Headlight Magazine : community

General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: car mood ที่ ธันวาคม 23, 2009, 03:21:28

หัวข้อ: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: car mood ที่ ธันวาคม 23, 2009, 03:21:28
เอ่อ  หัวกระทู้อาจแรงไปหน่อย 

แรงบันดาลใจในการตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา มาจากการดูข่าววันใหม่ของช่อง...(พูดได้ป่าว)  แล้วเห็น fortuner ประสบอุบัติเหตชนเสาไฟฟ้า  คนขับเสียชีวิต  ก็มานั่งคิดว่า รถก็ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชนแล้วนี่ มีโครงสร้างนิรภัย GOA  ทำไมถึงมีการเสียชีวิต

และก็มาคิดได้ว่ามาตรฐานการทดสอบการชน มันทดสอบที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง(รึป่าว)  แต่การใช้งานในชีวิตจริงในการเดินทางข้ามจังหวัด ส่วนใหญ่ขับกันเกิน 100 ทั้งนั้น ทั้งๆที่รถที่ทำออกมาความเร็วสูงสุดก็มักไม่ต่ำกว่า 160 km/h แต่ให้ความปลอดภัยกับลูกค้าได้แค่ที่ 80 km/h เท่านั้น  แล้วอย่างนี้มันยุติธรรมกับผู้บริโภคแล้วหรือ ???

จะเป็นไปได้มั๊ยที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์จะมีมาตรฐานการชนที่ปลอดสักความเร็ว 110 km/h  และถ้าใช้ความเร็วสูงกว่านี้เช่น 135 km/h ชนแล้วบาดเจ็บ แต่ไม่เสียชีวิต  แต่ถ้าสูงกว่านี้ก็ตัวใครตัวมัน :-X

ผมเรียกร้องมากไปป่าว  เพื่อนๆพี่ๆน้องๆคิดว่าไงมั่งครับ
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: P_Wut ที่ ธันวาคม 23, 2009, 03:26:34
ผมว่า เอางี้ดีกว่ามั้ย

ลดความแรงของเครื่องยนต์ และจำกัดความเร็วสูงสุด ให้เหลือแค่ 64 กม/ชม เท่ากับความเร็วที่ใช้ในการทดสอบการชน

ดีกว่าครับ ง่ายสำหรับผู้ผลิตดี

ผู้บริโภคก็ไม่ต้องขับรถกันเร็วเกินไป เป็นอันตรายกับ มอเตอร์ไซค์ คนเดินถนน สุนัขจรจัด ด้วย

ใครอยากเดินทางเร็วกว่านั้น ขึ้นเครื่องบินแทน  หุ หุ
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: st_citroen ที่ ธันวาคม 23, 2009, 03:46:12
ทุกอย่างหนีกฏธรรมชาติไม่พ้นหรอกครับ
ว่าแต่ตอนจะชนคุณไม่เหยียบเบรคเลยหรือ???
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: J!MMY ที่ ธันวาคม 23, 2009, 05:08:01
น้องครับ....

เราต้องทำความเข้าใจกันเยอะเลยละ

1. มาตรฐานการชนทุกวันนี้ แค่ 64 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็เหนื่อยมากแล้ว ที่จะทำให้ผ่าน
มันมาจากการคำนวนที่ว่า เมื่อคนเราเดินทางไกล ด้วยความเร็วประมาณ 100-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
(ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเกินนี้ ยกเว้นใน เอาโตบาห์น เยอรมัน หรือ ในไทย)

หากมีตัวอะไรตัดหน้า ปฏิกิริยาของคนจะตอบสนองด้วยการเหยียบเบรกกระทันหัน
ด้วยสมมติฐานไว้ก่อนว่า เหยียบเต็มตีน และ เมื่อถึงจุดนั้น ความเร็วของรถ ก่อนชน
มันมักจะตกลงมาอยู่ในระดับ ครึ่งหนึ่ง และนั่นคือที่มาของตัวเลข 64 กิโลเมตร/ชั่วโมงครับ

2. เมื่อครั้งไปดู Lab Crash Test ของ Honda เขาจับเอา CR-V กับ Accord มาชนให้ดูกันต่อหน้า
เลยได้ถามวิศวกรของเขาไปว่า ไม่คิดจะทำการทดสอบการชน ในความเร็วที่สูงเกินร้อยบ้างเลยหรือ?

คำตอบก็คือ ไม่ เพราะว่า It's not a real world situation
ฟังดูอาจจะสงสัย ว่า แล้วไอ้ที่บ้านเรา มันชนๆกันแหกๆ เนี่ยหนะ
ไม่ใช่ Real World แล้วมันจะเป็น Another world บนดาวยูเรนัส หรือยังไง?

