ก่อนอื่นต้องสวัสดีพี่จิมมี่ ทีมงาน HLM ทุกคน และพี่ๆสมาชิก HLM ทุกๆคนนะครับ
ผมได้ติดตามข่าวสารผลงานของ HLM อยู่ตลอดเวลา มาประมาณ 3 ปี(ตั้งแต่รู้จักที่นี่) และเข้ามา(แอบ)อ่านกระทู้เกือบๆจะทุกหัวข้อ ตั้งแต่ตื่นนอน กินข้าว ก่อนอาบน้ำ หลังอาบน้ำ ในระหว่างทำงาน เลิกงาน แม้กระทั่งตอนนั่งอึ หรือกำลังกินหมูกะทะอยู่ก็ตาม จนสุดท้ายก่อนหลับคา iPad มาเป็นระยะเวลาเกือบจะ 1 ปี โดยที่ไม่เคยสมัครสมาชิก เพื่อแสดงความคิดเห็นอเะไรเลย(เพราะอะไรยังไม่บอก... ^_^ )
ที่ผมจั่วหัวกระทู้ค่อนข้างได้น่าหมั่นไส้(หรือเปล่า) ก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แค่อยากให้พี่ๆสนใจเข้ามาอ่านเรื่องราวที่ค่อนข้างจะดราม่าสักเล็กน้อย(หรอ) แล้วช่วยแนะนำเป็นแนวทางในการตัดสินใจในครังนี้ ไม่ได้มีเจตนาอื่นใดเลยจริงๆครับ :D
เกริ่นมาสะก็เกือบจะยาวแล้ว เข้าเรื่องเลยนะครับ
คำถาม : ควรจะซื้อรถอะไรดี ถ้าเรื่องราวเป็นแบบนี้... ::)
(กรณีไม่อยากอ่านเรื่องราวดราม่ายืดยาวที่จับต้นชนปลายไม่ถูก อ่านโจทย์ที่กระทู้ที่ 2 สีน้ำเงินด้านล่างเลยก็ได้ครับ แต่ผมเชื่อว่าคำตอบที่ได้ น่าจะไปคนละแนวทาง :D )
เรื่องก็มีอยู่ว่า....
พ่อกับแม่ผม จบ ป.4 ด้วยกันทั้งคู่ ที่ อ.เนินมะปราง พิษณุโลก อาชีพที่ติดตัวมาก็คือ การทำนาปลูกข้าว เลี้ยงวัวควาย ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่เกิด จะมีแค่พี่สาวกับพี่ชาย ที่กำลังคลานเตาะแตะตามกันอยู่ บ้านที่อาศัยก็เป็นแค่กระท่อมหลังคาหญ้าแฝกธรรมดา ที่ไม่รู้ว่าจะพังวันไหนเวลาเจอฟ้าฝนบ้านนอกแรงๆ และรถคันแรกในครอบครัวที่แม่เป็นคนซื้อคือ "จักรยานที่มีล้อโตๆ" ขอบ 20" เห็นจะได้(ใหญ่กว่า Eco car สมัยนี้มากๆ) มีตระกร้าหน้ารถที่พอจะใส่ปลาได้สักสองกิโล ที่พ่อเป็นคนไปหาตามคูคลองแถวๆบ้าน มีที่นั่งซ้อนท้าย ที่เอาไว้ให้แม่กับลูก 1 คนนั่ง อีกคนขี่คอแม่ ไปไหนมาไหนกัน 4 คน แบบแฮปปี้เก๋ไก๋สไลเดอร์มากๆ แม่บอกแบบนั้น น่าเสียดายมากที่รัฐบาลไม่มีโครงการสนับสนุนจักรยานคันแรกในตอนนั้น ;D แม่บอกว่าทำนากันอยู่ประมาณ 2 ปี แล้วไม่มีทีท่าว่าจะรวยได้ตรงไหน แม่ผมมีตรรกะที่ว่าทำนาไปก็ไม่รวย จะจมปรักอยู่แบบนี้ทำไม เลยพากันย้ายครอบครัวไปทำไร่ข้าวโพดที่กำแพงเพชร ซึ่งก็ไม่พลาดที่จะเอาจักรยานคันนั้นขึ้นรถเมย์ไปด้วยตอนย้ายสัมมโนครัว ไร่ที่ทำในตอนนั้นซื้อต่อมาจากชาวไร่แถวนั้นถูกๆ แม่บอกกับพ่อไว้ว่า ถ้าทำไร่ 2 ปีไม่มีอะไรดีขึ้นก็จะกลับบ้านเกิด และหลังจากนั้น 2 ปี แม่ก็ต้องกลับบ้านเกิดจริงๆ เพราะไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ก็เลยขายที่คืนชาวบ้านแถวนั้นไป
(http://www.velamall.com/classifieds/img/l_129415550557.jpg)
(รูปแทน)
