Headlight Magazine : community

General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: nimnim_thailand ที่ มีนาคม 10, 2014, 19:44:51

หัวข้อ: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: nimnim_thailand ที่ มีนาคม 10, 2014, 19:44:51
จากประสบการณ์ส่วนตัว ของคนรอบข้าง เท่าที่ผมเคยสอบถามมา ( ส่วนใหญ่ก็ญาติๆเพื่อนๆกันนี่แหล่ะ )
ส่วนใหญ่ที่ใช้รถกัน 10 คน จะมี 7-8 คน แทบจะไม่มีเงินเก็บ แต่ก็ยังมีรถใช้กันได้ ด้วยเงินเดือนประจำ

ถ้าเป็นรถขนาดกลาง ราคาไม่เกิน 7-8 แสน ผมถามมา เงินสด แสนเดียวยังไม่มีกันเลย ( โดยเฉพาะวัยรุ่นถึงวัยกลางคน อายุไม่เกิน 35 ปี )

ถ้าเป็นรถราคาเกินล้าน ขึ้นไป  เงินเก็บ ก็ยังมีไม่ถึงล้านกัน แต่ก็ยังขับรถ ราคา 2-3 ล้านได้

คนกลุ่มนี้เป็นคนส่วนใหญ่ด้วย อยากรู้ว่า เขามีวิธีคิดอย่างไร ( ที่ได้รับคำตอบ มีแต่คำว่า อยากได้ และจำเป็น ซึ่งเป็นคำตอบที่ไม่น่าจะถูกต้องนัก ) สำหรับผม ๆถือว่า เป็นเรื่องเสี่ยงมาก ใช้ชีวิตเหมือนห้ามป่วย ห้ามตาย
ยิ่งถ้าเป็นหัวหน้าครอบครัว มีลูกมีเมียด้วย ยิ่งน่าเป็นห่วงมาก


หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: decptt ที่ มีนาคม 10, 2014, 19:50:29
555+ นี่แหละวิธีคิดของคนไทยปัจจุบัน

รายได้-รายจ่าย=เงินเก็บ


แต่จริงๆแล้ว ในหลักเศรษฐกิจพอเพียง ต้องเป็นสมการ ดังนี้

รายได้ - เงินเก็บ = รายจ่าย


เอาเรื่องเหล่านี้ไปสอนพวกเขากันครับ สอนกันมากๆ คนไทยจะได้มีเงินเก็บ ^_^
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Blackforlife ที่ มีนาคม 10, 2014, 19:56:57
555+ นี่แหละวิธีคิดของคนไทยปัจจุบัน

รายได้-รายจ่าย=เงินเก็บ


แต่จริงๆแล้ว ในหลักเศรษฐกิจพอเพียง ต้องเป็นสมการ ดังนี้

รายได้ - เงินเก็บ = รายจ่าย


เอาเรื่องเหล่านี้ไปสอนพวกเขากันครับ สอนกันมากๆ คนไทยจะได้มีเงินเก็บ ^_^

like 
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: fishfinger ที่ มีนาคม 10, 2014, 19:59:18
ผมว่ามันแล้วแต่คนนะครับ มันเป็นค่านิยม จะไปว่าเค้าก็ไม่ถูก ก็มันเป็นเงินของเขาเป็นสิทธ์ของเค้า ---- ความเห็นกลางๆ
แต่ต่อไปนี้จะเป็นความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ....
สังคมในเมืองส่วนใหญ่ค่อนข้างฟุ้มเฟ่อนะผมว่า อยากทำงานสบายๆในห้องแอร์ทำงานออฟฟิตใส่สูทผูกไทด์โก๋ๆหรูๆแต่มีแค่เปลือก
เด็กจบใหม่ที่ทางบ้าน ไม่มีฐานะพอที่จะซื้อรถให้ ผมเห็นเพื่อนผมหลายๆคนนี่เตรียมจะออกรถทันทีที่จบเลยนะ ยอมอดเลยกันทีเดียว จะได้รับส่งสาวๆได้ประมาณนั้น
แล้วยิ่งโฆษณารถยนต์สมัยนี้เน้น โชวร์ความหรู
Almera ยิ่งเอาโดมมาโฆษณาให้หรูได้
City เอานักบินมาขับ ( นักบินน่าจะมีเงินมากกว่านั้น )
Accord นู้นเลย อัครมหา.....สุดๆ
BMW , Benz , Volvo ยังหรูไม่เท่า  :D

แต่สำหรับที่บ้าน ถ้ารถญี่ปุ่นจะซื้อสด และราคารถทั้งบ้านไม่เกิน 10 เปอร์เซนต์ของเงินสดทั้งหมดครับ
( จะไม่ซื้ออะไรที่ยังไม่มีเงินพอ)
และมีคนใกล้ๆตัวเช่น เป็นเจ้าของร้านอาหารทางใต้ มีที่ดินเป็นร้อยๆไร่ ขับ D-max
                               เป็นเจ้าของกิจการ ขับ มังกรทอง
                               ทำงานบริษัท ขับ Camry
ซึ่งผมก็ไม่ได้มีเจตนาจะว่าใครนะ ความต้องการแต่ละคนไม่เหมือนกัน

มองอีกมุมหนึ่ง อยากให้คนซื้อรถเยอะๆ จะได้มีที่ดินเหลือไว้ให้ซื้ออีก  ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: fhasociety ที่ มีนาคม 10, 2014, 20:05:02
555+ นี่แหละวิธีคิดของคนไทยปัจจุบัน

รายได้-รายจ่าย=เงินเก็บ


แต่จริงๆแล้ว ในหลักเศรษฐกิจพอเพียง ต้องเป็นสมการ ดังนี้

รายได้ - เงินเก็บ = รายจ่าย


เอาเรื่องเหล่านี้ไปสอนพวกเขากันครับ สอนกันมากๆ คนไทยจะได้มีเงินเก็บ ^_^

ผมชอบสมาการนี้นะครับ จะเอาไว้สอนลูกหลานเลยล่ะ
แต่ของผมเองจะคล้าย ๆ แบบนี้ แต่แบ่งเงินเดือนเป็น 3 กอง
กองที่ 1 = รายจ่าย (บัญชีเงินเดือนเต็ม ๆ)
กองที่ 2 = เงินเก็บ (แยกเป็นบัญชีเงินเก็บของผมกับแฟน ไม่มีบัตร)
กองที่ 3 = เงินฉุกเฉิน (แยกอีกบัญชี แต่มีบัตรไว้เผื่อสำรองจ่ายฉุกเฉิน)
ผมรายได้ 40k กว่า ๆ แบ่งเป็น 40-50-10 ผมอยู่ต่างจังหวัดเลยทำได้ แต่ถ้าอยู่ กทม ผมคงไม่รอดครับ ;D
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: csamabat ที่ มีนาคม 10, 2014, 20:07:03
ส่วนตัวของผม นำรายได้ ที่ได้มา หักเก็บในแต่ละเดือนที่เป็นเงินเก็บตายตัวออกมาก่อนครับ(ไว้ใช้ยามฉุกเฉิน) ที่เหลือเป็นรายจ่ายต่างๆ แล้วก็มาผ่อนรถครับ   ส่วนรายได้เสริม ที่นอกจากเงินเดือนประจำ  ก็จะนำมาดูอีกทีครับว่ามีอะไรที่จะซื้อเพิ่มไหม หรือถ้าไม่มีอะไรก็เก็บเอาไว้ก่อนครับ(เผื่อประกันรถ ค่าดูแลรักษาต่างๆ)   หลักๆผมจะบริหารใช้เฉพาะเงินเดือนประจำครับ
บัญชีเงินเดือนเข้า
บัญชีเงินใช้ในเดือนนั้น
บัญชีเงินเก็บอย่่างเดีัยว

ผมจึงซื้อได้แค่ระดับอีโคคาร์ครับ 4แสนนิดๆหน่อยพอ พึ่งเรียนจบ พึี่่งทำงานที่เป็นงานประจำครับ

สมัยก่อนที่จะทำงานประจำก่อนเรียนจบ ใช้รถมือสอง คุมค่าใช้จ่ายลำบากนิดนึงครับ  รถซ่อมบางเดือนเยอะ บางเดือนน้อยครับ  ไม่ค่อยหมกไว้นานๆเดี๋ยวต้องซ่อมเยอะ เลยทะยอยเก็บงานซ่อมนั่นนี่ทุกเดือนๆ ;D
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: YZA ที่ มีนาคม 10, 2014, 20:28:03
เหมาะสมสำหรับผม คือมีเงินพอซื้อสดได้ทั้งก้อน (ถึงเวลาจริงจะผ่อนก็ได้)
รวมถึงร้บได้กับค่าบำรุงรักษาที่จะตามมา
และไม่ทำให้การใช้ชืวิตของตัวเองต้องลำบากขึ้น...ประมาณนี้
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: NS ที่ มีนาคม 10, 2014, 20:42:45
ผมจะผ่อนรถไม่เกิน 10% ของรายได้ต่อเดือนครับ เพราะยังมีค่าใช้จ่ายหลังออกรถอีกเยอะ

รถ ก็คือ ลด ตามชื่อ
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: nimnim_thailand ที่ มีนาคม 10, 2014, 20:47:53
555+ นี่แหละวิธีคิดของคนไทยปัจจุบัน

รายได้-รายจ่าย=เงินเก็บ


แต่จริงๆแล้ว ในหลักเศรษฐกิจพอเพียง ต้องเป็นสมการ ดังนี้

รายได้ - เงินเก็บ = รายจ่าย


เอาเรื่องเหล่านี้ไปสอนพวกเขากันครับ สอนกันมากๆ คนไทยจะได้มีเงินเก็บ ^_^

ถ้า ชาวบ้านมองทั่วๆไป ก็จะเป็นแบบนี้แหล่ะครับ
ที่ผมถามถึงเงินเก็บ แล้วให้ความสำคัญกับเงินเก็บก่อน เพราะผมอยากจะบอกว่า เงินมันทำงานเก่งกว่าคนมากๆ แต่คนส่วนใหญ่ ไม่เคยคิด คิดแต่จะทำงานหาเงินอย่างเดียว

เงินล้านแรก หายาก เงินล้านที่สองหาง่าย คงเคยได้ยินกัน แต่ไม่กี่คนที่เข้าใจ  จนตัวเองมีเงินล้านแล้วจริงๆ ถึงจะเข้าใจ ว่าเงินล้านที่สองมันมาได้ยังไง ง่ายและเร็วกว่าล้านแรกมาก
แต่ถ้าไม่มีเงินเก็บ ใช้ชีวิตแบบทำงานหาเงิน  พอผมแนะนำการลงทุนอะไรไป เขาก็จะอ้างว่า ก็ไม่มีเงินเก็บจะทำได้ยังไง  ผมก็ไม่รู้จะช่วยยังไง
ถ้ามีเงินเก็บ และเริ่มใช้เงินเก็บในการลงทุนให้เป็น บางคนอาจเกษียรการทำงานก่อนอายุ 40-50 ด้วยซ้ำ แต่ถ้ายังคิดกันแต่จะทำงานเพื่อหาเงิน กว่าจะมารู้ว่าเงินมันทำงานเก่งกว่าคน บางทีมันก็อาจสายไปแล้ว ชีวิตคนมันแสนสั้นนัก
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Pasakorndvm ที่ มีนาคม 10, 2014, 20:54:11
ไม่จำเป็นไม่ซื้อครับ
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: decptt ที่ มีนาคม 10, 2014, 21:08:07
555+ นี่แหละวิธีคิดของคนไทยปัจจุบัน

รายได้-รายจ่าย=เงินเก็บ


แต่จริงๆแล้ว ในหลักเศรษฐกิจพอเพียง ต้องเป็นสมการ ดังนี้

รายได้ - เงินเก็บ = รายจ่าย


เอาเรื่องเหล่านี้ไปสอนพวกเขากันครับ สอนกันมากๆ คนไทยจะได้มีเงินเก็บ ^_^

ถ้า ชาวบ้านมองทั่วๆไป ก็จะเป็นแบบนี้แหล่ะครับ
ที่ผมถามถึงเงินเก็บ แล้วให้ความสำคัญกับเงินเก็บก่อน เพราะผมอยากจะบอกว่า เงินมันทำงานเก่งกว่าคนมากๆ แต่คนส่วนใหญ่ ไม่เคยคิด คิดแต่จะทำงานหาเงินอย่างเดียว

เงินล้านแรก หายาก เงินล้านที่สองหาง่าย คงเคยได้ยินกัน แต่ไม่กี่คนที่เข้าใจ  จนตัวเองมีเงินล้านแล้วจริงๆ ถึงจะเข้าใจ ว่าเงินล้านที่สองมันมาได้ยังไง ง่ายและเร็วกว่าล้านแรกมาก
แต่ถ้าไม่มีเงินเก็บ ใช้ชีวิตแบบทำงานหาเงิน  พอผมแนะนำการลงทุนอะไรไป เขาก็จะอ้างว่า ก็ไม่มีเงินเก็บจะทำได้ยังไง  ผมก็ไม่รู้จะช่วยยังไง
ถ้ามีเงินเก็บ และเริ่มใช้เงินเก็บในการลงทุนให้เป็น บางคนอาจเกษียรการทำงานก่อนอายุ 40-50 ด้วยซ้ำ แต่ถ้ายังคิดกันแต่จะทำงานเพื่อหาเงิน กว่าจะมารู้ว่าเงินมันทำงานเก่งกว่าคน บางทีมันก็อาจสายไปแล้ว ชีวิตคนมันแสนสั้นนัก