ผลการวิจัย และการเก็บสถิติ ด้านอุบัติเหตุทางรถยนต์ จากทั่วโลก
บ่งชี้ว่า ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่ จะเกิดอุับัติเหตุ ที่ความเร็ว หลากหลาย
แต่ ความเร็ว ณ จุดปะทะจริงๆ มักจะไม่ค่อยเกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ครับ

อีกทั้ง มองกันอีกทีแล้ว แม้ความก้าวหน้าด้านวัสดุศาสตร์ จะเยอะไปมากกว่า 25 ปีก่อน
แต่เหล็ก ก็คือเหล็ก ดีที่สุดที่มีให้ใช้กันได้็ โดยที่ต้นทุนไม่แพงจนเกินไปคือ
Ultra High Tensile steel ที่รองรับแรงกระแทก
ได้ หลายสิบหลายร้อย เมกกะปาสคาล แต่ก็ได้แค่นั้น

ดังนั้น ทุกวันนี้ เราเองต่างหาก ที่ควรคำนึงกันว่า เราขับรถกันเร็วเกินไป
ไม่ใช่ไปบอกให้บริษัทรถ พยายามเร่งปรับปรุงความปลอดัยในรถ กันแต่เพียงฝ่ายเดียว
นั่นคือสิ่งที่เขาต้องทำอยู่แล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของบางบริษัท

บางราย เทสต์กันเป็นร้อยๆครั้ง หลากหลายมุมองศาการชนกันเลย กว่าจะผ่าน
บางราย เทสต์แค่ไม่กี่สิบครั้ง ผ่านมาตรฐานแบบเส้นยาแดงผ่าแปด ได้ก็เป็นพอแล้ว

อยู่ที่จิตสำนึกของทั้งผู้ผลิต และผู้บริโภค ร่วมกันครับ
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: JIRATH ที่ ธันวาคม 23, 2009, 06:23:24
คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ จะชนยังไงก้ต้องเบรค ยกเว้นบางคนจะชน เผลอไปเหยียบคันเร่งซะงั้น
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: Can ที่ ธันวาคม 23, 2009, 07:30:50
ความจริงที่ จขกท ว่ามาก็น่าสนใจนะ และยังไงเสียก็มีวิธีทำได้แน่ แต่ถ้าทำออกมาแล้วทำให้รถราคาคันละเป็นหลายสิบล้าน คุณจะซื้อไหม และมันยุติธรรมกับคนที่ขับด้วยความเร็วเพียงไม่เกิน 100 กม/ชม หรือ

ที่ว่าเป็นราคาเป็นหลายสิบล้านคือผมมาลองคิดดูว่ามันน่าจะเป็นอย่างไร ถ้าคุณให้ชนด้วยความเร็ว 135 กม/ชม แล้วคุณยังปลอดภัย แปลเป็นฟิสิคส์ได้ว่าคุณต้องการให้ความเร็วลดจาก 135 กม/ชม ไปเป็นศูนย์ในเวลาแค่เสี้ยววินาที ในกรณีนั้น แรง G ที่เกิดกับร่างกายจะเป็นเท่าไหร่ และมีโอกาสเกิดการกระแทกระหว่างร่างกายคุณกับส่วนต่างๆในรถอีกเท่าไหร่ คุณจะตายด้วยแรง G และการถูกกระแทก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมองคุณเองกระแทกกับกระโหลก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องหาทางลดแรง G และการถูกกระแทก ดูๆไปแล้วก็มีทางเดียวคือ ห้องโดยสารจะต้องห่อหุ้มคุณไว้มิดชิดตลอดเวลาด้วยวัสดุที่มีความยืดหยุ่นที่เหมาะสม เวลาเกิดการชนขึ้นร่างกายคุณก็ชนอยู่กับวัสดุนั้นโดยหัวคุณก็สามารถเด้งไปเด้งมาได้หลายทีจึงหยุดเพื่อลดความรุนแรงของการกระแทกระหว่างสมองกับกระโหลกและการเคลื่อนตัวอย่างรุนแรงของกระดูกสันหลังที่อยู่ตรงคอ เพราะถ้ากระดูกนี้เคลื่อนไปมาก คุณก็ตาย ดังนั้นต้องให้มันเคลื่อนไม่มากซึ่งอาจรอดชีวิตได้ อย่างมากแค่เป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต

เมื่อคุณโดยสารอยู่ในรถที่มีห้องโดยสารอย่างที่ว่า คุณก็คงเคลื่อนไหวไม่สะดวก ดังนั้น รถที่ว่านั่นก็แทบจะต้องเคลื่อนตัวได้แบบอัตโนมัติหรือการบังคับรถต้องเป็นแบบง่ายๆ เช่น ใช้เสียง ใช้นิ้ว

รถคันที่ว่าหน้าตาในรถคงต้องเปลี่ยนไปมาก จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน เวลาจะซื้อรถจะได้ไม่ต้องเลือกสาก เพราะบางทีชอบทุอย่างแต่ข้างในไม่ชอบ จะซื้อก็ไม่สบายใจที่ต้องเห็นมันทุกครั้งที่ขับ ถ้าเป็นรถอย่างที่ว่า ข้างในก็คงคล้ายๆชุดมนุษย์อวกาศ มีแค่ช่องเจาะให้มองออกนอกรถเท่านั้น

นี่ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องเล็กๆน้อยที่จะต้องแก้ไขเพื่อให้คุณมีความสะดวกสบายพอสมควรในเวลาจำเป็น เช่น การกำจัดกลิ่นตดเวลาคุณตด เพราะเมื่อร่างกายถูกห่อหุ้มหมด คุณก็คงดมกลิ่นอยู่คนเดียว กว่าจะสลายไปก็คงนาน จะเปิดหน้าต่างก็ไม่ช่วยอะไรได้ แต่ปัญหานี้ก็แก้ได้โดยใช้เทคโนโลยี่ด้านอวกาศ คือไปซื้อ patent ของชุดมนุษย์อวกาศในส่วนนี้มาเพราะเชื่อว่าชุดมนุษย์อวกาศก็คงแก้ปัญหานี้ได้แล้ว

