันเชื้อเพลิงE85 VS Gasohol95 ถ้าคุณเคยจูนรถเองคุณจะทราบทันทีว่า
  E85 สามารถAdvance องศาไฟมากขึ้นจนถึงจุดที่Gasohol ไม่มีทางทำได้ครับ ภาษาชาวบ้านคือตั้งไฟแก่
  มากๆใช้E85 ไม่น๊อค แต่ใช้E10 น๊อคสนั่น แค่นี้ก็พอระบุได้ว่าน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดไหนมีค่าอ๊อกเทนที่สูงกว่ากัน
  ตรงนี้ผมจะออกตัวไว้แบบนี้คือผมassume ว่าปัจจัยเรื่องambience temp,etc ต่างๆอยู่ในค่าเดียวกันนะครับ
   เดี๋ยวจะกลายเป็นว่ามีตัวแปรอื่นส่งผลให้น๊อคง่าย-อีก