เรื่องการลงทุน อย่าใช้เงินเก็บครับ
ผมเป็นคนหนึ่งที่ ลงทุน ทั้งหุ้น ทองคำ ประกันชีวิต
แต่.....
มันมี 1เหตุการณ์ ทำให้ผมต้องแยกเงินเก็บกับเงินลงทุน
ผมมีเงินเก็บอยู่ 1 ก้อน ประมาณ 5แสนบาท ผมแพลนเอาไว้ลงทุนประกันชีวิต 6 ปี ปีละ 150,000บาท/ 1ฉบับ (ไม่รวมกว่าอีก 7ฉบับที่ทำอยู่นะครับ) เมื่อ 6 ปีที่แล้ว
หลังจากที่ได้ทำไป 3 เดือน ในปีแรก แม่ผมประสบเหตุ ต้องทำรากฟันเทียมทั้งปาก 11ซี่ เป็นเงิน 550,000 บาท ผมจึงได้นำเงินเก็บส่วนนั้นมารักษาแม่ผม

เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป ประมาณ 3ปี ผมเริ่มกระเบียดกระเสียน ค่าใช้จ่ายตัวเองแล้วครับ จากมีเงินใช้สอยสบายมือ ต้องเก็บกัน เงินประกันชีวิตทั้งหมดที่ผมทำขึ้นมา
ปัจจุบัน ผมใช้เงินเก็บ เงินดอกเบี้ยหุ้น เงินเดือนมาจ่ายค่าประกันชีวิตทุกฉบับนะครับ

อันนี้เป็นอุทธาหรณ์ สอนไว้ก็แล้วกันครับ
เงินลงทุน กับ เงินเก็บ คือคนละส่วนกัน
จริงครับ เงินมันทำงานเก่ง แต่เวลาฉุกเฉิน เงินเก็บสำคัญนะครับ

บอกไว้อีกนิดนึง ผมมีเงินปันผลจากหุ้น จากตั้งเป้าไว้ 60000บาท ปีที่แล้วได้มา 73000 บาท ยังไม่พอใช้จ่ายค่าประกันชีวิตเลยครับ

ปีนี้ ประกันชีวิต ฉบับละ 150,000 บาท และอีก 2-3ฉบับจะครบปีนี้แล้ว ผมก็จะเป็นไทแล้วครับ 555+ จะใช้เงินคล่องมือเพิ่มอีกหน่อย ^_^

ปล. ประกันชีวิต อย่าคิดเป็นเงินเก็บอย่างเดียวนะ เพราะคุณต้องจ่ายมันอย่างต่ำ 6ปี เพื่อสัญญา 10ปีขึ้นไปเป็นประโยชน์ในการคืนภาษีครับ

ขออีกเรื่อง อย่าเพิ่งมาว่าผมโง่ ที่ทำประกันเป็น 10 ฉบับ เพราะ การทำประกันของผมคือ "Connection" ทางธุรกิจด้วยครับ มัน"จำเป็น"ต้องทำครับ
ปีนี้ทำอีก 3 ฉบับของลูกสาว เพราะ ตัวใหญ่จะหมดแล้ว เลยทำฉบับเล็กๆแทน จะได้ไม่เหนื่อยมาก 555+

ลืมไป ที่พูดมา จะบอกจุดประสงค์ว่า
เงินเก็บ กับ เงินลงทุน ควรเป็นคนละส่วนกันครับ ยังไงเงินเก็บควรมี 10-20% ของรายได้ ส่วนเงินลงทุน แล้วแต่ละบุคคลครับ
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: f1rstgot ที่ มีนาคม 10, 2014, 21:12:56
พี่สาวภรรยาผม เงินเดือนเพิ่งจะถึง10k (ก่อนหน้านี้ 7k ก็เพิ่มมาเรื่อยจนเป็น10k) เก็บสะสมเงินมาเรื่อยๆ เสร็จก็เอามาดาวน์ ซิตี้ก่อนหน้ารุ่นใหม่ โฉมMC รุ่นรองท๊อป 646K ดาวน์ไป 280K ผ่อน6ปี เดือนละ 6.5K หักค่ารถจะเหลือเงินเดือน 3.5K บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ จ่ายกับค่าน้ำค่าไฟเดือนละ500 จะเหลือ3K ก็คือเงินกินเองเล็กๆน้อย+เก็บส่งลูก6ขวบเรียน ครับ  ;)
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Dr.Pop ที่ มีนาคม 10, 2014, 21:20:39
อายุ 30 ปี ผมมีรายได้ 3 ส่วน
1. เงินเดือน -> ซื้อหุ้นสหกรณ์ 80% (ตัดผ่านบัญชีไปเลย ตอนนี้หุ้นสหกรณืปันผลปีละ 7 หมื่น
2. เงินตำแหน่ง เงิน on-top เงินขยัน เงินนอกเวลา -> ลงทุนในหุ้น กองทุน LTF
3. เงินธุรกิจส่วนตัว เอามาใช้จ่ายประจำวัน ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน จ่ายบัตรเครดิต ที่เหลือเก็บเข้าเงินฝาก

ถามว่าตอนนี้ซื้อ benz c-class ได้ไม๊ สามารถซื้อได้สบาย แต่จะไม่ได้ออมเงินทุกเดือน
ขอขับรถญี่ปุ่น Camry ต่อดีกว่า มีความสุขกับการออมเงินกินเงินปันผล  ;D

หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: goldsfirm ที่ มีนาคม 10, 2014, 21:30:18
ความเห็นส่วนตัวผมนะคับ รายได้ของคนต่างกัน รสนิยมความชอบต่างกัน คนรวยไม่จำเป็นต้องขับรถหรู (เค้าอาจจะชอบซื้ออสังหามากกว่า) มีของมูลค่าพอๆกับรถเยอะแยะ นาฬิกา กระเป๋า พระเครื่อง ฯลฯ คนห้อยพระสมเด็จแท้ๆ องค์หลายล้าน อาจจะขับกระบะธรรมดาก็ได้ อยู่ที่ความชอบคับว่าใครจะชอบเล่นอะไร ...
แต่นี่เป็นเวปเกี่ยวกับรถยนต์คับ ผมเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้ต้องชอบเล่นรถอยู่แล้ว  :D
หลักในการซื้อรถ (โดยวิธีผ่อนนะคับ) ผมว่าอันดับแรกต้องดูรายได้ต่อเดือน ต้องมั่นคงหรือเพิ่มขึ้นๆ ไม่ใช่ขึ้นๆลงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย หักค่างวดรถแต่ละเดือนแล้ว ต้องเหลือๆ ต้องไม่เดือดร้อน ขอยกตัวอย่างนะคับ
คุณน้าผม รายได้ต่อเดือน8หลัก แกผ่อน Gallardo เดือนละ 300,000 (มีรถอยู่แล้ว 6 คัน)
ญาติผมอีกคน รายได้ต่อเดือนเกือบ8หลัก แกผ่อน CLS เดือนละ 100,00 (มีรถอยู่แล้ว 5 คัน)
ญาติอีกคน รายได้ต่อเดือน7หลัก ผ่อน E saloon เดือนละ 60,000
ผม รายได้ต่อเดือน7หลัก ผ่อน Z4 เดือนละ 70,000

สรุป : ผ่อนรถ เลือกรถในระดับที่เราและครอบครัวจะไม่เดือดร้อนน่ะคับ ผ่อนสบายๆ มีเงินเหลือเก็บสำหรับครอบครัว สำหรับอนาคต สำคัญกว่าคับ  :)
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: decptt ที่ มีนาคม 10, 2014, 21:31:26

ถ้า ชาวบ้านมองทั่วๆไป ก็จะเป็นแบบนี้แหล่ะครับ
ที่ผมถามถึงเงินเก็บ แล้วให้ความสำคัญกับเงินเก็บก่อน เพราะผมอยากจะบอกว่า เงินมันทำงานเก่งกว่าคนมากๆ แต่คนส่วนใหญ่ ไม่เคยคิด คิดแต่จะทำงานหาเงินอย่างเดียว

เงินล้านแรก หายาก เงินล้านที่สองหาง่าย คงเคยได้ยินกัน แต่ไม่กี่คนที่เข้าใจ  จนตัวเองมีเงินล้านแล้วจริงๆ ถึงจะเข้าใจ ว่าเงินล้านที่สองมันมาได้ยังไง ง่ายและเร็วกว่าล้านแรกมาก
แต่ถ้าไม่มีเงินเก็บ ใช้ชีวิตแบบทำงานหาเงิน  พอผมแนะนำการลงทุนอะไรไป เขาก็จะอ้างว่า ก็ไม่มีเงินเก็บจะทำได้ยังไง  ผมก็ไม่รู้จะช่วยยังไง
ถ้ามีเงินเก็บ และเริ่มใช้เงินเก็บในการลงทุนให้เป็น บางคนอาจเกษียรการทำงานก่อนอายุ 40-50 ด้วยซ้ำ แต่ถ้ายังคิดกันแต่จะทำงานเพื่อหาเงิน กว่าจะมารู้ว่าเงินมันทำงานเก่งกว่าคน บางทีมันก็อาจสายไปแล้ว ชีวิตคนมันแสนสั้นนัก

ผมเห็นประเด็นแล้วครับ เรื่องนี้ แล้วแต่บุคคลครับ
ลูกน้องผม หลายคน ถึงแม้จะสอนไปแล้ว เขาก็ยังแพ้กิเลสตัวเองครับ และเขาก็ไม่เข้าใจว่า เงินมันทำงานด้วยตัวของมันเองได้
ผมแนะนำแบบนี้ครับ (เพราะคนแบบนี้เข้าใจอะไรยากมากกกกกกกกกกกกก)

ให้เก็บเงิน ตามสมการนั้นก่อน พอได้เงินก้อนมา เกิน 1 หมื่นบาท ค่อยยุเขาไปลงทุน สลากออมสิน 3 ปี เดี๋ยวก็ได้เงินคืน แถมเผื่อถูกด้วย

อีกวิธี พวกฝากประจำ 36 เดือน ฝากเดือนละ 500-25000 บาทในจำนวนที่เท่าๆกันทุกเดือน ห้ามถอน ได้ดอกเยอะกว่าฝากประจำ ไม่เสียภาษีด้วย
ลองดู วิธีง่ายๆก่อนครับ การจะสอนคนลงทุน มันยากครับ แต่ถ้าสอนให้ลงทุนในการพนัน(ที่ได้เงินคืน เช่นสลากออมสิน ธกส) มันมีโอกาสมากกว่านะครับ เขาจะได้เก็บตังค์ไปเลย 3 ปี 555+

อย่าท้อใจ ถ้าจะสอนคน  ผมสอนไป 15 คน(ลูกน้องผมเอง) มีคนลองทำแค่ 2 คนครับ + อีก1คนผมบังคับ หักในเงินเดือนเลย (เพราะขี้เหล้ามาก มีเท่าไหร่ลงขวดหมด)
ย้ำ อย่าท้อใจครับ ถ้าคิดจะสอนให้คนอื่นได้ดี
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: honest ที่ มีนาคม 10, 2014, 21:42:26
จริงๆลแ้วควรจะมีเงินดาวน์ซัก 50% ของตัวรถก่อนแล้วก็ผ่อนไม่เกิน 20% ของรายได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วแพ้กิเลสครับ
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: AMG GT ที่ มีนาคม 10, 2014, 21:55:38
สำหรับบ้านผมนะ  ผ่อนรถเท่าไหร่+เติมน้ำมันต่อเดือนเท่าไหร่     เอามาลบกับเงินที่หาได้แต่ละเดือนต้องมีเงินใช้ไม่ใช่ว่าเอามาลบกับเงินเดือนแล้วติดลบนี่ไม่ไหวนะ   
บ้านผมทำรับเหมาของทางประปาครับ ทั้งบ้านมีสามคน พ่อ แม่และผม   
รถที่บ้านก็วีโก้  เอาไว้ขนคนงานขนของได้ด้วย  ค่าผ่อน 11,XXX  ต่อเดือน  + เติมน้ำมัน 8000 ได้ต่อเดือน   เงินที่หาได้อันนี้ไม่แน่นอนแต่ก็ 50,000-150,000  แล้วแต่เดือนอ่ะครับ   ค่าใช่จ่ายภายในบ้านต่อเดือน 25,XXX  เหลือเงินเก็บทุกเดือนครับ  ก่อนหน้านี้มีแพลนจะออก รุเก๋งอีกคันแต่พ่อแม่เอามาคิดดูแล้วออกมาก็ไม่มีเงินเก็บไม่ออกดีกว่า
ปล.อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ   คนรู้จังหลายคนมีรถคันเป็นล้านแต่ไม่มีเงินแทบจะกินข้าวชักหน้าไม่ถึงหลังเยอะแยะไปครับเพราะว่าคนพวกนี้เค้าคิดว่า การมีรถที่แพงๆดูน่าเชื่อถือขับแล้วโก้ มันหรู  ก็จะเป็นเช่นนี้แหละครับถ้าไม่ดูตนเองก่อนน...
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: dangc27 ที่ มีนาคม 10, 2014, 22:10:57
  