เห็นไหมครับ แค่แก้ปัญหาเรื่องตดก็ยังต้องใช้เทคโนโลยี่อวกาศ

พอดีกว่า เพี้ยนมากขึ้นทุกที
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: YenChar ที่ ธันวาคม 23, 2009, 07:50:21
ที่เห็นๆ ชนกันแล้วตายสนิท

เหยียบมาร้อยกว่าทั้งนั้น

ที่บางที่ มันไม่ควรจะเหยียบเกิน60เลยด้วยซ้ำแต่พี่ไทยเราล่อไปร้อยกว่า

ถนนพระราม9เส้นล่าง เห็นเหยียบกัน120
รัชดา เห็นบางทีซัดกันเป็นร้อย ทั้งๆที่อีกไม่กี่เสาไฟก็ถึงไฟแดงแล้ว
และอีกมากมาย
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: gateaux ที่ ธันวาคม 23, 2009, 09:27:39
ทำไปทำไมครับ  ทำได้ ก้อเพิ่มต้นทุน เปลืองทรัพยากรโลกเข้าไปอีก  ที่สำคัญ คุณนึกหรือว่าจะพอ  ยิ่งทำความเร็วสูงขึ้นปลอดภัย มันก้อยิ่งขับเร็วขึ้นไปอีก

ที่ถูกน่ะคือ จำกัดความเร็วนั่นละครับ ขับให้ช้าลง มันก้อปลอดภัยขึ้น  เพราะมันลดการเกิดการชน   ไม่ใช่ลดความเสียหายจากการชน
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: Pan Paitoonpong ที่ ธันวาคม 23, 2009, 09:30:23
เมื่อคืนนี้ก็มีฟอร์จูนเนอร์คันนึงคว่ำที่เมืองกาญจน์

นั่งในรถหกคน รอด 2 ไม่รอด 4

และจิมมี่..หนึ่งในนั้นคือน้องบุญธรรมของพี่สุ
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: Ruksadindan ที่ ธันวาคม 23, 2009, 09:54:24
แล้วจะขับเร็วๆกันทำไมครับ
ที่กฎหมายจำกัดความเร็วก็เพราะไม่อยากให้มีการตายเกิดขึ้น

แต่บ้านเราก็ต้องพัฒนาถนนหนทางนะครับ
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: J!MMY ที่ ธันวาคม 23, 2009, 10:42:01
เหย มันอะไรกันเนี่ย แพน!...

จากประสบการณ์ส่วนตัว

เร็วเท่าไหร่ ไม่ใช่ปัญหาในการก่ออุบัติเหตุได้เลย ถ้า!

1. คนพร้อม สติสัมปชัญญะ ดี และมีสติ ผ่านการฝึกอบรมการขับขี่อย่างปลอดภัย จิตใจมั่นคง
2. รถพร้อม ตรวจเช็คทุกอย่าง มาอย่างดี ละเอียดยิบ ว่าจะไม่มีปัญหา โดยเฉพาะเรื่องยาง
3. ถนนพร้อม ถนนที่จะใช้นั้น ต้องไม่มีรถวิ่งอยู่เยอะ ไม่มีตัวอะไรวิ่งตัดหน้า ไม่มีรถขับข้า เปลี่ยนเลนจากซ้าย มาขวา
และออกแบบมารองรับเอาไว้แล้ว 
4 .สภาพอากาศพร้อม ฝนไม่ตก กระแสลมโดยเฉลี่ย ต้องนิ่งพอประมาณ

ดังนั้น ผมเชื่อว่า ขับรถเร็ว ไม่ใช่ตัวการที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ

แต่การขับรถเร็ว อย่างขาดสติ อย่างคึกคะนอง ประมาท ถนนก็ไม่ได้โล่งอย่างที่คิด มีพวกงี่เง่า ไม่รู้อิโหน่อิเหน่และตาม้าตาเรือ ขับกันเต็มถน
ฝนตก ถนนลื่น ลมกรรโชกด้านข้างแรง หรือไม่ได้ตวจเช็ครถมาเท่าไหร่นัก ต่างหาก ที่จะเป็นตัวการ ในการเกิดอุบัติเหตุได้ดีนักแล ครับ
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: Kardas ที่ ธันวาคม 23, 2009, 10:53:16
ผมว่ามาตรฐานที่เป็นอยู๋มันก็โอเคนะครับ เพราะส่วนมากถ้าชนจริงๆก็ไม่เกิน100เหมือนคุณจิมว่าแต่ถ้าชนที่ความเร็วมากกว่านั้นมั้นก็ไม่ปกติไงครับซึ่งน้อย(ถึงเป็นข่าว)..............แต่ถ้าเราต้องการรถที่แข็งแรงกว่านี้มั้นก็หมายถึงว่าเกินมาตรฐาน...........อะไรๆๆมันก็เกินกว่าปกติธรรมดารวมทั้งราคาด้วยจริงมั้ยครับแล้วตลาดมาตรฐานจะรับได้หรือป่าว?รถขายได้ป่าว?ก็ไม่รู้ที่นี้ต้องว่ากันแต่ละบุคคลแล้วๆๆ เช่นว่าคุณขับรถเร็วมากเสี่ยงมากก็ตกแต่งเอาตามใจชอบเสริมเหล็กกันเต็มที่เพื่อให้เหมาะสมกับความเสี่ยงน่ะครับ.. แต่ถ้าเป็นคนในเมืองปกติทั่วไปก็ใช้รถมาตรฐานก็เกินพอแล้ว"ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย"ประโยคนี้เป็นจริงทุกประการครับ ดูแลตัวเองเพื่อคนที่รักเราครับ :D :D :D :D :D :
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: Mighty-X ที่ ธันวาคม 23, 2009, 10:54:47
เหล็กก็คือเหล็กครับ

