Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Volta ที่ เมษายน 07, 2014, 02:43:39
-
วันนี้ผมและภรรยา ชวนกันไปเดินงานมอเตอร์โชว์ กะว่าจะไปเดินดูอัลติสกับซิตี้
ก่อนหน้านั้น ทุกทีเวลาไปงานเหล่านี้ก็จะซื้อบัตรเข้างานตลอด
พอไปถึงหน้าฮอล กำลังจะเดินเข้าไปซื้อบัตร จู่ๆก็มีชายแปลกหน้าเดินเข้ามาถามผม
ชายแปลกหน้า : "โทษนะครับ มาเที่ยวมอเตอร์โชว์เหรอครับ"
ผม: "อ๋อ ครับใช่ครับ"
ชายแปลกหน้า : "แล้วมีบัตรเข้างานหรือยังครับ"
ผม: "ยังไม่มีครับ กำลังจะไปซื้อ" (ในใจคิดว่าจะมาขายบัตรผีรึเปล่าฟระ?)
ระหว่างที่คิดอกุศล ชายแปลกหน้าก็พูดขึ้นมา
ชายแปลกหน้า : "พอดีผมได้บัตรฟรีมา 6 ใบ ขอแบ่งให้คุณ 2 ใบนะครับ
เพราะผมมาแค่สองคน เสียดายบัตรครับ"
ผม : (ยืนอึ้งไปสิบวิ)
พอได้สติก็รีบขอบคุณชายแปลกหน้าคนนั้นเป็นการใหญ่
จากนั้นพอเดินออกมา หันหลังกลับไปดูก็เห็นชายแปลกหน้ากำลังมอบ
บัตรอีกสองใบที่เหลือ ให้กับผู้โชคดีคนต่อไป.
เรื่องของเรื่องที่ทำให้ผมจั่วหัวกระทู้ว่า "ทำดีได้ดี" เป็นเพราะ
เมื่อช่วงกลางเดือน ผมกับภรรยาได้ไปเที่ยวสถานที่แห่งหนึ่ง
ซึ่งต้องซื้อบัตรเข้าสถานที่ แล้วบัตรนั้นเป็นบัตรราคาเหมารวมเครื่องเล่นด้วย
ทางผมและภรรยาก็ได้แต่ถ่ายรูปอย่างเดียว ไม่ได้เล่นเครื่องเล่นเลย (แดดแรงมว้ากกก)
พอถ่ายรูปจนหนำใจก็ตัดสินใจกลับ เพราะสู้แดดไม่ไหว
ก่อนกลับ ภรรยาผมเห็นว่ายังมีบัตรส่วนที่สำหรับเล่นเครื่องเล่นเหลืออยู่
เลยตัดสินใจให้นักท่องเที่ยวที่ยังไม่ได้ซื้อบัตร ดีกว่าทิ้งบัตรไปเปล่าๆ
ท่ามกลางสังคมที่ต่างคนต่างคิดถึงแต่ตนเอง น้ำใจที่มีให้กันน้อยลง
จนกลายเป็นของแปลกเมื่อเวลาเราให้หรือได้รับ
แต่อน่างน้อยเหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ผมยังเชื่อว่า
สิ่งที่เราทำไป ยังไงสักวันหนึ่ง มันก็จะย้อนกลับมาหาเราครับ.
ป.ล. (บอกเล่า)
- อัลติสขับดีขึ้นมาก
- มาสด้าสามภรรยาไม้ปลื้ม หน้ามันยาว
- สุดท้ายมาจบที่ซิตี้ ภรรยาปลื้ทกับหน้าจอแอดวานซ์ ทัช มั่กๆ
- สุดท้ายไม่ได้จองสักคัน เพราะคนที่จะมาซื้อรถคันเก่า ไม่พร้อม. ;D
-
หน้า Relax จะเหมาะกว่าครับ
ทำดีได้ดี เชื่อ 100% ครับ
คุณทำเสร็จ อย่างน้อย ได้เห็นรอยยิ้มของพวกเขาแล้ว คุณก็อิ่มใจแล้วครับ นั่นแหละ ทำดีได้ดี โชคชั้นที่ 1 ส่วนชั้นที่ 2 ชั้นที่ 3 จะมาเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องไปสนแล้วครับ ;D ;D ;D
-
เมื่อเดือนที่แล้วมีฝรั่งซื้อหลอดไฟที่ ikea 4-5 หลอด โดยไม่รู้ว่า
ลดราคาได้หลอดละ 100 ถ้าใช้บัตรสมาชิก (ทำบัตรฟรีด้วย) ผมก็พึ่งรู้ตอนจะจ่าย
ผมเดินเข้าไปบอกฝรั่งคนนั้นว่านี่ยูๆใช้บัตรนี้ลดได้นะ นี่ใช้บัตรผมไปก่อนแล้วกัน
ฝรั่งคนนั้นยิ้มและขอบคุณ...ส่วนผมแค่ได้รอยยิ้มกลับมาก็มีความสุขแล้ว
ใช้ครับเดี๋ยวนี้น้ำใจหายได้ยาก ทำดีไม่ต้องอายใคร :D
-
อ่านแล้วรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจครับ ฮาๆ ;D ผมก็เคยเจอเรื่องแบบนี้เหมือนกันครับ เรื่องแบบนี้ผมรู้สึกว่ามันเริ่มจะหายไปจากประเทศไทยเราแล้วอะครับ :'(
-
ผมก็เคยเจอที่btsครับตอนนั้นสมัยเรียนมหาลัยไปกับเพื่อนผู้หญิง ตอนนั้นกำลังจะไปแลกเหรียญเพื่อมาหยอด อยู่ดีๆก็เจอนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นชาย-หญิงพูดอะไรไม่รู้เป็นภาษาญี่ปุ่นแล้วก็ยื่นบัตรเหมาวันมาให้คนละ1ใบ ด้วยความงงพอเขาหันหลังไปก็ได้แต่บอกว่าtank you ตอนนั้นนึกคำขอบคุณเป็นภาษาญี่ปุ่นไม่ออกจริงๆครับ55
-
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วล้านเปอร์เซ็นต์แน่นอนครับ
เพียงแต่ว่ากรรมนั้นจะส่งผลมาถึงเราเมื่อไหรแค่นั้น
พระพุทธองค์ยังคงตรัสไว้
คนดียังคงคิดว่ากรรมดีนั้นชั่วอยู่ เพราะบุญที่สร้างไว้ยังมาไม่ถึง
คนชั่วยังคงคิดว่ากรรมชั่วที่ตนทำนั้นยังดีอยู่ เพราะบาปที่ตนสร้างไว้ยังมาไม่ถึง
-
ไม่เชื่อครับ ผมเชื่อเหตุและผลของการกระทำมากกว่า
ใครบอกทำดียังไงสักวันก็ได้ดี ทำชั่วสักวันก็ได้ชั่ว
ก็ไม่ผิดครับเพราะชีวิตนึงยังไงก็มีเรื่องดีๆกับเรื่องๆชั่วๆคอยอยู่อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดีก็ตาม
-
ผมเชื่อว่า ทำดี ได้ ความสบายใจ ทำชั่ว ทำจรรไร ใจไม่สงบ
กรณีของคุณ ถ้าเป็นผม ผมมองแบบนี้
ผมให้บัตรเครื่องเล่นคนอื่น คนอื่นประหยัดเงิน แต่เจ้าของสวนสนุกเสียโอกาศขายบัตร
กรรมดีก็คือ ผมได้ทำให้ใจสบาย
แต่ที่ผมรู้อยู่แก่ใจก็คือ ผมเบียดเบียนเจ้าของสวนสนุก
นึกแค่ว่าถ้าผมลงทุนทำสวนสนุก แล้วมีคนมาเอาเปรียบ ต่อให้เล็ก ๆ น้อย ๆ แค่ไหน ก็คือการเสียโอกาศทำเงิน สวนสนุกแต่ละแห่งลงทุนใช้เงินมากมายครับ
ถ้าคิดมาก จะเยี่ยวเหลืองเปล่า ๆ
ทำอะไรก็ได้ให้สบายใจ นั่นก็คือ ทำดี ได้สิ่งดี ๆ เกิดในใจเราครับ
-
จริงคับ ทำดีได้ดี เป็นสุขใจ ทำไม่ไม่ดีไว้เป็นทุกข์ใจครับ
-
ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดี...อีกสิ่งที่ผมเจอคือ ทำคุณคนไม่ขึ้น และ เจอแต่พวกไม่จริงใจ
เรามีให้เขา เขาก็ดีกับเรา แต่พอเราไม่มีให้เขา เขาก็รังเกียจเราเหมือนเดิม...แหะ แหะ แหะ ...
