Headlight Magazine : community
General => User's Voice => ข้อความที่เริ่มโดย: Chimp ที่ ธันวาคม 20, 2014, 04:07:01
-
สวัสดีครับ ห่างหายจากการ เขียน user voice review มาตั้งแต่ ปี 2009 จาก เจ้า Suzuki Grand Vitara รถคู่หู่ของผม ตั้งแต่สมัย เรียน มหาลัย ป.ตรี และ เป็น review แรก
เปิด กระทู้ uservoice ของ Headlightmag http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,353.0.html (http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,353.0.html)
หลังจากมาอยู่อังกฤษ เรียน ภาษาและ ป.โท ที่นี้ รวม ก็เกือบ 2 ปีครึ่งได้แล้ว ก็มีโอกาสได้เช่ารถที่อังกฤษขับ
ท่องเที่ยวในเกาะนี้อยู่บ่อยครั้งรวมๆ ก็เกือบ 8 ทริป ได้ ก็พึ่งจะมีเวลา เอารถเหล่านี้มาขียนรีวิว ให้เพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ชาว Headlightmag ได้อ่านกัน
เข้าเรื่องเลยละกัน ผมขอรีวิว คันล่าสุดที่ได้เช่ามา ก่อนละ กัน ก็คือ SUV จากแดนมะกัน 2014 Jeep Grand Cherokee ตัวใหม่ล่าสุดเลย
คันนี้ได้เช่า จาก บริษัท SIXT car ซึ่งผมติดใจ เช่ารถกับ บริษัท นี้ มาหลายคันเลย บริการดี สะดวกรวดเร็ว และ ที่สำคัญ รถค่อนข้างใหม่ แต่ละคันเลขไมล์
ไม่เกิน 10000 ไมล์ หรือ ไม่ก็ 10000 กว่าๆ
-
จริงๆแล้วตอนแรกไม่ได้จะตั้งใจเช่าตัวนี้หรอกครับ ผม จอง BMW 320d F30 ไป แล้วไปขออัพเกรดเป็น 420d F32
ซึ่ง อยากขับมาก ประจวบกับคงเป็นการเช่ารถที่นี่รอบสุดท้ายละ ซึ่งการเช่ารถรุ่นต่ำกว่า และไปขออัพเกรดจะได้ราคาที่ย่อมเยา กว่าจองรุ่นนั้นโดยตรง
ซึ่งผมลองมาหลายครั้งแล้วหละบางครั้งคุยดีๆ ได้อัพเกรดคลาสแบบไม่ต้องเพิ่มเงิน มีครั้งนึงจอง 320D estate F31 ไป ได้อัพเป็น E220 CDI estate (s212) Facelift เฉยเลยครับ
แต่ทว่า หลังจากขับออกไปได้ไม่เกิน 6 ไมล์ ผมเห็นสีหน้าคุณแม่ที่ นั่งอยู่เบาะหลัง ซี่รี่4 แล้ว กับกระเป๋าเดินทางที่ใส่ท้ายไม่พอ ต้องมาวางที่เบาะหลังอีกใบ ทริปนี้คงไม่งามแน่
หลังจากเข้าที่พักแล้ว โชคดีที่ สาขา Heathrow นั้นปิด 24 ชม. ผมจึงตัดสินใจเอารถไปเปลี่ยน ทั้งๆที่คันนี้อยากขับมา ตอนไปขอเปลี่ยนก็เปลี่ยนโดยง่าย
ซึ่งขอเขาเปลี่ยนเป็นรถในเลท ราคาเดียวกัน จะได้ไม่ต้องวุ่นวาย แต่ขอรถที่ใหญ่ขึ้น ในช้อย ณ เวลานั้น ก็เหลือ เจ้า Grand Cherokee คันนี้คันเดียว
ผมก็เลยตอบรับอย่างไม่ต้องคิดเลย เพราะว่า ของแปลกไม่เคยขับด้วย และชอบในรูปทรงของมันอยู่นานแล้ว จริงๆ แล้ว คลาสนี้ ผมสามารถ เลือกได้ทั้ง