ขนาดไททานิกยังล่ม
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: Nioka ที่ ธันวาคม 23, 2009, 11:11:45
ผมจำได้ว่าเคยอานรีวิวคุณจิมมี่เรื่องทดสอบการชน อะ

ที่ไหนสักแห่งจำไม่ได้แล้ว

ผมว่าน่าจะเอากลับมาทำใหม่ใส่ในเวปนะ เห็นว่ามีประโยชน์

หรือว่ามีในคิวอยู่แล้วแต่ยังไม่ถึงเวลาหว่า!!
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: Jxxx ที่ ธันวาคม 23, 2009, 11:30:37
เหย มันอะไรกันเนี่ย แพน!...

จากประสบการณ์ส่วนตัว

เร็วเท่าไหร่ ไม่ใช่ปัญหาในการก่ออุบัติเหตุได้เลย ถ้า!

1. คนพร้อม สติสัมปชัญญะ ดี และมีสติ ผ่านการฝึกอบรมการขับขี่อย่างปลอดภัย จิตใจมั่นคง
2. รถพร้อม ตรวจเช็คทุกอย่าง มาอย่างดี ละเอียดยิบ ว่าจะไม่มีปัญหา โดยเฉพาะเรื่องยาง
3. ถนนพร้อม ถนนที่จะใช้นั้น ต้องไม่มีรถวิ่งอยู่เยอะ ไม่มีตัวอะไรวิ่งตัดหน้า ไม่มีรถขับข้า เปลี่ยนเลนจากซ้าย มาขวา
และออกแบบมารองรับเอาไว้แล้ว 
4 .สภาพอากาศพร้อม ฝนไม่ตก กระแสลมโดยเฉลี่ย ต้องนิ่งพอประมาณ

ดังนั้น ผมเชื่อว่า ขับรถเร็ว ไม่ใช่ตัวการที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ

แต่การขับรถเร็ว อย่างขาดสติ อย่างคึกคะนอง ประมาท ถนนก็ไม่ได้โล่งอย่างที่คิด มีพวกงี่เง่า ไม่รู้อิโหน่อิเหน่และตาม้าตาเรือ ขับกันเต็มถน
ฝนตก ถนนลื่น ลมกรรโชกด้านข้างแรง หรือไม่ได้ตวจเช็ครถมาเท่าไหร่นัก ต่างหาก ที่จะเป็นตัวการ ในการเกิดอุบัติเหตุได้ดีนักแล ครับ


เห็นด้วยกับจิมมี่ในส่วนที่ว่าความเร็วอย่างเดียวไม่ใช่ตัวการเพียงอย่างเดียวครับ

ถึงขับช้าไม่มีสติ ไม่มีทักษะ ก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ แต่ที่ความเร็วช้า จะเกิดที่ความรุนแรงน้อยกว่า

ทักษะการควบคุมรถสำคัญนะครับ

ถ้าชนที่ 110+ (ความเร็วที่จุดปะทะนะครับ แล้วชนกำแพง) แล้วคนขับไม่เจ็บหนัก แค่เคล็ดขัดยอกนี่ อย่างน้อยๆ ก็ต้องทำ  Roll cage ล่ะครับ

หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: muying ที่ ธันวาคม 23, 2009, 11:34:12
คงต้องทำห้องโดยสารเอาใจท่าน จขกท หน่อยครับ

ผมว่ารถที่นั่งแล้วน่าจะปลอดภัยที่สุดในปัจจุบันน่าจะเป็นพวก F1 น่ะครับ(ใช่ป่าวน่ะ)
เพราะที่นั่งคนขับกระชับมากๆตัวไม่เหวี่ยงไปมา หมวกกันน๊อกกะชุดนี่แน่นสุดๆ ไม่มีโยกคลอน เพื่อรับแรง G ที่เกิดจากการปะทะ


ว่าแต่ จขกท จะเอาไม๊ล่ะ
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: penalty ที่ ธันวาคม 23, 2009, 13:36:11
ผมว่ามาตรฐานความปลอดภัยของรถอยู่ในขั้นที่ดีแล้ว
ถ้าจะปรับปรุง ก็น่าจะเป็นเรื่องของถนน และสิ่งแวดล้อมรอบๆถนน
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: namqem ที่ ธันวาคม 23, 2009, 15:36:14
ขอตอบด้วยคน

ผมว่าทุกอย่างมีข้อจำกัด

- ถ้าทำให้ตัวถังแข็งแรง รถต้องหนัก , เครื่องต้องแรง
- ยิ่งคนที่รู้ว่ารถตัวเองแข็งแรงยิ่งกว่าสิบล้อ ผมว่า "ชนมันเลยรถเราแข็งกว่า"
- รถทุกคนมีข้อดีข้อเสียให้ศึกษาในเน็ตเยอะแยะ เราต้องพยายามระวังข้อเสีย อย่างข่าวก็เป็นที่รู้กันว่ารถรุ่นนั้นเป็นอย่างไร + ปัจจัยเพิ่มเติมอีก