เมื่อกลับมาถึงบ้านเกิดพร้อมกับจักรยานคู่ใจ แม่ก็หันมาเอาดีกับการเลี้ยงวัว อยู่ประมาณ 3 ปี พร้อมกับเผาถ่าน ขายถ่าน โดยใช้ปี๊ป(ขนมปัง)ตวงขาย เป็นอาชีพเสริม เมื่อทำไปได้สักระยะ แม่ก็เริ่มมีความคิดแบบเดิมๆคือ ไม่มีทางจะรวยได้เลย แม่เลยขายวัวทิ้งหมดยกคอก แล้วมาทำการเลี้ยงหมูแทน เลี้ยงอยู่พักใหญ่ๆ แม่ก็เริ่มเก็บเงินได้ จนถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนยานพาหนะกันได้แล้ว และรถคันที่สอง ที่แม่ซื้อก็คือ "มอเตอร์ไซต์ suzuki รุ่น RC100" (ซึ่งใช้มาจนถึงปัจจุบันและได้ยกให้กับญาติไปแล้ว และผมก็เห็นมันอยู่ทุกๆวันเพราะญาติคนนี้มาบ้านผมเกือบทุกวัน เนื่องจากเป็นน้องย่าผมนั่นเอง) หลังจากที่แม่มีรถคันที่สอง ก็ได้ทำการเลิกอาชีพเลี้ยงหมูขาย เพราะแม่บอกว่า เห็นมันทรมานตอนโดนเชือดคอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว และใครจะไปคิดว่า อาชีพต่อไปที่ครอบครัวผมทำ มันแสนจะน่าสยองสุดสะพรึงขนาดนี้ นั่นก็คือ "ขายหนังงู" พี่ๆอ่านไม่ผิดหรอกครับ ขายหนังงู งูที่เลื้อยไปเลื้อยมานี่แหละครับ แล้วจับมันมาเลาะหนังออกจากโครงกระดูกของมัน แล้วเอาหนังงูไปตากแดดจนขึ้นลายสวย แล้วขายให้กับพ่อค้าคนกลาง ซึ่งก็จะถูกส่งต่อไปทำเป็น กระเป๋า เข็มขัด เครื่องหนังต่างๆ ที่ผมไม่ยักกะเห็นในสมัยนี้แหะ ก่อนที่แม่จะทำอาชีพนี้ แม่ได้บนบานศาลกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ว่า ถ้าเก็บเงินได้หลักแสน (ในสมัยที่ก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 สตางค์) แม่จะเลิกทำอาชีพนี้ เพราะมันเป็นอาชีพที่คร่าชีวิตสิ่งที่คนไทยบางคนกราบไหว้บูชา (คร่า แปลว่า เอาชีวิต มีความหมายลึกซึ้งกว่าคำว่า ฆ่า)
(http://www.s2549.com/img/p/390-1091-thickbox.jpg)
(รูปแทน)
และในที่สุดอาชีพนี้ก็ได้ทำการพลิกผลัน ครอบครัวของผม ครั้งที่ 1 จนแม่เก็บเงินแสนได้จริงๆ จนต้องจ้างหนังกลางแปลง ฉายหนังจินตหรา เฉินหลง พร้อมตบท้ายด้วยหนัง....ที่เด็กดูไม่ได้ มาให้คนแก่เด็กเล็กเด็กแดงดูกันจนตาฉ่ำตาแฉะยันเช้า เพื่อแก้บน! เมื่อได้เงินก้อนนั้นมาแม่ผมก็ได้ทำการออกรถคันที่ 3 ของบ้าน แต่ไม่ใช่รถทั่วไปนะครับ แต่เป็นรถที่ใช้หากินได้ นั่นคือ "รถสิบล้อหน้ายา isuzu" ที่ตอนนี้ผมก็จำชื่อรุ่นไม่ได้แล้ว ซึ่งเป็นรถมือสองที่ซื้อต่อจากใครมาผมก็ยังไม่รู้
หลังจากนั้นมาครอบครัวผมก็ค่อยๆมีฐานะขึ้น จนแม่ผมซื้อรถยนต์นั่งคันแรกได้ ในระดับตำบล(คงไม่ถึงกับคันแรกในอำเภอ) นั่นคือ "Toyota Mighty X" ซึ่งครอบครัวผมเรียกมันว่า "อีเขียว" เพราะสีของมันเขียวปี๊ขี้เป็ดมากๆ แม่บอกว่าตอนนั้น ดาวน์มา 6 หมื่น ส่งเดือนละ 7 พัน(ถ้าเงินสด 310,000) โดยไม่มีเอกสารอะไรไปออกรถเลยนอกจากบัตรประชาชน และทะเบียนบ้าน แต่ที่ซื้อได้เพราะมีญาติไปค้ำให้ พร้อมกับช่วงนั้นแม่ก็ได้คลอดผมพอดี(แต่ตอนคลอดนั่งรถสิบล้อไปคลอดที่ รพ. :'( ) ผมคิดว่าผมโชคดีมากๆที่เกิดมาก็ได้นั่งรถยนต์เป็นคันแรกในชีวิตเลย สลับกับนั่งหน้า Suzuki RC100 ไปด้วยในตอนเด็กๆ ลืมบอกไปว่า อาชีพหลักในตอนนั้นของพ่อก็คือ รับจ้างลากพืชไร่ทั่วไป ส่วนแม่เลี้ยงผมอยู่กับบ้าน ตอนผมเป็นเด็กผมมีประวัติกับเจ้าอีเขียวมาก เพราะเวลาที่ผมนอนหลังแค็บ พ่อก็ขับรถไปบ่อยครั้งที่พ่อผมเบรคแรงๆ จนผมกลิ้งสามตลบตกลงมาที่วางเท้า พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ก 3 ขวบว่า "อ้วนขับรถไม่ดีเลย" (ตอนผมเป็นเด็กผมจะเรียกชื่อของพ่อ ไม่ได้เรียกพ่อว่าพ่อ) และหลังจากนั้นไม่กี่ปีแม่ผมก็เก็บเงินก้อนได้จำนวนหนึ่ง บวกกับพ่อเริ่มดูข้าวเป็น ซื้อข้าว ขายข้าวเป็น (พ่อค้าคนกลาง) จึงได้ออกรถสิบล้อมือสองมาอีกคัน รวมในตอนนั้นบ้านผมก็มี รถยนต์ 1 คัน มอเตอร์ไซต์ 1 คัน และรถสิบล้อเก่า 2 คัน ส่วนจักรยานคู่ใจในตำนานผมไม่เห็นมันแล้วในตอนนั้น