XC90 และ ML-class แต่คันอื่นไม่ว่าง เลยเอาเจ้านี่หละครับ แต่ถ้ามี ML คงเลือกBenz ML แน่นอน คันนี้ได้เช่า มาใช้เป็นระยะเวลา 8 วัน เพื่อใช้ ตอนที่บ้าน
มางานรับปริญญา และ ท่องเทียว ทริปสั้นๆ
-
มาเกริ่นถึงประวัติ ของ Jeep Grand Cherokee คร่าวๆ ก่อนละกันนะครับ
คันที่ยืมมา เป็นโฉม ที่4 หรือ WK2 ของ Grand Cherokee รุ่นนี้เป็นตัว Minorchange ในตลาดบ้าน เราก็มี ทาง Gray market เข้ามาขายบ้าง
โฉม แรก หรือ ZJ ทำตลาดในช่วงปี 1993-1998 ตัวนี้เป็นที่คุ้นตาในบ้านเราเมื่อ เกือบ 20 ปีที่แล้ว เป็นอย่างดี รูปทรงก็ดิบๆ สไตล์ อเมริกันแท้ ขนาดตัวถังก็ยังไม่ได้ใหญ่โตมาก
-
ตัวถังที่ 2 หรือ WJ ทำตลาด ในช่วงปี 1998 - 2004 เป็นตัวสุดท้าย ที่ตัวแทนจำหน่ายในบ้านเราทำตลาด ก็หายไปจาก บ้านเรา ซึ่งโฉมนี้มีความหรูหรา เพิ่มมากขึ้น ยังมีดีไซน์ ที่อิงจากตัว ZJ แต่เพิ่มขนาด แล้ว ความโค้งมล ในดีไซน์ มากขึ้น ซึ่งผมว่าลงตัวเอามากๆ
-
มาถึงตัวถังที่ 3 หรือ WK ทำตลาด ในปี 2005 - 2010 ตัวนี้ มีการดึงเอกลักษณ์ ของ JEEP CJ2 หรือต้นตระกูล Wrangler มาใช้ โดนไฟหน้าจะเป็นทรงกลม คู่ ดูตลกเอามากๆ
-
มาถึงตัวถึงล่า สุด หรือ โฉมที่4 WJ2 คือตัวที่ได้เช่ามานี่ละครับ ทำตลาดตั้งแต่ปี 2010 จนถึง ปัจจุบัน มีการขยายตัวถังใหญ่ขึ้นมาก และ พยามดึงเอกลักษณ์ เก่า ของ Grand Cherokee มาใช้ ทำให้ดูลงตัวเอามากๆ ผมว่า ดูหรูหรา และ สวยที่สุดแล้ว
-
เกริ่นในเรื่องของประวัติเล็กๆ น้อยๆ ไปคร่าวแล้ว มาดูเจ้า WJ2 minorchange ที่เช่ามาบ้างกันดีกว่าครับ
คันนี้ เป็น Grand Cherokee Limited UK spec แน่นอนสิครับ ก็เช่าในอังกฤษนี่น่า เมื่อ มาเปิดเวป ตัวแทนจากหน่าย และกางสเปคดู ก็จะพบว่า ที่ UK มีรุ่น ย่อย จำหน่าย ถึง 4 รุ่นเลย คือ
-
ส่วนคันที่เช่ามา เป็น Limited Plus เป็นรุ่นกลาง ที่ได้ ออฟชั่นค่อนข้างครบ
ทุกรุ่นใช้เครื่อง V6 Diesel 3.0 litter 250 HP ยกเว้น ตัวล่าง Laredo ที่โดนตอนแรกมา เหลือ 188 HP เกียร์ AUTO 8 Speeds เลยทีเดียว
ดูลายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ http://www.jeep.co.uk/grand-cherokee/ (http://www.jeep.co.uk/grand-cherokee/)
-
มาต่อกันที่รูปโฉม กัน