นี่คือสิ่งที่ผมเจอค่อนข้างบ่อยในชีวิต
-
ทำดี เอื้อเฟื้อ มีน้ำใจให้กันเป็นสิ่งประเสริฐครับ อย่างน้อยเราก็อิ่มอกอิ่มใจ
ประสบการณ์ผมชัด ๆ ก็มีเรื่องนึงครับ วันนี้กำลังขับรถไปทำงานกับภรรยา
ปกติเราจะออกจากบ้านตรงเวลาครับ แต่พอดีภรรยาเห็นสุนัขจรจัดอยู่ข้างทาง
สงสารก็เลยจอดรถแวะเอาอาหารไปให้มัน คือในรถเราจะมีอาหารแมวอาหารสุนัขติดไว้
ก็เลยเสียเวลาไปพอสมควร
ไม่นานนักได้ยินเสียงระเบิด มีการวางระเบิดคาร์บอมสำนักงานสาธารณสุขปัตตานี
ซึ่งปกติเราจะให้เป็นเส้นทางผ่านไปทำงานครับ
ถ้าวันนี้ไม่ได้แวะให้อาหารสุนัข ผมว่ามีสิทธิมากที่จะโดนระเบิด...
-
เชื่อครับ เชื่อมากๆด้วย ทำดียังไงก็ได้ดีตอบแทน
-
เสียอะไรก็เสียได้ แต่อย่าเสีย ศรัทธา ในการทำความดีครับ :)
-
เชื่อครับ เราทำดี แล้วผู้อื่นมีความสุขใจ เราก็สุขใจไปด้วยครับ แต่ต้องทำดีโดยบริสุทธิ์ใจ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนครับ :)
-
เมื่อวาน ผมก็เพิ่งแจกใหัคนอื่นไป 6 ใบที่หนัางานครับ
ก็มันมีหลายใบ เก็บไว้ ก็ไม่ได้อะไร สู้ไปใหัคนที่ตัองการใชัดีกว่าครับ
ที่แน่ๆ ให้แล้วรู้สึกดีครับ ผมชอบความรู้สึกแบบนี้ครับ
-
ทำดี ได้ความดี
ทำชั่ว ได้ความชั่ว
จริงตลอดกาล
-
ทำดีได้ดีมีจริงๆครับ ผมคนนึงล่ะที่เชื่อเช่นนั้นและคิดว่ามีอีกไม่น้อยที่คิดแบบผม อ่านเรื่องของ จขกท แล้วอดอมยิ้มไม่ได้นะครับ :)
-
ซื้อหุ้นดี - ได้หุ้นพื้นฐานดี --- แต่อาจถูกเทขายขาดทุนก็ได้ต้องทนถือเก็บปันผลไปอีกนาน
ซื้อหุ้นเน่า - ได้หุ้นพื้นฐานเน่า --- แต่อาจกำไรถล่มทลายถ้าเจ้าใจถึงลากสะบัด
ทำดี - ได้ทำความดีแน่นอน --- แต่อาจจะได้ผลดีหรือชั่วก็ได้ขึ้นกับเหตุปัจจัยอื่นๆที่มาประกอบ
ทำชั่ว - ได้ทำความชั่วแน่นอน --- แต่อาจจะได้ผลชั่วหรือดีก็ได้ขึ้นกับเหตุปัจจัยอื่นๆที่มาประกอบ
-
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วล้านเปอร์เซ็นต์แน่นอนครับ
เพียงแต่ว่ากรรมนั้นจะส่งผลมาถึงเราเมื่อไหรแค่นั้น
พระพุทธองค์ยังคงตรัสไว้
คนดียังคงคิดว่ากรรมดีนั้นชั่วอยู่ เพราะบุญที่สร้างไว้ยังมาไม่ถึง
คนชั่วยังคงคิดว่ากรรมชั่วที่ตนทำนั้นยังดีอยู่ เพราะบาปที่ตนสร้างไว้ยังมาไม่ถึง
สาธุ สาธุ สาธุ ครับผม^^
-
ไปมาเหมือนกันเมื่อวาน เพื่อนผมให้มาเป็นปึกเลย ผมไปกับเพื่อนกันสองคน เหลืออีกเยอะ ก่อนเข้างาน มองซ้ายมองขวา ไม่รู้จะให้ใคร เลยเอาวางไว้ที่ซุ้มประตู ให้คนมาหยิบเอาไปเองละกัน
แอบคิดอยู่เหมือนกัน เพราะบางกรณี เจอยาม เข้ามา เพราะมันค่อนข้างน่าเกลียดที่จะแจกบัตรฟรี หน้างานคนอื่นเขา
เรากำลังเบียดเบียน เจ้าของงาน เช่นกัน ก็เลย เผลอทำตกไว้ตรงนั้นละกัน
-
เอาจริงๆ ผมคิดว่า ผู้จัดงาน เอากำไรเกินนควรหรือไม่
ค่าเช่าบูทก็ได้ แพงมากด้วย ค่าเข้างานยังเก็บตั้ง 100 รวยแล้วรวยอีก ไม่ต้องทำอะไรเลย
ค่าตกแต่งทุกอย่าง บริษัทรถ ทำเองหมด คนจัดแค่รวบรวม จบ
-
ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะครับ ;D
-
ทำดีได้ดีจริงหรือไม่ ทำชั่วได้ชั่วหรือเปล่า ผมไม่เชื่อครับ แต่สิ่งที่ผมเชื่อคือ ถ้าคุณคิดจะทำดี อย่าทำดีเพราะว่าคาดหวังว่าจะได้ดีกลับคืนมา ขอให้ทำดี เนื่องจากว่า"อยาก"จะทำดีครับ
-
ไม่ค่อยเชื่อครับ เพราะเห็นคนชั่วๆในบ้านเมืองนี้หลายคน ได้ดิบได้ดีสุขสบายกัน
เเต่เชื่อว่าถ้าเราเป็นคนคิดดีทำดี ตัวเราเองก็จะมีความสุข ในใจของเราเองครับ
-
เชื่อครับ พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมดี=บุญ, กรรมชั่ว=บาป ซึ่งก็คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
เรื่องพุทธศาสนาค่อนข้างสลับซับซ้อน ยากต่อการเข้าใจของคนทั่วไป ถ้าต้องการเข้าใจ(ศรัทธาด้วยใจจริง) นอกจากจะต้องศึกษาพุทธประวัติโดยละเอียดแล้ว ยังต้องฝึกปฎิบัติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าท่านได้แนะนำไว้ด้วย เมื่อปฎิบัติได้ตามที่แนะนำย่อมจะสามารถรับรู้ถึงผลของการปฎิบัติ ถ้าไม่ลองทำก็ไม่มีทางรู้
ทำไมชาวพุทธหลายคนถึงไม่ค่อยเข้าใจในศาสนาพุทธ เพราะส่วนใหญ่นับถือศาสนาตามบิดามารดา หากจะถามว่าหลักคำสอนของศาสนาพุทธคืออะไร หลายคนอาจจะตอบไม่ได้ พอไม่ทราบหลักคำสอน ก็จะไม่ทราบแนวทางปฎิบัติและไม่มีการปฎิบัติ พอไม่มีการปฎิบัติย่อยไม่สามารถรับรู้ผลของการปฎิบัติได้ สุดท้ายอาจจะคิดว่าศาสนาเป็นแค่เรื่องของความเชื่อเท่านั้น เพราะพุทธประวัติมีความอลังการงานสร้างมาก จนเกินขอบเขตความเชื่อของคนยุค IT ในปัจจุบัน