(http://www.weekendhobby.com/offroad/toyota/picture/59255073522.jpg)
(รูปแทน)
เมื่อพ่อเริ่มเป็นพ่อค้าคนกลางอย่างเต็มตัว โดยอาศัยเช่าโรงสี ท่าข้าว(ลานข้าว)คนอื่นซื้อข้าว พ่อก็อยากได้รถใหม่ จึงได้ซื้อรถยนต์อีก 1 คัน นั่นคือ "Toyota Tiger 3.0" โฉมแรก และเป็นคันแรกๆ ที่เปิดตัวที่ศูนย์ Toyota พิจิตร ในตอนนั้นผมก็เริ่มสนใจเรื่องรถขึ้นมาบ้างแล้ว(ประมาณ10 ขวบ) รถคันนี้พ่อใช้วิ่งทำงาน ไปนู่นมานี่ ระยะทางไม่ไกลมาก พิษณุโลก-พิจิตร-นครสววรค์ ระแวกนี้ ส่วนอีเขียวก็จอดประจำการอยู่บ้านกับผมและแม่
และจากนั้นมาพ่อกับแม่ก็ตกลงกันว่าจะเปิดท่าข้าวรับซื้อข้าวเป็นของตัวเอง จึงได้ทำการกู้เงินธนาคาร มาจำนวนหนึ่ง พร้อมกับออกรถพ่วงเก่าๆ 1 คัน หลังจากนั้นที่บ้านก็มีธุรกิจแบบเต็มตัว ซึ่งการทำงานที่บ้านผมจะทำกันเองไม่ได้จ้างลูกน้อง พ่อกับแม่เป็นคนซื้อข้าว ขับรถตักข้าว ตากข้าว กันเองทั้งหมด จะมีเพียงจ้างคนขับรถพ่วง กับรถสิบล้อ เท่านั้น เป็นธุรกิจ SME ครอบครัวขนาดเล็กนั่นเอง
(http://www.rumruay.com/img/781/3a4/7813a409fcbb728207624fe8ec08e50d_0.jpg)
(รูปแทน)
หลังจากนั้นมา พ่อก็ได้ทำการขาย "อีเขียว" หรือ Mighty X ที่อยู่คู่กับครอบครัวผมมานาน 14 ปี ซึ่งไม่เคยชนอะไรเลยแม้แต่ครั้งเดียว และก่อนขายก็เอาไปทำสีใหม่ทั้งคันให้เจ้าของคนใหม่ เพราะสีมันซีดสะเหลือเกิน จนจะเรียกมันว่าอีซีด มากกว่าอีเขียวแล้ว ซึ่งคนที่ซื้อไปก็อยู่ในอำเภอใกล้ๆบ้าน ผมก็มีโอกาศได้เห็นมันบ้างปีละครั้งสองครั้ง ตามบนท้องถนน จากนั้นพ่อก็นำเงินไปดาวน์คันใหม่ นั่นคือ Tiger D4D 2.5 ในตอนนั้นที่บ้านก็มี Tiger ตัวแรก กับ D4D ซึ่งพ่อก็สลับๆกันใช้อยู่หลายปี
(http://www.truck2hand.com/resource/innoforum_upload/large21/261170/topics/images_26117016661591344772289.jpg)
(รูปแทน)
และในขณะนั้นพี่ชายผม(มีไม่เคยเอ่ยถึงมาก่อนหน้านี้สักเท่าไร)ก็เริ่มมีงานทำเป็นฝั่งเป็นฝา หาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงตนเอง ขายของตามงานตามตลาดนัด จนในระยะเวลาเดือนเดียวเก็บเงินได้ 8 หมื่น แล้วแกก็ไปถอย CIVIC FD 1.8S มาเซอร์ไพรสสสสสส์ ที่บ้าน! จนทุกคนงงว่ารถใคร โดยเฉพาะผมเพราะมันเป็นรถในฝันผมเลยตอนนั้น รถอะไรยังกับยานอวกาศ ภายในล้ำที่สุดในความคิดผมตอนนั้น ซึ่งมันได้มาอยู่ตรงหน้าผมแล้วเล่นเอาหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลยทีเดียว และทุกคนยิ่งงงกันกว่านั้น เพราะพี่ชายผมใช้เงิน 8 หมื่นไปดาวน์มันมาได้อย่างไรที่ศูนย์ Honda สุโขทัย... และในไม่นานนั้นเอง ก็ถึงเวลาที่ Toyota ปฏิวัติวงการรถกระบะในไทยนั่นคือ เปิดตัว VIGO ออกมาสู่สายตาประชาชีเล่นเอาทุกคนที่บ้านอ้าปากค้าง รถกระบะอะไรหน้ายังกะรถเก๋ง และแน่นอนแม่ผมก็ได้ทำการ ถอย VIGO 3.0G ให้พี่ชายด้วยการออกเงินดาวน์ให้และให้พี่ชายส่งเอาเอง ซึ่งมันเป็นเหตุให้พ่อผมอยากได้อีกคนขึ้นมาทันที เป็นเหตุให้ต้องปล่อย Tiger 3.0 ให้กับเต๊นท์ที่ อ.