มองจากด้านหน้า ตัว minor ลดทอนความเป็นอเมริกัน จ๋า จากตัวก่อน minor จากที่เปลี่ยน ชุดกระจังหน้า ขนาดใหญ่ที่เป้นโครมเมี่ยมล้วนทั้งอัน มาเป็นสีเดียวกับตัวลด และ แซม โครเมี่ยม ที่ช่องกระจังแทน เพิ่ม ความสปอร์ต และ โฉบเฉี่ยวมากขึ้น ไฟหน้า ได้กินไอของ Chrysler ยุคใหม่มาเต็มๆ เป็น ไฟ Bi-Xenon พร้อม DRL แบบเส้น มาในตัว แบบ 3มิติ สวยงามในยามค้ำคืนมากครับ ไฟตัดหมอกหน้ามีขนาดเล็ก เพราะเป็น Projector lens เลยครับ
-
เรื่องดีไซน์ตัวถังนั้น มีความหรูหรา มาขึ้นเยอะเลย กลิ่นอายมา ทาง ยุโรปนิดๆ รถคันนี้ มีขนาดใหญ่เอาเรื่องเลยนะครับ เกือบๆ เท่ากับ Range Rover ยักษ์ตัวพ่อของแดนผู้ดี ได้เลย ถือความค่อยข้างขับยากในถนนตัวเมือง เล็กๆ ของอังกฤษ โดนเฉพาะ ยามรถติดใน London มุดยากเอาเรื่อง โดยที่คันนี้กว้างถึง 1,938 mm ไม่รวมกระจกข้าง ยาว 4,821mm สูง 1,760mm แล้ว ฐานล้อ ยาวถึง 2,915mm แต่ตอนขับ ใน Motorway ด้วยที่ ตำแหน่งเบาะนั่งค่อนข้างสูง ทำให้ขับทางไกล ทัศนะวิสัย ดีมากๆ ตำแหน่งเบาะสูงกว่ารถตู้ Volk Transporter อีกคันที่เคยเช่าอีกครับ
-
เส้นสายรถ ที่ค่อนข้างแข็ง และ ซุ้มล้อ ดีไซน์แบบ สีเหลี่ยม คางหมู ทำให้รถดูบึกบึน มีมัดกล้ามมากขึ้น และลดเนื้อที่ ของกรอบกระจกลง ชวนให้นึกถึง American Mussel Car อยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังมีการเสริมขอบ โครเมี่ยม บ้าง ล้อทีได้ของรุ่นนี้ ให้ขนาดมาถึง 20นิ้วเลยครับ ล้อใหญ่ ทำให้ใต้ท้องสูงเอาเรื่อง จน ผู้หญิงตัวเล็ก อาจมีอุปสรรค ในการก้าวขึ้นรถอยู่บ้าง เพราะไม่มี บันไดข้างมาให้ ถ้าเป็นรุ่นสูงกว่านี้ ขอบคุ้นบังของ และ ชายล้าง จะเป็น สีเดียวกับตัวรถ
-
ด้ายท้ายของรถ ไฟท้าย ยังเป็น ทรงเดิมจากตัวก่อน ไมเนอร์ แต่ว่า เปลี่ยน ลายละเอียดภายในของไฟท้าย โดย ที่เป็น หลอด LED พร้อมแท่งนำแสง ให้ความสวยงาม ไฮโซ มากครับ สปอย์เลอร์ท้ายให้มาในตัว พร้อมกับไฟเบรก รวม ถึง เสาอากาศครีบฉลามด้วยครับ
ตรงขอบกันชนท้ายให้ สเตนเลส ครอบกันรอบมาด้วย ซึ่งจำเป็นจริงๆ สำหรับคันนี้ เนื้อจาก ระยะการขนของจากท้ายรถ สูงเอาเรื่อง 2 ฟุตกว่าได้ ขนาดผมสูง 180 ยังหยิบ กระเป๋าใบใหญ่ ขึ้นลงลำบากเลย ไม่ต้องคิด ถึง ผู้หญิง ไซส์ มินิ เลยครับ ขนของลงเองลำบากแน่ๆ แต่ก็ยังดี ที่ฝากระโปรงท้ายนั้น เป็นแบบไฟฟ้า ซึ่งก็ควรจะ เป็นของ มาตรฐานติดรถ ของรถระดับนี้ในยุคนี้แล้วครับ ไฟเล็กๆสีแดง มุมกันชน 2ฝั่งนั้น เป็นไฟตัดหมอกหลัง ซึ่งการขับรถที่นี้ ไฟตัดหมอกหลังค่อยข้างมีประโยชน์และได้ใช้จริงบ่อยมาก เนื่องจากมี หมอกลง และ ฝนตก เวลาขับทางภูเขา อยู่บ่อยครั้ง ส่วนท่อไอเสียให้มาเป็นท่อ คู่นะครับ ตามแบบฉบับ รถเครื่อง V6