อย่างกรณี คนที่ทำความชั่วอยู่ทุกวันนี้ทำไมถึงยังได้ดีอยู่ สืบเนื่องจากผลของกรรมมีอยู่หลายแบบ มีทั้งแบบให้ผลในทันที ให้ผลในเดือนหน้าปีหน้าหรือแม้กระทั่งชาติหน้าหรือชาติต่อๆไป กรณีนี้อาจเป็นไปได้ว่าเขาได้รับผลของกรรมดีที่เคยทำไว้ตั้งแต่ชาติก่อนๆ เหมือนการปลูกต้นไม้ คนหนึ่งขยันดูแลเอาใจใส่ต้นไม้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังไม่ออกดอกออกผลให้ได้ใช้ประโยชน์ เพราะอายุต้นไม้ยังไม่ถึงกำหนดให้ผลผลิต แต่บางคนกลับไม่เคยที่จะรดนำพรวนดินหรือดูแลเอาใจใส่ แต่ทำไม ต้นไม้ถึงออกลูกโครมๆ เพราะเขาปลูกต้นไม้นี้มาก่อนหลายปีแล้ว แต่นานๆเข้า หากไม่มีการดูแลต้นไม้หรือไม่ปลูกเพิ่ม(ทำความดี) สักวันคนนี้ก็จะไม่มีผลไม้กิน(เสวยสุขหรือผลบุญ)เช่นกัน ส่วนคนที่ตั้งใจดูแลต้นไม้เป็นอย่างดีแต่ต้นไม้ยังไม่ออกผล ก็ต้องพยายามต่อไป เพราะตนเองไม่รู้จักที่จะปลูกไว้ก่อนหน้านี้เอง จะไปคิดเปรียบเทียบกับคนที่เขาปลูกมาก่อน มันก็ไม่ยุติธรรมนัก
วกกลับมาเรื่องหลักคำสอนของศาสนาพุทธ อาจจะเคยได้ยินคำกล่าวนี้ " ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ " หากนำมาผูกเข้ากับแนวทางปฎิบัติ ทำความดี=การให้ทาน รู้จักการให้ รู้จักการเสียสละ รู้จักที่จะรักสงสารและให้อภัยคนอื่น(โดยเฉพาะคนที่เราไม่ได้ประโยชน์ใดๆจากเขา) , ละเว้นความชั่ว=การรักษาศีลแค่ 5ข้อ , ทำจิตใจให้บริสุทธิ์=การฝึกทำสมาธิจนถึงขั้นฌาน (ขั้นที่พอจะรู้และเข้าใจในคุณธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน=ได้รับรู้ถึงผลของการปฎิบัติที่เกิดขึ้นต่อจิตใจของตัวเองด้วยตนเอง)
เนื่องจากการปฎิบัติในแต่ละขั้นก็เหมือนการเรียน ที่จะต้องจบเป็นขั้นๆ ถึงจะสามารถไปเรียนต่อในขั้นต่อๆไปได้ ทำความดี=ประถมศีกษา, ละเว้นความชั่ว=มัธยมศีกษา , ทำจิตใจให้บริสุทธิ์=อุดมศึกษา กล่าวคือ ถ้าไม่ฝีกให้ทาน ไม่ฝึกการเสียสละ ไม่รู้จักที่จะช่วยเหลือคนอื่น ไม่รู้รู้จักที่จะรัก,สงสารและให้อภัยคนอื่น ก็จะไม่สามารถข้ามขั้นไปรักษาศีล5ได้ หมายความว่า หากไม่มีผลของความดีที่กล่าวมา มาคอยเพิ่มกำลังให้จิตใจ ก็จะไม่สามารถทรงศีล5ได้ เพราะจิตใจจะรู้สึกว่ายากเกินไปที่จะรักษาาศีล5 ในทำนองเดียวกัน หากยังไม่สามารถรักษาศีล5ได้ ซึ่งเป็นขั้นมัธยมศีกษา ก็หมดโอกาสที่จะได้เรียนต่อในระดับมหาลัย ซึ่งก็คือการปฎิบัติสมาธิ หากยังถือศีล5 ไม่ได้ นั่งสมาธิจนตัวตายก็ไม่รู้ว่าจะได้สัมผัสฌาน1 หรือไม่
ฟังดูอาจจะน่าตกใจ เพราะหลายคนคงไม่พร้อมที่จะรักษาศีล5 ได้ตลอดชีวิต หากเป็นเช่นนี้ คงหมดโอกาสที่จะได้สัมผัสผลของการปฎิบัติสมาธิ แต่ยังพอมีทางออกอยู่บ้าง คือ สามารถตั้งใจรับศีล5 เป็นวันๆไป(สมาทานศีล) โดยเฉพาะวันพระ แล้วลองปฎิบัติสมาธิดู แบบนี้ยังพอมีความงอกเงยในการปฎิบัติได้ พระพุทธเจ้าสอนความเป็นเหตุเป็นผล ทุกอย่างที่ท่านสอนมีหลักการรองรับ และสามารถพิสูจน์ได้ หากต้องการจะพิสูจน์จริงๆ โดยการลองปฎิบัติตามหลักที่กล่าวในย่อหน้าที่ 5 จนได้ผล
สุดท้ายที่อยากจะแชร์ พระพุทธเจ้าท่านสอนธรรมะ ซึ่งคำนี้มาจากคำว่า ธรรมชาติ คำว่าธรรมชาติ ก็หมายถึง สิ่งที่ซึ่งเป็นไปด้วยตัวของมันเองโดยอัตโนมัติ ไม่มีใครบงการหรือคอยควบคุม อย่างเช่นศีล5 หลายคนอาจจะงงว่า ทำไมพระพุทธเจ้าถึงกำหนดให้ถือศีล5 เพราะถ้าหากไม่ทำจะมีโทษแบบนั้นแบบนี้ โทษที่จะได้รับท่านไม่เป็นผู้กำหนด แต่มันเกิดขึ้นเอง ท่านแค่รวบรวมจากการที่ไปพบหรือประสบมาด้วยตัวท่านเองในหลายๆชาติ(ตอนจะตรัสรู้ ท่านสามารถระลึกได้ทุกชาติที่ท่านเคยผ่านมา)
ขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้ด้วยครับ ที่ทำให้มีโอกาส พูดเรื่องนี้ในบอร์ดรถยนต์ :)
-
เชื่อครับ พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมดี=บุญ, กรรมชั่ว=บาป ซึ่งก็คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
เรื่องพุทธศาสนาค่อนข้างสลับซับซ้อน ยากต่อการเข้าใจของคนทั่วไป ถ้าต้องการเข้าใจ(ศรัทธาด้วยใจจริง) นอกจากจะต้องศึกษาพุทธประวัติโดยละเอียดแล้ว ยังต้องฝึกปฎิบัติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าท่านได้แนะนำไว้ด้วย เมื่อปฎิบัติได้ตามที่แนะนำย่อมจะสามารถรับรู้ถึงผลของการปฎิบัติ ถ้าไม่ลองทำก็ไม่มีทางรู้
ทำไมชาวพุทธหลายคนถึงไม่ค่อยเข้าใจในศาสนาพุทธ เพราะส่วนใหญ่นับถือศาสนาตามบิดามารดา หากจะถามว่าหลักคำสอนของศาสนาพุทธคืออะไร หลายคนอาจจะตอบไม่ได้ พอไม่ทราบหลักคำสอน ก็จะไม่ทราบแนวทางปฎิบัติและไม่มีการปฎิบัติ พอไม่มีการปฎิบัติย่อยไม่สามารถรับรู้ผลของการปฎิบัติได้ สุดท้ายอาจจะคิดว่าศาสนาเป็นแค่เรื่องของความเชื่อเท่านั้น เพราะพุทธประวัติมีความอลังการงานสร้างมาก จนเกินขอบเขตความเชื่อของคนยุค IT ในปัจจุบัน