สากเหล็ก เพาะดูแล้วแกคงอยากได้รถไวไว จึงต้องรีบปล่อยคันเก่าไวไว เลยไปจบที่เต๊นท์มากกว่าจะขายให้ชาวบ้านทั่วไป หลังจากนั้นแม่ก็ถอย VIGO 4X4 3.0G 4 ประตู สีดำป้ายแดง ซึ่งต่อมาที่บ้านเรียกว่า "อีดำ" พ่อใช้ประจำการอยู่พักใหญ่ด้วยราคาเกือบแตะหลักล้าน(ถ้าซื้อเงินสด) และแน่นอนที่บ้านผมไม่เคยซื้อรถเงินสดสักคัน! เพราะแม่บอกว่า เราสามารถเอาเงินก้อนมาหมุนในธุรกิจ ซึ่งกำไรที่ได้จากงเินก้อนนั้น มันมากกว่าดอกเบี้ยที่เราจะเสียในการผ่อนรถมากโข! เออ...จิงแหะ ความคิดของคนจบ ป.4 นะเนี่ย ดูก้าวไกลกว่าคนที่เรียนปริญญาบนกระดาษอย่างผมเยอะเลย ;D
(http://e3.isanook.com/df/4/ui/post/2013/09/09/0/b/62240cbf373b36b56f28ca65e0cf821b.jpeg)
(รูปแทน)
หลังจากที่ครอบครัวผมไปไหนมาไหนด้วยกันทั้งครอบครัวด้วยรถกระบะ VIGO 4x4 จนมีอยู่วันนึงแม่ผมคอเขล็ด จากการฝัดเหวี่ยงของรถคันนี้ ตอนที่ไปน้ำตกคลองลาน จ.กำแพงเพชร จนแม่ผมเข็ดไม่ค่อยอยากนั่งรถคันนี้อีกเลย ผมเลยไปไหนมาไหนกับแม่ ด้วย D4D ตลอด ส่วน "อีดำ" พ่อจึงใช้อยู่คนเดียว ทำให้ตั้งแต่นั้นมา D4D เป็นรถที่ผมใช้เป็นหลัก หรือเป็นเจ้าของไปโดยปริยาย และมันก็เป็นรถที่ผมขับเป็นคันแรกสะด้วย ด้วยความคึกคะนองสมัยวัยรุ่นมอปลาย ไปไหนมาไหน เหยียบจมไมล์ตลอด ตันอยู่ที่ 160 km/h ด้วยระยะทางที่ผมใช้ประจำคือเส้น อ.สากเหล็ก - อ.วังทอง พิษณุโลก (ถนนสายอะไรผมจำไม่ได้) ซึ่งเป็นถนน 4 เลนส์ ที่รถวิ่งเลนส์ขวาจะใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 140 km/h แทบจะทุกคัน เพราะถนนสายนี้เป็นเส้นตรงระยะทางกว่า 40 กม. มีโค้งเล็กน้อยไม่ถึง 5 โค้ง และตอนนั้นราคาน้ำมันถูกมากๆ จึงไม่ค่อยแปลกใจที่จะตะบี้ตะบันขับกันขนาดนั้น ซึ่งเมื่อผมมองกลับไป ถือว่าผมโชคดีมากที่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเลย อันตรายจริงๆ กับความเร็ว 160 km/h ด้วยรถกระบะล้อเล็กๆยางหนาๆ รอดมาถึงวันนี้ได้ก็บุญขนาดไหนแล้ว (ด่าตัวเองสักหน่อย) เมื่อผมกำลังจะจบชั้น ม. 6 Honda ได้ทำการเปิดตัว Jazz เป็นรุ่นที่ 2 ซึ่งผมชอบมากๆ แต่ไมไ่ด้ชอบ Jazz เท่าไร ชอบ มาริโอ เมาเร่อ มากกว่า ;D
และในที่สุดจากนั้น แม่ก็ได้ทำการออก Honda Jazz รุ่นท็อป SV สีขาว ให้กับผมเป็นเหมือนรางวัลที่ผมเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์คอมพิวเตอร์ ม.นเรศวร จนได้
หลังจากนั้น 1 ปี แม่ก็ทนไม่ไหวกับ 4X4 ที่โครตจะฟัดเหวี่ยง บวกกับเบรคที่ทื่อมาก ผมเคยขับที่ความเร็ว 40 คันหน้าดันเบรคกระทันหัน ผมเหยียบเต็มกำลัง รถเบรคไม่อยู่จนเกือบจิ้มตูดคันหน้า แม่จึงได้ให้พี่ชายทำการขาย ประกาศผ่านทางเว็บไซต์ หลังจากนั้น 2 วัน มีคนหอบเงินสดมาซื้อถึงบ้านด้วยจำนวนเงิน 650,000 (ถือว่าได้ราคาดีมาก) ไถ่ถามบอกว่ามาจากชลบุรี ซื้อรถไปหนีน้ำท่วม ซึ่ง ณ ตอนนั้น กทม. กำลังกลายเป็นเมืองบาดาล...