     นอกเรื่องก่อน.. การใช้เงินถ้าเปรียบกับการกิน ดังนี้ กินอดีต กินปัจจุบัน กินอนาคต
                    กินปัจจุบัน  มีรายได้100 ใช้หมด100            ไม่มีโอกาสรวย
                    กินอนาคต  มีรายได้100  ใช้ 150 (เอารายได้วันข้างหน้ามาใช้ก่อน)     จะมีแต่หนี้
                    กินอดีต      มีรายได้100  ใช้ 50 ที่เหลือ 50เอาไว้ใช้วันต่อไป (วันต่อไปก็เอาเงินที่เหลือ50มาใช้)    จะรวยในวันหน้า
                    รายได้ แบ่งเป็น 3ส่วน 1.เงินใช้จ่ายประจำ ฝากธนาคารไว้(พยายามใช้ให้พอตามงบ เหลือฝาก)
                                                 2.เงินฉุกเฉิน เช่นเกิดอุบัติเหตุ เจ็บป่วย (เหลือฝาก)
                                                 3.เงินฝาก พยายามอย่าแตะ
                            พยายามอย่าเอาเงินติดตัวมากๆ อย่ามีบัตรที่ทำให้การใช้เงินง่ายๆ บางครั้งเจอของชอบเงินเราไม่พอซื้อ พรุ่งนี้อาจหายอยาก
       ผม และภรรยา รับราชการทั้งคู่ เงินเดือนรวมกัน 70,000 รวมค่าเช่านี่ นั่นอีก 30,000 ผมใช้วิธีนี้มีเงินเหลือซื้อ ECO CAR ตัวtop ป้ายแดง เงินสดได้ปีละคัน
     เข้าเรื่อง...อย่างจขกท.บอกเดี๋ยวนี้หลายคนพยายามจะมีรถกันทั้งที่ยังไม่น่าจะพร้อม น้องๆที่ทำงานเงินเดือนหมี่นต้นๆถอยป้ายแดงกันเป็นแถว เพื่อขับมาทำงาน ไป-กลับ 10  กม. (จำเป็นหรือ...) 1.สำหรับผมรถไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ ไม่มีเงินพอซื้อเงินสดยังไม่ซื้อ
                                      2.ซื้อรถที่อยากได้ พอเหมาะ และคุ้มที่สุด เป็นรถมือสอง
                    ปล. ท่านที่ซื้อรถเงินผ่อน(เศรษฐีที่ซื้อรถผ่อนไม่เกี่ยวนะครับ) ให้ใช้รายได้ประจำไปคำนวนเงินค่างวดนะ อย่าเอาเงินที่คาดว่าจะได้ เช่นโบนัส อั่งเปา ไปคำนวนนะครับ
                            
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: nudragon ที่ มีนาคม 10, 2014, 22:28:18
กระทู้นี้ดีจัง :) ผมอายุ 28

ผมใช้รถญี่ปุ่นคันละห้าแสนห้า ผ่อนรถอยู่ประมาณ 15% ของรายได้ปัจจุบัน

พอเหลือเก็บ ลงทุน เล็กๆน้อยๆ และ ผ่อนบ้าน ครับ
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: seamonkey ที่ มีนาคม 10, 2014, 22:30:45
car's valve < 10% of fluid asset

ดังนั้นถ้าจะซื้อรถราคา 1 ล้าน ก็ควรมี Fluid asset 10 ล้านเป็นอย่างน้อยครับ
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: กด9เพื่อกลับสู่เมนูหลัก ที่ มีนาคม 10, 2014, 22:41:41
ก่อนผมจะตอบวิธีการใช้เงินของผม ผมอยากจะพูดอะไรสักอย่าง

ทำไมคนหลายๆคน ชอบไปยุ่งไปวิพากษ์วิจารณ์การใช้เงินของคนอื่นจังเลยครับ
และเท่าที่ผมเห็นส่วนมาก ก็จะไปวิจารณ์เขาในแง่ลบ ทำนองว่าแม่งใช้เงินไม่เป็น ต้องประหยัดแบบกูนี่ ถึงจะเรียกว่าใช้เงินแบบมีสมอง

ชอบด่านักพวกเด็กจบใหม่ พ่อแม่ออกรถให้ขับ ผมก็สงสัยว่ามันไปหนักหัวกะบาลใคร บางครั้งต้องถามตัวเองว่าที่เราทำแบบนี้ เพียงเพราะต้องการจะอวดความฉลาด อวดความประหยัดของตัวเองรึป่าว
สำหรับผมไร้สาระมาก ในการไปวิจารณ์คนอื่น เพราะมันเงินเขา ไม่ใช่เงินเรา


เข้าเรื่องดีกว่า...

สำหรับผม ผมคิดง่ายๆ ถ้าผมจะซื้อรถสักคัน ผมไม่สนว่าผมต้องมีเงินเก็บเท่าไร ถ้าผมมองแล้วว่าผมผ่อนไหว ผมก็ซื้อเลยถ้าผมอยากได้อ่ะนะ
เพราะผมคิดว่าเงินมีไว้ใช้ ไม่ได้มีไว้เก็บ รัฐบาลมีโครงการรักษาฟรี ผมไม่จำเปนต้องดับกิเลสเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ยามเจ็บป่วย  เพราะถ้าผมเป็นมะเร็ง ก็ให้แม่งตายดีกว่า มี2ล้านก็ไม่พอ
แม่ผมรักษายายหมดไป4ล้าน สุดท้ายอยู่ได้6เดือนก็ตาย

และผมไม่สนใจเรื่องเก็บเงินไว้เผื่อฉุกเฉิน เพราะผมจะไม่ทำให้ชีวิตผมฉุกเฉิน
ถ้าบ้านผมไฟไหม้ผมมีประกัน รถผมหายผมมีประกัน ถ้าผมป่วยผมก็รักษาฟรีตามโรงบาลรัฐ
เพราะฉะนั้นคำว่า ฉุกเฉิน คืออะไร ???
ผมไม่มีคำว่าตกงาน เพราะ ผมไม่ได้เป็นลูกจ้าง  ผมทำธุรกิจส่วนตัว และ ผมจะไม่ปล่อยให้กิจการผมเข้าสู่ภาวะเสี่ยง จนต้องมีช่วงฉุกเฉิน พวกนี้จริงๆเราบริหารมันได้หมด

เพราะฉะนั้น ถ้าผมจะซื้อรถที่ต้องผ่อนเดือนละ5หมื่น
ผมต้องหาเงินต่อเดือนให้ได้อย่างน้อย 8หมื่นบาท
เพราะ3หมื่น เป็นค่าใช้จ่ายต่อเดือนของผมและครอบครัว
5หมื่นจึงเอาไปผ่อนรถได้

ผมไม่ใช่แนวที่ว่ากูต้องมีเงินเก็บ20ล้าน ถึงจะซื้อบีเอ็มขับได้
ผมไม่ชอบตั้งโจทย์ยากๆให้ชีวิต ตัวเลขในบัญชีไม่มีความหมายสำหรับผมเลย
ผมทำงานโคดเหนื่อย ไม่มีวันหยุด ผมก็แปรรูปมันมาเป็นความสุข สิ่งของ
ทุกวันนี้ผมไม่ค่อยมีเงินเก็บ เพราะใช้เกือบหมดทุกเดือน

ผมบ้ารถ รถคือลมหายใจของผม
ผมเคยคิดจะเก็บเงินสดแล้วซื้อรถถูกๆขับ เพราะเคยมองว่าเก็บไว้เผื่อเจ็บป่วย (สมัยนานมากที่คิดแบบนี้)
ก็เลยมาคิดว่า อ้าว ถ้ากูเป็นมะเร็ง หรือเส้นเลือดในสมองแตกตาย ก็ไม่ได้ขับรถแล้ว
หรือถ้าข้ามถนนแล้วโดนรถชนตาย เงินในบัญชีอุส่าห์เก็บมาก็ไม่ได้ใช้เลย
เพราะฉะนั้น ผมใช้เงินเกลี้ยงเลยครับ มีเหลือในบัญชีนิดหน่อย แบบให้พออุ่นใจว่าเรามีเงินหลักแสนอยู่นะ ถ้ามีต่ำกว่าหลักแสน ผมจะนอนไม่หลับ

คนแบบผมคือคนที่คนส่วนใหญ่มองว่าใช้เงินไม่เป็น สิ้นคิด

แต่ผมมองว่าคำว่าความสุขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน
บางคนเขามีความสุขที่เห็นตัวเลขในบัญชีมันเพิ่มขึ้นทุกๆปี เขาก็จะหาว่าผมนี่งี่เง่า ซื้อแต่ของ
ส่วนความสุขของผมคือ ผ่อนรถ กินอาหารแพงๆ ซื้อเข็มขัดแอร์เมส กระเป๋าหลุยส์ รองเท้าเฟอร์รากาโม่ นาฬิกาโรเล็กซ์ ,พาเนอไร

ผมไม่ต้องมีเงิน4ล้าน ถึงค่อยซื้อเบนซ์ได้
ผมแค่มีเงินผ่อนเดือนละ5หมื่นผมก็ซื้อแล้วครับ

แต่ตอนนี้บังเอิญยังไม่มีปัญญาผ่อนรถเดือนละห้าหมื่นเท่านั้นเอง

ถ้ามีปัญญาเมื่อไหร่

ใบพัดสีฟ้ากับผม ได้เจอกันแน่นอน

หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: dekdemo ที่ มีนาคม 10, 2014, 23:03:01
ควรเลือกซื้อรถด้วยความจำเป็นครับ แล้วคุณทุกๆคนจะมีความสุข และความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ;D
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Slipknot` ที่ มีนาคม 10, 2014, 23:29:08
1 ใน 3 ของเงินที่หัก คชจ แล้วครับ

เช่น รายได้ต่อเดือน 100,000 มี คชจ. รวม 40,000

ก็จะผ่อนรถแค่ 20,000 พอครับไม่เกินนั้น

20,000 ก็คือ 1ใน3 ของ 60,000
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: HYDE-- ที่ มีนาคม 11, 2014, 00:01:27
ผมก็อยากมีรถดีๆใช้นะ แต่ในทางตรงกันข้าม ผมก็เข้าใจในแบบของผมว่า
การผ่อนรถ ผ่อนบ้าน และ ค่าใช้จ่ายต่างๆ มันเป็นตัวประกัน ไม่ให้เรา หยุดทำงาน ห้ามเจ็บ ห้ามป่วย

ดังนั้น ถ้าถามผม ผมเลือกลงทุนก่อน หรือทำธุรกิจ จนมีรายได้ที่มั่นคงแน่นอน ค่อยซื้อรถที่ชอบจริงๆด้วยเงินสด แบบสบายๆดีกว่า
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ichok ที่ มีนาคม 11, 2014, 00:02:12
ค่าใช้จ่ายในชีวิตไม่ได้มีแต่รถยนต์ สูตรของผม ณ ปัจจุบันคือ ถ้าผมตกงานหรือติดขัดเรื่องรายได้ เงินเก็บในบัญชีของผมจะต้องนำมาจ่ายได้โดยไม่เดือดร้อนเป็นเวลา1ปี เช่น ถ้ามีรายจ่ายเดือนละ50000 ผมควรจะมีเงินเก็บซักล้านนึงครับ
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: joe560-4 ที่ มีนาคม 11, 2014, 00:09:11
ผมมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง พอประมาณ ไม่มากนัก

ส่วนเงินออม คือรถครับ :D
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pisaa ที่ มีนาคม 11, 2014, 00:12:26
 ::)

บางทีหาเงินมาได้ก็อยากใช้ในสิ่งที่เราชอบครับ ถึงจะลำบากสักหน่อย แต่มันก็เป็นความสุขทางใจครับ

ค.ห.ส.ต. ะครับ
บางคนอาจจะคิดว่า เห้ยทำไมไม่เก็เงิน เอาไปซื้อนู่นซื้อนี่ซะหมด เดี๋ยวอนาคตไม่มีเงินแล้วจะลำบาก จริงครับผมเห็นด้วย
แต่ที่หาเงินมาก็เพื่อไว้ใช้ เพื่อทำให้เรามีความสุขนะครับ การใช้เงินไม่ใช่เรื่องเสียหายครับ ใช้ไปเถอะ เพราะมันคือจุดประสงค์ของการเก็บเงินอยู่แล้ว

แต่ให้หาเงินเพิ่มได้มากกว่าเดิมก็พอ  ;)
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: mick ที่ มีนาคม 11, 2014, 00:14:12
แล้วแต่คนเลยครับ ไม่มีสูตรตายตัว
บางคนรถคือเครื่องใช้ บางคนรถคือความสุข บางคนคือเคร่ื่องอวดรวย
ชอบอะไรก็ทำครับ แต่ให้เงินที่มาซื้อเป็นเงินโกง เอาเปรียบ ทำนาบนหลังคนแล้วกัน

หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: raygun ที่ มีนาคม 11, 2014, 01:24:11
.
.
.
ผมก็งงกับคนที่ชอบไปวิจารณ์ ออกความเห็นกับการใช้เงินของคนอื่นเหมือนกัน
เงินเค้านะครับ เค้าหามาจะใช้ยังไงก็เรื่องของเค้า แค่เค้าไม่มายืมคุณผมว่าโอเคแล้ว
แม้ผมจะเห็นด้วยกับการใช้เงินของแต่ละคนที่แนะนำกันมา (ผมก็ทำแบบนั้นแหละ)
แต่ไม่เห็นด้วยที่ไปว่าคนอื่นครับ

อย่างเพื่อนผมหาเงินมาเท่าไหร่ เที่ยวหมด มันเที่ยวมารอบโลกแล้ว
มันบอกว่าทุกวันนี้ทำงานมาเพื่อไปเที่ยวเท่านั้น บ้านเช่าอยู่ รถไม่มี
มันเลยไม่ต้องมีห่วงอะไร สุขภาพก็ทำประกันไว้เต็มแม็ค

ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ อย่าเอาตัวเราไปตัดสินคนอื่นเลย
อย่างผมถึงจะชอบรถรักรถมากแค่ไหน แต่ที่สุดแล้วผมเลือกบ้านก่อน
รถก็ซื้อเท่าที่พอจะซื้อได้ ชอบ MB ก็จัดตัวล่างๆมาก็พอ
เอาเงินไปทำบ้านสนุกกว่า เงินไม่หาย แถมบ้านก็น่าอยู่
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Kittisak ที่ มีนาคม 11, 2014, 02:16:27
ผ่อนรถไม่ควรเกิน15%
แล้วชีวิตจะมีโอกาส ใช้เงินทำงาน ไม่ใช่ทำงานเพื่อเงิน
คนส่วนใหญ่ใช้เงินไม่เป็น สินทรัพย์95%บนโลกจึงตกเป็นของคนเพียง5%
คนคิดได้บางคนต้องเจอวิกฤตก่อนครับ น้อยคนจะมีวิสัยทัศน์
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: YenChar ที่ มีนาคม 11, 2014, 07:22:58
ทำบัญชีให้ตัวเองดูครับ
ทำซักปี ทำง่ายๆ แค่รายรับรายจ่าย แล้วเอาเงินเก็บทั้งปีมาเฉลี่ย
ก็จะรู้แล้วว่ามีเงินเก็บต่อเดือนเท่าไหร่ มีกำลังผ่อนเท่าไหร่

สมมุติเก็บได้เดือนล่ะ 12,000
ก็เอาเงินที่เก็บได้ต่อเดือนมาคิดอีกทีว่าอยากได้อะไรมั้ย มีแผนจะทำอะไรหรือเปล่า
สำรองไว้ฉุกเฉิน สำรองไว้เผื่อเจ็บป่วย
หลังจากสำรอง หลังจากเก็บเผื่อแผนในอนาคต นี่คือกำลังผ่อนรถที่มี
เอามันไว้ส่วนท้ายที่สุด นั่นทำให้สถานะทางการเงินเราปลอดภัยนะครับ

คนบางคนสำรองเงินผ่อนไว้ต้นเดือน
นั่นหมายถึงภาระครับ คือคุณตัดสินใจผ่อนตั้งแต่แรก
แต่การเก็บก่อนค่อยเหลือผ่อน คือรางวัลชีวิตที่แท้จริง แบบไม่เบียดเบียนค่าใช้จ่ายอื่นๆ
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: puccamam ที่ มีนาคม 11, 2014, 07:51:42
ตอบยาก ต้องดูเป็นรายบุคคลเลย  บางคนเงินไม่เยอะแต่ขับรถแพง บางคนเงินเยอะ แต่ซื้อรถไม่แพงมาขับ มันมีปัจจัยอื่นๆด้วย เช่นนิสัยการใช้เงินของแต่ละคน ,  รสนิยม ฯลฯ 
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: jaesz ที่ มีนาคม 11, 2014, 08:23:30
ผมคิดว่า รถมีค่าเท่ากับ หนึ่งไตรมาสของปี

ถ้าใน4 เดือน ไม่สามารถหาเงินสดได้เท่ากับรถที่จะซื้อ ผมจะไม่ซื้อ เพราะมันเท่ากับเอาเงินที่หามา 1/3 ปีไปใช้เลยนะครับ
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: NINENOI ที่ มีนาคม 11, 2014, 08:43:54
อ่านแล้วรู้สึกจุกเล็กน้อยแฮะ  :D :D :D

ผมถือคติว่ามีเงินต้องใช้แต่จะทำยังไงให้มีใช้ได้ตลอด ผมเห็นมาเยอะตอนมีแรงทำงานก็ทำแต่งานพอแก่ตัวลงมาก็เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ไม่อยากใช้ตังพอใกล้ตายก็เที่ยววิ่งหาฮวงซุ้ยดีๆไว้ฝังตัวเอง ของดีๆเก็บไว้ใช้ตอนตายเนี่ยนะผมไม่เอาหรอก ตอนนี้รถที่ใช้ก็ถือว่าเกินตัวอยู่นะเงินเก็บที่มีเกลี้ยงจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัวเลย เงินเหลือหลังผ่อนก็แทบเดือนชนเดือนแต่สิ่งที่ได้มาคือรถที่เราอยากได้ ขับแล้วมีความสุข ลูกเมียนั่งสบาย ภาพลักษณ์ดูดีขึ้น (ข้อนี้คิดเอาเอง) ครอบครัวผมสร้างตัวมาแทบจะเรียกว่าเริ่มจากศูนย์ก็อยากมีอะไรที่เป็นของขวัญให้ตัวเองบ้างแม้จะทำให้เงินเก็บหมดไปรายจ่ายตึงๆไปสัก 1 ปี แต่ผมก็คิดดีแล้วว่าคุ้มกับรางวัลชีวิตตัวเองในครั้งนี้แม้จะเป็นเพียงมือสองก็ตาม

ป.ล. ไม่เคยเบียดเบียนรายจ่ายส่วนอื่น เช่น เกรดของนมลูก ค่าเที่ยว (อันนี้เพิ่มขึ้นเยอะ 555) ค่าอื่นๆ เงินมีไว้ใช้แต่อย่าให้เดือดร้อน
ป.ล.2 ไม่เคยหนี้บัตรอะไรนะครับ รูดเพื่อเอาแต้มและขี้เกียจพกเงินสด สิ้นเดือนก็จ่ายหมด ผมมองหนี้พวกนี้ว่าไม่มีประโยชน์เงินแค่ไม่กี่ตังถ้าไม่มีปัญญาจ่ายก็อย่าซื้อ
ป.ล.3 เงินเก็บพอมีนะครับ เงินก้อน กองทุน ทอง แต่นี่คือเงินเก็บถ้าจะใช้คือฉุกเฉินสุดๆแต่ยังไม่เคยเฉียดใกล้ฉุกเฉินเลย เหมือนกันขับรถวิธีหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุคือการลดความเสี่ยงที่จะเกิด
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: sajilki ที่ มีนาคม 11, 2014, 09:26:17
รถ ทำให้คนเป็นหนี้ เยอะที่สุด   
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: 5ume7h ที่ มีนาคม 11, 2014, 09:55:53
ถ้าส่วนใหญ่ทำแบบนี้ได้มันก็ดี
แต่เอาเข้าจริงมันทำได้ยาก ไม่อย่างนั้นถนนกรุงเทพ ส่วนใหญ่คงเป็นมอเตอร์ไซค์กับอีโคคาร์
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: raygun ที่ มีนาคม 11, 2014, 10:26:15
ผมคิดว่า รถมีค่าเท่ากับ หนึ่งไตรมาสของปี

ถ้าใน4 เดือน ไม่สามารถหาเงินสดได้เท่ากับรถที่จะซื้อ ผมจะไม่ซื้อ เพราะมันเท่ากับเอาเงินที่หามา 1/3 ปีไปใช้เลยนะครับ


.
.
.
ผมทึ่งคำตอบนี้มาก ถ้าทุกคนคิดแบบนี้กันหมดประเทศนี้คงแทบไม่มีใครมีรถใช้เลย
ลองคิดตาม ขนาดคนเงินเดือน 200,000 พอหลังจากหักภาษีโน่นนี่นั่นแล้ว
ยังไม่สมควรซื้อ eco car มาใช้เลย  ;D
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: WTF ที่ มีนาคม 11, 2014, 10:26:40
เห็นด้วยที่ว่าแต่ละคนชอบไม่เหมือนกันก็เลยเอามาตัดสินไม่ได้ เราเองก็อย่าไปยุ่งเรื่องเขามาก บางทีความจำเป็น ความชอบมันต่างกัน
แต่ถ้าเป็นส่วนของผม ผมมักจะมีรถ2คัน คันนึงมักจะเอาที่ดีๆหน่อยแต่ก็ไม่ใช่รถแพงเกินฐานะอะไร เช่นพวก camry accord crv ฯลฯ ยุโรปแบบไม่แพงจัดก็เคยมีแต่ขายไปแล้ว เอาให้นั่งสบาย สำหรับการเดินทางไกลๆ หรือ เสา อา ที่เน้นความสบายของครอบครัว (ซึ่งจาก ปสก.การใช้งานมา ผมว่าพวก d-seg ญี่ปุ่น นั่งสบายกว่า c-seg ยุโรปเยอะเลย คือมันกว้างดีไม่อึดอัด)
อีกคันจะเน้นถูกๆ ประหยัดเชื้อเพลิงสุดๆ เช่น city cng, vios lpg พวกนี้ไว้ขับไปทำงาน เพราะไม่มีใครนั่งด้วยอยู่แล้ว เวลาโดนมอไซด์เฉี่ยวจะได้ไม่อารมณ์เสียด้วย 555 และเผื่อไว้ให้ญาติพี่น้องยืมได้ กรณีญาติพี่น้องเดือดร้อนต้องใช้ นี่ก็มีญาติมายืมไปอยู่ตอนนี้
ส่วนเงินเก็บเท่าไหร่เหมาะสมกับรถอะไร คงวัดกันยาก อย่างผมเน้นว่าลูกต้องได้ การศึกษาที่ดี(อายุแค่2-3ขวบก็หมดค่าเรียนไป2แสนแล้ว) การกินอยู่ดี และครอบครัวต้องไม่เดือดร้อน มีเงินสำรองช่วยพี่น้องที่ขาดแคลน ก็เลยมาลงที่ลูก+ครอบครัว มากกว่ารถ
ผมเป็นลูกจ้าง ทำงานประจำ เงินเก็บผมมี~8หลัก อายุ3X เงินเดือน 6 หลัก แต่ถ้าอายุซัก 40กว่า ก็กะจะซื้อรถ MPV หรูๆกะเขามั่งซักคัน ความอยากได้มันก็มี แต่คงรอลูกโตกว่านี้ก่อน
ก็ขอ share ดังนี้ละกันครับ
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Activehybrid ที่ มีนาคม 11, 2014, 10:38:32
ทุกคนในที่นี้มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน คือรักรถ หรือจะเรียกว่าบ้ารถก็ได้

ไม่ผิดรอกครับถ้าเห็นใครผ่อนรถแพงๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะตายไปแล้วเป็นภาระ เดี๋ยวนี้มีประกัน(ตายไม่ต้องผ่อนต่อ)พ่วงมาด้วย

ใครก็อยากมีความทรงจำดีๆกับรถคันเก่งเป็นรถในฝัน(หรืออย่างน้อยรถคันโปรดเห็นทีไรน้ำลายหกทุกที) ก่อนที่จะแก่เกินกว่าจะขับรถ

แต่ต้องอย่าลืมมีเวลาให้คนที่เขารักเราด้วยนะครับ

สุดท้าย "มันอยู่ที่ใจ"
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: 0% ที่ มีนาคม 11, 2014, 10:43:56
อยู่ที่ความสำคัญด้วยครับ

บางคนใช้รถหาเงิน คือ เป็นอุปกรณ์ หาเงินชนิดหนึ่ง มันจำเป็นต้องใช้จริงๆ

กับ

อีกประเภทคือ แค่อยากจะมี

ส่วนตัวคิดว่ามันแล้วแต่คนเลย แต่ที่แน่ๆ จะผ่อนแบบเดือนชนเดือน คงไม่ไหว ถ้าเงินเดือนหายไปเดือนนึง ก็ช๊อต ขาดส่ง ไม่ดีแน่นอน

เอาให้ดี ไม่เป็นหนี้จะดีที่สุด ทำไมต้องซื้อรถใหม่ ยิ่งในปัจจุบัน รถมือสอง ราคาดีๆ สภาพสวยๆ ปีใหม่ๆมีเยอะแยะ ถมเถไป หาคนที่ดูเป็นไปดู
ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะ ถ้าเก็บสด จบได้ ยิ่งประหยัดค่าดอกเบี้ยด้วย
กลุ่มตัวอย่างรถน่าใช้ราคาถูกเช่น vios yaris ตัวก่อน ราคาสองปลายๆเท่านั้นเอง
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: sky_walker ที่ มีนาคม 11, 2014, 11:29:56
555+ นี่แหละวิธีคิดของคนไทยปัจจุบัน

รายได้-รายจ่าย=เงินเก็บ


แต่จริงๆแล้ว ในหลักเศรษฐกิจพอเพียง ต้องเป็นสมการ ดังนี้

รายได้ - เงินเก็บ = รายจ่าย


เอาเรื่องเหล่านี้ไปสอนพวกเขากันครับ สอนกันมากๆ คนไทยจะได้มีเงินเก็บ ^_^
+1 ครับ ขอเอาไป แชร์ หน่อยย ^^
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: HME ที่ มีนาคม 11, 2014, 11:43:14
( โดยเฉพาะวัยรุ่นถึงวัยกลางคน อายุไม่เกิน 35 ปี )
______________________________
อ่านถึงตรงนี้แล้วแทบจะหมดกำลังใจในการดำเนินชีวิตเลยทีเดียว
35กลายเป็นวัยกลางคนแล้ว
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: redsun ที่ มีนาคม 11, 2014, 11:48:55
ความคิดเห็นดีๆ เยอะเลย
อ่านแล้วดีมากๆครับ  :D
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: mongolias ที่ มีนาคม 11, 2014, 12:23:10
ผมมี 2 มุมแฮะ
ถามว่า ตอนนี้เงินเก็บมีไหม ส่วนตัวไม่มีเลยครับ เพราะผมแบ่งการใช้เงินออกเป็น 3 ส่วนครับ
35% ของเงินเดือน ผมเก็บไว้ใช้ส่วนตัว
20% ของเงินเดือน ผมให้คุณแม่ผมใช้ครับ
40% ของเงินเดือน ให้ภรรยาเก็บครับ
ส่วนอีก 5% เป็นพวก ภาษี ประกันสังคม อะไร จำพวกนั้น