สุดท้ายต่อให้รถดีแค่ไหน แข็งปานเพชร ก็ไม่ชนะความประมาท  8)
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: JuDars ที่ ธันวาคม 23, 2009, 15:42:43
คุณภาพของรถในตอนนี้ผมว่ามันก็อยู่ในเกณที่ดีพอควรแล้วนะครับ

เดียวนี้คนขับรถกันเร็วมากขึ้นและที่สำคัญคือ ประมาทกันมาก

เพราะถึงจะขับเร็วยังไงแต่ถ้ามีสติเราก็จะสามารถควบคุมรถได้

รู้สถาณการว่าขั้นต่อไปเราจะบังคับอย่างไร ให้ปลอดภัยที่สุด

ขับรถไครๆก็ขับได้ แต่ขับยังไงให้ปลอดภัย มีสักกี่คนที่ทำได้

คำนี้พ่อสอนมาครับ จำขึ้นใจเลย และเป็นเรื่องจริงที่เป็นกันด้วย
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: benley ที่ ธันวาคม 23, 2009, 16:32:45
ลองไปดูคลิปยูทูบ มีโฟล์กมาทดสอบที่ความเร็ว110

เละครับ
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: car mood ที่ ธันวาคม 23, 2009, 17:19:00
เข้าใจแล้วครับ

เ่อ่อ... พึ่งรู้ว่าเค้าทดสอบกันที่ 64 km/h เองหรอ
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: emm_ze ที่ ธันวาคม 23, 2009, 20:31:11
ขออนุญาติแชร์ความคิดเห็นครับ  ได้เป็นคนดูอยู่ตั้งแต่วันแรก แรก ของบ้านแห่งนี้

ถึงเพื่อนๆ ชาว Headlight ทุกท่าน คุณ Jimmy and ท่าน Commander

ในเรื่อง Safety และอุปกรณ์ พวกความปลอดภัยทั้ง Active และ Passive โดยผู้ผลิตรถรถยนต์ Toyota อาทิกรณีรถ  Fortuner ในเหตุการณ์นี้ ก่อนหน้านี้ผมได้อ่านในหลายกรณีทั้งในข่าว และผ่านมาทาง Fortuner club...   ไม่เข้าใจเลยครับว่า ทำไมรถในบ้านเราถึงไม่อุปกรณ์พื้นฐาน จำพวก Side Curtain Airbag เพื่มเป็น Option หรือใส่รุ่น Top,  รอง Top ก็ได้    ชึวิตของคนที่เรารัก ลูก พ่อ แม่ ทุกคนมีค่ามาก มากครับ ทำไมถึงได้ไม่มี 

ขอความกรุณาอย่ามองว่า อุปกรณ์ความปลอดภัย อาทิ Side Curtain Airbag เป็นแค่ต้นทุนผลิตรถยนต์คันหนึ่งเท่านั้น ที่ต้องรักษาความสมดุลราคาทางการตลาด   มันน่าเสียใจหากคิดเป็นเช่นนี้

จากการเดินทางทำงาน ตปท ได้ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในต่างประเทศ ผมเชื่อว่า ณ วันนี้เป็นอุปกรณ์ ความปลอดภัยพื้นฐานที่จำเป็นไปแล้วครับ

ในกรณีนี้อยากฝากให้เป็นกรณีศึกษา และอยากให้เป็นกรณีสุดท้ายจริง จริง ครับ   (เรียนท่านผู้บริหารบริษัทรถยนต์ฝากช่วยนำไปทบทวนด้วยครับ)

การมี Side Curtain Airbag อุบัติเหตุครั้งนี้อาจไม่มีการสูญเสียมากเท่านี้ก็ได้ครับ

ขออนุญาติ จขกท ครับ มันอดไม่ได้จริง  (ผมขออ้างจากการได้ดู  Youtube Crash test ในกรณีที่มีการทดสอบความปลอดภัย Side Curtain Airbag และการชนด้านข้าง การกระแทกเสา ครับ)

หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: berm ที่ ธันวาคม 23, 2009, 21:33:04
ขออนุญาติแชร์ความคิดเห็นครับ  ได้เป็นคนดูอยู่ตั้งแต่วันแรก แรก ของบ้านแห่งนี้

ถึงเพื่อนๆ ชาว Headlight ทุกท่าน คุณ Jimmy and ท่าน Commander

ในเรื่อง Safety และอุปกรณ์ พวกความปลอดภัยทั้ง Active และ Passive โดยผู้ผลิตรถรถยนต์ Toyota อาทิกรณีรถ  Fortuner ในเหตุการณ์นี้ ก่อนหน้านี้ผมได้อ่านในหลายกรณีทั้งในข่าว และผ่านมาทาง Fortuner club...   ไม่เข้าใจเลยครับว่า ทำไมรถในบ้านเราถึงไม่อุปกรณ์พื้นฐาน จำพวก Side Curtain Airbag เพื่มเป็น Option หรือใส่รุ่น Top,  รอง Top ก็ได้    ชึวิตของคนที่เรารัก ลูก พ่อ แม่ ทุกคนมีค่ามาก มากครับ ทำไมถึงได้ไม่มี 