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/185712_126835384056016_1799765_n.jpg)
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/231048_408018579271027_1316096077_n.jpg)
แล้วแม่ก็ได้ให้ผมและพี่ชาย ไปจอง D-Max รุ่นใหม่ล่าสุด ที่พึ่งจะเปิดตัวได้ไม่นาน โดยใช้สิทธิ์รถคันแรก ด้วยชื่อผม โดยทำการจองมัดจำไป 1 หมื่นบาท แต่ไปๆมาๆ หวยไปออกที่ Toyota Wish 2.0S สะงั้น แบบแม่ก็งงๆ ด้วยการที่เป็นรถครอบครัวไปไหนมาไหนกันได้เยอะ แล้วเป็นคันเกือบจะสุดท้ายที่ฝ่ายขายหามาให้ได้ ไม่รู้ไปโยกมาจากจังหวัดไหน แม่จึงรีบตัดสินใจซื้อโดยไม่เสียเวลาคิดนาน เพราะมันไม่มีขายอีกแล้ว... และสีที่ได้มาเป็นสีบรอนส์เงิน เพราะเลือกไม่ได้ รุ่นย่อยก็ไม่มีให้เลือก เหลือคันเดียวในประเทศไทยแล้ว (เซลล์บอกมาแบบนั้น) มัดมือชกเลยจริงๆ กับรถราคาเกิน 1 ล้านบาท ในบ้านคันแรก!
แม่ชอบพูดอยู่เสมอ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีความคิดความฝันที่จะได้นั่งรถราคาเกินล้าน (VIGO ก็ว่าแพงแล้ว) เพราะถ้าพี่ๆอ่านมาตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องสงสัยอะไรกันอีกแล้วว่าเพราะอะไรแม่ผมจึงคิดเช่นนั้น จากคนขี่วัวขี่ควาย ดำนาจนเล็บขบเล็บเน่า มาได้ถึงตรงนี้ ต้องมีความอดทนความพยายามและความขยันเพียงไร... ปริญยาอย่างผมก็ไม่อาจเทียบได้แม้แต่เศษเสี้ยวเลย
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash2/t1/149285_103646329708255_3942944_n.jpg?lvh=1)
(แม่ดูมีแฮปปี้มากในวันปีใหม่ มีสมาชิกเพิ่มคือ Toyota Wish 2.0S )
หลังจากนั้นมา พักใหญ่ๆ ก่อน Honda เปิดตัว All New CRV 1 วัน ผมเอา Jazz ไปเช็คระยะ แล้วเหลือบไปเห็น CRV 2.4 4WD สีน้ำเงิน จอดอยู่ในโชว์รูม ผมถึงกับอุทานออกมาว่า เห้ย! อย่างดัง นี่มันรุ่นใหม่นี่นา ยังไม่เปิดตัวไหงมันมาอยู่ตรงหน้าเราแล้วล่ะ? อารมณ์นั้นตื่นเต้นสุดๆ เพราะหน้ามันสวยมากกกกกกก จนผมต้องหยิบโทรศัพท์โทรไปหาพี่ชายที่ผมไปขออาศัยอยู่ด้วยระหว่างเรียน ป ตรี จนแกต้องรีบขับ FD มาดูด้วยตาตนเอง พอแกเห็นเท่านั้นแหละ ตื่นเต้นยิ่งกว่าผม X2 X3 เท่า จนต้องเรียกเพื่อนสนิทผมที่เป็นเซลล์ขายรถอยู่ในศูนย์นั้น มากรอกใบจอง รุ่น 2.0E สีขาวออร์คิด ทั้งๆที่ยังไม่ถึงวันเปิดตัวเสียด้วยซ้ำ ไปด้วยจำนวนเงิน 1 หมื่นบาท และหลังจากนั้น ก็รอ รอ และรอ ผ่านไปเดือนนึงเต็มๆ พี่ชายผมรอไม่ไหว แกไปนั่งค้นหาเบอร์โทรศูนย์ Honda ใน กทม ทุกแห่ง ใน Google และถามด้วยคำถามเดียวกันกับทุกศูนย์ว่า CRV 2.0E สีขาว มีรถเลยไหม แกไล่โทรจนเกือบจะหมดหวัง แต่และแล้วผมก็ได้ยินคำตอบเสียงแผ่วเบา ที่เล็ดลอดออกมาจากลำโพง iPhone พี่ชายผมว่า "มีเลยค่ะ มาออกได้เลย" เย่! พี่ชายผมอุทานออกมาอย่าดัง จากนั้นก็ได้ทำการยกเลิกจองกับเพื่อนผมและได้เงินคืนเต็มจำนวน(ในระยะเวลาหลังจากยกเลิกจองประมาณ 1 เดือน)