ปล. ถ้าสังเกตขนาดรถ จากรูปนี้ เมื่อเทียบกับ Volk Golf plus ที่จอดอยู่ด้านหน้า เล็กกว่ากันคนละเรื่องเลย
-
กุญแจที่ให้มาเป็นแบบ Keyless Smart Entry ซึ่งลักษณะการทำงาน ก็เหมือนของ Toyota แหละครับ พกไว้กับตัว จะเปิด ก็แตะที่มือจับ จะล๊อค ก็กดปุ่ม มีให้สองฝั่งคือ คนขับ และ ผู้โดยสาร
-
ถัดมาด้านในบ้าง
ข้างในนี่ มาดำทะมึนเลย ตกแต่งด้วยวัสดุหนังแท้ คุณภาพค่อนข้างดี ตกแต่งด้วย ลายไม้สีดำด้าน เดินขลิบโครมเมี่ยม เป็นไม้จริงๆนะครับ ส่วนตรงกลางเป็น พลาสติก กัดลาย อลูมิเนียม แต่ให้สีเหลืบ ทองเวลาโดนแสงแดน รวมๆคือ ดูสปอร์ตแบบมีอายุ ปุ่มควบคุมต่างๆมีไม่เยอะ เพราะไปรวมไว้ในจอ Infotainment ตรงกลางแทน
ซึ่งจอตรงกลาง จะรวมรวมการขวบคุมการทำงาน ของ เครื่องปรับอากาศ เครื่องเสียง ระบบนำทาง การปรับค่าต่างๆของตัวรถไว้ด้วยกัน เหมือนจะดูสะดวกครับ แต่เวลาใช้งานจริงตอนขับ มันลำบากครับ เพราะต้องละสายตามากดปรับเปลี่ยนตลอดเลย
เรื่องของเครื่องเสียงคันนี้ให้มา 10 ลำโพง พร้อม แอปม์ และ ซัปวูฟเฟอร์ด้านหลัง คุณภาพก็ใช้ได้ครับ ยิ่งฟังเพลงแนว Hip Hop นี่ใช้ได้เลย
-
พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน พร้อมปุ่ม มันติฟังชั่นก์ ด้านซ้ายเป็น Cruise control และ ด้านขวาเป็น เครื่องเสียง กับรับสาย ยังมีปุ่มลับ สองฝั่งด้านหลังพวงมาลัย สำหรับ เปลี่ยนเพลง อีกด้วย และมี Paddle shift ให้เล่นอีก ที่พิเศษสุด คันนี้มีระบบอุ่น พวงมาลัยด้วยนะครับ และ ใช้งานได้ดีด้วย ตอนที่อากาศ เหลือแค่ เลขตัวเดียว ส่วนคันเกียร์ ขนาดใหญ่โตนี่
ใช้ลำบากเอาเรื่องเหมือนกัน คือ พยามจะทำเหมือนของ BMW แต่มันไม่สะดวกเท่า โดยที่เกียร์มีลักษณะ เป็นคันโยก คือถ้าโยกขึ้น จะเป็น R และ P ถ้าโยกลง จะเป็น D กับ S ฟังแล้วดูเหมือนจะปกติ แต่พอใช้งานจริงนิสิครับ ตอนจะกลับรถที่เข้าเกียร์ไปมา จากตำแหน่ง D ละจะเป็นไป R คือต้องกดปุ่มแล้ว ยกขึ้น 2 ครั้ง แต่ถ้าโยกขึ้น2 ครั้งและแช่ค้างไปมันจะไปเป็น P เฉยเลย ทีนี้ก็เงิบสิครับ กลับรถคาถนน แล้ว เกียร์ไม่ไป พอจะถอยกลับเป็น เกียร์ D ก็ต้องโยกลง 2 ครั้ง ถ้าเร็วไป ก็จะค้างอยู่ที่ N ปวดหัวเอาการเลยครับ --"
แต่มันก็มีข้อดูนะครับ ด้วยขนาดที่ใหญ่และแบน ของหัวเกียร์ ทำให้สามารถวางมือ ได้สบายๆเลย