ขอความกรุณาอย่ามองว่า อุปกรณ์ความปลอดภัย อาทิ Side Curtain Airbag เป็นแค่ต้นทุนผลิตรถยนต์คันหนึ่งเท่านั้น ที่ต้องรักษาความสมดุลราคาทางการตลาด   มันน่าเสียใจหากคิดเป็นเช่นนี้

จากการเดินทางทำงาน ตปท ได้ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในต่างประเทศ ผมเชื่อว่า ณ วันนี้เป็นอุปกรณ์ ความปลอดภัยพื้นฐานที่จำเป็นไปแล้วครับ

ในกรณีนี้อยากฝากให้เป็นกรณีศึกษา และอยากให้เป็นกรณีสุดท้ายจริง จริง ครับ   (เรียนท่านผู้บริหารบริษัทรถยนต์ฝากช่วยนำไปทบทวนด้วยครับ)

การมี Side Curtain Airbag อุบัติเหตุครั้งนี้อาจไม่มีการสูญเสียมากเท่านี้ก็ได้ครับ

ขออนุญาติ จขกท ครับ มันอดไม่ได้จริง  (ผมขออ้างจากการได้ดู  Youtube Crash test ในกรณีที่มีการทดสอบความปลอดภัย Side Curtain Airbag และการชนด้านข้าง การกระแทกเสา ครับ)


เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ในประเด็นนี้ ทำไม side airbag กับ curtain airbag มันถึงไม่ค่อยมี
ในรถที่ประกอบในประเทศครับ ที่เห็นมีก็ accord  2.4  teana ตัวมีมูนรูฟ mazda 3 2.0 นอกนั้นไม่มีครับ
ส่วน camry hybrid ก็มีแต่ side ไม่มี curtain airbag ซึ่งจากการดูในคลิปทดสอบการชนจะพบว่า
มันช่วยปกป้องหัวของผู้โดยสารไม่ให้ไปกระแทกกับวัตถุที่ตัวรถไปกระทบ ซึ่งถ้าเป็นในต่างประเทศนี่
มันคืออุปกรณ์มาตรฐานสุดๆในรถทุกคันต้องมีเลยก็ว่าได้ พวกบริษัทรถนี่เห็นคนไทยเป็นอะไรหรือครับ
ถึงได้ตัดสิ่งที่จำเป็นออกไป อย่างที่น้องกล้วยพูดในคลิป mazda 2 ว่า"มีแล้วไม่ได้ใช้ ดีกว่าจะใช้แล้วเสือกไม่มี"
เห็นด้วยสุดๆเลยครับ
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: Arado_kung ที่ ธันวาคม 23, 2009, 22:20:29
มันไม่มีเพราะคนไม่อยากได้น่ะสิ คนไทยส่วนมากไม่อยากได้ airbag ครับ เหตุผลคือกลัวมันระเบิดแล้วเสียตังค์ เจอมาหลายคนล่ะไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ยังไงพระคุณท่านก็ไม่อยากได้ถุงลม  :P :P :P
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: J!MMY ที่ ธันวาคม 23, 2009, 23:07:19
เราไม่อยากมองแบบนั้น

เราอยากให้มันมีเป็นมาตรฐานมากับรถทุกคัน

แต่....

ถ้าใส่ แอร์แบ็กมาให้ครบ 6 ใบ แล้วราคารถ มันพุ่งพรวด จากคันละ 6 แสนบาท (แอร์แบ็กคู่ ธรรมดา สมมติ ) เป็น 7 - 7.5 แสนบาท
อาจจะมีหลายคนผ่อนไม่ไหว บริษัทรถเองก็เสียโอกาสขายรถ <---- ซึ่งแน่นอน บริษัทรถ ไม่ใช่องค์กรการกุศล แต่เป็นองค์กรแสวงหาผลกำไร

แล้วถ้าเป็นรถราคาคันละ 5 แสนบาทละ มันจะพุ่งไป เป็น 6 - 6.5 แสนบาท ละ?

มีทางเดียว คือ ออกกฎหมายบังคับ ผู้ผลิตรถยนต์บ้านเรา
ขั้นต่ำ ต้องมีแอร์แ็บ็กคู่มาให้ ทุกรุ่น ทุกคัน เป็นเบื้องต้น
แล้วก็ต้องมีการคุมราคา ส่งเสริมการลงทุน ลดภาษี อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้อง
แต่จะเป็นไปได้หรือ ถ้าตราบใดที่ภาครัฐ ยังมองรถยนต์ เป็นสิ่งของฟุ่มเฟือย แบบนี้?

เพราะแม้แต่ในต่างประเทศ ไม่ใช่ทุกรุ่นทุกคันหรอกครับ ที่จะติดม่านลมนิรภัยมาให้
ขึ้นอยู่ับแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่ักับแต่ละรุ่นย่อย

หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: car mood ที่ ธันวาคม 24, 2009, 00:25:19
ขออนุญาติแชร์ความคิดเห็นครับ  ได้เป็นคนดูอยู่ตั้งแต่วันแรก แรก ของบ้านแห่งนี้

