Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: MoO Cnoe ที่ พฤษภาคม 10, 2014, 09:49:28
-
J!MMY said :
เฮ้อ...
Mazda CX-5 2.2 L Diesel Skyactiv-D Turbo 6AT "AWD"
(http://upic.me/i/cd/pdcxd.jpg) (http://upic.me/show/50944793)
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง Fuel Consumption
ระยะทาง บน Trip Meter A = 92.6 Km.
เติมน้ำมันกลับ Diesel Techron หัวจ่ายตัด 6.27 litres
Fuel Consumption @ 110 Km./h. เปิดแอร์ นั่ง 2 คน...
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 14.76 km/l
-------------------------------------------------------------------------
อัตราเร่ง 0-100 km/h
#1 9.26 sec
#2 9.29 sec
#3 9.26 sec
#4 9.29 sec
อัตราเร่ง 0-100 km/h ทำได้เฉลี่ย 9.27 วินาที
-------------------------------------------------------------------------
อัตราเร่ง 80-120 km/h
#1 7.25 sec
#2 7.33 sec
#3 7.33 sec
#4 7.32 sec
อัตราเร่ง 80-120 km/h ทำได้เฉลี่ย 7.30 วินาที
-------------------------------------------------------------------------
Top Speed
1 45 @ 4,800
2 80 @ 4,800
3 110 @ 4,800
4 160 @ 4,800
5 212 @ 4,500
Top Speed 212 km/h @ 4,500 rpm @ 5th Gear
-------------------------------------------------------------------------
ตารางเปรียบเทียบกับกลุ่ม CompactSUV พื้นฐานเก๋ง
(http://upic.me/i/rt/0csuv.jpg) (http://upic.me/show/50944840)
-
:o :o :o :o :o :o :o :o :o
-
โหดแท้ :o :o :o :o
-
รอง 2.5 นิดหน่อย แต่ช้าเพราะ AWD ??
-
ขอบคุณครับบ นี่สิแรงและประหยัดของจริงๆๆๆ :o
-
ขอบคุณครับ...คิดไว้แล้วว่าตัว2.5 น่าใช้กว่าในความคิดผม ..แต่ใครต้องใช้4wd จัดดีเซลเลย
-
เห็นแบบนี้แล้วคงไม่ต้องเพิ่มเงินอีก 2 แสนเพื่อที่จะอัพจาก 2.5 เป็น 2.2 แล้วละครับ แรงกว่า แถมกินน้ำมันต่างกันนิดเดียวเอง
-
ผิดคาด ช้ากว่า 2.5 พอสมควร แถมประหยัดกว่าแค่นิดหน่อย ตอนแรกเทใจไปกับดีเซลกว่า 90% ตอนนี้ 50/50 (รอ MaZda6 ครับ)
Top Speed 212 kph ล็อคเหมือน 2.5 หรือเปล่าครับ
ปกติ 0-100 รถขับเคลื่อนทุกล้อ น่าจะมีอัตราเร่งดีกว่าขับเคลื่อนแค่สองล้อหรือเปล่าครับ(กรณีเครื่อง/เกียร์เหมือนกัน)
ถ้าเป็นเช่นนี้แสดงว่าเครื่อง 2.2D ด้อยกว่า 2.5G พอควร ในเกมส์จับเวลา
-
ผมว่าไม่ได้น่าเกลียดอะไรนะ ผมว่าประหยัดน้ำมันกว่านิดหน่อยแต่อย่าลืมว่า ราคา ดีเซลกับ เบนซิลมันก็ต่างกันหลายเงินอยู่
ผมว่าได้ครบทุกอย่าง ประหยัด แรง ซูม ซูม แต่ทำให้ผมตระหนักว่า อย่าไปแหยมกับ CX-5 ทุกตัว
-
Mazda 6 ปีนี้ไม่เปิดตัวใช่ไหมครับ...มีโอกาสผลิตในไทยรึเปล่าครับ
-
ถ้าเทียบกะเครื่องเบนชินที่ซีซีใกล้เคียงกัน กินน้ำมันพอๆกันเลยหรือไม่ครับ ถ้าดูจากอัตราการบริโภคน้ำมันอย่างเดียว
-
โอ้ว ;D
-
ถ้า minor change มี 2.2 skyactiv D 2wd
ตัวเลขคงจะสวยหรูทั้งอัตราเร่งและอัตราการใช้เชื้อเพลิง
อาจจะชนะทุกสถาบัน ;D
-
แรงทุกรุ่นจิงๆ
-
ผิดคาด ช้ากว่า 2.5 พอสมควร แถมประหยัดกว่าแค่นิดหน่อย ตอนแรกเทใจไปกับดีเซลกว่า 90% ตอนนี้ 50/50 (รอ MaZda6 ครับ)
Top Speed 212 kph ล็อคเหมือน 2.5 หรือเปล่าครับ
ปกติ 0-100 รถขับเคลื่อนทุกล้อ น่าจะมีอัตราเร่งดีกว่าขับเคลื่อนแค่สองล้อหรือเปล่าครับ(กรณีเครื่อง/เกียร์เหมือนกัน)
ถ้าเป็นเช่นนี้แสดงว่าเครื่อง 2.2D ด้อยกว่า 2.5G พอควร ในเกมส์จับเวลา
เนื่องจากเป็นระบบขับเคลื่อนแบบ AWD ไม่ใช่ 4WD ผมเลยไม่แน่ใจว่าตอนกระแทกคันเร่งออกตัว ระบบปรับการทำงานขับเคลื่อนกี่ล้อ
แต่ถ้าขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าเหมือนกัน นั่นหมายความว่า 2.2 AWD เสียเปรียบ เพราะด้วยน้ำหนักของชุดกลไกการขับเคลื่อนล้อคู่หลังที่เพิ่มขึ้นมา