อย่างกรณี คนที่ทำความชั่วอยู่ทุกวันนี้ทำไมถึงยังได้ดีอยู่ สืบเนื่องจากผลของกรรมมีอยู่หลายแบบ มีทั้งแบบให้ผลในทันที ให้ผลในเดือนหน้าปีหน้าหรือแม้กระทั่งชาติหน้าหรือชาติต่อๆไป กรณีนี้อาจเป็นไปได้ว่าเขาได้รับผลของกรรมดีที่เคยทำไว้ตั้งแต่ชาติก่อนๆ เหมือนการปลูกต้นไม้ คนหนึ่งขยันดูแลเอาใจใส่ต้นไม้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังไม่ออกดอกออกผลให้ได้ใช้ประโยชน์ เพราะอายุต้นไม้ยังไม่ถึงกำหนดให้ผลผลิต แต่บางคนกลับไม่เคยที่จะรดนำพรวนดินหรือดูแลเอาใจใส่ แต่ทำไม ต้นไม้ถึงออกลูกโครมๆ เพราะเขาปลูกต้นไม้นี้มาก่อนหลายปีแล้ว แต่นานๆเข้า หากไม่มีการดูแลต้นไม้หรือไม่ปลูกเพิ่ม(ทำความดี) สักวันคนนี้ก็จะไม่มีผลไม้กิน(เสวยสุขหรือผลบุญ)เช่นกัน ส่วนคนที่ตั้งใจดูแลต้นไม้เป็นอย่างดีแต่ต้นไม้ยังไม่ออกผล ก็ต้องพยายามต่อไป เพราะตนเองไม่รู้จักที่จะปลูกไว้ก่อนหน้านี้เอง จะไปคิดเปรียบเทียบกับคนที่เขาปลูกมาก่อน มันก็ไม่ยุติธรรมนัก
วกกลับมาเรื่องหลักคำสอนของศาสนาพุทธ อาจจะเคยได้ยินคำกล่าวนี้ " ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ " หากนำมาผูกเข้ากับแนวทางปฎิบัติ ทำความดี=การให้ทาน รู้จักการให้ รู้จักการเสียสละ รู้จักที่จะรักสงสารและให้อภัยคนอื่น(โดยเฉพาะคนที่เราไม่ได้ประโยชน์ใดๆจากเขา) , ละเว้นความชั่ว=การรักษาศีลแค่ 5ข้อ , ทำจิตใจให้บริสุทธิ์=การฝึกทำสมาธิจนถึงขั้นฌาน (ขั้นที่พอจะรู้และเข้าใจในคุณธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน=ได้รับรู้ถึงผลของการปฎิบัติที่เกิดขึ้นต่อจิตใจของตัวเองด้วยตนเอง)
เนื่องจากการปฎิบัติในแต่ละขั้นก็เหมือนการเรียน ที่จะต้องจบเป็นขั้นๆ ถึงจะสามารถไปเรียนต่อในขั้นต่อๆไปได้ ทำความดี=ประถมศีกษา, ละเว้นความชั่ว=มัธยมศีกษา , ทำจิตใจให้บริสุทธิ์=อุดมศึกษา กล่าวคือ ถ้าไม่ฝีกให้ทาน ไม่ฝึกการเสียสละ ไม่รู้จักที่จะช่วยเหลือคนอื่น ไม่รู้รู้จักที่จะรัก,สงสารและให้อภัยคนอื่น ก็จะไม่สามารถข้ามขั้นไปรักษาศีล5ได้ หมายความว่า หากไม่มีผลของความดีที่กล่าวมา มาคอยเพิ่มกำลังให้จิตใจ ก็จะไม่สามารถทรงศีล5ได้ เพราะจิตใจจะรู้สึกว่ายากเกินไปที่จะรักษาาศีล5 ในทำนองเดียวกัน หากยังไม่สามารถรักษาศีล5ได้ ซึ่งเป็นขั้นมัธยมศีกษา ก็หมดโอกาสที่จะได้เรียนต่อในระดับมหาลัย ซึ่งก็คือการปฎิบัติสมาธิ หากยังถือศีล5 ไม่ได้ นั่งสมาธิจนตัวตายก็ไม่รู้ว่าจะได้สัมผัสฌาน1 หรือไม่
ฟังดูอาจจะน่าตกใจ เพราะหลายคนคงไม่พร้อมที่จะรักษาศีล5 ได้ตลอดชีวิต หากเป็นเช่นนี้ คงหมดโอกาสที่จะได้สัมผัสผลของการปฎิบัติสมาธิ แต่ยังพอมีทางออกอยู่บ้าง คือ สามารถตั้งใจรับศีล5 เป็นวันๆไป(สมาทานศีล) โดยเฉพาะวันพระ แล้วลองปฎิบัติสมาธิดู แบบนี้ยังพอมีความงอกเงยในการปฎิบัติได้ พระพุทธเจ้าสอนความเป็นเหตุเป็นผล ทุกอย่างที่ท่านสอนมีหลักการรองรับ และสามารถพิสูจน์ได้ หากต้องการจะพิสูจน์จริงๆ โดยการลองปฎิบัติตามหลักที่กล่าวในย่อหน้าที่ 5 จนได้ผล
สุดท้ายที่อยากจะแชร์ พระพุทธเจ้าท่านสอนธรรมะ ซึ่งคำนี้มาจากคำว่า ธรรมชาติ คำว่าธรรมชาติ ก็หมายถึง สิ่งที่ซึ่งเป็นไปด้วยตัวของมันเองโดยอัตโนมัติ ไม่มีใครบงการหรือคอยควบคุม อย่างเช่นศีล5 หลายคนอาจจะงงว่า ทำไมพระพุทธเจ้าถึงกำหนดให้ถือศีล5 เพราะถ้าหากไม่ทำจะมีโทษแบบนั้นแบบนี้ โทษที่จะได้รับท่านไม่เป็นผู้กำหนด แต่มันเกิดขึ้นเอง ท่านแค่รวบรวมจากการที่ไปพบหรือประสบมาด้วยตัวท่านเองในหลายๆชาติ(ตอนจะตรัสรู้ ท่านสามารถระลึกได้ทุกชาติที่ท่านเคยผ่านมา)
ขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้ด้วยครับ ที่ทำให้มีโอกาส พูดเรื่องนี้ในบอร์ดรถยนต์ :)
อธิบายได้ชัดเจนดีครับ หวังว่าจะในสังคมพุทธเราจะมีความเข้าใจที่ถูกต้องแบบนี้กันทุกๆคน
ส่วนผม เชื่อคับ แต่ไม่ได้ไปใส่ใจอะไรกับความเชื่อนั้นหรอก เพราะไม่ได้หวังที่จะทำดีเพื่อรอรับผลดีอยู่แล้ว ทำไปแล้ว สิ่งที่ได้กลับมาทันทีคือความสบายใจและเป็นการฝึกขัดเกลาจิตใจตัวเองให้รู้จักสละทรัพย์+กิเลสอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้รอผลดีอื่นๆของมัน เดี๋ยวมันก็ตามมาเองแหละ ช้าหรือเร็วก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะไม่ได้รอ
ส่วนที่คิดว่า ทำดีแล้วไม่เห็นได้ดี หรือทำชั่วแล้วไม่เห็นได้รับผลกรรม เพราะเราไปมัวคิดรอแต่ผลครับ การคาดหวัง หรือการ อยาก ล้วนแต่เป็นกิเลส แม้แต่การอยากทำดี อยากได้บุญ ก็เป็นกิเลสแบบละเอียด ก็จะยังหลงวนเวียนอยู่กับวังวนของบุญ ยากที่จะหลุดออกจากวังวนนั้นได้ จิตใจก็พัฒนาไปขั้นต่อไปได้ยาก เพราะทำดีบนพื้นฐานของความอยาก