โดยในเงินส่วนตัวที่ผมเก็บไว้ใช้ ผมก็ซื้อประกันชีวิตอีกนิดหน่อย เท่ากับว่า เหลือเงินใช้จริงๆ อาจจะราวๆ 30% ของเงินเดือน มันก็เดือนชนเดือน อาจจะมีเหลือเก็บบ้างนิดหน่อย
ซึ่งเงินเหลือเก็บ ก็จะเอาไว้ซ่อมรถบ้าง เอาไว้ไปเที่ยวบ้าง

โดยส่วนตัวเป็นคนชอบรถมาตั้งแต่เด็ก เห็นคนขับรถใหม่ๆก็อยากได้
ผมเป็นคนที่ ถ้าอยากได้อะไร จะมีช่วงหนึ่งที่อยากได้สุดๆ พอผ่านไปสักระยะ ก็จะเริ่มเฉยๆ แล้วก็จะเสียดายเงิน 555
ดังนั้น เวลาอยากจะได้รถคันใหม่ ก็จะบอกตัวเองว่า รอไปสักระยะดีไหม รถที่ตัวเองใช้อยู่ มันก็ยังขับได้อยู่(8ปีละ) รถแฟนก็เพิ่งจะ 2 ปีนิดๆเอง จะซื้อคันใหม่ก็ต้องอดเก็บเงินอีกหลายปี ด้วยเศรษฐกิจตอนนี้ ขอเก็บเงินก่อนดีกว่า แต่ไม่เกิน 2 ปี ยังไงก็ได้ขยับขยายแน่ เพราะผมถือว่ารถคือกำไรชีวิต ไม่ซื้อตอนที่ยังมีแรงขับ ก็รอขับรถกระดาษล่ะ

อ่านกระทู้นี้แล้วชอบแฮะ ได้มุมมองเยอะดี 
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: trumpetx ที่ มีนาคม 11, 2014, 13:46:53
ก่อนผมจะตอบวิธีการใช้เงินของผม ผมอยากจะพูดอะไรสักอย่าง

ทำไมคนหลายๆคน ชอบไปยุ่งไปวิพากษ์วิจารณ์การใช้เงินของคนอื่นจังเลยครับ
และเท่าที่ผมเห็นส่วนมาก ก็จะไปวิจารณ์เขาในแง่ลบ ทำนองว่าแม่งใช้เงินไม่เป็น ต้องประหยัดแบบกูนี่ ถึงจะเรียกว่าใช้เงินแบบมีสมอง

ชอบด่านักพวกเด็กจบใหม่ พ่อแม่ออกรถให้ขับ ผมก็สงสัยว่ามันไปหนักหัวกะบาลใคร บางครั้งต้องถามตัวเองว่าที่เราทำแบบนี้ เพียงเพราะต้องการจะอวดความฉลาด อวดความประหยัดของตัวเองรึป่าว
สำหรับผมไร้สาระมาก ในการไปวิจารณ์คนอื่น เพราะมันเงินเขา ไม่ใช่เงินเรา


เข้าเรื่องดีกว่า...

สำหรับผม ผมคิดง่ายๆ ถ้าผมจะซื้อรถสักคัน ผมไม่สนว่าผมต้องมีเงินเก็บเท่าไร ถ้าผมมองแล้วว่าผมผ่อนไหว ผมก็ซื้อเลยถ้าผมอยากได้อ่ะนะ
เพราะผมคิดว่าเงินมีไว้ใช้ ไม่ได้มีไว้เก็บ รัฐบาลมีโครงการรักษาฟรี ผมไม่จำเปนต้องดับกิเลสเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ยามเจ็บป่วย  เพราะถ้าผมเป็นมะเร็ง ก็ให้แม่งตายดีกว่า มี2ล้านก็ไม่พอ
แม่ผมรักษายายหมดไป4ล้าน สุดท้ายอยู่ได้6เดือนก็ตาย

และผมไม่สนใจเรื่องเก็บเงินไว้เผื่อฉุกเฉิน เพราะผมจะไม่ทำให้ชีวิตผมฉุกเฉิน
ถ้าบ้านผมไฟไหม้ผมมีประกัน รถผมหายผมมีประกัน ถ้าผมป่วยผมก็รักษาฟรีตามโรงบาลรัฐ
เพราะฉะนั้นคำว่า ฉุกเฉิน คืออะไร ???
ผมไม่มีคำว่าตกงาน เพราะ ผมไม่ได้เป็นลูกจ้าง  ผมทำธุรกิจส่วนตัว และ ผมจะไม่ปล่อยให้กิจการผมเข้าสู่ภาวะเสี่ยง จนต้องมีช่วงฉุกเฉิน พวกนี้จริงๆเราบริหารมันได้หมด

เพราะฉะนั้น ถ้าผมจะซื้อรถที่ต้องผ่อนเดือนละ5หมื่น
ผมต้องหาเงินต่อเดือนให้ได้อย่างน้อย 8หมื่นบาท
เพราะ3หมื่น เป็นค่าใช้จ่ายต่อเดือนของผมและครอบครัว
5หมื่นจึงเอาไปผ่อนรถได้

ผมไม่ใช่แนวที่ว่ากูต้องมีเงินเก็บ20ล้าน ถึงจะซื้อบีเอ็มขับได้
ผมไม่ชอบตั้งโจทย์ยากๆให้ชีวิต ตัวเลขในบัญชีไม่มีความหมายสำหรับผมเลย
ผมทำงานโคดเหนื่อย ไม่มีวันหยุด ผมก็แปรรูปมันมาเป็นความสุข สิ่งของ
ทุกวันนี้ผมไม่ค่อยมีเงินเก็บ เพราะใช้เกือบหมดทุกเดือน

ผมบ้ารถ รถคือลมหายใจของผม
ผมเคยคิดจะเก็บเงินสดแล้วซื้อรถถูกๆขับ เพราะเคยมองว่าเก็บไว้เผื่อเจ็บป่วย (สมัยนานมากที่คิดแบบนี้)
ก็เลยมาคิดว่า อ้าว ถ้ากูเป็นมะเร็ง หรือเส้นเลือดในสมองแตกตาย ก็ไม่ได้ขับรถแล้ว
หรือถ้าข้ามถนนแล้วโดนรถชนตาย เงินในบัญชีอุส่าห์เก็บมาก็ไม่ได้ใช้เลย
เพราะฉะนั้น ผมใช้เงินเกลี้ยงเลยครับ มีเหลือในบัญชีนิดหน่อย แบบให้พออุ่นใจว่าเรามีเงินหลักแสนอยู่นะ ถ้ามีต่ำกว่าหลักแสน ผมจะนอนไม่หลับ

คนแบบผมคือคนที่คนส่วนใหญ่มองว่าใช้เงินไม่เป็น สิ้นคิด

แต่ผมมองว่าคำว่าความสุขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน
บางคนเขามีความสุขที่เห็นตัวเลขในบัญชีมันเพิ่มขึ้นทุกๆปี เขาก็จะหาว่าผมนี่งี่เง่า ซื้อแต่ของ
ส่วนความสุขของผมคือ ผ่อนรถ กินอาหารแพงๆ ซื้อเข็มขัดแอร์เมส กระเป๋าหลุยส์ รองเท้าเฟอร์รากาโม่ นาฬิกาโรเล็กซ์ ,พาเนอไร

ผมไม่ต้องมีเงิน4ล้าน ถึงค่อยซื้อเบนซ์ได้
ผมแค่มีเงินผ่อนเดือนละ5หมื่นผมก็ซื้อแล้วครับ

แต่ตอนนี้บังเอิญยังไม่มีปัญญาผ่อนรถเดือนละห้าหมื่นเท่านั้นเอง

ถ้ามีปัญญาเมื่อไหร่

ใบพัดสีฟ้ากับผม ได้เจอกันแน่นอน



เจ๋งอ่ะ ชอบที่บอกว่า เด็กจบใหม่ พ่อแม่ออกรถให้ขับ (แต่แม่บอกว่าซื้อให้น่ะ ถ้ามีตังซื้อเองค่อยเอามาคืน)

ตอนนี้ที่ผ่อนอยู่เดือนล่ะ 28000

เงินเดือนผม 9000 จะมีปัญญาไหนไปผ่อนว่ะเนี้ย 555+ (แม่ผ่อนทั้งน้าน) (เติมน้ำมันเดือนล่ะ เกือบ 5พัน-*-)(ที่เหลือกินข้าวจานล่ะไม่เกิน 30 ---รอด)
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: neutrino ที่ มีนาคม 11, 2014, 14:30:44
อยากบอกว่ คนส่วนใหญ่ที่เป็นหนี้ เป็นสิน บ้างก็ถูกยึดรถ, ไม่กล้ารับสายเพราะโดนตามทวงหนี้บัตรเครดิต, รายได้ไม่พอจ่าย ต้องขอจากพ่อ-แม่(บางคนอายุ30กว่าแล้วยังขอเงินแม่) พวกนี้มีมากครับ ซึ่งพวกนี้เป็นโรคที่เรียกว่า " รสนิยมสูง รายได้ต่ำ" ไงครับ
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: maxillofacial surgeon ที่ มีนาคม 11, 2014, 14:37:50
ก่อนอื่นดูเงินในกระเป๋าก่อนครับ  ว่ามีพอซื้อยังอิๆ  
แต่ละคนมีแพลนไม่เหมือนกัน และก็ปรับเปลี่ยนได้ แต่ตัวผมมีเป้าหมาย พอดีอ่านจากหนังสือทำตามมหาเศรษฐีเค้าทำกัน
ลงทุน10%
สำรอง10%
เรียนรู้ 10%
ใช้จ่าย55%
ใช้เล่น10%
give5%
สามารถปรับเปลี่ยนได้ตาม รายได้ที่เปลี่ยนแปลงไป   แต่ยังทำตามมะค่อยได้เลย  หนักไปทางใช้สุรุ่ยสุร่ายซะมากกว่าคับ
รายได้ผม 500,000
กินใช้  100,000
ตอนนี้ผ่อนรถ100,000  ผ่อน5 คัน   ไม่มีพรีเมี่ยมคาร์ซักคันเพราะแต่ละคันซื้อมาใช้ตามความเหมาะสมกะช่วงชีวิต  

ที่เหลือ 300,00แบ่งเก็บสำรองใช้  ลงทุน  กะเกษียณตอนอายุ45  อยากมีเงินซัก200ล้าน คิดอยู่ว่าจะกล้าซื้อลัมโบมาขับมั้ย
ตอนนี้เน้นกิน เที่ยว ใช้ตังเยอะหน่อย กลัวตายแล้วไม่ได้ใช้เองคับผม
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: WTF ที่ มีนาคม 11, 2014, 14:59:10
ก่อนอื่นดูเงินในกระเป๋าก่อนครับ  ว่ามีพอซื้อยังอิๆ  
แต่ละคนมีแพลนไม่เหมือนกัน และก็ปรับเปลี่ยนได้ แต่ตัวผมมีเป้าหมาย พอดีอ่านจากหนังสือทำตามมหาเศรษฐีเค้าทำกัน
ลงทุน10%
สำรอง10%
เรียนรู้ 10%
ใช้จ่าย55%
ใช้เล่น10%
give5%
สามารถปรับเปลี่ยนได้ตาม รายได้ที่เปลี่ยนแปลงไป   แต่ยังทำตามมะค่อยได้เลย  หนักไปทางใช้สุรุ่ยสุร่ายซะมากกว่าคับ
รายได้ผม 500,000
กินใช้  100,000
ตอนนี้ผ่อนรถ100,000  ผ่อน5 คัน   ไม่มีพรีเมี่ยมคาร์ซักคันเพราะแต่ละคันซื้อมาใช้ตามความเหมาะสมกะช่วงชีวิต  

ที่เหลือ 300,00แบ่งเก็บสำรองใช้  ลงทุน  กะเกษียณตอนอายุ45  อยากมีเงินซัก200ล้าน คิดอยู่ว่าจะกล้าซื้อลัมโบมาขับมั้ย
ตอนนี้เน้นกิน เที่ยว ใช้ตังเยอะหน่อย กลัวตายแล้วไม่ได้ใช้เองคับผม

เป็นหมอศัลย์รึเปล่าหรือทำส่วนตัวครับ รายได้แบบนี้

แต่เดือนละ 5แสน เก็บ3 แสนนี่ กว่าจะได้ 200 ล้านนี่ต้องใช้เวลา 55 ปีเลยนะครับ อายุ 45 จะมี 200 ล้านนี่ เดือนๆนึงคงต้องมีระดับ 2-3ล้านเลยนะนี่ น่าอิจฉาจริงๆ  ;D
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: maxillofacial surgeon ที่ มีนาคม 11, 2014, 15:04:52
ก่อนอื่นดูเงินในกระเป๋าก่อนครับ  ว่ามีพอซื้อยังอิๆ  
แต่ละคนมีแพลนไม่เหมือนกัน และก็ปรับเปลี่ยนได้ แต่ตัวผมมีเป้าหมาย พอดีอ่านจากหนังสือทำตามมหาเศรษฐีเค้าทำกัน
ลงทุน10%
สำรอง10%
เรียนรู้ 10%
ใช้จ่าย55%
ใช้เล่น10%
give5%
สามารถปรับเปลี่ยนได้ตาม รายได้ที่เปลี่ยนแปลงไป   แต่ยังทำตามมะค่อยได้เลย  หนักไปทางใช้สุรุ่ยสุร่ายซะมากกว่าคับ
รายได้ผม 500,000
กินใช้  100,000
ตอนนี้ผ่อนรถ100,000  ผ่อน5 คัน   ไม่มีพรีเมี่ยมคาร์ซักคันเพราะแต่ละคันซื้อมาใช้ตามความเหมาะสมกะช่วงชีวิต  