ส่วนพื้นถือช่องเก็บของตรงกลาง ขนาดใหญ่มาก แต่ไม่มีที่ใส่ของเลยครับ เพราะเสียพื้นที่ให้กับ เครื่องเล่น DVD ไปหมดเลย ใส่ได้แค่ กล่อง ซีดี ในแนวตั้ง กับ ปากกาเท่านั้นเอง
-
จอตรงกลาง ไว้ควบคุม Infotainment ต่างๆของรถ ใช้งานลำบากบากครับ เวลาขับจริง
-
ตรงกลางคอนโซลเกียร์มี ที่วางแก้วน้ำ 2 ช่อง พร้อม ไฟเรืองแสงสีฟ้า ตกแต่งตามขอบ แล้ว ปุ่มควบคุม ระบบ 4X4 ซึ่ง ไม่ได้ใช้เลยครับ ปรับไว้ที่ Auto อย่างเดียวเลย จริงๆคันนี้ ถ้าเช่าไป Scotland คงได้ใช้กันบ้างหละ ส่วนคันที่เช่าไม่ระบบ ปรับสูงต่ำนะครับ อันนั้นเป้นของ ตัว top สุดที่เป็นช่วงล่างถุงลม
-
จอตรงหน้าปัท เป็นจอ TFT นะครับแสดงผลหลายรูปแบบเลย จะมีแค่ เข็ม วัดรอบ อุณหภูมิ และน้ำมัน ที่ยังเป็นปกติ
-
มาดูในเรื่องขอบเบาะบ้าง เป็น เบาะไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อม ปุ่มดันหลัง แบบขึ้นลง ทั้งคู่หน้า รวมถึง ระบบอุ่นเบาะ ตั้งเบาะหน้าและเบาะหลังเลยทีเดียว ขนาดของเบาะ ไม่มีปัญหาครับ ใหญ่ นั่งสบายมาก ขับไม่มีเมื่อยเลย ชวนง่วงสบายมากกว่า
-
มาดูพื้นที่ของ เบาะหลังบ้างครับ
จากที่เห็นในรูปคือ ปรับเบาะด้านหน้ามาทางด้านหลังพอสมควร ก็ยังเหลือ พื้นถ้าแบบเหลือๆ ส่วนความกว้าง ไม่มีปัญหาครับ ผู้ใหญ่ 3 คนนั่งได้สบายๆ ที่สำคัญ มี ฮีตเตอร์อุ่นเบาะด้วยนะเออ ตรงคอนโซน กลางมีแอร์ให้ พร้อมช่อง USB 2 port สำหลับชาร์ต มือถือได้อีก เบาะหลังสามารถปรับเอนไปทางด้านหลังได้ 2ระดับ และพับเรียบได้แบบ 60:40
-
พื้นที่เก็บของด้านหลัง
กว้างขวางพอประมาณ สมกับขนาดตัวรถ ใส่กระเป๋าเดินทางได้ 3 ใบใหญ่ แบบฟิตๆ เลยครับ ตรงพื้นมีแทบอลูมิเนียม กันลอยมาให้ด้วย ตอนพับเบาะ ก็ใส่ของได้เยอะเอาเรื่องเลยครับ
-
อันนี้คือ ตอนขนของไปทิ้ง เตรียมย้ายออกออก จุได้พอๆกับรถกระบะแคบ ใส่หลังคาเลย
-
มาพูดถึงสมรรถนะของตัวรถบ้างครับ
ด้วยที่เครื่อง V6 3.0 Diesel turbo 250 แรงม้า กับตัวถัง 2ตันกว่า ก็ให้อัตราเร่งที่น่าพอใจนะครับ 0-100 อยู่ที่ 8.7 วิ ซึ่งไม่เลวเลยสำหรับรถไซน์นี้ เสียง เครื่อง ก็หวานใช้ได้ อัตราเร่งดีมาก แซงรถคอนเตอร์เนอร์ 2 คัน แบบสบายๆ ไม่ต้องลุ้นเลยครับ แค่ เหยียบ เท่านั้น คือ อัตราเร่งติดเท้ามาก กลับพละกำลังที่เหลือเฟือ ไหลมาเทมาของรถ โดยความเร็ว สูงสุด 126 MPH ตาม สเปคโรงงาน ซึ่งไม่ได้ลองนะครับ ขับได้มากสุดอยู่ที่ 