บางคนอาจถามว่า อ้าวแล้วจะทำดี ปฏิบัติดี ไปเพื่ออะไรถ้าไม่หวังผล พระพุทธเจ้าสอนให้เอาศัทธานำหน้าก็ได้ครับ คือทำไปเพราะศรัทธาและเชื่อมั่นว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้อง และตั้งใจทำไปเพื่อฝึกหัดขัดเกลาจิตใจตัวเองโดยไม่ตั้งใจหวังจะเอาผลต่างๆนาๆของมัน (เพราะเดี๋ยวมันก็มาเอง) เช่นทำบุญทำทาน ไม่ต้องหวังจะสะสมบุญ ปฏิบัติสมาธิ ภาวนา ไม่ต้องหวังผลเจริญก้าวหน้า แต่ให้ทำไปโดยมุ่งหวังเพื่อพัฒนาตนเองโดยไม่คาดหวังผล(ตรงนี้แหละมันขาดเสน่ห์และรสชาติหวือหวาที่คนส่วนใหญ่ต้องการ) ทำไปๆ เมื่อจิตใจได้รับการพัฒนา มันจะไปต่อของมันเองแหละครับ
เรื่องพวกนี้ละเอียดก่อนลึกซึ้ง ใช้เวลาทำความเข้าใจอย่างเดียวเหมือนอ่านหนังสือไม่ได้ ต้องปฏิบัติให้เกิดผลจริงแล้วทำความเข้าใจไปด้วยถึงจะถึงบางอ้อครับ
เอาขอสังเขปนะครับ เดี๋ยวจะเบื่อซะก่อน แหะๆๆ
-
ยินดีด้วยครับ
-
ผมก็ทำแบบชายแปลกหน้าที่คุณเจอละคับ ในงาน Motor Expo เมื่อสองปีก่อน :)
-
เชื่อล้านเปอร์เซ็นต์ครับ แจกตั๋วอย่างที่ จขกท ว่าผมนึกถึงตอนที่ผมให้คนอื่นที่พัทยาปาร์คเลยครับ ที่เดียวกันมั้ยครับ 555
อ้อ แต่ทำดีได้ดีไม่ใช่ทำดีได้รวยนะครับ คนในสังคมเราเข้าใจกันผิดเยอะ ส่วนที่ผมมักจะทำคือ จอดรับผู้โดยสารที่รถเมล์เสียบนทางด่วนครับ ทำมาหลายครั้งละ เพราะรถเมล์บ้านเรามันห่วยเหลือเกิน เจ๊งประจำ ซึ่งสิ่งได้กลับมาก็คือรอยยิ้ม และคำขอบคุณ อยากให้เพื่อนๆในห้องรถยนต์ เวลาเจอ ช่วยจอด รับกันด้วยนะครับ เพราะกว่ารถใหม่จะมารับผมว่าคงหลายชั่วโมงอยู่ ยิ่งมีเด็กและคนท้องคนแก่ด้วยคงทรมานน่าดูที่ต้องยืนเป็นชั่วโมงๆ
-
ไมีเคยเชื่อในกฏแห่งกรรมเลย คนที่ทำเลวแต่ร่ำรวยมีชีวิตที่สุขสขายมีเยอะแยะมาก ที่เห็นชัดก็พวกนักการเมืองทั้งหลาย ส่วนคนที่เกินครึ่งชีวิตใช้เวลากับการช่วจเหลือบริจาคคนจนคนำบากสัตว์ทั้งหลายแต่โดนรังแกข่มเหงก็มีม่กบนโลกนี้ ใครๆก็มักพูดว่าเป็นผลมาจากบุญและกรรมที่ติดตัวมาแต่ชาติทึ่แล้ว แต่นี่มันคนละชาติภพกันคนละบุคคลกันคนละความคิดกันแล้วมันยุติธรรมหรือ? ชาติที่แล้วคนๆนึงอาจจะดีมากแต่ถ้าชาตินี้ฆ่าคนเอาเปรียบคนอื่นแต่มีชีวิตทึ่สุขสบายมันดีแล้วหรือ คนที่ชาติที่แล้วเป็นคนเลวแต่ชาตินี้เป็นคนดีกลับโดนกลั่นแกล้งเอาเปรียบ หรือเสียชีวิตอย่างเช่นลุงหมูที่ตระเวนขับรถกระบะให้อาหารสัตว์จรจัดย่านพระรามสองยาวหลายสิบกิโลเมตรทุกวันเป็นเวลาสิบปีติดต่อกัน แต่ถูกรถบรรทุกพุ่งชนตายขณะกำลังเอาผ้าใบคลุมหม้ออาหารสัตว์กลัวเปียกฝน หมาแมวมากมายต้องหิวโหยอพอยากต้องคุ้ยขยะเป็นอีกหนึ่งวงเวียนกรรมทึ่เกิดขึ้น ความยุติธรรมของบุญกรรมอยู่ที่ไหน? นรกแต่ละขุมทำไมไม่พอให้ชดใช้กรรมก่อนมาเกิดในอีกชาติภพนึงหรือ?
ส่วนตัวการจะทำอะไรช่วยเหลือใครผมทำตามใจและตามสถาณการณ์มากกว่าอิงเรืี่องบุญกรรม มันไม่มีจุดอ้างอิงว่าสะสมไปเท่าไหร่มันจับต้องไม่ได้เลย แต่ในหลายๆครั้งที่เราลงมือช่วยเหลืออะไรสักอย่างแล้วเกิดความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ นี่แหละสวรรค์ที่เกิดขึ้นเห็นๆรังสรรค์ได้ด้วยมือของเราเอง
-
ผมก็ได้บัตรมาฟรี6ใบ ระหว่างที่กำลังขึ้นบันไดเลื่อน ผมก็ถามคนด้านหลังนะว่ามีบัตรหรือยังครับ แล้วก็ให้บัตรไป สำหรับผมนั้น ผมคิดว่าบัตรที่เหลือนี่ก็ไม่ได้ใช้ ให้คนอื่นไป คนอื่นก็ประหยัดเงินค่าเข้าไปได้แล้ว
-
ทำดีได้ดีจริงหรือไม่ ทำชั่วได้ชั่วหรือเปล่า ผมไม่เชื่อครับ แต่สิ่งที่ผมเชื่อคือ ถ้าคุณคิดจะทำดี อย่าทำดีเพราะว่าคาดหวังว่าจะได้ดีกลับคืนมา ขอให้ทำดี เนื่องจากว่า"อยาก"จะทำดีครับ
ไม่เชื่อครับ ผมเชื่อเหตุและผลของการกระทำมากกว่า
ใครบอกทำดียังไงสักวันก็ได้ดี ทำชั่วสักวันก็ได้ชั่ว
ก็ไม่ผิดครับเพราะชีวิตนึงยังไงก็มีเรื่องดีๆกับเรื่องๆชั่วๆคอยอยู่อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดีก็ตาม
ไมีเคยเชื่อในกฏแห่งกรรมเลย คนที่ทำเลวแต่ร่ำรวยมีชีวิตที่สุขสขายมีเยอะแยะมาก ที่เห็นชัดก็พวกนักการเมืองทั้งหลาย ส่วนคนที่เกินครึ่งชีวิตใช้เวลากับการช่วจเหลือบริจาคคนจนคนำบากสัตว์ทั้งหลายแต่โดนรังแกข่มเหงก็มีม่กบนโลกนี้ ใครๆก็มักพูดว่าเป็นผลมาจากบุญและกรรมที่ติดตัวมาแต่ชาติทึ่แล้ว แต่นี่มันคนละชาติภพกันคนละบุคคลกันคนละความคิดกันแล้วมันยุติธรรมหรือ? ชาติที่แล้วคนๆนึงอาจจะดีมากแต่ถ้าชาตินี้ฆ่าคนเอาเปรียบคนอื่นแต่มีชีวิตทึ่สุขสบายมันดีแล้วหรือ คนที่ชาติที่แล้วเป็นคนเลวแต่ชาตินี้เป็นคนดีกลับโดนกลั่นแกล้งเอาเปรียบ หรือเสียชีวิตอย่างเช่นลุงหมูที่ตระเวนขับรถกระบะให้อาหารสัตว์จรจัดย่านพระรามสองยาวหลายสิบกิโลเมตรทุกวันเป็นเวลาสิบปีติดต่อกัน แต่ถูกรถบรรทุกพุ่งชนตายขณะกำลังเอาผ้าใบคลุมหม้ออาหารสัตว์กลัวเปียกฝน หมาแมวมากมายต้องหิวโหยอพอยากต้องคุ้ยขยะเป็นอีกหนึ่งวงเวียนกรรมทึ่เกิดขึ้น ความยุติธรรมของบุญกรรมอยู่ที่ไหน? นรกแต่ละขุมทำไมไม่พอให้ชดใช้กรรมก่อนมาเกิดในอีกชาติภพนึงหรือ?