ที่เหลือ 300,00แบ่งเก็บสำรองใช้  ลงทุน  กะเกษียณตอนอายุ45  อยากมีเงินซัก200ล้าน คิดอยู่ว่าจะกล้าซื้อลัมโบมาขับมั้ย
ตอนนี้เน้นกิน เที่ยว ใช้ตังเยอะหน่อย กลัวตายแล้วไม่ได้ใช้เองคับผม

เป็นหมอศัลย์รึเปล่าหรือทำส่วนตัวครับ รายได้แบบนี้

แต่เดือนละ 5แสน เก็บ3 แสนนี่ กว่าจะได้ 200 ล้านนี่ต้องใช้เวลา 55 ปีเลยนะครับ อายุ 45 จะมี 200 ล้านนี่ เดือนๆนึงคงต้องมีระดับ 2-3ล้านเลยนะนี่ น่าอิจฉาจริงๆ  ;D
เป็นหมอจัดฟันครับ  รายได้ตอนนี้เท่านี้ครับ แต่ปีหน้าน่าจะแตะล้าน  วางแผนขยายสาขาคลีนิกด้วยครับ 
ทำงานด้วยแรงเราคนเดียว  เดือนละล้านก็อ้วกแตกแล้วครับผม  นั่นคือที่แพลนไว้  ได้ไม่ได้อีกเรื่องนึงครับอิๆ
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: goldsfirm ที่ มีนาคม 11, 2014, 16:50:45
ก่อนอื่นดูเงินในกระเป๋าก่อนครับ  ว่ามีพอซื้อยังอิๆ  
แต่ละคนมีแพลนไม่เหมือนกัน และก็ปรับเปลี่ยนได้ แต่ตัวผมมีเป้าหมาย พอดีอ่านจากหนังสือทำตามมหาเศรษฐีเค้าทำกัน
ลงทุน10%
สำรอง10%
เรียนรู้ 10%
ใช้จ่าย55%
ใช้เล่น10%
give5%
สามารถปรับเปลี่ยนได้ตาม รายได้ที่เปลี่ยนแปลงไป   แต่ยังทำตามมะค่อยได้เลย  หนักไปทางใช้สุรุ่ยสุร่ายซะมากกว่าคับ
รายได้ผม 500,000
กินใช้  100,000
ตอนนี้ผ่อนรถ100,000  ผ่อน5 คัน   ไม่มีพรีเมี่ยมคาร์ซักคันเพราะแต่ละคันซื้อมาใช้ตามความเหมาะสมกะช่วงชีวิต  

ที่เหลือ 300,00แบ่งเก็บสำรองใช้  ลงทุน  กะเกษียณตอนอายุ45  อยากมีเงินซัก200ล้าน คิดอยู่ว่าจะกล้าซื้อลัมโบมาขับมั้ย
ตอนนี้เน้นกิน เที่ยว ใช้ตังเยอะหน่อย กลัวตายแล้วไม่ได้ใช้เองคับผม

เป็นหมอศัลย์รึเปล่าหรือทำส่วนตัวครับ รายได้แบบนี้

แต่เดือนละ 5แสน เก็บ3 แสนนี่ กว่าจะได้ 200 ล้านนี่ต้องใช้เวลา 55 ปีเลยนะครับ อายุ 45 จะมี 200 ล้านนี่ เดือนๆนึงคงต้องมีระดับ 2-3ล้านเลยนะนี่ น่าอิจฉาจริงๆ  ;D
เป็นหมอจัดฟันครับ  รายได้ตอนนี้เท่านี้ครับ แต่ปีหน้าน่าจะแตะล้าน  วางแผนขยายสาขาคลีนิกด้วยครับ 
ทำงานด้วยแรงเราคนเดียว  เดือนละล้านก็อ้วกแตกแล้วครับผม  นั่นคือที่แพลนไว้  ได้ไม่ได้อีกเรื่องนึงครับอิๆ

ถึงว่า ... แฟนผมรู้จักหมอหลายคน เทอบอกว่าโดยส่วนใหญ่ หมอฟัน รวยสุด  :)
ขอให้ขยายสาขาได้ ในเร็ววันคับผม
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: boneshiro ที่ มีนาคม 11, 2014, 17:12:30
ผมคิดง่ายๆครับ ถ้าคุณจะซื้อรถสักคันแล้วคุณต้องลุ้นว่าไฟแนนท์จะผ่านมั้ย อย่าซื้อครับ

บางคนพูดว่าตัวเองเลือกจะลงทุนกับรถนั่นก็เข้าใจผิดหรือเข้าใจถูกแต่เข้าข้างตัวเอง
รถยนต์ไม่ใช่สินทรัพย์ ซื้อแล้วจอดทิ้งไว้ ไม่ได้ทำให้เกิดรายได้ หรือเวลาผ่านไปมูลค่าไม่ได้เพิ่มขึ้น
ฉะนั้นรถนี่คือวัตถุสนอง need ล้วนๆ ซื้อวันนี้ ผ่านไปอีกสิบปีก็กลายเป็นแค่รถรุ่นเก่าที่มูลค่าเหลือแค่ 20-30% หรือน้อยกว่านั้น

คนอื่นจะคิดยังไงก็ตามแต่ แต่สำหรับผม หนังชีวิตมันยังอีกยาวไกล ผมไม่ได้คิดว่าชีวิตถึงจุดสูงสุดเมื่อได้ครอบครองรถรุ่นใดก็ตาม
เพราะฉะนั้น ผมจะไม่ซื้อรถที่มันราคาสูงจนกระทบกับเงินที่สำหรับลงทุนและเงินออมครับ 
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: dht_tubes ที่ มีนาคม 11, 2014, 17:22:19
หลากหลายความเห็น ดีมากเลย ได้อ่านหลายๆมุมมอง

ถ้าเอาตัวเลขคิดง่ายๆ ก็คงไม่ควรจะเกิน 30% ของรายได้หลัก อันนี้รวมค่าเชื้อเพลิงแล้วนะครับ (สูตรนี้คำนวนจากคนมีครอบครัวเเล้ว) ก็เผื่อเหลือเผื่อขาดเยอะหน่อย

แต่ที่สำคัญในความคิดผมคือ ต้องอย่าหลอกตัวเองครับ หาตัวเองให้เจอ ผมว่าทุกคนไม่ว่าใครก็ทำได้ไม่เดือดร้อนเหมือนกันหมดแหละ

หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Monn ที่ มีนาคม 11, 2014, 20:56:25
ก่อนผมจะตอบวิธีการใช้เงินของผม ผมอยากจะพูดอะไรสักอย่าง

ทำไมคนหลายๆคน ชอบไปยุ่งไปวิพากษ์วิจารณ์การใช้เงินของคนอื่นจังเลยครับ
และเท่าที่ผมเห็นส่วนมาก ก็จะไปวิจารณ์เขาในแง่ลบ ทำนองว่าแม่งใช้เงินไม่เป็น ต้องประหยัดแบบกูนี่ ถึงจะเรียกว่าใช้เงินแบบมีสมอง

ชอบด่านักพวกเด็กจบใหม่ พ่อแม่ออกรถให้ขับ ผมก็สงสัยว่ามันไปหนักหัวกะบาลใคร บางครั้งต้องถามตัวเองว่าที่เราทำแบบนี้ เพียงเพราะต้องการจะอวดความฉลาด อวดความประหยัดของตัวเองรึป่าว
สำหรับผมไร้สาระมาก ในการไปวิจารณ์คนอื่น เพราะมันเงินเขา ไม่ใช่เงินเรา


เข้าเรื่องดีกว่า...

สำหรับผม ผมคิดง่ายๆ ถ้าผมจะซื้อรถสักคัน ผมไม่สนว่าผมต้องมีเงินเก็บเท่าไร ถ้าผมมองแล้วว่าผมผ่อนไหว ผมก็ซื้อเลยถ้าผมอยากได้อ่ะนะ
เพราะผมคิดว่าเงินมีไว้ใช้ ไม่ได้มีไว้เก็บ รัฐบาลมีโครงการรักษาฟรี ผมไม่จำเปนต้องดับกิเลสเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ยามเจ็บป่วย  เพราะถ้าผมเป็นมะเร็ง ก็ให้แม่งตายดีกว่า มี2ล้านก็ไม่พอ
แม่ผมรักษายายหมดไป4ล้าน สุดท้ายอยู่ได้6เดือนก็ตาย

และผมไม่สนใจเรื่องเก็บเงินไว้เผื่อฉุกเฉิน เพราะผมจะไม่ทำให้ชีวิตผมฉุกเฉิน
ถ้าบ้านผมไฟไหม้ผมมีประกัน รถผมหายผมมีประกัน ถ้าผมป่วยผมก็รักษาฟรีตามโรงบาลรัฐ
เพราะฉะนั้นคำว่า ฉุกเฉิน คืออะไร ???
ผมไม่มีคำว่าตกงาน เพราะ ผมไม่ได้เป็นลูกจ้าง  ผมทำธุรกิจส่วนตัว และ ผมจะไม่ปล่อยให้กิจการผมเข้าสู่ภาวะเสี่ยง จนต้องมีช่วงฉุกเฉิน พวกนี้จริงๆเราบริหารมันได้หมด

เพราะฉะนั้น ถ้าผมจะซื้อรถที่ต้องผ่อนเดือนละ5หมื่น
ผมต้องหาเงินต่อเดือนให้ได้อย่างน้อย 8หมื่นบาท
เพราะ3หมื่น เป็นค่าใช้จ่ายต่อเดือนของผมและครอบครัว
5หมื่นจึงเอาไปผ่อนรถได้

ผมไม่ใช่แนวที่ว่ากูต้องมีเงินเก็บ20ล้าน ถึงจะซื้อบีเอ็มขับได้
ผมไม่ชอบตั้งโจทย์ยากๆให้ชีวิต ตัวเลขในบัญชีไม่มีความหมายสำหรับผมเลย
ผมทำงานโคดเหนื่อย ไม่มีวันหยุด ผมก็แปรรูปมันมาเป็นความสุข สิ่งของ
ทุกวันนี้ผมไม่ค่อยมีเงินเก็บ เพราะใช้เกือบหมดทุกเดือน

ผมบ้ารถ รถคือลมหายใจของผม
ผมเคยคิดจะเก็บเงินสดแล้วซื้อรถถูกๆขับ เพราะเคยมองว่าเก็บไว้เผื่อเจ็บป่วย (สมัยนานมากที่คิดแบบนี้)
ก็เลยมาคิดว่า อ้าว ถ้ากูเป็นมะเร็ง หรือเส้นเลือดในสมองแตกตาย ก็ไม่ได้ขับรถแล้ว
หรือถ้าข้ามถนนแล้วโดนรถชนตาย เงินในบัญชีอุส่าห์เก็บมาก็ไม่ได้ใช้เลย
เพราะฉะนั้น ผมใช้เงินเกลี้ยงเลยครับ มีเหลือในบัญชีนิดหน่อย แบบให้พออุ่นใจว่าเรามีเงินหลักแสนอยู่นะ ถ้ามีต่ำกว่าหลักแสน ผมจะนอนไม่หลับ

คนแบบผมคือคนที่คนส่วนใหญ่มองว่าใช้เงินไม่เป็น สิ้นคิด

แต่ผมมองว่าคำว่าความสุขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน
บางคนเขามีความสุขที่เห็นตัวเลขในบัญชีมันเพิ่มขึ้นทุกๆปี เขาก็จะหาว่าผมนี่งี่เง่า ซื้อแต่ของ
ส่วนความสุขของผมคือ ผ่อนรถ กินอาหารแพงๆ ซื้อเข็มขัดแอร์เมส กระเป๋าหลุยส์ รองเท้าเฟอร์รากาโม่ นาฬิกาโรเล็กซ์ ,พาเนอไร

ผมไม่ต้องมีเงิน4ล้าน ถึงค่อยซื้อเบนซ์ได้
ผมแค่มีเงินผ่อนเดือนละ5หมื่นผมก็ซื้อแล้วครับ

แต่ตอนนี้บังเอิญยังไม่มีปัญญาผ่อนรถเดือนละห้าหมื่นเท่านั้นเอง

ถ้ามีปัญญาเมื่อไหร่

ใบพัดสีฟ้ากับผม ได้เจอกันแน่นอน



เจ๋งครับ ขอคารวะความเห็นนี้ครับ

ผมคนนึง ไม่มีเงินเก็บเป็นชิ้นเป็นอันครับ อาจจะเพราะผมเองกับแฟน หาเงินได้เยอะ ผมใช้ชีวิตเต็มที่ครับ ไหวเท่าไหร่ ใช้เท่านั้น มีพวก LTF RMF กับกองทุนนิดหน่อย ไม่มีประกัน ไม่มีเงินฝากประจำ มีหมุนเวียนอยู่หลายแสนต่อเดือน แค่นั้นครับ

แต่ผมซื้อ BM 2 ปี 2 คัน ก็ปีละคันแหละ เพราะง่ายๆ ครับ ผมชอบอะ ผ่อนไหว ไม่มีปัญญาซื้อสด เพราะใช้เงินเก่ง แต่ก็ควบคุมใช้จ่ายให้อยู่ในวงที่หามาใช้ได้นะครับ ไม่ได้แบบว่า หนี้บานไรงี้ บางทีความจำเป็นของแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ แต่เอาเป็นว่าผมไม่เบียดเบียนใคร และผมคิดเพียงแค่ว่า ปีนี้ เราจะหาเงินให้ได้มากกว่าปีที่แล้ว ซึ่งปี 2556 ผมกับแฟนรวมกัน ก็หาได้มากกว่า 6 ล้าน ก็เลยคิดว่า ไม่มีปัญหาที่จะใช้ BM กันคนละคัน ผมใช้รถญี่ปุ่นมาตลอด มันไม่ใช่ คือมันไม่ใช่ ความหมายคือ มันไม่สุดอะ ยังไม่พอใจ แต่ตอนนี้ happy มากๆ ทั้งคู่ เพราะได้ใช้ในสิ่งที่เราชอบ ใครชอบแบบไหน ใช้แบบนั้น ผมว่าไม่น่าจะมีใครผิด การเก็บเงินเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่หากเก็บแล้วไม่ได้ใช้ แล้วคุณมีความสุขกับการดูตัวเลข ก็ไม่มีปัญหาเพราะคุณชอบ ส่วนผม ชอบวัตถุ ชอบจะเห็น จะได้ใช้มัน ขอแค่ไม่เดือดร้อน ก็ happy แล้วครับ