ส่วนตัวไม่ได้คาดหวังอัตราเร่งที่ดีกว่าเครื่อง 2.5NA ครับ แต่คิดว่ามันน่าจะขับสนุกพอสมควร จากแรงดึงเครื่อง Diesel Turbo
-
มันจะดีกว่า2.5G ตอนขึ้นอ่างขาง
-
ตามที่เขาเคยคาดการณ์จากกระทู้ 2.5 ว่า 2.2 ช้ากว่า ประหยัดกว่าไม่มากเพราะ AWD
-
อัตราเร่งถือว่าดีแล้วนะผมว่า ถ้ามองว่าเป็น AWD แต่คาใจตรงอัตราการกินนี่แหละ AWD ทำให้มันกินได้เกือบๆเท่า 2.0G/2.5G เลยเหรอ
ตอนแรกคิดเล่นๆว่าน่าจะประมาณ 15กลางๆ
แต่ถ้าเทียบกับดีเซลคันอื่น ผมว่านี่ประหยัดมากแล้วแหละ ;D
-
นึกว่าจะเกิน 15 เหมือนกันครับ
-
โอ้วเดาผิดแฮะ ทั้งอัตราเร่งทั้งความประหยัด
อย่างนี้2.5คงขายดีขึ้นสินะ
คิว2.2นงสั้นลงเยอะ
เยี่ยมมากมาสด้า
-
มันจะดีกว่า2.5G ตอนขึ้นอ่างขาง
ใช่ครับทางทีดอยอ่างขางเรียกว่าโหดเอาเรีองครับอินทนนท์จิ้บๆครับถ้าเปนผมคงต้องเอาเครีองดีเชลครับ
-
เห็นแบบนี้ เสียดายไม่ยอมทำตลาด Mazda 6
-
ขอบคุณสำหรับรีวิวสั้นๆทั้ง 3 รุ่นนะครับ
นี่ถ้าเป็นคนที่ต้องซื้อ คงลังเลมากระหว่าง 2.0s กับ 2.5s
ดีนะที่ช่วงนี้ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนรถ ไม่งั้นคงเครียดน่าดู ฮ่าๆ
-
เห็นตัวเลขแล้วอยากให้2.2D แบบขับ2มาจัง :-\
-
ประหยัดพอกันทั้ง 3รุ่นเลย แรงดีจริงๆ
-
ตัวเลขอาจจะดูด้อยกว่า 2.5 G จริง แต่ความรื่นรมของแรงบิดยังทำให้ 2.2 D ขับสนุกกว่านิดๆนะครับ
แต่ถ้าให้ซื้อเห็นตารางแล้ว 2.5 G นี่ครบแล้วในราคาที่ถูกกว่า 5555+
แอบถามนอกเรื่อง มีท่านใดได้ลอง Tucson 2.0d 184 แรงม้าบ้างหรือเปล่าครับ. เป็นยังไงบ้าง
-
เห็นแบบนี้แล้วคงไม่ต้องเพิ่มเงินอีกแสนกว่าบาทเพื่อที่จะอัพจาก 2.5 เป็น 2.2 แล้วละครับ แรงกว่า แถมกินน้ำมันต่างกันนิดเดียวเอง
เพิ่มเงินอีก 230,000 บาทครับ
2.5เบนซิน 1,440,000
2.2ดีเซล 1,670,000
-
ท่าทางจะขายดีทุกรุ่นแน่ๆเลย
-
ขอบคุณครับ ถึงตัวเลขจะช้ากว่า2500 แต่ถ้านั่งสี่คนบวกสัมภาระผมว่าดีเซลไวกว่าแน่นอน
-
อยากรู้ว่าถ้าแอบถอดเพลาขับหลังออก จะยังขับได้มั้ยครับ
จ่ายสองแสนสามเพื่อเเรงบิดล้วนๆ เพี้ยนไปมั้ย
-
ตัวเลขขนาดนี้ก็ไม่เลวแล้วล่ะนะ แถมเป็น AWD ด้วย ตอนผมลองขับ แรงดึงมันสนุกจริงๆ สมกับเป็นดีเซลพ่วงหอย
โอมมาสด้า 6 จงมา 2.2D / 2.5G จงมา ;D
-
กินอัตรานี้ก็นับว่าดีมากแล้วเพราะเป็นดีเซล แต่ค่าตัวมันก็แรงมากๆ เหมือนกัน ::)
-
แรงดี แถมเป็น AWD ด้วย แต่ราคามันโดดไปเยอะเลยอ่ะ
-
MAZDA AWD :)
-
อัตราเร่ง 0-100 กับ 80-120 ไม่ค่อย surprise เท่าไหร่
กะว่าต้องประมาณ 9 วิต้นๆ
แต่อัตราการสิ้นเปลือง คิดว่าน่าจะทำได้ถึง 16 กิโลลิตรซะอีก
สรุป ดูแค่ตัวเลข ถือว่าสอบผ่าน แต่ยังไม่ถึงกับ "ว้าวววว" เหมือนตัว 2.5S
-
อัตราเร่ง 0-100 กับ 80-120 ไม่ค่อย surprise เท่าไหร่
กะว่าต้องประมาณ 9 วิต้นๆ
แต่อัตราการสิ้นเปลือง คิดว่าน่าจะทำได้ถึง 16 กิโลลิตรซะอีก
สรุป ดูแค่ตัวเลข ถือว่าสอบผ่าน แต่ยังไม่ถึงกับ "ว้าวววว" เหมือนตัว 2.5S
เห็นด้วยครับ อยากเห็น 2.2D ได้ราว 15km/L +
**กลายเป็น 2.0/2.5 เบนซิน ทำได้ดีเกินคาด จนร้อง Wow มากกว่า
-
อัตราเร่ง 0-100 กับ 80-120 ไม่ค่อย surprise เท่าไหร่
กะว่าต้องประมาณ 9 วิต้นๆ
แต่อัตราการสิ้นเปลือง คิดว่าน่าจะทำได้ถึง 16 กิโลลิตรซะอีก
สรุป ดูแค่ตัวเลข ถือว่าสอบผ่าน แต่ยังไม่ถึงกับ "ว้าวววว" เหมือนตัว 2.5S
เห็นด้วยครับ อยากเห็น 2.2D ได้ราว 15km/L +
**กลายเป็น 2.0/2.5 เบนซิน ทำได้ดีเกินคาด จนร้อง Wow มากกว่า
เห็นด้วยอีกคนครับ อัตราเร่งไม่แปลกใจ แต่อัตราการสิ้นเปลืองคาดหวังว่าจะถึง 16 หรือไม่ก็ใกล้เคียง กลับกลายเป็น2.5 ที่ทำได้ดีเกินคาดครับ
-