ส่วนตัวการจะทำอะไรช่วยเหลือใครผมทำตามใจและตามสถาณการณ์มากกว่าอิงเรืี่องบุญกรรม มันไม่มีจุดอ้างอิงว่าสะสมไปเท่าไหร่มันจับต้องไม่ได้เลย แต่ในหลายๆครั้งที่เราลงมือช่วยเหลืออะไรสักอย่างแล้วเกิดความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ นี่แหละสวรรค์ที่เกิดขึ้นเห็นๆรังสรรค์ได้ด้วยมือของเราเอง
อยากถามท่านทั้ง3นี้ว่า ถ้าคุณนำเมล็ดมะม่วงปลูกลงในดิน คุณเชื่อหรือไม่ว่าต้นที่เจริญขึ้นมาจะเป็นต้นมะม่วง(หรือเป็นต้นไม้ชนิดอื่น) ถ้าคุณตอบว่า คุณเชื่อ100%ว่าได้ต้นมะม่วง) แสดงว่าคุณขัดแย้งกับตัวเองแล้วครับ กฏแห่งกรรมพูดง่ายๆก็คือ กฏของ " action=reaction นั่นเอง" ง่ายๆไม่ซับซ้อน ถ้าคุณปลูกผลแห่งความดี คุณย่อมได้ความดีตอบแทนครับ
-
คุณจะเชื่ออะไรนั้น ไม่ผิดครับ แต่ว่าอย่าพยายามทำให้คนอื่นเชื่อแบบที่คุณเชื่อด้วยการบังคับ และการที่คุณบอกว่า ความเชื่อของผมนั้นขัดกับตัวเอง แสดงว่าคุณกำลังบังคับให้ผมเชื่อว่าตัวเองนั้นคิดผิด
ไม่เป็นไรครับ ผมให้อภัย ผมอาจจะแสดงออกไม่ชัดเจนเอง การที่ผมบอกว่า ถ้าคุณคิดจะทำดี อย่าทำดีเพราะว่าคาดหวังว่าจะได้ดีกลับคืนมา ขอให้ทำดี เนื่องจากว่า"อยาก"จะทำดี ผมหมายถึงว่าถ้าคุณปลูกต้นมะม่วง อย่าคาดหวังว่าผ่านไปตอนที่ต้นมะม่วงมันโตแล้ว จะมีคนขุดเอาต้นมะม่วงมาให้คุณอีก การที่คุณคาดหวังว่าจะได้ต้นมะม่วง แสดงว่าคุณ "อยาก"จะทำดีครับ ผมไม่แน่ใจว่ามันขัดกับความคิดของผมยังไง อันนี้ใช้คำเปรียบของคุณเองเลย
แล้วผมก็ยังมองว่ามันก็ถูกนะ ถ้าเกิดผมปลูกต้นมะม่วง ก็เพราะว่าผมอยากได้ต้นมะม่วง อยากได้ลูกมะม่วง ผมทำดี ก็เพราะผมอยากทำดี ให้ได้ความรู้สึกดีๆในการทำดี ในทางกลับกัน ถ้าผมทำดีเพราะอยากได้ผลตอบแทน ก็แสดงว่าผมปลูกต้นมะม่วง แล้วก็คาดหวังว่าจะมีคนเอาต้นมะม่วงมาให้ผมอีก ผมว่าการทำดี ผลบุญ มันไม่ควรจะเกี่ยวข้องกับการเงิน หรือวัตถุ สิ่งของที่นับได้ อะไรเช่นนี้เลยครับ การทำดีโดยหวังผล เป็นสิ่งที่แย่ที่สุดลำดับที่สองของโลกในสายตาของผม รองลงมาจากการบังคับให้คนอื่นเชื่อในสิ่งที่ตนเองเชื่อ ผมอาจจะใช้คำพูดที่ผิดไปบ้าง อะไรบ้าง (ผมสารภาพครับว่าบางครั้งที่ผมตอบกระทู้ ผมไม่ได้สติเต็มร้อย)
นี่เป็นแค่ความเชื่อของผมนะครับ
ครับ ผมไม่เข้าวัด ผมไม่ตักบาตร ผมไม่ทำบุญ ผมเข้าร่วมศาสนพิธีเฉพาะเมื่อผมถูกบังคับ และไม่ได้แปลว่าใครจะบังคับผมได้ทุกครั้ง ผมไม่รักษาศีล ผมตบยุงได้ ผมโกหกอยู่ประจำ ผมดื่ม และ ผมชอบกินหมูช่วงกินเจ แต่ ผมไม่ขโมยของใคร และ ผมไม่มั่วผู้หญิง ถ้าเกิดผมมีบัตรเข้างานอะไรเหลืออยู่ในมือ ผมก็คงเอาไปให้คนอื่นที่ไม่มีเหมือนกัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องจะได้รับอะไรตอบแทนครับ ไม่จำเป็นต้องมีกฎแห่งกรรมเข้ามาเป็นตัวบังคับให้ผมอยู่ในขอบเขต หรือให้ผมอยากทำสิ่งที่ดีต่อเพื่อนมนุษย์
-
ไมีเคยเชื่อในกฏแห่งกรรมเลย คนที่ทำเลวแต่ร่ำรวยมีชีวิตที่สุขสขายมีเยอะแยะมาก ที่เห็นชัดก็พวกนักการเมืองทั้งหลาย ส่วนคนที่เกินครึ่งชีวิตใช้เวลากับการช่วจเหลือบริจาคคนจนคนำบากสัตว์ทั้งหลายแต่โดนรังแกข่มเหงก็มีม่กบนโลกนี้ ใครๆก็มักพูดว่าเป็นผลมาจากบุญและกรรมที่ติดตัวมาแต่ชาติทึ่แล้ว แต่นี่มันคนละชาติภพกันคนละบุคคลกันคนละความคิดกันแล้วมันยุติธรรมหรือ? ชาติที่แล้วคนๆนึงอาจจะดีมากแต่ถ้าชาตินี้ฆ่าคนเอาเปรียบคนอื่นแต่มีชีวิตทึ่สุขสบายมันดีแล้วหรือ คนที่ชาติที่แล้วเป็นคนเลวแต่ชาตินี้เป็นคนดีกลับโดนกลั่นแกล้งเอาเปรียบ หรือเสียชีวิตอย่างเช่นลุงหมูที่ตระเวนขับรถกระบะให้อาหารสัตว์จรจัดย่านพระรามสองยาวหลายสิบกิโลเมตรทุกวันเป็นเวลาสิบปีติดต่อกัน แต่ถูกรถบรรทุกพุ่งชนตายขณะกำลังเอาผ้าใบคลุมหม้ออาหารสัตว์กลัวเปียกฝน หมาแมวมากมายต้องหิวโหยอพอยากต้องคุ้ยขยะเป็นอีกหนึ่งวงเวียนกรรมทึ่เกิดขึ้น ความยุติธรรมของบุญกรรมอยู่ที่ไหน? นรกแต่ละขุมทำไมไม่พอให้ชดใช้กรรมก่อนมาเกิดในอีกชาติภพนึงหรือ?