ถึงเพื่อนๆ ชาว Headlight ทุกท่าน คุณ Jimmy and ท่าน Commander

ในเรื่อง Safety และอุปกรณ์ พวกความปลอดภัยทั้ง Active และ Passive โดยผู้ผลิตรถรถยนต์ Toyota อาทิกรณีรถ  Fortuner ในเหตุการณ์นี้ ก่อนหน้านี้ผมได้อ่านในหลายกรณีทั้งในข่าว และผ่านมาทาง Fortuner club...   ไม่เข้าใจเลยครับว่า ทำไมรถในบ้านเราถึงไม่อุปกรณ์พื้นฐาน จำพวก Side Curtain Airbag เพื่มเป็น Option หรือใส่รุ่น Top,  รอง Top ก็ได้    ชึวิตของคนที่เรารัก ลูก พ่อ แม่ ทุกคนมีค่ามาก มากครับ ทำไมถึงได้ไม่มี 

ขอความกรุณาอย่ามองว่า อุปกรณ์ความปลอดภัย อาทิ Side Curtain Airbag เป็นแค่ต้นทุนผลิตรถยนต์คันหนึ่งเท่านั้น ที่ต้องรักษาความสมดุลราคาทางการตลาด   มันน่าเสียใจหากคิดเป็นเช่นนี้

จากการเดินทางทำงาน ตปท ได้ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในต่างประเทศ ผมเชื่อว่า ณ วันนี้เป็นอุปกรณ์ ความปลอดภัยพื้นฐานที่จำเป็นไปแล้วครับ

ในกรณีนี้อยากฝากให้เป็นกรณีศึกษา และอยากให้เป็นกรณีสุดท้ายจริง จริง ครับ   (เรียนท่านผู้บริหารบริษัทรถยนต์ฝากช่วยนำไปทบทวนด้วยครับ)

การมี Side Curtain Airbag อุบัติเหตุครั้งนี้อาจไม่มีการสูญเสียมากเท่านี้ก็ได้ครับ

ขออนุญาติ จขกท ครับ มันอดไม่ได้จริง  (ผมขออ้างจากการได้ดู  Youtube Crash test ในกรณีที่มีการทดสอบความปลอดภัย Side Curtain Airbag และการชนด้านข้าง การกระแทกเสา ครับ)



ไม่เป็นไรครับ  ไม่ต้องขออนุญาตหรอกครับ  ทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ครับ
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: car mood ที่ ธันวาคม 24, 2009, 00:33:13
เราไม่อยากมองแบบนั้น

เราอยากให้มันมีเป็นมาตรฐานมากับรถทุกคัน

แต่....

ถ้าใส่ แอร์แบ็กมาให้ครบ 6 ใบ แล้วราคารถ มันพุ่งพรวด จากคันละ 6 แสนบาท (แอร์แบ็กคู่ ธรรมดา สมมติ ) เป็น 7 - 7.5 แสนบาท
อาจจะมีหลายคนผ่อนไม่ไหว บริษัทรถเองก็เสียโอกาสขายรถ <---- ซึ่งแน่นอน บริษัทรถ ไม่ใช่องค์กรการกุศล แต่เป็นองค์กรแสวงหาผลกำไร

แล้วถ้าเป็นรถราคาคันละ 5 แสนบาทละ มันจะพุ่งไป เป็น 6 - 6.5 แสนบาท ละ?

มีทางเดียว คือ ออกกฎหมายบังคับ ผู้ผลิตรถยนต์บ้านเรา

ขั้นต่ำ ต้องมีแอร์แ็บ็กคู่มาให้ ทุกรุ่น ทุกคัน เป็นเบื้องต้น
แล้วก็ต้องมีการคุมราคา ส่งเสริมการลงทุน ลดภาษี อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้อง
แต่จะเป็นไปได้หรือ ถ้าตราบใดที่ภาครัฐ ยังมองรถยนต์ เป็นสิ่งของฟุ่มเฟือย แบบนี้?

เพราะแม้แต่ในต่างประเทศ ไม่ใช่ทุกรุ่นทุกคันหรอกครับ ที่จะติดม่านลมนิรภัยมาให้
ขึ้นอยู่ับแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่ักับแต่ละรุ่นย่อย



"ภาครัฐ ยังมองรถยนต์ เป็นสิ่งของฟุ่มเฟือย"  โครตแห่งความเห็นด้วยเลยครับ  รัฐมองแบบนี้ก็ได้เก็บภาษีแพงๆ เก็บกันเข้าไป แพงกว่าประเทศอื่น ทำให้คนไทยได้ใช้แต่รถเทคโนโลยี่ต่ำๆ ในระดับราคาเดียวกันเมื่อเทียบกับประเทศอื่น  เพราะซื้อรถดีๆไม่ไหว แพง  ถ้าไม่อยากให้เงินไหลออกนอกประเทศ  ทำไมไม่ก่อตั้งแบรนรถยนต์ของไทยขึ้นมาเลยซะหล่ะ  เหมือนที่มาเลฯทำ proton ไง  จะได้ไม่แพง เพราะทำเอง ใช้เอง เงินทองไม่รั่วไหล  แต่ความคิดนี้คงจะ.......อีกนานนนนนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: Northbridge ที่ ธันวาคม 24, 2009, 09:35:06
เหย มันอะไรกันเนี่ย แพน!...

จากประสบการณ์ส่วนตัว

เร็วเท่าไหร่ ไม่ใช่ปัญหาในการก่ออุบัติเหตุได้เลย ถ้า!