ผมคาดหวังแค่ 13โล/ลิตรนะ เเค่นี้มันก็ดีกว่ารถทุกคันที่ผมใช้อยู่เเล้ว
ปล. J32 250xv ทำได้ราว11โล/ลิตร
Ranger 3.2wt ก็ราวๆ11 โล/ลิตร
-
แรงครับ แต่อยากประหยัดกว่านี้
-
ผมว่าโอเคนะ ไม่น่าเฮ้อ แต่ไม่ถึงกับเหวอ คืออยู่ติดตรงเฉยๆ ไม่ดีเดก็ไม่ได้แย่อะไรนะครับ
หลังๆคงมาจากระบบขับเคลื่อน เพลาเอยอะไรเอยที่มันเพิ่มขึ้นมาแหละครับ อาจเปนตัวถ่วงได้ ได้แค่นี้ก็โอละครับ (จริงๆอัตราสิ้นเปลืองผมหวังกับมัน 15 โลลิตรขึ้นนะ)
อย่างไรเสียความสิ้นเปลืองดูระยะยาวบาทต่อกิโล ตัวดีเซลล์บาทต่อกิโลถูกกว่าแน่นอน (ถ้ารัฐบวมใหม่ไม่ปล่อยลอยตัวดีเซลตามราคาที่มันควรจะเป็นนะครับ) ติดอยู่เรื่องสองเรื่องคือออฟชั่นกับราคา ที่ให้มาถือว่าน้อยกว่าที่ควรจะเป็น กับราคาที่โดดไปเกือบๆ "ล้านเจ็ด" ตรงนี้แหละที่จะเปนตัวเรียกแขกหรือไล่แขกได้ทางนึง
-
ไม่ถึงกับประหยัดเท่าไร ตอนแรกเห็นคุยกันว่าประหยัดพอๆไอบริด 17-18โล/ลิตร
ส่วนความแรงโอเคใช้ได้ครับ
ถ้ามือ1รุ่นคิดว่า 2.5 จะดูคุ้มกว่า
-
คือ คิดดูดีๆนะครับที่บ่นๆกัน
ถ้าลำดับการเทสของคุณจิมมี่เป็น
2.0
2.2D
2.5
ตอนผล2.2ออกคนคงฮือฮากว่านี้ เพราะตัวเลขไม่ได้แย่สักหน่อย
แค่พอไปเทียบกับตัว2.5มันไม่ได้ดีกว่าทั้งๆที่แพงกว่า และผลเทส2.5ทำคนฮือฮาเลยหวัง2.2ไว้สูง
ถ้ามี2.2 ตัว2Wdราคาเท่ากับ2.5นี่คงเลือกกันไม่ถูกเลยทีเดียว
-
ผมใช้ 2.2D มาเกิน 10000km แล้วครับ
บันทึกอัตราการกินน้ำมันไว้ได้ดังนี้
(http://image.free.in.th/v/2013/ik/140510051706.PNG)
ใช้เส้นทาง Motorway ความเร็ว 110-120 km/h
และไปรถติดแถวๆแหลมฉบัง ศรีราชา
วัดจากระยะทางจริง หารด้วยน้ำมันที่เติมจนเต็ม
ทำได้ดีสุด 16.8 km/l ครับ
ส่วนใหญ่ใช้ Fuel Save มีบางถังเป็น V-Power
ในถังที่อัตราการกินน้ำมันต่ำกว่า 15 km/l
คือเป็นถังที่ Diesel particulate filter ทำงานครับ
การทำงานของ DPF คือฉีดน้ำมันเพิ่ม เมื่อขับทางไกล
คือจะกินน้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณ 3L/100km เป็นระยะทางประมาณ 15 km
ดังนั้น ผมเข้าใจว่า บังเอิญ DPF อาจจะทำงานในการทดสอบของคุณ J!MMY พอดี
และอีกอย่างนึงที่ผมพบคือ ใช้ Cruise control กินน้ำมันกว่าครับ
-
ยังไงก็ซื้อมาแล้วครับ น้อง 2.2D สีฟ้าเหมือนกัน ถึงไม่ประหยัดอย่างที่คิด นี่คงขับทางด่วนทดสอบยังไม่ได้ขับในเมืองเลยยังไม่ได้ใช้ item ลับ i stop ครับถ้าขับในเมืองเทียบกันเองจะยิ่งประหยัดกว่าเบนซินครับแต่ก็มีความสุขในการใช้ดีครับ ขอบคุณคุณจิมมี่ครับ
-
สำหรับผม 2.0 ก็พอใช้แล้วครับ
-
ตามที่ผมเข้าใจว่า AWD ของ CX-5 มันจะขับ 4 เฉพาะตอนที่ตรวจพบว่าต้องทำงานหรือเปล่าครับ? ไม่ได้ขับ Full Time เหมือน XV , Fortuner หรือ Land Cruiser ....ทำไมบางความคิดเห็นถึงกล่าวคล้ายๆกับว่ามัน Full Time เลยครับ (หรือว่าผมเข้าใจผิด)
-
ผมใช้ 2.2D มาเกิน 10000km แล้วครับ
บันทึกอัตราการกินน้ำมันไว้ได้ดังนี้
(http://image.free.in.th/v/2013/ik/140510051706.PNG)
ใช้เส้นทาง Motorway ความเร็ว 110-120 km/h
และไปรถติดแถวๆแหลมฉบัง ศรีราชา
วัดจากระยะทางจริง หารด้วยน้ำมันที่เติมจนเต็ม
ทำได้ดีสุด 16.8 km/l ครับ
ส่วนใหญ่ใช้ Fuel Save มีบางถังเป็น V-Power
ในถังที่อัตราการกินน้ำมันต่ำกว่า 15 km/l
คือเป็นถังที่ Diesel particulate filter ทำงานครับ
การทำงานของ DPF คือฉีดน้ำมันเพิ่ม เมื่อขับทางไกล
คือจะกินน้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณ 3L/100km เป็นระยะทางประมาณ 15 km
ดังนั้น ผมเข้าใจว่า บังเอิญ DPF อาจจะทำงานในการทดสอบของคุณ J!MMY พอดี
และอีกอย่างนึงที่ผมพบคือ ใช้ Cruise control กินน้ำมันกว่าครับ
ข้อมูลบันทึกแบบนี้เยี่ยมมาก ขอคารวะ....