ส่วนตัวการจะทำอะไรช่วยเหลือใครผมทำตามใจและตามสถาณการณ์มากกว่าอิงเรืี่องบุญกรรม มันไม่มีจุดอ้างอิงว่าสะสมไปเท่าไหร่มันจับต้องไม่ได้เลย แต่ในหลายๆครั้งที่เราลงมือช่วยเหลืออะไรสักอย่างแล้วเกิดความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ นี่แหละสวรรค์ที่เกิดขึ้นเห็นๆรังสรรค์ได้ด้วยมือของเราเอง
ไม่เชื่อก็ไม่ผิดหรอกคับ เพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างที่ผมตอบก่อนหน้านี้แหละ ยากที่จะเข้าใจและอธิบายให้เข้าใจโอยอิงเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ได้ง่ายๆ (ผมก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ ทำป.เอกอยู่) ไม่แปลกหรอก ผมก็เคยคิดแบบคุณ เคยสงสัย กังขาต่างๆมากมายจนหาคำมาอธิบายยังไงก็ไม่หมด ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ผมก็เคยคิดว่า ทำไมมันไม่ยุติธรรมเลย คนเราเกิดมาก็ต้องแบกผลบุญผลกรรมติดตามตัวมาด้วยหรอ เราเป็นเราแล้วนะ เป็นคนใหม่แล้ว ทำไมต้องไปรับผิดชอบอะไรเก่าๆของเรื่องเก่าๆ ทั้งๆที่เราไม่มีโอกาสได้รู้จักกับเหตุการณ์ที่ผ่านๆมาเลย
เอางี้ครับ ลองคิดตามแบบนี้ว่า การที่เราเกิดมานั้น นิสัยต่างๆ ความสามารถต่างๆที่โดดเด่นเป็นพรสวรรค์ หรือจิตใจ ลักษณะความเป็นตัวของตัวเรานั้น เราได้แต่ใดมา?? ทางวิทยาศาสตร์ก็คงจะอธิบายว่าเป็นการแสดงออกของยีนส์+สิ่งแวดล้อม ผมจะบอกว่า ผมทำวิจัยเรื่องพันธุกรรมระดับโมเลกุลอยู่คับ(พวกตัดต่อพันธุกรรมต่างๆ) ในวงการนี้ ความรู้ที่ได้มาถือว่าใหม่มากๆๆๆ และข้อมูลใหม่ๆเยอะมากๆ มีอะไรให้ค้นคว้าและเขาค้นพบอยู่ตลอดเวลา นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถให้คำตอบและอธิบายได้ชัดเจนเลยว่า อะไรต่างๆที่เป็นตัวเราเนี่ยมันได้มายังไง? การแสดงออกของยีนส์ต่างๆที่ได้มาจากพ่อแม่เนี่ย มันมีหลายยยยยปัจจัยที่ซ่อนเร้นอยู่มากๆๆๆๆๆๆคับ มียีนส์อยู่แต่ไม่ใช่ว่ามันจะแสดงออกทุกครั้งไป มันซับซ้อนเหลือคณา
ดังนั้น คุณคิดว่า อะไรๆที่เป็นตัวคุณปัจจุบันเนี่ย มันมาจากไหน? เพราะบางทีนิสัย ความสามารถต่างๆคุณไม่เห็นจะเหมือนพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่เป็นต้นฉบับยีนส์เลย:-\ ::) ??? เป็นไปได้ไหมว่ามันมาจากตัวคุณคนก่อนๆนี้? แล้วตัวคุณคนก่อนๆมาจากไหน? ชาติที่แล้ว? ถ้าคุณเคยมีชาติที่แล้วแล้วติดอะไรต่างๆที่เป็นตัวคุณปัจจุบันมาด้วยได้ไหม? มีโอกาสไหมที่คุณจะแบกเอาผลของการกระทำชาติที่แล้วของคุณมาด้วย??? เคยสังเกตุไหม ทำไมบางคนเกิดมาแล้วมาจับโน่นจับนี่ตั้งแต่เด็กแล้วเก่งเลย ทั้งๆที่เด็กอีกหลายๆคนเรียนเหมือนกันแทบตายก็ไม่เป็น ทำไมคุณถูกชะตากับสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ง่ายๆทั้งๆที่ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักมาก่อน? ฯลฯ
คุณอาจจะแย้งว่า ก็เราเกิดมา ได้ยีนส์มาจากพ่อแม่ ยีนส์ผสมกันแล้วสุ่มๆๆออกมาเป็นตัวคนคนหนึ่งโดยแล้วแต่มันจะเป็นไป อาจเก่งหรือโง่ แล้วมาเป็นตัวตนของเรานี่ไง แล้วลองคิดไหมว่า ฝาแฝดที่มียีนส์ชุดเดียวกัน เลี้ยงในสถาพแวดล้อมเดียวกัน ทำไมนิสัยใจคอ ความสามารถเขาบางทีต่างกันยังกะฟ้ากับเหว ทำไมไม่เหมือนกันไปซะทุกอย่างล่ะ ทั้งๆที่ได้รับสิ่งต่างๆมาเหมือนๆกัน??? ทำไมเป็นคนละคนกันเลย นิสัยไม่เหมือนกันเลย แล้วนิสัยของแต่ละคนนั้นมันมาจากไหน???
ธรรมชาติมันมีความยุติธรรมของมันอยู่แล้วคับ มันปรับสมดุลอะไรๆของมันเอง พวกนักการเมือง คุณลุงใจบุญ เขาก็ได้รับในสิ่งที่เค้าเคยทำมาอย่างยุติธรรมแล้ว เราแค่เห็นเค้าในชาตินี้ บางทีในเฉพาะสิ่งที่เรารู้จักเค้าเท่านั้นด้วยซ้ำ ชาติก่อนหน้านี้ หรือแม้กระทั่งชีวิตของเขาก่อนหน้านี้ตั้งแต่เกิดจนบัดนี้ เราก็ไม่รู้กับเค้าว่าเค้าไปทำอะไรมาบ้าง? พวกนักการเมืองอาจจะเคยทำดีมาทั้งชีวิตจนกระทั่งมาเล่นการเมืองแล้วพึ่งมาเลว ผลกรรมดียังเยอะอยู่ กรรมชั่วยังไม่ส่งผล คุณลุงอาจจะเคยทำบาปมาทั้งชีวิตแล้วกลับใจมาทำบุญ แล้วผลกรรมพึ่งจะส่งผล เราก็ไม่รู้กับเขา อันนี้พูดถึงแค่ชาติปัจจุบันนะครับ ถ้าย้อนไปชาติก่อนๆนี่ยิ่งไปกันใหญ่ แล้วถ้าผลกรรมมันส่งผลข้ามชาติได้จริงๆ คนทั่วๆไปอย่างเราก็ยิ่งจะไม่มีทางเดาได้เลยว่าที่เขาเป็นอยู่ปัจจุบันเนี่ย เป็นเพราะอะไร???
อีกประเด็นเรื่องความยุติธรรม เราพูดถึงแต่คนที่กระทำกรรม คือตัวเรา ว่าเกิดมาทำไมต้องได้รับกรรมที่เคยทำแต่ชาติที่แล้วมาด้วย ไม่ยุติธรรมเลย ถ้าภพชาติมีจริงนะ
แล้วถ้ามองในมุมคนที่ถูกกระทำล่ะครับ สมมติว่าชาติที่แล้วเราฆ่าคนคนหนึ่งให้ตายกับมือซึ่งๆหน้า แล้วเราก็มาเกิดคนเป็นใหม่ชาติ คนที่เราถูกฆ่าล่ะ??? ตายฟรี? ยังไม่มีโอกาสแก้แค้นเลย คุณก็ลอยนวลมาเกิดชาตินี้ซะแล้ว มันยุติธรรมแล้วหรอ? แล้วการที่เขาถูกฆ่า คุณคิดว่าจิตใจเขาจะอาฆาตแค้นไหม? ร่างกายเขาสูญสลายไป แล้วจิตใจที่เป็นพลังงานของเขาจะยังอยู่ไหม? แล้วความอาฆาตใจจิตใจที่เป็นพลังงานนั้นมันจะไปไหน? มันจะไปส่งผลกับใคร อะไร ที่ไหนหรือเปล่า เพราะอย่าลืมว่ามันเป็นพลังงานชนิดหนึ่งนะครับ แล้วคิดดูคนเรามีเยอะขนาดไหน พลังงานจะมีเยอะขนาดไหน แล้วพลังงานในรูปแบบที่เราสัมผัสไม่ได้ จะเยอะขนาดไหน? ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดนะครับ ผมว่า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า การใช้กรรมไม่ได้มีแค่ในนรกครับ ใช้กรรม(ดีและชั่ว)ได้ทั้งนรก โลกมนุษย์ สวรรค์ พรหมโลก วนเวียนอยู่แบบนี้ ยกเว้นจะหลุดพ้นออกไปได้