หลังจากนั้น 10 วัน เมื่อเอกสารทุกอย่างเรียบร้อย ถึงวันไปรับรถ ผมและพี่ชายพี่สะใภ้ตื่นเต้นกันมากๆ เพราะมันจะเป็นการไปรับรถ ด้วยการนั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรกในชีวิตกัน! ตื่นเต้นมากกว่าจะได้รับรถกันสะอีก All New CRV โดนนกแอร์แย่งซีนไปเต็มๆ ใน ชม. นั้น ;D เมื่อพี่ชายได้รับรถมาแล้ว ก็มีโอกาศได้ให้พ่อลองขับบ้างเป็นครั้งคราว จนพ่อผมน่าจะแอบติดใจชอบใจอยู่ลึกๆ เพราะแกคงเอาไปเปรียบเทียบกับ Wish ที่แกใช้อยู่
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/527497_400873366652215_1216339903_n.jpg)
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/431604_400873433318875_1544757145_n.jpg)
(Camry 2.5G ของเพื่อนครับ)
จากนั้น(อีกแล้ว) ไม่นานมาก ราวๆ 1 ปี ผมกับแม่และพี่ชายไปเดินเล่นที่เซ็นทรัลพิษณุโลกกัน ไปนั่งกิน MK สุกี้แบบครอบครัวปกติทั่วไป และก่อนจะกลับบ้านผมและแม่ก็กำลังจะเดินผ่านบู๊ท Honda ที่พากันยกขบวนไปโชว์ตัว All New Accord 2013 ตัวที่โชว์เป็นสีขาวมุกรุ่น 2.0 NAVI ผมก็ตื่นเต้นมากในระดับหนึ่งไม่มากเท่า All New CRV เพราะก่อนหน้านั้นพักใหญ่ๆชอบไปดูคลิปตามใน Youtube ของ ตปท. มาบ้างแล้ว พอเจอตัวจริงก็ ว๊าวอยู่เหมือนกัน ชอบมากๆ ผมก็พาแม่เข้าไปนั่ง เล่นนู่นนี่นั่น พรีเซนต์ตรงนู้นตรงนี้ให้แม่ฟัง จนแม่เริ่มจะงงๆ จนเซลล์ และพริตตี้ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องเข้ามาให้ข้อมูลอะไรอีกเลย คุยกับแม่อยู่สักพักดูท่าแล้วแม่ชอบมากๆ ผมก็แกล้งบอกแม่ไปว่าเนี่ย ดาวน์สองสามแสน ส่งหมื่นนิดๆเอง แม่ก็ยุขึ้นสะด้วยสิ บ้ายุตามผม แม่ตกลง จอง! ในวันนั้น ตอนนั้น นาทีนั้นเลย เพื่อนสนิทผมที่เป็นเซลล์เดินเอาใบจองมาเขียนแบบงงๆ พร้อมกับแซวผมว่า แม่มาช็อปปิ้งเบาๆ กิน MK กับครอครัวอบอุ่น ขากลับ แวะซื้อ Accord 2.4EL สีเทาดำ ใส่ถุงกลับบ้านไปคันนึง เริ่ด! 555+ ดูมันแขวะผมสิ นี่ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าผมไปเป็นเซลล์ขายรถจะรุ่งขนาดไหน(ซึ่งตอนหลังๆผมก็ลองไปสมัครเล่นอยู่เหมือนกันแต่แม่ไม่ให้ไปทำ ;D ) ในการออกรถครั้งนี้แม่ปิดไม่ให้พ่อรู้เลย เพราะพ่อจะบ่นว่า ส่งไม่ไหว กลัวจะกลับไปลำบากอีก ทำเป็นเล่นไป...ซึ่งมันก็ถูกที่พ่อจะพูดแบบนั้นจากที่ผ่านมาในอดีต และทุกวันนี้พ่อผมก็ยังขับรถตักข้าวเอง ต้องอยู่กับคันคายข้าว ลำบากไม่แพ้ชาวนาเลย แต่ผลตอบแทนที่ได้มาก็คุ้ม ผมก็เข้าใจแม่นะ การที่ออกรถใหม่มาแต่ละครั้ง พ่อจะได้ใช้เป็นรถประจำก่อนเสมอ แม่บอกว่าพอพ่อเขาได้ใช้ก็จะเลิกบ่นไปเองแหละ เพราะของมันดี! นี่ถ้าแม่ไม่รักพ่อก็คงไม่มีเหตุการณ์ทั้งหมดนี้สินะ(ผมคิดในใจ)...