-
ผมใช้ 2.2D มาเกิน 10000km แล้วครับ
บันทึกอัตราการกินน้ำมันไว้ได้ดังนี้
ใช้เส้นทาง Motorway ความเร็ว 110-120 km/h
และไปรถติดแถวๆแหลมฉบัง ศรีราชา
วัดจากระยะทางจริง หารด้วยน้ำมันที่เติมจนเต็ม
ทำได้ดีสุด 16.8 km/l ครับ
ส่วนใหญ่ใช้ Fuel Save มีบางถังเป็น V-Power
ในถังที่อัตราการกินน้ำมันต่ำกว่า 15 km/l
คือเป็นถังที่ Diesel particulate filter ทำงานครับ
การทำงานของ DPF คือฉีดน้ำมันเพิ่ม เมื่อขับทางไกล
คือจะกินน้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณ 3L/100km เป็นระยะทางประมาณ 15 km
ดังนั้น ผมเข้าใจว่า บังเอิญ DPF อาจจะทำงานในการทดสอบของคุณ J!MMY พอดี
และอีกอย่างนึงที่ผมพบคือ ใช้ Cruise control กินน้ำมันกว่าครับ
อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้มั้งตัวดีเซลจึงแทบไม่ประหยัดกว่าเลย
แต่ถ้าเอาตอนประหยัดๆ เทียบกันแล้วต่างกันแค่ประมาณ 1-2 km/l นี่ แล้วถ้าไม่ได้วิ่งในทางที่ต้องใช้ขับ 4 บ่อยๆ
ดูท่าแล้วไปเบนซิลคุ้มกว่ามาก
-
เอามาลงMazda3ที
-
ผมใช้ 2.2D มาเกิน 10000km แล้วครับ
บันทึกอัตราการกินน้ำมันไว้ได้ดังนี้
ใช้เส้นทาง Motorway ความเร็ว 110-120 km/h
และไปรถติดแถวๆแหลมฉบัง ศรีราชา
วัดจากระยะทางจริง หารด้วยน้ำมันที่เติมจนเต็ม
ทำได้ดีสุด 16.8 km/l ครับ
ส่วนใหญ่ใช้ Fuel Save มีบางถังเป็น V-Power
ในถังที่อัตราการกินน้ำมันต่ำกว่า 15 km/l
คือเป็นถังที่ Diesel particulate filter ทำงานครับ
การทำงานของ DPF คือฉีดน้ำมันเพิ่ม เมื่อขับทางไกล
คือจะกินน้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณ 3L/100km เป็นระยะทางประมาณ 15 km
ดังนั้น ผมเข้าใจว่า บังเอิญ DPF อาจจะทำงานในการทดสอบของคุณ J!MMY พอดี
และอีกอย่างนึงที่ผมพบคือ ใช้ Cruise control กินน้ำมันกว่าครับ
ผมว่า DPF ทำงานตอนทดลองพอดีก็อาจเป็นไปได้นะครับ เพราะตัวเลข 14 กว่ามันแย่กว่าที่ควรเป็นพอสมควรเลย
ถ้าไม่ลำบากเกินไป อยากให้ทดลองอัตราสิ้นเปลืองอีกสักครั้งน่าจะดี
-
ผมใช้ 2.2D มาเกิน 10000km แล้วครับ
บันทึกอัตราการกินน้ำมันไว้ได้ดังนี้
ใช้เส้นทาง Motorway ความเร็ว 110-120 km/h
และไปรถติดแถวๆแหลมฉบัง ศรีราชา
วัดจากระยะทางจริง หารด้วยน้ำมันที่เติมจนเต็ม
ทำได้ดีสุด 16.8 km/l ครับ
ส่วนใหญ่ใช้ Fuel Save มีบางถังเป็น V-Power
ในถังที่อัตราการกินน้ำมันต่ำกว่า 15 km/l
คือเป็นถังที่ Diesel particulate filter ทำงานครับ
การทำงานของ DPF คือฉีดน้ำมันเพิ่ม เมื่อขับทางไกล
คือจะกินน้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณ 3L/100km เป็นระยะทางประมาณ 15 km
ดังนั้น ผมเข้าใจว่า บังเอิญ DPF อาจจะทำงานในการทดสอบของคุณ J!MMY พอดี
และอีกอย่างนึงที่ผมพบคือ ใช้ Cruise control กินน้ำมันกว่าครับ
อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้มั้งตัวดีเซลจึงแทบไม่ประหยัดกว่าเลย
แต่ถ้าเอาตอนประหยัดๆ เทียบกันแล้วต่างกันแค่ประมาณ 1-2 km/l นี่ แล้วถ้าไม่ได้วิ่งในทางที่ต้องใช้ขับ 4 บ่อยๆ
ดูท่าแล้วไปเบนซิลคุ้มกว่ามาก
ตัวเลขที่ผมนำมาแสดง มาจากการใช้งานจริงครับ มีเร่ง เบรค รถติด
ไม่ได้แช่ค้างที่ความเร็ว 110 km/h
เฉลี่ยแล้ว ผมได้ 15.06 km/l จากการใช้งานจริง ก็ประมาณ 2 Baht/km