วรรคสุดท้ายคุณคิดถูกทางแล้วครับ ทำดีต่อไปครับ ;)
เรื่องพวกนี้ต้องศึกษาพอสมควรและปฏิบัติจริงจังไปด้วย ถึงจะพอเข้าใจครับ ไม่งั้นจะเอาหลักเหตุผลและวิทยาศาสตร์ปัจจุบันมาอธิบายกัน ก็ยากครับ เพราะวิทยาศาสตร์เองก็ยังไปไม่ถึงไหนเลย
-
เคยเชื่อ เลิกเชื่อ และกลับมาเชื่อ และผมไม่มีความสามารถพอจะอธิบายได้ว่าทำไม
-
ทำดีได้ดีจริงหรือไม่ ทำชั่วได้ชั่วหรือเปล่า ผมไม่เชื่อครับ แต่สิ่งที่ผมเชื่อคือ ถ้าคุณคิดจะทำดี อย่าทำดีเพราะว่าคาดหวังว่าจะได้ดีกลับคืนมา ขอให้ทำดี เนื่องจากว่า"อยาก"จะทำดีครับ
ไม่เชื่อครับ ผมเชื่อเหตุและผลของการกระทำมากกว่า
ใครบอกทำดียังไงสักวันก็ได้ดี ทำชั่วสักวันก็ได้ชั่ว
ก็ไม่ผิดครับเพราะชีวิตนึงยังไงก็มีเรื่องดีๆกับเรื่องๆชั่วๆคอยอยู่อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดีก็ตาม
ไมีเคยเชื่อในกฏแห่งกรรมเลย คนที่ทำเลวแต่ร่ำรวยมีชีวิตที่สุขสขายมีเยอะแยะมาก ที่เห็นชัดก็พวกนักการเมืองทั้งหลาย ส่วนคนที่เกินครึ่งชีวิตใช้เวลากับการช่วจเหลือบริจาคคนจนคนำบากสัตว์ทั้งหลายแต่โดนรังแกข่มเหงก็มีม่กบนโลกนี้ ใครๆก็มักพูดว่าเป็นผลมาจากบุญและกรรมที่ติดตัวมาแต่ชาติทึ่แล้ว แต่นี่มันคนละชาติภพกันคนละบุคคลกันคนละความคิดกันแล้วมันยุติธรรมหรือ? ชาติที่แล้วคนๆนึงอาจจะดีมากแต่ถ้าชาตินี้ฆ่าคนเอาเปรียบคนอื่นแต่มีชีวิตทึ่สุขสบายมันดีแล้วหรือ คนที่ชาติที่แล้วเป็นคนเลวแต่ชาตินี้เป็นคนดีกลับโดนกลั่นแกล้งเอาเปรียบ หรือเสียชีวิตอย่างเช่นลุงหมูที่ตระเวนขับรถกระบะให้อาหารสัตว์จรจัดย่านพระรามสองยาวหลายสิบกิโลเมตรทุกวันเป็นเวลาสิบปีติดต่อกัน แต่ถูกรถบรรทุกพุ่งชนตายขณะกำลังเอาผ้าใบคลุมหม้ออาหารสัตว์กลัวเปียกฝน หมาแมวมากมายต้องหิวโหยอพอยากต้องคุ้ยขยะเป็นอีกหนึ่งวงเวียนกรรมทึ่เกิดขึ้น ความยุติธรรมของบุญกรรมอยู่ที่ไหน? นรกแต่ละขุมทำไมไม่พอให้ชดใช้กรรมก่อนมาเกิดในอีกชาติภพนึงหรือ?
ส่วนตัวการจะทำอะไรช่วยเหลือใครผมทำตามใจและตามสถาณการณ์มากกว่าอิงเรืี่องบุญกรรม มันไม่มีจุดอ้างอิงว่าสะสมไปเท่าไหร่มันจับต้องไม่ได้เลย แต่ในหลายๆครั้งที่เราลงมือช่วยเหลืออะไรสักอย่างแล้วเกิดความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ นี่แหละสวรรค์ที่เกิดขึ้นเห็นๆรังสรรค์ได้ด้วยมือของเราเอง
อยากถามท่านทั้ง3นี้ว่า ถ้าคุณนำเมล็ดมะม่วงปลูกลงในดิน คุณเชื่อหรือไม่ว่าต้นที่เจริญขึ้นมาจะเป็นต้นมะม่วง(หรือเป็นต้นไม้ชนิดอื่น) ถ้าคุณตอบว่า คุณเชื่อ100%ว่าได้ต้นมะม่วง) แสดงว่าคุณขัดแย้งกับตัวเองแล้วครับ กฏแห่งกรรมพูดง่ายๆก็คือ กฏของ " action=reaction นั่นเอง" ง่ายๆไม่ซับซ้อน ถ้าคุณปลูกผลแห่งความดี คุณย่อมได้ความดีตอบแทนครับ
ถ้าผมนำเมล็ดมะม่วงไปปลูกลงในดินผมเชื่อว่าถ้ามันเจริญงอกงามก็จะเป็นต้นมะม่วง แต่ผมไม่เชื่อ100%ว่ามันจะเจริญงอกงาม มันอาจจะตายก็ได้
เพราะฉะนั้นทำดีไม่จำเป็นต้องได้ดี ทำชั่วไม่จำเป็นต้องได้ชั่ว ขึ้นอยู่กับการกระทำและผลแห่งการกระทำนั้นถูกต้องแล้ว
แต่!!! การกระทำและผลแห่งการกระทำ ไม่ใช่ ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว
-
และทำแล้วความสุขกับความทุกข์มันคนละประเด็นกับทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วครับอย่าหลงประเด็น
และมันไม่มีตัวชี้วัดได้ บางคนทำชั่วมีความสุขก็มีครับ
-
แหมกลายเป็นเวป พลังจิต.คอม ไปละ 555 เอาว่าเรื่องที่เถียงๆกันว่าดีไม่ดี เชื่อไม่เชื่อ ถ้านับถือพุทธ ผมว่าต้องลองไปศึกษาเรื่อง ปฏิจสมุปบาทดูครับ แม้แต่ส่วนที่คนยึดว่าเราดีเราชั่วนั้นก็ยังไม่พ้นใน 12 วงจรแห่งปฏิจสมุปบาท เพราะยังยึดติดใน "ชาติ" อยู่ จึงไม่สามารถหลุดออกจาก วัฏฏะ ได้อยู่ดี
ส่วนผมเองก็ยังติดอยู่ในวงเวียนนี้เช่นกัน เพราะไม่งั้นคงไม่เข้า HeadLight Mag แห่งนี้มาดูเรื่องรถหรอก ตัณหา อุปาทาน ทั้งนั้น
ปล.ส่วนศาสนาอื่นไม่รู้ครับ
-
เคยอ่านผ่าน ๆ จากที่ไหนสักที่กล่าวว่า
"ความดีก็เหมือนกับกางเกงใน ควรมีไว้แต่ไม่ต้องเอามาโชว์"
เกี่ยวกับกระทู้ไหมนี่ .. 55
-
กรรมคือการกระทำครับ จะช้าจะเร็วมันก็ต้องแสดงผลสักวัน ส่วนคนทำเลวแต่ได้ดีนั้น เขาคงต้องทำความดีมาก่อนครับ คนเราจะทำเรื่องเลวๆได้ทุกเรื่องคงจะมีส่วนน้อยนะครับ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ล้วนอนิจจังครับ ถ้าเราลองมองดีๆ ค่อยๆใคร่ควรพิจารณาเราจะเห็นความสัจครับ ถ้าต้องการจะจบทุกอย่างคือเราต้องหยุดครับ ถ้าเราหยุด ทุกอย่างก็จะหยุด เราจะต้องเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุดครับ
ผมเองก็สนใจเรื่องนี้เหมือนกันครับ แล้วก็พอจะมองเห็นอะไรหลายๆอย่าง แต่การมีชีวิต เราก็ต้องดำเนินต่อไป มันอยู่ที่ว่า เราจะมีหลักอะไรในการยึดเหนื่ยวจิตใจเพื่อที่จะนำเราไปสู่การหลุดพ้น
หลักคำสอนดีๆมีครับ อยู่ที่เราจะเลือกใช้
-
ทำดี ได้ดีบ้างไม่ได้ดีบ้าง
ทำไม่ดี ได้ดีบ้างไม่ได้ดีบ้าง
แต่ที่แน่ๆทำดีแล้วชีวิตจะมีความสุขครับ555
-
คนเรามักเปรียบเทียบเป็นสิ่งที่จับต้องได้
เช่นทำดีให้ใครแล้วเราจะต้องได้สิ่งของหรือการกระทำอะไรกลับมาซักวันหนึ่ง
หรือทำชั่วแล้วเราจะต้องรับผลการกระทำที่จับต้องได้ซักวันหนึ่ง
พอสิ่งเหล่านั้นไม่เกิดผลขึ้นในระยะเวลาที่คาดหวัง ก็คิดไปว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่เป็นจริง
แต่จริง ๆ ผลมันเกิดขึ้นในใจตั้งแต่ทำลงไปแล้ว ทั้งดีและชั่ว เราไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง
ผมว่านะ