แต่ในขณะเดียวกัน ปีนี้ปีเดียว ผมก็ให้แม่เกษียร เอาเงินให้ท่านใช้ปีนี้ทั้งปีไปแล้ว โดยไม่ต้องเดือดร้อน + เปลี่ยนรถให้ท่านแล้ว จะได้ไม่ต้องใช้ไปซ่อมไปกับรถคันเก่า หากผมต้องเก็บเงิน แต่ไม่ได้ให้แม่ ไม่ได้เปลี่ยนรถให้แม่ ผมก็ไม่เอาครับ เงินสำหรับผม มีไว้ใช้ หาใหม่ให้ได้มากขึ้นดีกว่าครับ

ปล. ที่ไม่มีเงินเก็บมากมัน เพราะผมกับแฟน ก่อนมีลูก เราเที่ยวกระจายครับ ไปกันมามากกว่า 20 ประเทศ มากกว่า 50 ครั้งใน 10 ปี ไม่แปลกที่ไม่เหลือครับ แต่สำหรับผม ผมว่า ผมใช้ชีวิตคุ้มครับ  ;D
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: mick ที่ มีนาคม 11, 2014, 21:31:07
ก่อนผมจะตอบวิธีการใช้เงินของผม ผมอยากจะพูดอะไรสักอย่าง

ทำไมคนหลายๆคน ชอบไปยุ่งไปวิพากษ์วิจารณ์การใช้เงินของคนอื่นจังเลยครับ
และเท่าที่ผมเห็นส่วนมาก ก็จะไปวิจารณ์เขาในแง่ลบ ทำนองว่าแม่งใช้เงินไม่เป็น ต้องประหยัดแบบกูนี่ ถึงจะเรียกว่าใช้เงินแบบมีสมอง

ชอบด่านักพวกเด็กจบใหม่ พ่อแม่ออกรถให้ขับ ผมก็สงสัยว่ามันไปหนักหัวกะบาลใคร บางครั้งต้องถามตัวเองว่าที่เราทำแบบนี้ เพียงเพราะต้องการจะอวดความฉลาด อวดความประหยัดของตัวเองรึป่าว
สำหรับผมไร้สาระมาก ในการไปวิจารณ์คนอื่น เพราะมันเงินเขา ไม่ใช่เงินเรา


เข้าเรื่องดีกว่า...

สำหรับผม ผมคิดง่ายๆ ถ้าผมจะซื้อรถสักคัน ผมไม่สนว่าผมต้องมีเงินเก็บเท่าไร ถ้าผมมองแล้วว่าผมผ่อนไหว ผมก็ซื้อเลยถ้าผมอยากได้อ่ะนะ
เพราะผมคิดว่าเงินมีไว้ใช้ ไม่ได้มีไว้เก็บ รัฐบาลมีโครงการรักษาฟรี ผมไม่จำเปนต้องดับกิเลสเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ยามเจ็บป่วย  เพราะถ้าผมเป็นมะเร็ง ก็ให้แม่งตายดีกว่า มี2ล้านก็ไม่พอ
แม่ผมรักษายายหมดไป4ล้าน สุดท้ายอยู่ได้6เดือนก็ตาย

และผมไม่สนใจเรื่องเก็บเงินไว้เผื่อฉุกเฉิน เพราะผมจะไม่ทำให้ชีวิตผมฉุกเฉิน
ถ้าบ้านผมไฟไหม้ผมมีประกัน รถผมหายผมมีประกัน ถ้าผมป่วยผมก็รักษาฟรีตามโรงบาลรัฐ
เพราะฉะนั้นคำว่า ฉุกเฉิน คืออะไร ???
ผมไม่มีคำว่าตกงาน เพราะ ผมไม่ได้เป็นลูกจ้าง  ผมทำธุรกิจส่วนตัว และ ผมจะไม่ปล่อยให้กิจการผมเข้าสู่ภาวะเสี่ยง จนต้องมีช่วงฉุกเฉิน พวกนี้จริงๆเราบริหารมันได้หมด

เพราะฉะนั้น ถ้าผมจะซื้อรถที่ต้องผ่อนเดือนละ5หมื่น
ผมต้องหาเงินต่อเดือนให้ได้อย่างน้อย 8หมื่นบาท
เพราะ3หมื่น เป็นค่าใช้จ่ายต่อเดือนของผมและครอบครัว
5หมื่นจึงเอาไปผ่อนรถได้

ผมไม่ใช่แนวที่ว่ากูต้องมีเงินเก็บ20ล้าน ถึงจะซื้อบีเอ็มขับได้
ผมไม่ชอบตั้งโจทย์ยากๆให้ชีวิต ตัวเลขในบัญชีไม่มีความหมายสำหรับผมเลย
ผมทำงานโคดเหนื่อย ไม่มีวันหยุด ผมก็แปรรูปมันมาเป็นความสุข สิ่งของ
ทุกวันนี้ผมไม่ค่อยมีเงินเก็บ เพราะใช้เกือบหมดทุกเดือน

ผมบ้ารถ รถคือลมหายใจของผม
ผมเคยคิดจะเก็บเงินสดแล้วซื้อรถถูกๆขับ เพราะเคยมองว่าเก็บไว้เผื่อเจ็บป่วย (สมัยนานมากที่คิดแบบนี้)
ก็เลยมาคิดว่า อ้าว ถ้ากูเป็นมะเร็ง หรือเส้นเลือดในสมองแตกตาย ก็ไม่ได้ขับรถแล้ว
หรือถ้าข้ามถนนแล้วโดนรถชนตาย เงินในบัญชีอุส่าห์เก็บมาก็ไม่ได้ใช้เลย
เพราะฉะนั้น ผมใช้เงินเกลี้ยงเลยครับ มีเหลือในบัญชีนิดหน่อย แบบให้พออุ่นใจว่าเรามีเงินหลักแสนอยู่นะ ถ้ามีต่ำกว่าหลักแสน ผมจะนอนไม่หลับ

คนแบบผมคือคนที่คนส่วนใหญ่มองว่าใช้เงินไม่เป็น สิ้นคิด

แต่ผมมองว่าคำว่าความสุขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน
บางคนเขามีความสุขที่เห็นตัวเลขในบัญชีมันเพิ่มขึ้นทุกๆปี เขาก็จะหาว่าผมนี่งี่เง่า ซื้อแต่ของ
ส่วนความสุขของผมคือ ผ่อนรถ กินอาหารแพงๆ ซื้อเข็มขัดแอร์เมส กระเป๋าหลุยส์ รองเท้าเฟอร์รากาโม่ นาฬิกาโรเล็กซ์ ,พาเนอไร

ผมไม่ต้องมีเงิน4ล้าน ถึงค่อยซื้อเบนซ์ได้
ผมแค่มีเงินผ่อนเดือนละ5หมื่นผมก็ซื้อแล้วครับ

แต่ตอนนี้บังเอิญยังไม่มีปัญญาผ่อนรถเดือนละห้าหมื่นเท่านั้นเอง

ถ้ามีปัญญาเมื่อไหร่

ใบพัดสีฟ้ากับผม ได้เจอกันแน่นอน



เจ๋งครับ ขอคารวะความเห็นนี้ครับ

ผมคนนึง ไม่มีเงินเก็บเป็นชิ้นเป็นอันครับ อาจจะเพราะผมเองกับแฟน หาเงินได้เยอะ ผมใช้ชีวิตเต็มที่ครับ ไหวเท่าไหร่ ใช้เท่านั้น มีพวก LTF RMF กับกองทุนนิดหน่อย ไม่มีประกัน ไม่มีเงินฝากประจำ มีหมุนเวียนอยู่หลายแสนต่อเดือน แค่นั้นครับ

แต่ผมซื้อ BM 2 ปี 2 คัน ก็ปีละคันแหละ เพราะง่ายๆ ครับ ผมชอบอะ ผ่อนไหว ไม่มีปัญญาซื้อสด เพราะใช้เงินเก่ง แต่ก็ควบคุมใช้จ่ายให้อยู่ในวงที่หามาใช้ได้นะครับ ไม่ได้แบบว่า หนี้บานไรงี้ บางทีความจำเป็นของแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ แต่เอาเป็นว่าผมไม่เบียดเบียนใคร และผมคิดเพียงแค่ว่า ปีนี้ เราจะหาเงินให้ได้มากกว่าปีที่แล้ว ซึ่งปี 2556 ผมกับแฟนรวมกัน ก็หาได้มากกว่า 6 ล้าน ก็เลยคิดว่า ไม่มีปัญหาที่จะใช้ BM กันคนละคัน ผมใช้รถญี่ปุ่นมาตลอด มันไม่ใช่ คือมันไม่ใช่ ความหมายคือ มันไม่สุดอะ ยังไม่พอใจ แต่ตอนนี้ happy มากๆ ทั้งคู่ เพราะได้ใช้ในสิ่งที่เราชอบ ใครชอบแบบไหน ใช้แบบนั้น ผมว่าไม่น่าจะมีใครผิด การเก็บเงินเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่หากเก็บแล้วไม่ได้ใช้ แล้วคุณมีความสุขกับการดูตัวเลข ก็ไม่มีปัญหาเพราะคุณชอบ ส่วนผม ชอบวัตถุ ชอบจะเห็น จะได้ใช้มัน ขอแค่ไม่เดือดร้อน ก็ happy แล้วครับ

แต่ในขณะเดียวกัน ปีนี้ปีเดียว ผมก็ให้แม่เกษียร เอาเงินให้ท่านใช้ปีนี้ทั้งปีไปแล้ว โดยไม่ต้องเดือดร้อน + เปลี่ยนรถให้ท่านแล้ว จะได้ไม่ต้องใช้ไปซ่อมไปกับรถคันเก่า หากผมต้องเก็บเงิน แต่ไม่ได้ให้แม่ ไม่ได้เปลี่ยนรถให้แม่ ผมก็ไม่เอาครับ เงินสำหรับผม มีไว้ใช้ หาใหม่ให้ได้มากขึ้นดีกว่าครับ

ปล. ที่ไม่มีเงินเก็บมากมัน เพราะผมกับแฟน ก่อนมีลูก เราเที่ยวกระจายครับ ไปกันมามากกว่า 20 ประเทศ มากกว่า 50 ครั้งใน 10 ปี ไม่แปลกที่ไม่เหลือครับ แต่สำหรับผม ผมว่า ผมใช้ชีวิตคุ้มครับ  ;D

รบกวนถาม อาชีพอะไรอะคับ ถ้าสะดวกจะตอบนะคับ
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Monn ที่ มีนาคม 11, 2014, 22:37:27
ผมพนักงานครับ เป็นนักวิเคราะห์
แฟนทำขายตรง อยู่ระดับสูงครับ
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: rut191 ที่ มีนาคม 12, 2014, 00:17:33
ผมเงินเดือน15000หักประกันสังคมเหลือ14250 ส่งรถdmax4ประตู14225บาท x48เดือน เหลือ25บาท ค่ากินค่าใช้อยู่ที่5-6kต่อเดือน ก็จากot+เบี้ยเลี้ยงนั้นแหละ ใช้เงินเดือนชนเดือนเลยครับ 555 จริงๆอยากออกjazzมากเลยครับ แต่แม่อยากให้ออก4ประตู เผื่อให้พ่อใช้ด้วย แม่บอกไม่ไหวเดี่ยวแม่ช่วยไม่ต้องกลัวนะลูก พอเอาเข้าจริงๆก็ไม่กล้าขอเขาหรอกครับ เคยขออย่างมากไม่เกิน2000/เดือน ส่วนตัวพอใจแล้วส่วนเรื่องเงินเก็บ เอาไว้อีก28เดือนหน้าแล้วกันนะ 

ปล.เห็นเพื่อนๆรุ่นเดียวกันนั่งรถเมล์เอานิ้วรูดiphone กินสตาร์บัค(กาแฟไรว่ะแก้วล่ะ170)เงินเดือนมากกว่าผมอีก ก็ยังไม่เห็นมีเงินเก็บเหมือนกันนะครับ เป็นหนี้บัตรอีก ส่วนผมใช้nokiaถูกๆเสื้อผ้าเก่าๆ แต่มีรถขับนะครับ555
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: promt ที่ มีนาคม 12, 2014, 02:14:32
ข้าราชการจนๆ อดเลยครับ
ยากนักที่จะมีเงินเดือนเป็นแสน และเป็นอย่างนั้นตลอดไป
โบน่งโบนัส ไม่มีหรอก

ได้แต่อาศัยน้ำซึมบ่อทราย แต่มันซึมไม่ทันกิน

ตอนนี้ขับ chev cruze ตามรีวิวข้างล่าง

แนวคิดให้เงินลงทุน อยากเตือนหลายๆ ท่านว่า เราต้องรู้ทันมัน และดูมันทำงานด้วย
อย่างเงินที่ผมนำไปลงทุน หลายกองและหลายอย่าง
กองทุนทอง ปีที่แล้วขาดทุนเกือบ 2 หมื่น
กองทุน RMF ก็ขาดทุนป่นปี
กองทุน LTF ก็ขาดทุนเหมือนกัน

ส่วนตลาดหุ้นเมื่อปีที่แล้วขาดทุนไปเยอะเกือบ 30%
ตอนนี้ค่อยๆ ได้กำไรกลับมาแล้ว เพราะเซตมันเขียวมาหลายวัน
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: vashali ที่ มีนาคม 12, 2014, 02:43:22
ก่อนผมจะตอบวิธีการใช้เงินของผม ผมอยากจะพูดอะไรสักอย่าง

ทำไมคนหลายๆคน ชอบไปยุ่งไปวิพากษ์วิจารณ์การใช้เงินของคนอื่นจังเลยครับ
และเท่าที่ผมเห็นส่วนมาก ก็จะไปวิจารณ์เขาในแง่ลบ ทำนองว่าแม่งใช้เงินไม่เป็น ต้องประหยัดแบบกูนี่ ถึงจะเรียกว่าใช้เงินแบบมีสมอง

ชอบด่านักพวกเด็กจบใหม่ พ่อแม่ออกรถให้ขับ ผมก็สงสัยว่ามันไปหนักหัวกะบาลใคร บางครั้งต้องถามตัวเองว่าที่เราทำแบบนี้ เพียงเพราะต้องการจะอวดความฉลาด อวดความประหยัดของตัวเองรึป่าว
สำหรับผมไร้สาระมาก ในการไปวิจารณ์คนอื่น เพราะมันเงินเขา ไม่ใช่เงินเรา


เข้าเรื่องดีกว่า...