ส่วน 2.5 ถ้าขับแบบใช้งานจริง น่าจะได้ค่าเฉลี่ยประมาณ 3 Baht/km
ผมใช้รถปีละ 30000 km ต้องรอเกือบ 8 ปีถึงจะเริ่มคุ้ม T_T
แต่ที่เลือก 2.2D เพราะไม่ชอบลากรอบสูง ชอบแบบกดนิดๆก็ดึงเลย
ส่วน AWD ถือเป็นของแถมครับ
แถมกราฟให้ดูเปรียบเทียบครับ
(http://image.free.in.th/v/2013/in/140108041727.jpg)
ตัว 2.0 กับ 2.5 ผมใส่ไปถึง 6500RPM เกินความเป็นจริงไปนิดหน่อย
ตัว 2.2 ใส่ไป 5000RPM เกินความจริงไป 200RPM เช่นกัน
เลยได้ความเร็วในแต่ละเกียร์เกินผลทดสอบมานิดหน่อย
-
ในถังที่อัตราการกินน้ำมันต่ำกว่า 15 km/l
คือเป็นถังที่ Diesel particulate filter ทำงานครับ
การทำงานของ DPF คือฉีดน้ำมันเพิ่ม เมื่อขับทางไกล
คือจะกินน้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณ 3L/100km เป็นระยะทางประมาณ 15 km
ดังนั้น ผมเข้าใจว่า บังเอิญ DPF อาจจะทำงานในการทดสอบของคุณ J!MMY พอดี
และอีกอย่างนึงที่ผมพบคือ ใช้ Cruise control กินน้ำมันกว่าครับ
รบกวนอธิบาย DPF ด้วยครับ
ขอเป็นความรู้ครับ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ ว่า ทำไมมันเกิดแล้ว ถึงกินน้ำมันกว่ากันครับ
และอีกเรื่อง ทำไม Cruise ถึงกินน้ำมันเยอะกว่า มันเป็นไปได้ไหมว่า อยู่ที่ความเร็ว หรือทางเป็นเนินครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
-
เห็นอัตราเร่งของ CX-5 ทั้ง 3 ตัวก็ได้แต่ลุ้นให้
มาสด้า 6 จงมาๆๆๆๆๆๆ เห็นตัวจริงในอังกฤษวิ่งผ่านทีไร เหลียวมองตามคอแทบเคล็ดคับ สวยเลิศเลอจริงๆ
-
ในถังที่อัตราการกินน้ำมันต่ำกว่า 15 km/l
คือเป็นถังที่ Diesel particulate filter ทำงานครับ
การทำงานของ DPF คือฉีดน้ำมันเพิ่ม เมื่อขับทางไกล
คือจะกินน้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณ 3L/100km เป็นระยะทางประมาณ 15 km
ดังนั้น ผมเข้าใจว่า บังเอิญ DPF อาจจะทำงานในการทดสอบของคุณ J!MMY พอดี
และอีกอย่างนึงที่ผมพบคือ ใช้ Cruise control กินน้ำมันกว่าครับ
รบกวนอธิบาย DPF ด้วยครับ
ขอเป็นความรู้ครับ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ ว่า ทำไมมันเกิดแล้ว ถึงกินน้ำมันกว่ากันครับ
และอีกเรื่อง ทำไม Cruise ถึงกินน้ำมันเยอะกว่า มันเป็นไปได้ไหมว่า อยู่ที่ความเร็ว หรือทางเป็นเนินครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
จริงๆ เขียนให้ถูกคือ DPF Regeneration ครับ
ถ้าเซนเซอร์ตรวจได้ว่ากรองเขม่า DPF เริ่มสกปรก หรือใกล้เต็ม
จะสั่งให้จ่ายน้ำมันมากขึ้นครับ เพื่อทำความสะอาดกรอง DPF
http://en.wikipedia.org/wiki/Diesel_particulate_filter#Regeneration (http://en.wikipedia.org/wiki/Diesel_particulate_filter#Regeneration)
หากขับช้าๆ ใช้รอบต่ำบ่อยๆ หรือขับแค่ระยะทางสั้นๆ
จะทำให้ DPF เกิดเขม่าสะสมใน DPF เร็วขึ้น
และระบบ DPF Regeneration จะทำงานบ่อยขึ้นครับ
ส่วนเรื่อง Cruise control เป็นประสบการณ์ตรงของผมกับ 2.2D ครับ
ไม่ทราบเหตุผลจริงๆ แต่ทุกครั้งที่ใช้ Cruise control จะกินน้ำมันมากขึ้นนิดหน่อย
คงไม่ได้เป็นผลจากทางขึ้นเนิน เพราะผมวัดยาวๆ Motorway กรุงเทพ ชลบุรีครับ
ผมเลยไม่ค่อยได้ใช้ ถ้าไม่เมื่อยจริงๆ
-
ถ้ามองภาพรวมทั้ง 3 รุ่นย่อยของ CX-5 ถือว่าเยี่ยมมากๆ โดยเฉพาะ 2.0 และ 2.5 ที่ทำได้ยอดเยี่ยมกว่าที่คิด