110 MPH หรือ 180KPH เท่านั้นหละครับ ไม่ใช่เพราะทางไม่มีนะครับ 180 นี่ กดแปปเดียวกดถึงแล้ว แต่ที่ไม่ไปต่อ เพราะ ช่วงล่างเนี่ยแหละครับ คือ พอเลย ช่วง 160 ไปแล้ว รถค่อนข้างโคลง มาก จนแอบรู้สึกหวิวเลย อาจเป็นเพราะความสูงใต้ท้องรถที่มากทำให้ลมยกตัวถังรถขึ้นมา รวมถึง ความกระด้างของช่วงล่าง ทำให้รถแอบไม่เสถียร บ้างบางจังหวะ ซึ่งความเร็วที่เหมาะสมของรถคันนี้ ขับแล้วสบายคือไม่ควร เกิน 160 ครับ ในความเร็วต่ำ ช่วงล่างนั้น ค่อยข้างกระด้างครับ เจอถนนไม่ดีนี่เด้งเลย ความรู้สึกเหมือนขับรถ PPV บ้านเรานี่แหละ แข็งจนขนาดที่ว่า คุณแม่ผมที่ไม่เคยเมารถ นั่งหลังคันนี้ ยังเมาได้เลย ส่วนการเข้าโค้งและการบังคับของพวงมาลัย ถือว่าใช้ได้ แต่ไม่ได้คมเท่าที่ควร ความรู้สึกเหมือนจะเหมาะกับการขับลุยแบบ Off road มากกว่า On road มากกว่า ตัวการที่ระยะฟรีของพวงมาลัยมีเยอะพอสมควร ส่วนเรื่องอัตารากินน้ำมันนั้น ทางโรงงานเคลมว่า กิน 6.7l/100 km จากการใช้งานจริงแล้ว ทั้งรถติดและขับอัดทางไกล อยู่ประมาณ 10โลลิตร ไม่เกิน 11 โลลิตรได้ครับ ก็ยังน่าพอใจอยู่สำหรับรถขนาดนี้ ถ้าเป้นยุคก่อน เครื่อง เบนซิล V8 คงเห็น 5 โลลิตรแน่นอน
-
สรุปเลยละกันนะครับ ขับรถลุงแซมในเมืองผู้ดีนั้น ความรู้สึกแอบขัดๆไปบ้าง รถค่อนข้างเทอะทะ ถึงแม้ว่าตัวรถจะมีคุณภาพและสมรรถนะ ดีขึ้นจากรถอเมริกัน ยุคก่อนพอสมควร แต่เมื่อเทียบกับ คู่แข่งทางฝั่งยุโรปแล้ว การขับขี่ยังห่างกันอยู่เยอะ คันนี้พูดตรงๆคือ รูปทรงมันเทห์ ใช้ได้เลยครับ ออฟชั่นนี่ก็ไฮเทคมาก แต่ใช้งานยุ่งยากและไม่สะดวกเลย คุณภาพของวัสดุและการประกอบก็ใช้ได้ดีครับ ส่วนการขับขี่นี่ มีดีที่อัตราเร่งของเครื่องเท่านั้นละครับ ถ้าวิ่ง On-road ครับ ช่วงล่างนี่ ไม่ไหวเลยหละครับ จึงไม่แปลกใจเลย ที่แทบไม่เคยเห็นรถรุ่นนี้บนถนน ของ เกาะอังกฤษเลย ไปซื้อ Land rover Discovery หรือ Volvo XC90 หรือ จะเพิ่มงบไป X5 Q7 กับ ML ไปเลยดีกว่า แต่ถ้าพูดถึงเรื่อง Off-road นะ ค่อยกลับมาว่ากัน คันนี้จะเป็นตัวเลือกแรกไม่แฟน Land rover เจ้าถิ่นแน่นอนครับ
-
ยังมีอีก 8 คันนะครับ เดี๋ยวไว้ว่างจะมารีวิวเพิ่ม Volk Transporter Bi-turbo 2.0, Mercedes-Benz E220 CDI(s212), BMW X1 2.0 X-Drive,Toyota Avensis 1.8 Dual vvti , Land Rover Freelander SD4 และ
แถม Hyundai I30 กับ Mercedes-Benz C180 CGI 1.6 W204 2 คันหลังขับแค่ วัน 2 วัน คงไม่สามารถรีวิวรายละเอียดได้มาก