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/62625_478022092270675_249077237_n.jpg)
และในสุดท้าย ก็ได้ Accord 2.4EL สีขาว(ที่เปลี่ยนจากสีเทาดำเพราะต้องรอนานแบบไม่มีกำหนด ส่วนสีขาวรับรถได้เลย) ได้ฤกษ์ออกในวันที่ 12 เมษา 2556 ก่อนวันปีใหม่ไทย(สงกรานต์) พอดิบพอดี มาจอดตากฝุ่นตากละอองข้าวสมใจผมจนได้ ส่วนผมก็ได้ใช้ Wish เป็นรถประจำตัว ไปโดยปริยายเสมือนสืบทอดมรดก รุ่นสู่รุ่น ยังไงยังงั้น :D จากนั้นมาพ่อผมไม่เคยแตะ Wish อีกเลย บ่อยครั้งที่ผมได้ขับ G9 ถ้าพ่อไม่ได้ออกไปไหน คงไม่ต้องถามผมนะว่าผมรู้สึกอย่างไรเวลาขับ ชอบมาก คำเดียว จบข่าว มันเป็นรถที่ดีที่สุดที่เคยขับมา ยกเว้น Camry 2.5G ของเพื่อนผมไว้คันนึง คันนั้นช่วงล่างดีกว่ามากๆ ขับทางไกลไม่มีเหนื่อยเลย ทั้งๆที่ช่วงล่างออกแนวแข็งๆ เจอหลุมเจอบ่อเจอเนิน รูดปรื๊ด รูดปรื๊ด ราวกับว่าขับฟอจูนเนอร์อยู่ แต่ถ้าเป็น G9 ด้วยกัน เนินเดียวกันต้องเบรคแทบหัวแทบจะทิ่ม ลองรูดดูครั้งเดียว รถกระโดดเป็นกบ หัวเกือบจะชนเพดาน ผิดกับ Camry 2.5G มากๆ แต่เวลาขับ โดยรวมแล้วผมมีความสุขกับออฟชั่น การออกแบบภายใน ภายนอก(เดย์ไลท์) ของ G9 มากกว่าพอสมควร ขับ Camry แล้วรู้สึกเฉยๆ ไม่ต่างกับขับ Wish มากเท่าไร ความรู้สึกในอารมณ์คนละแนวทางชัดเจนเลยสำหรับผม Camry ไปหรู+แรง Accord ไปหรู+เท่ห์+มันส์+ฯลฯ
ในเมื่อส่วนใหญ่ผมใช้ Wish และในใจลึกๆชอบ Accord มากๆ และ Jazz เองก็จอดเกือบจะสนิท จะมีบ้างเป็นครั้งคราวที่ผมเอามาขับเล่น หรือบางทีก็ขับเล่นไปจนถึง กทม.เลยทีเดียว ก็เลยมีความคิดที่อยากจะขาย เพราะมันก็อยู่มานานจนครบวาระ 6 ปีแล้ว เลยปรึกษากับแม่แม่ก็ OK ขายได้ก็ขาย ขายไมไ่ด้ก็เก็บไว้ใช้ไม่เดือดร้อน อยากได้ก็ออกเอาใหม่(ผมเน้นประโยคหลังมาก) ฮ่าๆ ในใจผมคิด ถ้าผมชอบ Wish แบบว่าชอบจริงๆ มันก็คงจบ คงไม่ต้องอยากขาย Jazz ไปดาวน์รุ่นอื่น จนต้องแอบคิดเองว่า จะส่งเองเสียด้วยซ้ำ ทำไมนะทำไม พยายามอยู่กับมันมาเกือบๆปี ใจก็อยากใช้ Accord เสียเหลือเกิน ก็มันเล่นเย้ายวนต่อหน้าผมอยู่ทุกวันนี่นา
สรุปแล้วแม่อนุมัติให้ขาย Jazz แล้วเก็บเงินจำนวนนี้ไว้ไปดาวน์คันใหม่ มาถึงตรงนี้แหละครับ ที่เป็นเหตุให้ผมต้องมาตั้งกระทู้ใน HLM ผมไม่เคยมีความกังวลแบบนี้มาก่อนเลย ที่ผมคิดอยู่ก็คือ เวลาออกรถใหม่ในแต่ละครัง พ่อผมจะต้องใช้ก่อนเสมอ แล้วคันที่เขาใช้ผมจึงจะได้มาใช้ โดยที่คันใหม่ที่ออกมาผมก็คิดไว้แล้วแหละครับว่า มันต้องดีขึ้นกว่าคันที่พ่อผมใช้อยู่นั่นก็คือ G9 2.4 แล้วอะไรล่ะ... ซึ่งในโจทย์นี้มันก็มีเหตุผลซ้อนของผมอยู่คือ มันก็ต้องเป็นรถที่ผมชอบสะด้วยสิ เพราะมันก็อาจจะตกทอดมาถึงผมแบบรุ่นที่ผ่านๆมา มาถึงตรงนี้พี่ๆอาจจะคิดว่า นั่นแน่....