ส่วน 2.2 ที่เป็นดีเซลก็ไม่ได้แย่อะไร แต่อาจตั้งความหวังมากไปนิดนึง 0-100 ต่ำกว่า 10 วินาที ได้ก็ถือว่าโอแล้ว เพราะเป็น AWD และน้ำหนักก็พอสมควรอยู่
ส่วนอัตราบริโภคน้ำมันดูธรรมดาไปนิด ถ้าได้สัก 15 กลางๆขึ้นไปหรือ 16 ต้นๆน่าจะเยี่ยมกว่านี้ เพราะค่าตัวต่างจาก 2.5 หลายแสนอยู่
ถ้าคนที่ไม่ต้องการแรงบิดมาก หรือ AWD รุ่น 2.5 น่าจะตอบสนองได้เพียงพอแล้ว
สุดท้ายคงต้องบอกว่า CX-5 เป็นรถรุ่นนึงที่น่าทึ่งจรืงๆ ตอนนี้อยากรู้ผลทดสอบของ Mazda 3 บ้างแล้วละสิ ^^
-
ทำไมไม่ทำเครื่อง 1.8 Diesel ใส่ mazda 3 นะ ;D จูนให้ได้สัก 170 ม้าแหล่มเลยแหละท่านเอ่ย ;D
-
อัตราเร่ง ทั้ง 3 รุ่น ดีกว่าที่คิดไปมากๆ
แต่รุ่นดีเซล กินน้ำมันกว่าที่คิด เพราะคาดหวังจะได้เกิน 16 กิโลต่อลิตร แต่เห็นอัตราเร่ง ก็พอยอมรับได้
ยังงี้ถ้าใช้ในเมืองล่ะก็ 2.5 ได้เลย
แต่ถ้าออกสนามบ่อยๆก็ดีเซล
หรือจะออก 2.0 ก็ไม่น่าเกลียด เพราะตัวเลขก็เหนือกว่าค่ายอื่นไปแล้ว
-
นึกว่า Diesel จะได้เห็นเลข 16-17 Km/L
-
CX-5 เป็น suv นะครับ
-
ตัวเลขที่ผมนำมาแสดง มาจากการใช้งานจริงครับ มีเร่ง เบรค รถติด
ไม่ได้แช่ค้างที่ความเร็ว 110 km/h
เฉลี่ยแล้ว ผมได้ 15.06 km/l จากการใช้งานจริง ก็ประมาณ 2 Baht/km
ส่วน 2.5 ถ้าขับแบบใช้งานจริง น่าจะได้ค่าเฉลี่ยประมาณ 3 Baht/km
ผมใช้รถปีละ 30000 km ต้องรอเกือบ 8 ปีถึงจะเริ่มคุ้ม T_T
แต่ที่เลือก 2.2D เพราะไม่ชอบลากรอบสูง ชอบแบบกดนิดๆก็ดึงเลย
ส่วน AWD ถือเป็นของแถมครับ
แถมกราฟให้ดูเปรียบเทียบครับ
(http://image.free.in.th/v/2013/in/140108041727.jpg)
ตัว 2.0 กับ 2.5 ผมใส่ไปถึง 6500RPM เกินความเป็นจริงไปนิดหน่อย
ตัว 2.2 ใส่ไป 5000RPM เกินความจริงไป 200RPM เช่นกัน
เลยได้ความเร็วในแต่ละเกียร์เกินผลทดสอบมานิดหน่อย
รบกวนสอบถามคุณ penalty ครับ
1.drag นี้คำนวณได้อย่างไรครับ
ดูจากจุดตัดแล้ว ใกล้เคียงกับ top speed ที่คุณ Jimmy ทดสอบได้เลยครับ
2.ทั้่ง 3 เครื่องยนต์ ที่แสดงในกราฟนี่ drag เท่ากัน
เพียงแต่ mass ซึ่งเป็นตัวหารไม่เท่ากันหรือเปล่าครับ
เลยเห็นค่า กำลังต้านต่อน้ำหนัก ของ 2.0 > 2.5 > 2.2 ที่ความเร็วเดียวกัน
3.ค่า cd และ พื้นที่หน้าตัดของแต่ละรุ่น หาสเปคตรงนี้ได้เวปไหนครับ
และมีเสปคของ พวก camry , accord ,teana ไหมครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ ;D
-
รบกวนสอบถามคุณ penalty ครับ
1.drag นี้คำนวณได้อย่างไรครับ
ดูจากจุดตัดแล้ว ใกล้เคียงกับ top speed ที่คุณ Jimmy ทดสอบได้เลยครับ
2.ทั้่ง 3 เครื่องยนต์ ที่แสดงในกราฟนี่ drag เท่ากัน
เพียงแต่ mass ซึ่งเป็นตัวหารไม่เท่ากันหรือเปล่าครับ
เลยเห็นค่า กำลังต้านต่อน้ำหนัก ของ 2.0 > 2.5 > 2.2 ที่ความเร็วเดียวกัน
3.ค่า cd และ พื้นที่หน้าตัดของแต่ละรุ่น หาสเปคตรงนี้ได้เวปไหนครับ
และมีเสปคของ พวก camry , accord ,teana ไหมครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ ;D
ตอบ 1 และ 3
Cd และ A จาก http://www.carfolio.com/specifications/models/car/?car=268521 (http://www.carfolio.com/specifications/models/car/?car=268521)
แต่ที่ผมนำมาคำนวณ จะบวก Cd กับ A ไปอีก 5% ครับ