1. คนพร้อม สติสัมปชัญญะ ดี และมีสติ ผ่านการฝึกอบรมการขับขี่อย่างปลอดภัย จิตใจมั่นคง
2. รถพร้อม ตรวจเช็คทุกอย่าง มาอย่างดี ละเอียดยิบ ว่าจะไม่มีปัญหา โดยเฉพาะเรื่องยาง
3. ถนนพร้อม ถนนที่จะใช้นั้น ต้องไม่มีรถวิ่งอยู่เยอะ ไม่มีตัวอะไรวิ่งตัดหน้า ไม่มีรถขับข้า เปลี่ยนเลนจากซ้าย มาขวา
และออกแบบมารองรับเอาไว้แล้ว 
4 .สภาพอากาศพร้อม ฝนไม่ตก กระแสลมโดยเฉลี่ย ต้องนิ่งพอประมาณ

ดังนั้น ผมเชื่อว่า ขับรถเร็ว ไม่ใช่ตัวการที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ

แต่การขับรถเร็ว อย่างขาดสติ อย่างคึกคะนอง ประมาท ถนนก็ไม่ได้โล่งอย่างที่คิด มีพวกงี่เง่า ไม่รู้อิโหน่อิเหน่และตาม้าตาเรือ ขับกันเต็มถน
ฝนตก ถนนลื่น ลมกรรโชกด้านข้างแรง หรือไม่ได้ตวจเช็ครถมาเท่าไหร่นัก ต่างหาก ที่จะเป็นตัวการ ในการเกิดอุบัติเหตุได้ดีนักแล ครับ



"Speed has never killed anyone. Suddenly becoming stationary, that's what gets you."
— Jeremy Clarkson
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: GUDJA-MAN ที่ ธันวาคม 24, 2009, 10:10:38
ผมขอแค่ใส่คานเหล็กกันกระแทกหลังกันชนมาให้ ทั้งด้านหน้า และ ด้านหลังก็พอ
เห็นรถญี่ปุ่นทั่วไปราคาไม่เกินล้าน ส่วนใหญ่ไม่มีคานเหล็กมาให้ในด้านหลังเลยซักกะราย
เอามือล้วงไปก็โบ๋ เต็มที่ก็มีแค่โฟม
ถึงแม้ว่ามันจะชิ้นไม่ใหญ่ แต่อย่างน้อยมันก็ควรจะมีนะ
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: Blur ที่ ธันวาคม 24, 2009, 12:16:28
1. คนพร้อม สติสัมปชัญญะ ดี และมีสติ ผ่านการฝึกอบรมการขับขี่อย่างปลอดภัย จิตใจมั่นคง


นี่แหละครับ ผมว่าปัญหาใหญ่เลย บ้านเราได้ใบขับขี่กันง่ายเกินไป
แถมการสอบกว่า 70% ไปหนักที่การจำคำตอบมาตอบ ซึ่งไม่มีประโยชน์ในการขับจริง
ผมขับรถมานานแล้ว เคยเกิดอุบัติเหตุแรงๆครั้งเดียว คือยางระเบิดแล้วรถเอียงไปชนขอบทาง หมุนตีลังกา 4-5 รอบ
ตอนแรกนึกว่าใครมาชนตูด คลานออกมาจากรถยังงงๆเลยว่าเกิดอะไรขึ้น

ของพวกนี้ประสบการณ์ล้วนๆเลย ไม่เจอก็ไม่รู้ เพราะบ้านเราไม่มีใครสอน
หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: Jxxx ที่ ธันวาคม 24, 2009, 12:24:10
1. คนพร้อม สติสัมปชัญญะ ดี และมีสติ ผ่านการฝึกอบรมการขับขี่อย่างปลอดภัย จิตใจมั่นคง


นี่แหละครับ ผมว่าปัญหาใหญ่เลย บ้านเราได้ใบขับขี่กันง่ายเกินไป
แถมการสอบกว่า 70% ไปหนักที่การจำคำตอบมาตอบ ซึ่งไม่มีประโยชน์ในการขับจริง
ผมขับรถมานานแล้ว เคยเกิดอุบัติเหตุแรงๆครั้งเดียว คือยางระเบิดแล้วรถเอียงไปชนขอบทาง หมุนตีลังกา 4-5 รอบ
ตอนแรกนึกว่าใครมาชนตูด คลานออกมาจากรถยังงงๆเลยว่าเกิดอะไรขึ้น

ของพวกนี้ประสบการณ์ล้วนๆเลย ไม่เจอก็ไม่รู้ เพราะบ้านเราไม่มีใครสอน

เห็นด้วยครับเรื่องใบขับี่

แถมไม่มีสอบบนถนนจริงอีกด้วย (ต่างประเทศมี)

เรื่องที่สอนการขับแบบนั้นมีครับ แต่มีไม่มากในบ้านเรา และมักมีราคาสูง (ต่างประเทศก็ราคาสูงครับ)

หัวข้อ: Re: ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน แล้วอย่าคิดว่าจะรอดเสมอไป
เริ่มหัวข้อโดย: Okino ที่ ธันวาคม 24, 2009, 21:23:56
ตามความคิดผมนะ  ผมคิดว่า ถ้าเกิดว่ารถปลอดภัยกว่านี้  อุบัติเหตุเกิดเยอะขึ้นแน่นอน  เพราะคนขับประมาท รถเราดี เหยียบกันสุด _น   บัดนั้นความซวยจะตกไปอยู่ที่ขนเดินข้างถนน ไม่ก็ข้ามถนนครับ