จะหาทางเอา G9 มาใช้ใช่ไหมละ ถูกครับ แต่มันก็ไม่ถึงกับสะทีเดียว เพราะพ่อผมแกพูดอยู่ตอนหลังๆที่ใช้ G9 อยู่ว่า รถเตี้ยพ่อขับยาก พ่อชอบรถสูงๆมองง่ายๆ เขาเล่าให้ฟังว่าเขาเคยขับไปเที่ยวกับเพื่อน ซึ่งเพื่อนพ่อผมเขาใช้ ฟอร์ดตัวนำเข้า ซื้อมาราคา 2.9 ล้าน ข้างหลังมีแปะคำว่า Titaniaum ทรงมันคล้ายๆ เทรลเบลเซออะครับเคยขับมาที่บ้านผมครั้งนึง แล้วเขาบอกว่าขับตามเพื่อนไม่ทัน ขับกัน 150-170 ไม่เท่าไร แต่ทางที่ไปมันมีหลุมมีบ่อ ทางปะราดยางบ้างอะไรบ้าง พ่อผมก็ต้องเบรคสิครับ แต่เพื่อนเขารูดไปเลย พอพ่อผมเล่าให้ฟังผมก็คิดเลยว่า แกอยากได้รถสูงๆ มากกว่า แต่รถคันนั้นถ้ามันไม่ประทับใจแบบ G9 พ่อผมคงจะไม่แฮปปี้ แล้วมันอาจจะมาเป็นรถผมเองแน่ๆ
ผมเลยคิดเล่นๆว่า ถ้าสมมติออก X1 ตัวล่างสุดมา 1.999 M Ok รถยกสูงพ่อคงชอบแน่ ถึงจะสูงขึ้นมานิดเดียวก็ตาม ก็น่าจะยังชอบอยู่ แต่ผมไม่รู้ว่าสมรรถนะโดยรวมมันจะขับดีกว่า G9 2.4 ไหม อัตราเร่งที่ผมดู ตัวเลข 0-100 แทบจะไม่ต่างกับ G9 2.4 นั่นคือ 10-12 วิ อาจจะไม่เห็นผลชัดเจน(หรือเปล่า) แต่กำลังเครื่องหลัง 140 ไป ไม่รู้จะทำให้พ่อผมประทับใจกว่า G9 ไหม ไหนจะช่วงล่าง ขนาดของตัวรถ(อาจไม่เป็นประเด็นมาก) เพราะพ่อไปไหนมาไหน 1-2 คนตลอด ระยะทางก็ไม่ไกลมากไม่ค่อยเกิน 200 กม. ในแต่ละครั้ง โดยทั้งหมดทั้งมวล ถ้าพ่อไม่ชอบแล้วเขายอมใช้ G9 ต่อไป ผมจะกรี๊ดมากๆเลยละครับ ฮ่าๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมครับ ;D
ทีนี้ผมก็ไปมองที่ CRV 2.4 ที่พ่อผมน่าจะชอบอยู่แล้ว แล้วทำไมไม่เอาไปเลยหล่ะ... ก็อย่างที่ผมบอกละครับ มันมีนัยแอบแฝงอยู่ ;D ถ้าเกิดพ่อผมใช้แล้วไม่ชอบขึ้นมา คนที่ใช้ก็น่าจะเป็นผม แหงละ มันดีกว่า Wish แน่นอน(โดยรวม) แต่เมื่อดูราคาแล้ว กับรายได้เฉลี่ยของครอบครัวที่ตกประมาณเดือนละ 3 แสน (บางเดือนได้ 5 แสน 8 แสน บางเดือนได้ไม่ถึงแสนก็มี เพราะหมดหน้าข้าว) แต่เฉลี่ยแล้วโดยรวมตกอยู่ที่ประมาณ 3 แสน ซึ่งงบไม่น่าจะใช่ปัญหาสำหรับแม่ (อยู่ที่ว่าจะกล้าออกหรือเปล่า กับดราม่าชีวิตที่ผ่านมา) แล้วถ้าเป็นพี่ๆจะคิดอย่างไรกันครับกับเศสแบบนี้
มีวันนึงผมพาแม่ไปเดินเล่นที่เซ็นทรัลอีกตามเคย BMW มาเปิดบู๊ท แม่ผมเดินผ่าน Series 5 เครื่องดีเซล(ผมจำไม่ได้รุ่นอะไร) แม่ผมถึงกับหยุดแล้วเดินเข้าไปที่รถ ไปลูบๆคลำๆ แล้วพูดว่า หูววววว สีรถมันเงาดีจริงๆ เงามากๆ ปม่พูดไปพร้อมกับมองสีรภไปราวกับโดนมนต์สะกด ถึงกับให้ผมเปิดดูข้างในรถ จนเซลล์ต้องเดินมาให้คำแนะนำ และไม่แสดงท่าทีที่ไม่เหมาะสมเลยแม้แต่นิดเดียว(เซลล์บางคนเห็นแม่ผมคงคิดว่าไม่มีปัญญาซื้อเพราะแต่งตัวธรรมดาๆ) พร้อมกับให้นามบัตรมา ในวันนั้นพอแม่ผมกลับมาบ้านเล่าให้พ่อฟังใหญ่ว่า BMW ดีอย่างนั้นอย่างนี้ หน้ายาวเหมือนชนแล้วจะไม่ตาย(ว่าไปนั่น) พอพูดถึงราคา ดาวน์เท่านี้ ส่งเดือนละ 5-6 หมื่นเอง พ่อผมถึงกับสำลัก แล้วบอกว่า นั่นมันส่งเท่าราคารถพ่วงเลยนะแม่ รถหากินกับรถใช้ขับเล่น อย่าเลย...พ่อพูดมาแบบนั้น ตอนพ่อมารู้ว่าแม่จะออก G9 ก็พูดแนวนี้แหละครับ แต่พอได้ใช้งานจริงๆ เงียบกริบ แถมชอบออกนอกหน้าสะด้วยซ้ำ ฮ่าๆ ;D