สำหรับผม ผมคิดง่ายๆ ถ้าผมจะซื้อรถสักคัน ผมไม่สนว่าผมต้องมีเงินเก็บเท่าไร ถ้าผมมองแล้วว่าผมผ่อนไหว ผมก็ซื้อเลยถ้าผมอยากได้อ่ะนะ
เพราะผมคิดว่าเงินมีไว้ใช้ ไม่ได้มีไว้เก็บ รัฐบาลมีโครงการรักษาฟรี ผมไม่จำเปนต้องดับกิเลสเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ยามเจ็บป่วย  เพราะถ้าผมเป็นมะเร็ง ก็ให้แม่งตายดีกว่า มี2ล้านก็ไม่พอ
แม่ผมรักษายายหมดไป4ล้าน สุดท้ายอยู่ได้6เดือนก็ตาย

และผมไม่สนใจเรื่องเก็บเงินไว้เผื่อฉุกเฉิน เพราะผมจะไม่ทำให้ชีวิตผมฉุกเฉิน
ถ้าบ้านผมไฟไหม้ผมมีประกัน รถผมหายผมมีประกัน ถ้าผมป่วยผมก็รักษาฟรีตามโรงบาลรัฐ
เพราะฉะนั้นคำว่า ฉุกเฉิน คืออะไร ???
ผมไม่มีคำว่าตกงาน เพราะ ผมไม่ได้เป็นลูกจ้าง  ผมทำธุรกิจส่วนตัว และ ผมจะไม่ปล่อยให้กิจการผมเข้าสู่ภาวะเสี่ยง จนต้องมีช่วงฉุกเฉิน พวกนี้จริงๆเราบริหารมันได้หมด

เพราะฉะนั้น ถ้าผมจะซื้อรถที่ต้องผ่อนเดือนละ5หมื่น
ผมต้องหาเงินต่อเดือนให้ได้อย่างน้อย 8หมื่นบาท
เพราะ3หมื่น เป็นค่าใช้จ่ายต่อเดือนของผมและครอบครัว
5หมื่นจึงเอาไปผ่อนรถได้

ผมไม่ใช่แนวที่ว่ากูต้องมีเงินเก็บ20ล้าน ถึงจะซื้อบีเอ็มขับได้
ผมไม่ชอบตั้งโจทย์ยากๆให้ชีวิต ตัวเลขในบัญชีไม่มีความหมายสำหรับผมเลย
ผมทำงานโคดเหนื่อย ไม่มีวันหยุด ผมก็แปรรูปมันมาเป็นความสุข สิ่งของ
ทุกวันนี้ผมไม่ค่อยมีเงินเก็บ เพราะใช้เกือบหมดทุกเดือน

ผมบ้ารถ รถคือลมหายใจของผม
ผมเคยคิดจะเก็บเงินสดแล้วซื้อรถถูกๆขับ เพราะเคยมองว่าเก็บไว้เผื่อเจ็บป่วย (สมัยนานมากที่คิดแบบนี้)
ก็เลยมาคิดว่า อ้าว ถ้ากูเป็นมะเร็ง หรือเส้นเลือดในสมองแตกตาย ก็ไม่ได้ขับรถแล้ว
หรือถ้าข้ามถนนแล้วโดนรถชนตาย เงินในบัญชีอุส่าห์เก็บมาก็ไม่ได้ใช้เลย
เพราะฉะนั้น ผมใช้เงินเกลี้ยงเลยครับ มีเหลือในบัญชีนิดหน่อย แบบให้พออุ่นใจว่าเรามีเงินหลักแสนอยู่นะ ถ้ามีต่ำกว่าหลักแสน ผมจะนอนไม่หลับ

คนแบบผมคือคนที่คนส่วนใหญ่มองว่าใช้เงินไม่เป็น สิ้นคิด

แต่ผมมองว่าคำว่าความสุขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน
บางคนเขามีความสุขที่เห็นตัวเลขในบัญชีมันเพิ่มขึ้นทุกๆปี เขาก็จะหาว่าผมนี่งี่เง่า ซื้อแต่ของ
ส่วนความสุขของผมคือ ผ่อนรถ กินอาหารแพงๆ ซื้อเข็มขัดแอร์เมส กระเป๋าหลุยส์ รองเท้าเฟอร์รากาโม่ นาฬิกาโรเล็กซ์ ,พาเนอไร

ผมไม่ต้องมีเงิน4ล้าน ถึงค่อยซื้อเบนซ์ได้
ผมแค่มีเงินผ่อนเดือนละ5หมื่นผมก็ซื้อแล้วครับ

แต่ตอนนี้บังเอิญยังไม่มีปัญญาผ่อนรถเดือนละห้าหมื่นเท่านั้นเอง

ถ้ามีปัญญาเมื่อไหร่

ใบพัดสีฟ้ากับผม ได้เจอกันแน่นอน



เจ๋งครับ ขอคารวะความเห็นนี้ครับ

ผมคนนึง ไม่มีเงินเก็บเป็นชิ้นเป็นอันครับ อาจจะเพราะผมเองกับแฟน หาเงินได้เยอะ ผมใช้ชีวิตเต็มที่ครับ ไหวเท่าไหร่ ใช้เท่านั้น มีพวก LTF RMF กับกองทุนนิดหน่อย ไม่มีประกัน ไม่มีเงินฝากประจำ มีหมุนเวียนอยู่หลายแสนต่อเดือน แค่นั้นครับ

แต่ผมซื้อ BM 2 ปี 2 คัน ก็ปีละคันแหละ เพราะง่ายๆ ครับ ผมชอบอะ ผ่อนไหว ไม่มีปัญญาซื้อสด เพราะใช้เงินเก่ง แต่ก็ควบคุมใช้จ่ายให้อยู่ในวงที่หามาใช้ได้นะครับ ไม่ได้แบบว่า หนี้บานไรงี้ บางทีความจำเป็นของแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ แต่เอาเป็นว่าผมไม่เบียดเบียนใคร และผมคิดเพียงแค่ว่า ปีนี้ เราจะหาเงินให้ได้มากกว่าปีที่แล้ว ซึ่งปี 2556 ผมกับแฟนรวมกัน ก็หาได้มากกว่า 6 ล้าน ก็เลยคิดว่า ไม่มีปัญหาที่จะใช้ BM กันคนละคัน ผมใช้รถญี่ปุ่นมาตลอด มันไม่ใช่ คือมันไม่ใช่ ความหมายคือ มันไม่สุดอะ ยังไม่พอใจ แต่ตอนนี้ happy มากๆ ทั้งคู่ เพราะได้ใช้ในสิ่งที่เราชอบ ใครชอบแบบไหน ใช้แบบนั้น ผมว่าไม่น่าจะมีใครผิด การเก็บเงินเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่หากเก็บแล้วไม่ได้ใช้ แล้วคุณมีความสุขกับการดูตัวเลข ก็ไม่มีปัญหาเพราะคุณชอบ ส่วนผม ชอบวัตถุ ชอบจะเห็น จะได้ใช้มัน ขอแค่ไม่เดือดร้อน ก็ happy แล้วครับ

แต่ในขณะเดียวกัน ปีนี้ปีเดียว ผมก็ให้แม่เกษียร เอาเงินให้ท่านใช้ปีนี้ทั้งปีไปแล้ว โดยไม่ต้องเดือดร้อน + เปลี่ยนรถให้ท่านแล้ว จะได้ไม่ต้องใช้ไปซ่อมไปกับรถคันเก่า หากผมต้องเก็บเงิน แต่ไม่ได้ให้แม่ ไม่ได้เปลี่ยนรถให้แม่ ผมก็ไม่เอาครับ เงินสำหรับผม มีไว้ใช้ หาใหม่ให้ได้มากขึ้นดีกว่าครับ

ปล. ที่ไม่มีเงินเก็บมากมัน เพราะผมกับแฟน ก่อนมีลูก เราเที่ยวกระจายครับ ไปกันมามากกว่า 20 ประเทศ มากกว่า 50 ครั้งใน 10 ปี ไม่แปลกที่ไม่เหลือครับ แต่สำหรับผม ผมว่า ผมใช้ชีวิตคุ้มครับ  ;D

 ;D +1 ถ้าเรารู้ว่าผ่อนไหว ก็ซื้อเลย  เพราะเด๋วหาเงินมาแทบตาย สุดท้ายจะไปก่อนไมได้ใช้เงิน
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Kittisak ที่ มีนาคม 12, 2014, 02:48:48
ผมพนักงานครับ เป็นนักวิเคราะห์
แฟนทำขายตรง อยู่ระดับสูงครับ

คุณโชคดีมีแฟนคิดเป็นนะครับ งานสร้างท่อ..ทำแอมเวย์ได้เที่ยวฟรีรอบโลกด้วย
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: NINENOI ที่ มีนาคม 12, 2014, 08:28:35
เป็นหมอจัดฟันครับ  รายได้ตอนนี้เท่านี้ครับ แต่ปีหน้าน่าจะแตะล้าน  วางแผนขยายสาขาคลีนิกด้วยครับ 
ทำงานด้วยแรงเราคนเดียว  เดือนละล้านก็อ้วกแตกแล้วครับผม  นั่นคือที่แพลนไว้  ได้ไม่ได้อีกเรื่องนึงครับอิๆ

ถ้าลูกชายผมหัวไปได้ก็อยากให้เรียนหมอฟันนี่แหละครับไม่งั้นก็ไปทางศัลย์ ผิวหนัง ส่วนหมอสูติไม่อยากให้ไปเพราะจากที่พาแฟนไปคลอดสองครั้งแล้วน่าเห็นใจหมอมาก เหนื่อยสุดๆ
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: sukhontha ที่ มีนาคม 12, 2014, 09:05:58
นา ๆ จิตตังครับ  แต่ละคนมีความคิดไปเป็นของตนเอง  ไม่ผิดไปหมด และไม่ถูกไปหมด

ผม...รายได้ครอบครัวหักค่าใช้จ่ายรายเดือน เหลือประมาณห้าหมื่น...

รถ...มีสองคัน  เงินสดคัน(มือสอง)  เงินผ่อนคัน มือหนี่ง...       ผมไม่ซื้อรถราคาแพงเพราะรถเป็นสินทรัพย์ประเภทด้อยค่า

คนอื่นอาจจะไม่ใช้แก๊ส  เห็นเป็นเรื่องอันตราย ผมเห็นว่าปลอดภัยกว่าน้ำมัน แถมประหยัดกว่า  ผมก็ใช้แก๊สทั้งสองคัน...ส่วนเกินจากเชื้อเพลิงทำให้เงินเก็บเหลือมากขึ้น....

ปัจจุบัต  มีความสุขดี  ไม่เครียด.....ยกเว้นภาษี...(ปีนี้ยังไม่ยื่นรอสิ้นเดือน.....แล้วผ่อนสามงวด)
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Jomgayray ที่ มีนาคม 12, 2014, 11:47:11
ผมเป็นเกย์ ไม่มีลูก ไม่มีใครให้ดูแล พ่อแม่มีเงินบำนาญ รายได้ผมมี 2 ทางจากรับราชการและร้านขายของ  รายได้-รายจ่าย เหลือเท่าไรไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่รู้จะเก็บเงินไว้เพื่อใคร จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ อยากได้รถอะไร ผ่อนไหว ก็ซื้อไปเหอะ ตายไปก็ไม่ได้ขับ แล้วจะเสียดาย ......ขับ F10 ครับ
หัวข้อ: Re: การเลือกรถให้เหมาะสมกับรายได้ มีวิธีคิดกันอย่างไรครับ
เริ่มหัวข้อโดย: NPS ที่ มีนาคม 22, 2014, 15:01:44
วิธีผมง่ายๆครับ ซื้อสดเท่านั้น ชีวิตผมไม่มีหนี้ หากไม่มีเงินเหลือพอที่จะซื้อสดได้ ผมไม่ซื้อครับ รวมถึงของทุกอย่างด้วยนะ ไม่ใช่เฉพาะรถ