อยากอ่านรุ่นไหนกัน เป็นคันต่อไปบอกได้นะครับ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ
-
ขอบคุณท่านสมาชิกมากๆๆๆครับที่นำมาแบ่งปัน Jeepเป็นยี่ห้อในฝันของผมเลยครับอยากลองขับอยากเป็นเจ้าของ เคยเห็นเกรย์ที่เชียงใหม่นำเข้ามาขายครับแต่ในกรุงเทพไม่แน่ใจว่ามีหรือเปล่า
-
Jeep แบรนด์โปรดดดดเลยครับ ;D ;D
ขอบคุณสำหรับ review ครับ ชอบมากรุ่นนี้ สวยมากกเลยครับ หายากมากรีวิว ในไทย แบรนด์นี้ ชอบมาก ครับ ใช้แต่รุ่น zj xj เอาไว้ลุย ขับทางไกลนิ่งดีครับ 55555
รุ่นใหม่ได้แต่มองง อยากได้มากเลยครับ
ตอบคห บน ในไทย มีมาขายอยู่ครับ กทม มีศุนย์ ตรง พระราม 9 ชื่อ TNP ครับ นำเข้า jeep หลายรุ่นเลยครับบ รุ่นนี้น่าจะอยู่ที่ 5.5 ;D
รอรีวิวคันอื่นๆต่อไปครับ น่าอ่านทั้งนั้นเลยครับบ ;D
-
เป็นรถที่แอบชอบอยู่หลังจากที่ได้ลองขับระยะสั้นๆครับ
เห็นด้วยว่าคันเกียร์ใช้งานยากมาก มาแบบแปลกๆ ชอบช่วงล่างที่ยกระดับขึ้นลงได้
-
ขอบคุณสำหรับรีวิวอันเลอค่าครับ ;D Grand Cherokee รุ่นนี้ผมชอบมากโดยเฉพาะโฉม 2014 ล่าสุดเนี่ย ส่วนตัวเคยได้ลองสัมผัสมานิดหน่อยกับตัว 3.0 ดีเซลบอกเลยว่าอยากได้ใจจะขาดจริงๆ 555+ จริงๆประทับใจมากๆตั้งแต่ตัวโฉม 2010-2013 ตอนที่อยู่อเมริกาแล้วเพราะรูปทรงมันสวยลงตัวมากเหมือนที่ จขกท. ได้พูดไว้แต่คุณภาพภายในในบางจุดยังไม่ดีนัก พอตัวใหม่นี้มาแก้ไปเกือบหมดทีนี้ก็ฟินเลย (รุ่นที่ชอบที่สุดคือเวอร์ชั่น Summit แต่ตามจริงแค่ได้รุ่น limited ก็บุญแล้ว 555) ^^
*ในไทยมีเกรย์นำเข้ามาขายหลายเจ้านะครับ ทั้งโฉมเดิม 2010-2013 ที่ยังค้างอยู่เห็นว่าประมาน 3-3.3 ล้าน กับโฉมใหม่ 2014 ทุกโฉมเป็นเครื่องดีเซลทั้งหมด
-
เคยขับตัวนี้เลยค่ะ2014 ของเพื่อน ฟูลออฟชั่นเลย
นั่งสบายมากแถมช่วงล่างถุงลมอีก นุ่มจริงๆ
ภายในถือว่าเก็บเสียงได้ดีนะคะ อัตราเร่งขยับขึ้นเรื่อยๆไม่หวือหวา
ไปแบบนุ่มนวลมาก ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ
-
:o :o ดูทันสมัยขึ้นเยอะเลย
ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ ;D ;D ;D ;D
-
สุดยอดครับ ค่าเช่า1วันกี่ปอนด์ครับ จี๊พคันนี้
-
อยากอ่าน E class กะ X1 ครับ
-
สวยมากๆครับ รุ่นนี้
-
ชอบครับรุ่นนี้Grand Cherokeeแต่เสียดายไม่มีขายทีเมีองไทยแล้วเสียดายจริงๆๆครับผมเองชอบGrand Cherokeeครับจริงๆๆแล้วแต่ผมเห็นทีเกรย์เค้านำเข้ามาส่วนใหญ่เปนรุ่นWrangler Rubiconทั้งนันถ้าเอาเข้ามาจะดีมากครับขอบคุณรีวิวครับ