อย่างที่ทราบกันว่า ค่าที่ได้จากผู้ผลิต จะดีเกินจริงไปเล็กน้อย
Aerodynamic Drag Power = 0.5 (rho) (V^3) (Cd) (A)
แล้วก็แปลงหน่วย แต่ผมไม่แนะนำให้ท่องจำ Factor แปลงหน่วยครับ
ที่ความเร็วสูงสุดเกินกว่าทดสอบเพราะผมใส่ Redline เกินไปนิดหน่อยครับ
เช่นกราฟตัว 2.2D ผมใส่ไปถึง 5000RPM ตามที่ดูจาก Youtube
แต่คุณ J!MMY ทดสอบได้แค่ 4800RPM
ตอบ 2
ถูกต้องครับ ทั้งสามรุ่น ผมให้ Drag เท่ากัน
แต่มวลไม่เท่ากัน ซึ่งผมใช้ข้อมูล Curb weight จากผู้ผลิต
-
ตอบ 1 และ 3
Cd และ A จาก http://www.carfolio.com/specifications/models/car/?car=268521 (http://www.carfolio.com/specifications/models/car/?car=268521)
แต่ที่ผมนำมาคำนวณ จะบวก Cd กับ A ไปอีก 5% ครับ
อย่างที่ทราบกันว่า ค่าที่ได้จากผู้ผลิต จะดีเกินจริงไปเล็กน้อย
Aerodynamic Drag Power = 0.5 (rho) (V^3) (Cd) (A)
แล้วก็แปลงหน่วย แต่ผมไม่แนะนำให้ท่องจำ Factor แปลงหน่วยครับ
ที่ความเร็วสูงสุดเกินกว่าทดสอบเพราะผมใส่ Redline เกินไปนิดหน่อยครับ
เช่นกราฟตัว 2.2D ผมใส่ไปถึง 5000RPM ตามที่ดูจาก Youtube
แต่คุณ J!MMY ทดสอบได้แค่ 4800RPM
ตอบ 2
ถูกต้องครับ ทั้งสามรุ่น ผมให้ Drag เท่ากัน
แต่มวลไม่เท่ากัน ซึ่งผมใช้ข้อมูล Curb weight จากผู้ผลิต
ขอบคุณมากครับ
มีข้อมูลรถเยอะมากๆเลยครับ บางยี่ฮ้อไม่เคยรู้จักเลยด้วยครับ :D
และเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการใช้ความเข้าใจมากกว่าการท่องจำ
สำหรับเรื่องที่ใช้ cruise แล้วกินน้ำมันมากกว่า
ผมสังเกตเหมือนกันครับในรถที่ใช้อยู่ ทั้งเบนซิน เบนซินไฮบริด และดีเซล
ถ้าขับแบบธรรมดาไม่ได้รีบร้อน มีเร่งมีผ่อนบ้าง จะประหยัดกว่าใช้ cruise
เป็นไปได้ไหมครับว่า
ที่ขับเองมันประหยัดกว่าเพราะมีจังหวะที่ถอนคันเร่งให้หัวฉีดตัดด้วย
แต่ถ้าใช้ cruise มันยังอมคันเร่งไว้ กดๆผ่อนๆ ตลอดแทบไม่มีจังหวะที่หัวฉีดตัด?
-
แอบผิดหวังกับอัตราสิ้นเปลืองไปหน่อย คิดไว้ว่าน่าจะมี 15.5 - 16 โลลิตร ให้ใกล้เคียง X3 20d สักนิดครับ แต่ก็ประหยัดแล้วหละ สำหรับ Compact Crossover SUV
สูง ใหญ่ ส่วนอัตราเร่งมันด้อยกว่า 2.5 เบนซิน แต่แรงดึงมันมากกว่าไหมครับ
-
แอบผิดหวังกับอัตราสิ้นเปลืองไปหน่อย คิดไว้ว่าน่าจะมี 15.5 - 16 โลลิตร ให้ใกล้เคียง X3 20d สักนิดครับ แต่ก็ประหยัดแล้วหละ สำหรับ Compact Crossover SUV
สูง ใหญ่ ส่วนอัตราเร่งมันด้อยกว่า 2.5 เบนซิน แต่แรงดึงมันมากกว่าไหมครับ
ดึงกว่าเยอะครับ กดนิดๆ ซูม ซูม พุ่งๆขับสนุกกว่า 2.5 แน่นอน..ถ้าขับในเมืองได้ 10โลลิตร ก็เก่งแล้วครับ..คือถ้าเห็นช่องเป็นต้องกดตลอด สนุกครับ ;D
-
อัตราสิ้นเปลืองถือว่าไม่เลวนะครับ ถ้าขับสองอย่างเดียว และเปลี่ยนมาใส่ล้อ 17 ที่ยางหน้ากว้างน้อยกว่า
อาจทำได้ถึง 15 โลลิตร
จริงๆอยากไห้มาสด้าทำรุ่น 2.2 core 2wd ในราคาไม่เกิน 1.3 ล้านอีกสักรุ่น
อัตราสิ้นเปลืองคงดีขึ้น และยังจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเครื่องดีเซล ราคาไม่แพงด้วยนะครับ
-
อัตราเร่งไม่แปลกใจเลยครับ
แต่ที่แปลกใจคืออัตราสิ้นเปลือง
-
แอบผิดหวังกับอัตราสิ้นเปลืองไปหน่อย คิดไว้ว่าน่าจะมี 15.5 - 16 โลลิตร ให้ใกล้เคียง X3 20d สักนิดครับ แต่ก็ประหยัดแล้วหละ สำหรับ Compact Crossover SUV