-
สวยมากๆครับ
มาพูดถึงสมรรถนะของตัวรถบ้างครับ
ด้วยที่เครื่อง V6 3.0 Diesel turbo 250 แรงม้า กับตัวถัง 2ตันกว่า ก็ให้อัตราเร่งที่น่าพอใจนะครับ 0-100 อยู่ที่ 8.7 วิ ซึ่งไม่เลวเลยสำหรับรถไซน์นี้ เสียง เครื่อง ก็หวานใช้ได้ อัตราเร่งดีมาก แซงรถคอนเตอร์เนอร์ 2 คัน แบบสบายๆ ไม่ต้องลุ้นเลยครับ แค่ เหยียบ เท่านั้น คือ อัตราเร่งติดเท้ามาก กลับพละกำลังที่เหลือเฟือ ไหลมาเทมาของรถ โดยความเร็ว สูงสุด 126 MPH ตาม สเปคโรงงาน ซึ่งไม่ได้ลแฟรนไชส์ (http://www.xn--72c3bkj6aus7clc0b3jpc.com) เว็บสำเร็จรูป (http://www.siamvip.com) ร้านค้าออนไลน์ (http://www.siamvip.com/ShoppingOnline.aspx) รับทำเว็บไซต์ (http://www.siamvip.com/web.aspx)เว็บขยายสายงาน (http://www.siamvip.com/.aspx)เว็บโรงเรียน (http://www.siamvip.com/school.aspx)องนะครับ ขับได้มากสุดอยู่ที่ 110 MPH หรือ 180KPH เท่านั้นหละครับ ไม่ใช่เพราะทางไม่มีนะครับ 180 นี่ กดแปปเดียวกดถึงแล้ว แต่ที่ไม่ไปต่อ เพราะ ช่วงล่างเนี่ยแหละครับ คือ พอเลย ช่วง 160 ไปแล้ว รถค่อนข้างโคลง มาก จนแอบรู้สึกหวิวเลย อาจเป็นเพราะความสูงใต้ท้องรถที่มากทำให้ลมยกตัวถังรถขึ้นมา รวมถึง ความกระด้างของช่วงล่าง ทำให้รถแอบไม่เสถียร บ้างบางจังหวะ ซึ่งความเร็วที่เหมาะสมของรถคันนี้ ขับแล้วสบายคือไม่ควร เกิน 160 ครับ ในความเร็วต่ำ ช่วงล่างนั้น ค่อยข้างกระด้างครับ เจอถนนไม่ดีนี่เด้งเลย ความรู้สึกเหมือนขับรถ PPV บ้านเรานี่แหละ แข็งจนขนาดที่ว่า คุณแม่ผมที่ไม่เคยเมารถ นั่งหลังคันนี้ ยังเมาได้เลย ส่วนการเข้าโค้งและการบังคับของพวงมาลัย ถือว่าใช้ได้ แต่ไม่ได้คมเท่าที่ควร ความรู้สึกเหมือนจะเหมาะกับการขับลุยแบบ Off road มากกว่า On road มากกว่า ตัวการที่ระยะฟรีของพวงมาลัยมีเยอะพอสมควร ส่วนเรื่องอัตารากินน้ำมันนั้น ทางโรงงานเคลมว่า กิน 6.7l/100 km จากการใช้งานจริงแล้ว ทั้งรถติดและขับอัดทางไกล อยู่ประมาณ 10โลลิตร ไม่เกิน 11 โลลิตรได้ครับ ก็ยังน่าพอใจอยู่สำหรับรถขนาดนี้ ถ้าเป้นยุคก่อน เครื่อง เบนซิล V8 คงเห็น 5 โลลิตรแน่นอน
-
สวยเวอร์ๆ
;D ;D ;D
-
Interface ของระบบ infotainment หน้าตาเดียวกับของ Maser Ghibli เลยครับ = ="
-
ผมใช้รุ่น WJ ครับ เครื่อง 4.0
ติดแก้ส กิโลละ 5 บาท ร้องไห้หนักมาก