สูง ใหญ่ ส่วนอัตราเร่งมันด้อยกว่า 2.5 เบนซิน แต่แรงดึงมันมากกว่าไหมครับ
ดึงกว่าเยอะครับ กดนิดๆ ซูม ซูม พุ่งๆขับสนุกกว่า 2.5 แน่นอน..ถ้าขับในเมืองได้ 10โลลิตร ก็เก่งแล้วครับ..คือถ้าเห็นช่องเป็นต้องกดตลอด สนุกครับ ;D
ยืนยันว่า แรงดึง ไม่ได้ต่างกันมากหรอกครับ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวรถหนะ ชัดเจนว่าต่างกัน
แรงดึงจากรุ่น 2.5 S มีมากกว่านิดหน่อย แต่
แทบทุกครั้งที่ผมกดคันเร่งเต็มตีน ล้อคู่หน้าตจะ
หมุนฟรีทิ้ง ถึงขั้นเกิดอาการ Torque Steer ขั้นอ่อนๆ
จนต้องเริ่มประคองพวงมาลัยไว้เลย ต่อให้มี TCS
ระบบก็พยายามช่วยได้แค่ส่วนหนึ่ง ยังไงๆ ล้อคู่หน้าจะ
หมุนฟรีทิ้ได้ง่ายดายอยู่ดี
ส่วน รุ่น 2.2 XDL นั้น โอกาสเห็นล้อหมุนฟรี ยากกว่าครับ
เพราะน้ำหนักที่มากกว่า รวมทั้งมีระบบ AWD เข้ามาช่วย
แรงดึงที่เกิดขึ้น มีมาเป็นลูกๆ ต่อเนื่องไปจนถึง 3,000
รอบ/นาที หลังจากนั้น ปลายก็เริ่มเหี่ยว ตามธรรมชาติ
ของขุมพลัง Diesel Turbo ครับ
-
แอบผิดหวังกับอัตราสิ้นเปลืองไปหน่อย คิดไว้ว่าน่าจะมี 15.5 - 16 โลลิตร ให้ใกล้เคียง X3 20d สักนิดครับ แต่ก็ประหยัดแล้วหละ สำหรับ Compact Crossover SUV
สูง ใหญ่ ส่วนอัตราเร่งมันด้อยกว่า 2.5 เบนซิน แต่แรงดึงมันมากกว่าไหมครับ
ดึงกว่าเยอะครับ กดนิดๆ ซูม ซูม พุ่งๆขับสนุกกว่า 2.5 แน่นอน..ถ้าขับในเมืองได้ 10โลลิตร ก็เก่งแล้วครับ..คือถ้าเห็นช่องเป็นต้องกดตลอด สนุกครับ ;D
ยืนยันว่า แรงดึง ไม่ได้ต่างกันมากหรอกครับ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวรถหนะ ชัดเจนว่าต่างกัน
แรงดึงจากรุ่น 2.5 S มีมากกว่านิดหน่อย แต่
แทบทุกครั้งที่ผมกดคันเร่งเต็มตีน ล้อคู่หน้าตจะ
หมุนฟรีทิ้ง ถึงขั้นเกิดอาการ Torque Steer ขั้นอ่อนๆ
จนต้องเริ่มประคองพวงมาลัยไว้เลย ต่อให้มี TCS
ระบบก็พยายามช่วยได้แค่ส่วนหนึ่ง ยังไงๆ ล้อคู่หน้าจะ
หมุนฟรีทิ้ได้ง่ายดายอยู่ดี
ส่วน รุ่น 2.2 XDL นั้น โอกาสเห็นล้อหมุนฟรี ยากกว่าครับ
เพราะน้ำหนักที่มากกว่า รวมทั้งมีระบบ AWD เข้ามาช่วย
แรงดึงที่เกิดขึ้น มีมาเป็นลูกๆ ต่อเนื่องไปจนถึง 3,000
รอบ/นาที หลังจากนั้น ปลายก็เริ่มเหี่ยว ตามธรรมชาติ
ของขุมพลัง Diesel Turbo ครับ
ตามนั้นครับพี่ J!MMY
2.2D ออกตัวดึงดี ... แต่พอหมดรอบ Turbo กราฟอัตราเร่งก็ลดลง
2.5G ออกตัวไม่แพ้กัน แต่อาการดึงๆแบบ Diesel Turbo จะไม่มี เป็นการดึงแรงๆสุภาพกว่า สไตล์เครื่อง N/A ยิ่งเหยียบแรงยิ่งไหลมาเทมาแบบลื่นๆ และต่อเนื่อง
* ตอนเทสเสร็จ ผมมั่นใจอย่างนึงว่ามันแรงไม่ได้ด้อยไปกว่า 2.2D แน่นอน มันดึง+ลื่นไหลกว่า Diesel เสียอีก ... บางคนไม่ได้กดลากรอบแบบเบนซิน จะเข้าใจว่ามันไม่แรงแบบดีเซลก็เป็นได้
-
ในประเทศไทย รถบินซิน กับ รถดีเซล จะวัดว่าใครประหยัดกว่ากันเป็นแบบ กิโลเมตร/ลิตร ไม่ได้นะครับ
ต้องวัดเป็น บาท/กิโลเมตร นะครับ เพราะราคาน้ำมันทั้ง 2 แบบ ต่างกันพอสมควรนะครับ
-
ขอชื่นชม CX5 จัดมาน่าใช้ทุกรุ่น เลย
ขอทำนาย ตัว Minor Change เลยว่า
1.เบนซินรองรับ E85
2. เครื่อง 2.5 จะมี AWD
3.เครื่องดีเซล จะมี FWD
ส่วนตัวตอนนี้ถ้ากำลังจะหารถนี่มอง Mazda เป็นหลักเลย
ความรู้สึกว่าทำรถออกมาน่าใช้มาก ทั้งความแรง ความประหยัด ประทับใจจริงๆ